เว็บพลังจิต ขอเชิญชวนสวดมนต์พร้อมกันทั่วประเทศเวลา 20.30 น. ด้วยบทสวดมนต์พระมหาจักรพรรดิ

ในห้อง 'รวมบทสวดมนต์และคาถา' ตั้งกระทู้โดย Attawat_Rx, 14 มีนาคม 2007.

  1. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,403
    โมทนาครับ ว่าจะลงให้อยู่แต่ลืมทุกที

    จริง ๆแล้วอยากลงคำแปลบทสรรพเพด้วย เอาแบบตามตำราครับ เคยเห็นมีคนมาลงให้อยู่ตรงลายเซ็นต์ แต่เดี๋ยวนี้หาไม่เจอแล้ว ใครเคยเห็นช่วยลงให้ด้วยนะครับ สาธุ....
     
  2. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    <CENTER>
    เกร็ดความรู้เกี่ยวกับภพภูมิฝ่ายเทพ

    --------------------------

    เรื่องของสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น

    <!--detail--><!--images--><!--images-->เทวภูมิ ๖ (สวรรค์ ๖) แดนอันแสนดีเลิศล้ำด้วย กามคุณ ทั้ง ๕ โลกของ เทวดา ตามปกติหมายถึง กามาพจรสวรรค์

    ๑.จาตุมหาราชิการ (สวรรค์ชั้นที่ ๑) สวรรค์ที่ท้าวมหาราช ๔ องค์ ปกครอง

    จาตุมหาราชิกา มีมหาราช ๔ องค์

    ๑. ท้าววธตรัฐะ มหาราช เป็นผู้ปกครอง คันธัพพเทวดา ทั้งหมด อยู่ทาง ทิศตะวันออก

    ๒. ท้าวิรุฬหกะ มหาราช เป็นผู้ปกครอง กุมภัณฑ์เทวดา ทั้งหมด อยู่ทาง ทิศใต้

    ๓. ท้าววิรูปักษ์ มหาราช เป็นผู้ปกครอง นาคะเทวดา ทั้งหมด อยู่ทาง ทิศตะวันออก

    ๔. ท้าวเวสสุวรรณ มหาราช เป็นผู้ปกครอง ยักขเทวดา ทั้งหมด อยู่ทาง ทิศเหนือ

    (ท้าวกุเวร หรือ เวสสวัณ)

    ท้าวมหาราช ทั้ง ๔ องค์นี้ เป็นผู้รักษาโลกมนุษย์ด้วย จึงชื่อว่า ท้าวจตุโลกบาล หรือ ท้าวโลกบาล ๔

    พระเจ้าพิมพิสาร เอง แม้จะเป็น พระโสดาบัน แต่ก็พอใจสวรรค์ชั้นนี้

    ได้เกิดเป็นบริวารของ ท้าวเวสสุวรรณมหาราช



    เทวดาที่อยู่ภายใต้อำนาจปกครองของ ท้าวจาตุมหาราช

    ๑. ปัพพตัฏฐเทวดา เทวดาที่ อาศัยภูเขาอยู่

    ๒. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่ อาศัยอยู่ในอากาศ

    ๓. ขิฑฑาปโทสิกเทวดา เทวดาที่ มีความเพลิดเพลินในการเล่นกีฬา จนลืมบริโภคอาหาร แล้วตาย

    ๔. มโนปโทสิเทวดา เทวดาที่ ตายเพราะความโกรธ

    ๕. สีตวลาหกเทวดา เทวดาที่ ทำให้อากาศเย็นเกิดขึ้น

    ๖. อุณหวลาหกเทวดา เทวดาที่ ทำให้อากาศร้อนเกิดขึ้น

    ๗. จันทิมเทวปุตตเทวดา เทวดาที่ อยู่ในพระจันทร์

    ๘. สุริยเทวปุตตเทวดา เทวดาที่ อยู่ในพระอาทิตย์



    ยักษิณี นางยักษ์

    ยักษ์ มีความหมายหลายอย่าง แต่ที่ใช้บ่อยหมายถึง อมนุษย์ พวกหนึ่ง เป็นบริวารของ ท้าวกุเวรตามที่ถือกันมาว่ามีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัง มีเขี้ยวโง้ง ชอบกินมนุษย์กิสัตว์ โดยมามีฤทธิ์ เหาะได้ จำแลงตัวได้

    เทวดา หมู่ เทพ ชาว สวรรค์ เป็นคำรามเรียกชาว สวรรค์ ทั้งเพศชายและเพศหญิง


    </CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2007
  3. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    เทวดาตามที่อยู่อาศัย ​


    ๑. ภุมมัฎฐเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่ตามพื้นดิน เช่น ภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร ใต้พื้นดิน บ้านเรือน ซุ้มประตู เจดีย์ ศาลา เป็นต้น ถือว่าที่นั้น ๆ เป็นวิมานของตน​

    ๒. รุกขเทวดา เทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้ มี ๒ จำพวก คือ ​

    ๒.๑ มีวิมานอยู่บนต้นไม้ ถ้าอยู่บนยอดต้นไม้ เรียก รุกขวิมาน​

    ถ้าอยู่บนสาขาของต้นไม้ เรียก สาขัฏฐวิมาน​

    ๒.๒ อยู่บนต้นไม้แต่ไม่มี วิมาน (ที่อยู่ของเทวดา)​

    ๓. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่มีวิมานอยู่ในอากาศ​

    ในธรรมบทอรรถกถา พุทธวังสอรรถกถา แสดงเทวดาชั้น จาตุมหาราชิกา มี 2 จำพวก โดยจัด ​

    รุกขะเทวดา อยู่ในจำพวก ภุมมัฎฐะเทวดา เทพารักษ์ เทวดาผู้ดูแลรักษาที่แห่งใดแห่งหนึ่ง​



    เทวดาที่มีใจโหดร้าย​

    ๑. คันธัพโพ คันธัพพี ได้แก่ เทวดาคันธัพพะ ที่ถือกำเนิดภายในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม ที่เรียกว่า นางไม้ หรือแม่ย่านาง​

    หรือ คนธรรพ ชอบรบกวนให้เกิดอุปสรรคต่าง ๆ เช่นทำให้เกิดเจ็บป่วย หรือ​

    หรือ คนธรรพ์ ทำ อันตรายแก่ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นที่นำไม้นั้นมาใช้สอย อยู่ในความ​

    ปกครองของ ท้าวธตรัฏฐะ คันธัพพะเทวดา นี้สิงอยู่ในไม้นั้นตลอดไป ​

    แม้ใครจะตัดไปใช้สอยอย่างใด ๆผิดกับ รุกขเทวดา ที่อาศัยอยู่ตามต้น​

    ไม้ถ้าต้นไม้นั้นตายหรือถูกตัดฟัน ก็ย้ายจากต้นนั้นไปต้นอื่น​

    ๒. กุมภัณโฑ กุมภัณฑี ได้แก่ เทวดาภุมภัณฑ์ ที่เรียกกันว่า รากษส เป็นเทวดาที่รักษาสมบัติต่าง ๆเช่นแก้วมณี ​

    และรักษาป่า ภูเขา แม่น้ำ ถ้ามีพวกล่วงล้ำ ก็ให้โทษต่าง ๆอยู่ใน​

    ความปกครองของ ท้าววิรุฬหกะ​

    ๓. นาโค นาคี ได้แก่ เทวดานาค ได้แก่เทวดานาค มีวิชาเวทมนต์คาถาต่าง ๆ ขณะท่องในโลกมนุษย์ บาง​

    ทีก็เนรมิตเป็นคนสัตว์ต่าง ๆ ชอบลงโทษพวกสัตว์นรก อยู่ในความ​

    ปกครองของ ท้าววิรูปักขะ​

    ๔. ยักโข ยักขนี ได้แก่ เทวดายักษ์ พอใจเบียดเบียนสัตว์นรก อยู่ในความปกครองของ ท้าวเวสสุวรรณ​



    อาการเกิดของเทวดา ถ้าได้เคยสร้างบุญกุศลไว้มากกพอ ก็ไปเกิดในวิมานของตนเองพร้อมกับมีบริวาร ไม่ต้องเป็น​

    บุตรธิดาหรือเทวดารับใช้ของผู้ใด​

    กล่าวไว้ในอรรถกถาบางแห่งเป็นพิเศษ เทวบุตร คือ บุรุษ ที่เกิดบนตักของเทวดา​

    เทวธิดา คือ สตรี ที่เกิดบนตักของเทวดา​

    เทวดาสตรี ถ้าเกิด ในที่นอน จัดเป็น ปริจาริกา (นางบำเรอ)​

    ถ้าเกิด ข้างที่นอน จัดเป็น พนักงานเครื่องสำอาง​

    ถ้าเกิด กลางวิมาน จัดเป็น คนใช้​



    ๒ ดาวดึงส์ (สรรค์ชั้นที่ ๒) ​

    แดนแห่งเทพ ๓๓ มีจอมเทพชื่อ ท้าวสักกะ หรือที่เรียกว่า พระอินทร์ เป็นใหญ่สุด เมื่อพระอินทร์องค์หนึ่งสิ้นบุญ จุติ ไป ก็มีพระอินทร์อีกองค์หนึ่งเกิดสืบแทนกันไป ดาวดึงส์ เป็นคำบาลีแปลว่า ๓๓ บางทีก็เรียก ไตรตรึงษ์ ซึ่งเป็นคำสันสกฤต แปลว่า ๓๓ เหมือนกัน​



    ความเป็นอยู่ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ล้วนแต่เป็นผู้เสวยทิพยสมบัติจากกุศลธรรมในอดีต บริโภคอาหารอันละเอียดสุขุม ชนิดที่เป็น สุธาโภชน์ (ผู้บริโภคอาหารทิพย์) อารมณ์ที่ได้รับจึงล้วนมีแต่ อิฏฐรมณ์ (อารมณ์ที่น่าปรารถนา) และไม่มีความเจ็บป่วย ไม่มีอุจจาระ ปัสสาวะ เทวดาผู้ชาย มีความเป็นหนุ่มอยู่ในวัย ๒๐ ปี ส่วนเทวดาผู้หญิงมีความเป็นสาวอยู่ในวัย ๑๖ ปี สวยงามตลอดไปจนตาย มิได้มีความชรา เทวดาผู้หญิงไม่มีประจำเดือนและไม่ต้องมีครรภ์ เว้นแต่ ภุมมัฏฐเทวดา บางองค์ที่ยังมีประจำเดือน และครรภ์เหมือนมนุษย์ความเป็นอยู่ของเทวดาในเทวโลกนี้ เป็นเช่นเดียวกับมนุษย์โลก มีการไปมาหาสู่กันและเบียดเบียนกัน มีความรักใคร่ ปรารถนาเป็นคู่ครองกัน สมบัติของเทวดาเหล่านั้น มีความยิ่งหย่อนกว่ากัน ทั้งบริวาร วิมานและ อิฎฐรมณ์ ต่าง ๆ สุดแต่กรรทที่ตนได้กระทำไว้​



    โกสิยเทวราช คือ พระอินทร์ เรียก ท้าวโกสีย์ บ้าง ท้าวสักกเทวราช บ้าง​

    เทวดาที่อยู่บนชั้นดาวดึงส์ มี ๒ พวก ​

    ๑. ภุมมัฏฐเทวดา ได้แก่ พระอินทร์ และเทวดาชั้นผู้ใหญ่ ๓๒ องค์ พร้อมทั้งบริวาร เทวอสุรา ​

    ๕ จำพวก​

    ๒. อากาสัฏฐเทวดา ได้แก่ พวกเทวดาที่อยู่ในวิมานลอยไปกลางอากาศ​



    เทพ เทพเจ้า เทวดา​



    เทพ ๓​

    ๑. สมมติเทพ เทวดาโดยสมมติ ได้แก่ พระราชา พระเทวี และพระราชกุมาร​

    ๒. อุปปัตติเทพ เทวดาโดยกำเนิด ได้แก่เทวดาใน กามาวจรสวรรค์ และ พรหม ทั้งหลาย เป็นต้น​

    ๓. วิสุทธิเทพ เทวดาโดยความบริสุทธิ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ พระอรหันต์ ทั้งหลาย​



    สุขาวดี แดนที่มีความสุข เป็นชื่อสวรรค์ของพระอมิตาภพุทธ ฝ่ายมหายาน​



    ๓. ยามา (สวรรค์ชั้นที่ ๓) ​

    แดนแห่งเทพผู้ปราศจากความทุกข์ มี ท้าวสุยามเทพบุตร ปกครอง ตั้งแต่ภูมิยามานี้ขึ้นไปตั้งอยู่ในอากาศ จึงไม่มีเทวดา ภุมมัฏฐเทวดา อาศัยอยู่ มีแต่พวก อากาสัฏฐเทวดา พวกเดียว ร่างกายสวยงามประณีต อายุยืนยาวกว่าเทวดาชั้น ดาวดึงส์ มากเป็นภูมิที่สวยงามประณีต ปราศจากความยากลำบาก ไม่มีเรื่องทุกข์ ได้แก่ที่อยู่ของพวกที่รักษา อุโบสถในชั้นฟ้านี้ไม่เห็นพระอาทิตย์เลย เพราะว่าอยู่สูงกว่าพระอาทิตย์มากแต่เทพชั้นนี้เห็นกันได้ด้วยรัศมีแก้ว และด้วยรัศมีของเทพเองจะรู้ว่ารุ่งหรือค่ำด้วยอาศัยดอกไม้ทิพย์ คือ เมื่อเห็นดอกไม้บานจึงรู้ว่ารุ่ง เมื่อเห็นดอกไม้หุบจึงรู้ว่าค่ำ เทพชั้นยามยามาไม่ปรากฏว่าได้ลงมาเกี่ยวข้องกับมนุษย์​



    ๔. ดุสิต (สวรรค์ชั้นที่ ๔)​

    แดนแห่งเทพผู้เอิบอิ่มด้วยสิริสมบัติของตน มี ท้าวดุสิตเทวราช ปกครอง เป็นภูมิของเทวดาผู้อิ่มเอิบด้วยบารมี ผู้มีปัญญา ผู้อยู่ในภูมินี้จึงมีแต่ความชื่นบาน มีวิมานทิพย์ ทิพย์สมบัติ ร่างกายประณีตกว่าเทวดาในชั้น ยามา เป็น ภพ สุดท้ายของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทุกพระองค์ก่อนที่จะมาบังเกิดและตรัสรู้ในมนุษย์โลก​



    ทิพย์ เป็นของเทวดา วิเศษ เลิศกว่าของมนุษย์​



    ๕. นิมมานรดี (สวรรค์ชั้นที่ ๕)​

    แดนแก่งเทพผู้ยินดีในการนิรมิต มีท้าวสุนิมมิต หรือ นิมมิตเทวราช ปกครองเทวดาชันนี้ปรารถนาสิ่งใด นิรมิตเอาได้ตามความพอใจของตน ไม่มีคู่ครองของตนเป็นประจำ เมื่อใดปรารถนาใคร่เสพ กามคุณ เวลานั้นก็ เนรมิต เทพบุตร หรือเทพธิดาขึ้นมาตามความปรารถนา และเมื่อใดได้เพลิดเพลินกับ กามคุณ นั้นสมใจแล้ว กามคุณ ที่เนรมิตขึ้นมานั้นก็จะอันตรธานหายไป​



    พระพุทธเจ้าตรัสว่า​

    กัมมัง เขตตัง กรรม เป็นเหมือนนา​

    วิญญาณัง พีชัง วิญญาณ เป็นเหมือนพืชที่หว่านลงในนา​

    ตัณหา สิเนโห ตัณหา เหมือนยางเหนียวมีอยู่ในพืช อันจะทำให้พืชนั้นปลูกงอกงามขึ้นได้​

    เพราะฉะนั้น เมื่อยังมี กรรม วิญญาณ และ ตัณหา อยู่ ก็ยังจะต้องไปเกิด​

    ในภพต่าง ๆ คือหมายความว่า ยังมี อวิชชา เป็นเครื่องกั้นอยู่ ยังมี ตัณหา​

    เป็น สังโยชน์ คือเครื่องผูกอยู่​



    ๖. ปรนิมมิตวสวัตดี (สวรรค์ชั้นที่ ๖) ​

    แดนแห่งเทพผู้ยังอำนาจให้เป็นไปในสมบัติที่ผู้อื่น นิรมิต (บันดาลให้เป็นขึ้นมีขึ้น) ให้​

    มีเทพเป็นราชาผู้ปกครองอยู่ ๒ ฝ่าย​

    ฝ่าย เทพยดา ปรนิมมิตรสวัตตีเทวราช ปกครองเทพไม่เป็นมาร​

    ฝ่าย มาร (๒) ปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช (ชื่อเหมือนกัน)​

    หรือ พญามาราธิราช หรือ วสวัตตีมาร ปกครองเทพที่เป็นมาร​

    ฝ่ายมาร(๒) หรือเทวปุตตมาร​

    เป็น มิจฉาทิฎฐฺ เทวดา ที่ไม่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา มารนี้มีความกลัวเป็นข้อสำคัญอยู่ข้อหนึ่งว่าตนจะสิ้นอำนาจครอบครองโลกไม่ประสงค์ให้ใครทั้งนั้นบรรลุ มรรค ผล นิพพาน เพราะเมื่อผู้ใดพ้นโลก หมายถึงว่ามีจิตใจพ้นกิเลสดังกล่าว ผู้นั้นก็พ้นอำนาจของมารทั้งยังเป็นผู้คอยขัดขวางให้เกิดอุปสรรคต่อ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่เสมอ เมื่อวันที่ พระพุทธองค์ เสด็จอออกบวช พญามารตนนี้ได้มาปรากฏตัว ยกมือห้ามว่าอย่าออกบวชเลย อีกไม่นานเท่าไรท่านก็จะได้เป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะ ทรงขับไล่ออกไป เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญ ทุกรกิริยา ก็มากระซิบบอกว่า บัดนี้พระองค์ก็บรรลุสัมโพธิญาณดังหวังแล้ว ปรินิพพาน เถอะพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พระองค์จะไม่ ปรินิพพาน จนกว่า พรหมจรรย์ (การประพฤติธรรมอันประเสริฐ) ของพระองค์จะแพร่หลายมั่นคง ครั้นเมื่อเงื่อนไขทุกอย่างพร้อมแล้ว พญามารจึงเข้ามากราบทูลให้ ปรินิพพาน เท่ากับทวงสัญญาว่าบัดนี้ถึงเวลาที่พระองค์จะปรินิพพานแล้วพระพุทธองค์จึงทรง ปลงอายุสังขาร​



    พญามาราธิราช จะต้องทำบุญไว้มาก ไม่เช่นนั้นก็จะไม่บังเกิดในสวรรค์ชั้นสูงนี้ได้ภายหลังละ มิจฉาทิฏฐิ และกลับมาเลื่อมใสในพุทธศาสนา​



    เทวดาชั้นนี้ปรารถนาสิ่งใดไม่ต้องนิรมิตเอง มีเทวดาอื่นที่รับใช้เนรมิตให้ตามต้องการ เป็นภูมิที่มีความสุขและเพลิดเพลินมากเทวดาที่อยู่ในชั้นปรนิมมิตวสวัตตีนี้ไม่มีคู่ครองเป็นประจำโดยเฉพาะตน เป็นที่อยู่ของพวกที่ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นไว้มาก​



    ปลงอายุสังขาร ตกลงใจกำหนดการสิ้นสุดอายุ ตกลงพระทัยว่าจะ ปรินิพพาน​

    ปลงสังขาร ทอดอาลัยในกายของตนว่าจะตายเป็นแน่แท้แล้ว​

    ทุกรกิริยา การทำความเพียรอันยากที่ใคร ๆ จะทำได้ ได้แก่การบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุธรรมวิเศษด้วยวิธีการทรมานตนต่าง ๆ เช่นกลั้นลม อัสสาสะ (ลมหายใจเข้า) ปัสสาสะ(ลมหายใจออก) และอดอาหาร เป็นต้น เขียนเต็มเป็น ทุกกรกิริยา​



    เทวภูมิ หรือ ฉกามาพจรสวรรค์ ทั้ง ๖ ชั้นยังเกี่ยวข้องกับ กามคุณ​

    เทวภูมิ ๖ (ฉกามาพจรสวรรค์ ๖)​

    ๑. จาตุมหาราชิกา มีเหมือนมนุษย์​

    ๒. ดาวดึงส์ มีเหมือนมนุษย์​

    ๓. ยามา มีแต่ กายสังสัคคะ (กายสังสัคคะ ความเกี่ยวข้องด้วยกาย การเคล้าคลึงร่างกาย)​

    ๔. ดุสิต มีเพียงจับมือกัน​

    ๕. นิมมานรดี มีเพียงยิ้มรับกัน​

    ๖. ปรนิมมิตสวัตตี มีแต่มองดูกัน​

    ในเทวภูมิไม่มีสัตว์เดรัจฉาน และเมื่อต้องการจะมีม้ารถเทียม ก็จะมีเทพบุตรจำแลง กายของเทวดา เรียกว่าเป็นกายทิพย์ เป็นกายสว่างละเอียด ไม่มีปฏิกูล เกิดเป็น อุปปาติกะ คือ ผุดเกิดขึ้น มีตัวตนโตเต็มที่เลย แต่เป็น อทิสสมานกาย คือ การยที่ไม่ปรากฏแก่ตาคนในเทวภูมิบริบูรณ์ด้วยความสุข อายุก็ยืนยาว แก่เจ็บไม่ปรากฏตายก็ไม่ปรากฏซาก จึงเห็นทุกข์ได้ยาก​



    เทวดาจะจุตุ มี ๔ ประการ​

    ๑. อายุขัย จุติเพราะสิ้นอายุ ​

    ได้แก่ เทวดาที่ได้เคยสร้างกุศลมาก็ได้เสวยสมบัติทิพย์จนครบอายุทิพย์ในเทวโลกชั้นที่ตนอยู่นั้น ครั้นหมดอายุแล้วก็จุติ​

    ๒. บุญญขัย จุติเพราะสิ้นบุญ​

    ได้แก่ เทวดาที่สร้างสมบุญกุศลไว้น้อย เมื่อกุศลผลบุญที่ได้กระทำไว้หมดสิ้นลงเสีย แต่ในระหว่างยังไม่ถึงอายุขัย จำต้องจุติไปเกิดที่อื่น เพราะหมดบุญแล้ว​

    ๓. อาหารขัย จุติเพราะสิ้นอาหาร​

    ได้แก่ เทวดาบางจำพวกที่เสวยทิพย์สมบัติ จนลืมบริโภคสุธาโภชนาหารทิพย์อันเป็นปัจจัยแก่กาย และชีวิตถ้าแม้ว่าเขาลืมบริโภคภายหลังสักร้อยครั้งพันครั้ง ก็มิอาจจะซ่อมแซมให้ดีขึ้นมาใหม่​

    ๔. โกธพลขัย จุติเพราะความโกรธ​

    ได้แก่ เทวดาบางจำพวกที่มีจิตริษยาหาเหตุพาล มีความโกรธในหัวใจ​



    จุตินิมิตของเทวดา ๕ ประการ นิมิตล่วงหน้า ซึ่งอุบัติเกิดแก่เทวดาผู้จะต้องจุติ ​

    จุติ เคลื่อนจาก ภพ หนึ่งไปสู่ ภพ อื่น ตาย (ส่วนมากใช้กับเทวดา)​

    ๑. ดอกไม้ทิพย์เครื่องประดับเหี่ยวแห้ง​

    ๒. ผ้าทิพย์เครื่องประดับสำหรับองค์มีสีเศร้าหมอง​

    ๓. มีเหงื่อไหลออกมาจากรักแร้​

    ๔. ที่นั่งและที่นอนร้อนดุจมีไฟอยู่ภายใต้​

    ๕. กายของเทวดาเหี่ยวแห้งเศร้าหมองหารัศมีเช่นก่อนไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยเนื้อตัวมือตีน มีความกระวนกระวายใจ​

    <CENTER></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2007
  4. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,403
    ว้าว ข้อมูลดีมากครับ น่าสนใจ อ้างอิงจากที่ไหนครับ เผื่อ เพื่อนๆ อยากทราบรายละเอียดจะได้ค้นเพิ่มได้.....
     
  5. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    เป็นโพสforwardมาข้อมูลมีเท่าที่เห็นครับ
     
  6. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    โมทนาสาธุอย่างยิ่งครับ...ใช่แล้วยังนั้นละ

    www.watthummuangna.com เวบเกี่ยวกับหลวงปู่หลวงตา
    มีไฟล์เสียงสวดมนต์ด้วยครับ
     
  7. yeen

    yeen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    678
    ค่าพลัง:
    +3,656
    แวะมาเยี่ยมเยือนครับ พี่ๆน้องๆทั้งหลาย
     
  8. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,403
    หลังจากขึ้นไปหาหลวงตาครั้งแรก เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา ชีวิต ทำอะไรก็ดูคล่องไปเสียหมด ผมสวดมนต์ทุกวัน อยากได้อะไรไม่นานเกินรอก็จะได้สมหวัง ทำอะไรก็คล่อง โดยเฉพาะเรื่องบุญ ตอนนี้ผมเริ่มนั่งสมาธิ 10-30 นาทีก่อนสวดมนต์แล้ว แนะนำนะครับ ใจนิ่งสบายดีมาก....
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,895
    อนุโมทนาบุญกับทุกท่านครับผม ขอให้บุญรักษาครับ
     
  10. raquaz

    raquaz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    175
    ค่าพลัง:
    +3,831
    สงสัยครับ

    ผมเพิ่งเริ่มฝึกทำสมาธิได้ไม่นานครับ รบกวนขอความรู้ด้วยครับ

    1.ปกติผมสวดมนต์บทนี้ตอนตี1 ของทุกคืนแล้วค่อยทำสมาธิน่ะครับ(เนื่องจากมันเป็นเวลาที่สงบที่สุดในบ้าน)
    จากที่ได้อ่านกระทู้ ตอนนี้กะว่าจะกลับไปสวด 20.30แล้วล่ะครับ แต่สงสัยเพียงนิดหน่อยว่า ทำสมาธิก่อนหรือหลังสวดดีกว่ากันเหรอครับ
    2.ที่ว่าสวด 108 จบเนี่ย ท่อนไหนเหรอครับ ผมเข้าใจว่า ท่อนที่ให้สวดตามกำลังวัน ถูกต้องหรือเปล่าครับ หรือว่าให้เริ่มตั้งแต่ คำอัญเชิญภพภูมิใหม่จนครบ108เที่ยวครับผม

     
  11. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    เชิญอ่านได้ที่กระทู้ของเว็บวัดถ้ำได้กระทู้เหล่านี้จ้า

    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=218

    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=34

    http://www.watthummuangna.com/board/showthread.php?t=95

    จาก www.watthummuangna.com (*)

     
  12. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,403
    สะดวก สบาย ง่าย สงบ อย่างไหนดีที่สุดสำหรับตนเองก็ทำตามนั้นเลยครับ ไม่มีการบังคับ

    ในส่วนบทพระมหาจักรพรรดิครับ ถ้าไม่ไหวก็สวดตามกำลังวันนั้น เช่นวันนี้วันเสาร์ก็สวด 10 จบ
     
  13. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    เรียนถามผู้รู้นะครับ
    1 แนะนำให้สวด เวลา 20.30 น. แต่ผมสวดมนต์บทอื่นร่วมด้วยกว่าจะมาถึงบทพระมหาจักรพรรดิ์ ก็ 3 ทุ่ม นิดๆ แล้ว จะมีผลอะไรไหมครับ บทที่ผมสวดก่อนก็คือ พระอาการวัตตาสูตร
    2 อัคคีทานัง วะรังคันธัง : ด้วยสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ ธูป เทียน ไฟ
    หรือแสงสว่าง และของหอมทั้งมวล

    มีดอกไม้และน้ำอบ เป็นต้น


    ในบทสวด การกล่าวถึงการบูชาพระ ด้วยธูป เทียน ไฟ แสงสว่าง และของหอม แต่ในที่ที่ผมสวด ไม่มีสักอย่างเลย จะเป็นไรไหมครับ แนะนำหน่อยครับ

    ขอบคุณล่วงหน้าครับ
     
  14. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,403
    ดียิ่งขึ้นเลยครับ

    ไม่เป็นไรครับ เพราะธูปเทียนที่เป็นทิพย์ได้ถูกจุดขึ้นในทันที ด้วยแรงบุญ อยู่แล้วครับ
     
  15. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    ได้สวดมนต์บทนี้มาสามวันแล้วยอมรับว่าดีจริงครับ
    ใครอยากรู้ว่าดียังไงลองสวดเองเลยครับ
    โดยเฉพาะเวลาแผ่เมตตาจะรู้สึกชัดมาก ขอบคุณที่นำบทสวดมนต์นี้มาเผยแพร่เป็นธรรมทานครับ
     
  16. jasminine

    jasminine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    5,386
    ค่าพลัง:
    +22,313
    ขออนุโมทนากับคุณ Attawat_Rx เป็นอย่างสูงค่ะ

    จะพยายามสวดในเวลาเดียวกัน ตามเวลาในประเทศไทยด้วยคนค่ะ

    และ ขออนุโมทนา สาธุ กับทุกๆ ท่านที่ได้สวดบทนี้ด้วยนะคะ
     
  17. "เหลียง ขงเบ้ง"

    "เหลียง ขงเบ้ง" เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +336
    ขอบคุณมากนะครับ โหลดเสียงมาแล้ว จะเอาไปสวดนะครับ
     
  18. siam1976

    siam1976 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    135
    ค่าพลัง:
    +561
    เรียนถาม คุณหมวดอรรถครับ

    1.วิธีแผ่บุญในสถานที่ต่างๆเช่น ตลาดสด ร.พ. เนี่ย คือตอนสัพเพไม่ได้กำพระ แต่คล้องพระจักรพรรดิ์ไว้ที่คอ นี่บุญจะถึงหรือเปล่าครับ.
    2.ตอนสวดมนต์ 20.30น. แผ่บุญให้กับคนยังไม่ตายได้ไหมครับ

    ขอบพระคุณครับ / สยาม
     
  19. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,403
    ได้อยู่แล้วครับ กำพระให้มั่นใจเท่านั้น (กุศโลบายไงครับ)

    ได้ครับ เราทำกันเช่นนั้นโดยประจำครับ สงสัยการปฏิบัติใดๆ เชิญที่นี่เลยครับผม เราแจงไว้ละเอียดมากครับ
    http://www.watthummuangna.com/index02.html
     
  20. อาวุโสพรรคมาร

    อาวุโสพรรคมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    318
    ค่าพลัง:
    +1,419
    อานิสงค์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ

    โดยย่อกล่าวคือ

    บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพานตลอดจนถึงพระธรรมเจ้าและพระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงฆ์สาวกทั้งมวลไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง5พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

    การสวดครั้งหนึงเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาร่วมถึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมอารธนาเข้าที่กายและใจ
    และรวมกำลังของพระโพธิญานโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายตั้งแต่อดีต ถึง ปัจจุบัน และอนาคต

    การสวดครั้งหนึงมีอานิสงค์แผ่ไปทั่วจักวาลสามแดนโลกธาตุสามารถแผ่บญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ตลอดจนเทวดาประจำตัวเราญาติมิตรเพื่อนฝูงครอบครัวเจ้ากรรมนายเวรและหากนำบทสวดนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ

    บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัวร่วมถึงการอารธนาบารมีครูบาอาจารย์พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อัญเชิญเข้าตัวเพื่อป้องกันภัยและสร้างมหาโชคมหาลาภ

    อานิสงค์แก่ผู้สวดมีทั่งมหาบุญมหาลาภเนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลีร่วมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐานหากนำไปสวดบริกรรมก่อนหรือระหว่างนั่งภาวนากรรมฐาน...จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุมและคุมการปฎิบัติของเรา คลุมกายและจิตเราเป็นวิมานทิพย์(ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)

    หากสวดบทนี้สามารถอฐิษฐานเรื่องราวใดๆมี่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้ จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิด จักรพรรดิ กำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวด พระคาถาครอบจักรวาล

    ปล.สำหรับนักปฎิบัติเบื้องต้นใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    --------------------------------------------------<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    พระคาถามหาจักรพรรดิก่อให้เกิดพุทธนิมิตครอบสถิตผู้ทรงคาถา

    พระคาถามหาจักรพรรดิที่หลวงปู่ดู่แต่งขึ้นมานั้น
    นอกจากท่านจะได้ทำการอธิษฐานบารมีให้ผู้สวดได้รับพลังจากพระรัตนตรัย
    อย่างมหาศาลแล้ว ยังก่อให้กิด "พุทธนิมิต" เป็นวิมานแก้วพระพุทธเจ้า
    มาครอบสถิตผู้สวดด้วย โดยมีลักษณะเป็นมณฑปแก้วจัตุรมุข
    ปรากฎฉัพพรรณรังสีหกประการสว่างสไหวพร้อมด้วยโพธิสัตตราวุธ
    ทั้ง 4 ประการ ประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ พระมหามงกุฎ
    ตรีศูล จักรแก้ว และ พระขรรค์เพชร ทั้งหมดล้วนเป็นของคู่บุญบารมี
    ของพระศรีอารย์โพธิสัตว์ โดยมี "พระมหามงกุฎ" เป็นศิราภรณ์ที่ปี่ยมไปด้วย
    บุญญฤทธิ์ (หลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอรหันต์ระดับจตุปฎิสัมภิทาญานได้เคย
    นำมาถวายหลวงปู่ดู่เป็นพุทธบูชาอีกองค์หนึงด้วย)

    ส่วนอาวุธที่เหลือทั้ง 3 ล้วนเป็นเทพศาสตราวุธชั้นสูง
    มีไว้เพื่อประดับบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ และเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง
    หากสวดเป็นประจำสามารถอธิษฐานให้เกิดเป็นองค์พระพุทธนิมิต
    ปางมหาจักรพรรดิได้ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยอิทธิฤทธิ์และบุญฤทธิ์
    มีความศักสิทธิ์อย่างมาก ประดับด้วยครื่องทรงแห่งพระมหาจักรพรรดิ
    อย่างวิจิตรอลังการเปล่งรัศมีหลากสีด้วยแสงแห่งรัตนอัญมณี
    เรียกว่า "พระมหาวิษิตาภรณ์" มาครอบสถิตผู้ภาวนา บารมีของ
    หลวงปู่ดู่ที่ท่านน้อมนำอธิษฐานจิตจึงมีความศักสิทธิ์ป็นอย่างมาก
    เพราะท่านใช้บารมีทั้งหมดของท่านอัญชิญกระแสบารมีแห่งพระรัตนตรัย
    และตั้งองค์พระพุทธนิมิตปางมหาจักรพรรดิบรรจุลงไปในวัตถุมงคลที่บารมี
    ท่านมาประจุอีกด้วย<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤษภาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...