กรรมของดารานักแสดง

แค่คิดจะทำสิ่งไม่ดี ได้นับเป็นกรรมเบาแล้ว
ถ้าคิดไม่ดีแล้วกระทำให้บังเกิดผลด้วย ถือเป็นกรรมหนัก

 

ความเสื่อมจะเป็นไปตามคำทำนายครับ
คนจะเริ่มยอมรับความเสื่อมได้เรือย ๆ แล้วจะเสื่อมลงไปอีก
ดูอย่างเมื่อก่อนนักแสดงถูกรังเกียจ เป็นอาชีพเต้นกินรำกิน แต่เดี๋ยวนี้มีแต่คนยกย่อง

เมื่อก่อนวง TK โบว์กับจอยซ์ ที่แต่งตัวชุดสายเดี่ยว เกาะอก โดนด่า เดี๋ยวนี้ยอมรับได้


แต่ทั้งนี้ผมว่าเราควรทำตัวเราเองให้ดีก่อนดีกว่า เขาจะเป็นยังไงเราก็แค่มีสติรู้


ดังคำของท่าน พระพุทธทาสภิกขุ (พุทธทาส อินทปัญโญ)
เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา จงเลือกเอาสิ่งที่ดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์ต่อโลกบ้างยังน่าดู ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
จะหาคนมีดีเพียงด้านเดียว อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเอย ฝึกให้เคยมองแต่สิ่งดีมีคุณจริง

 

ตะแหง่ววววววว ตะแหง่วววววว ตะแหง่ววววววววว !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

 

หากเลือกได้ เขาก็คงไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น

เพียงแต่ อ่านแล้วควรระวัง ตัณหา มันจะพาเราหลงไปไม่รู้ตัว

 

ไม่มีความเห็น ผมเชื่อในคำสอนของพระศาสดาทุกประการ ไม่มีข้อสงสัย

 

นายกล้ามากที่เอาความจริงมาเผย และดีมากที่ไม่ได้กล่าวเองแต่ยกคำของพระตถาคตมาแสดงให้เห็น คำพระตถาคตไม่ผิดแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ตาม

 

.................................................................................

.... งั้น พระบรมศาดา ท่านไปโปรดสัตวโลก ท่านก็ส่งจิตออกนอกสิครับ ท่านคิดอย่างนั้นเหรอ

 

ถ้าเข้าใจคำว่าลุ่มหลงของพระพุทธเจ้าตรัส แล้วจะเข้าใจว่าทำไมมันถึงควรหลีกเลี่ยง

ยิ่งเราหลงในการแสดงต่างๆทั้งจริงบ้างไม่จริงบ้าง มันเป็นตัวสร้างภพสร้างชาติ ดีไม่ดีอยากเกิดเป็นนกบ้างหละ อยากเกิดเป็นนักรบเก่งๆจะได้ฆ่าฟันศัตรูบ้างล่ะ บลาๆๆ ถ้าได้ปฎิบัติบ้างจนจิตใจมันสงบแล้วลองไปดูหนังดูละครแล้วมองย้อนกลับมาจะรู้ว่าจิตใจมันไม่ได้สงบเหมือนก่อน คิดว่าคนนู้นดีคนนี้เลวบ้างอะไรบ้าง พระท่านถึงบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ตายก็ไปนรกกัน แล้วก็วนเวียนอยู่ในสามภพนี้แหละ ไม่ได้หลุดไปไหนหรอก

ที่ท่านตรัสว่าตายแล้วจะไปนรกท่านตรัสโดยถือ(สมมติ)ว่าไม่มีผลบุญอื่นส่งผล แต่เหตุมันเกิดแล้วก็เป็นธรรมชาติที่ผลจะตามมา อาจช้าหรือเร็วก็แล้วแต่บุญกรรม

 

เรื่องบุญและเรื่องบาปของพวกดารานี่ต้องแยกตอบออกจากกันครับรวมประเด็นตอบไม่ได้ มีบางกระทู้ตอบว่าดาราที่แสดงในทางจรรโลงสังคมก็มี ผมไม่เถียง แต่เหมือนบางกระทู้ตอบว่ามันเป็นกฏแห่งกรรม ผมก็ไม่เถียงไม่คัดค้าน เพราะส่วนที่เค้าทำดีก็จัดเป็นกรรมดีไป ส่วนที่เค้าทำไม่ดีก็เป็นส่วนของกรรมชั่วไป ที่นี้ต้องมาดูว่าขณะที่เค้าทำความดีและความชั่วนั้น โดยอาศัยฐานะที่เป็นดารานั้นกระทำ ซึ่งเราๆท่านๆก็รู้อยู่ว่าดารา ถ้าทำกุศลก็จะเป็นทางมาแห่งกุศลได้มากมายมหาศาล พอๆกับการกระทำอกุศลกรรม ที่นี้พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสว่านักแสดงจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ (ถ้าเค้าสนใจแต่เรื่องการแสดงเท่านั้นไม่ได้สนใจเรื่องตัดกิเลสออกจากตัว ) ก็จะเป็นไปตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ แต่ส่วนมากที่ผมเห็นดาราสมัยนี้ก็ไม่ได้ทำการแสดงเพียงอย่างเดียว(เรื่องลับๆส่วนตัวเค้าขอไม่พูดถึงนะเอาโดยรวม ) มีการทำอย่างอื่นตามที่ผมได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น พอมาถึงตรงนี้ผมก็นึกขึ้นได้ว่า พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า "เรื่องของกรรมเป็นเรื่อง อจินไตย ใครอยากรู้หรือเข้าไปกำหนดกฏเกณฑ์ว่ามีประมาณเท่านี้ เท่านั้นแล้วละก็จะเป็นบ้าได้ " เพราะฉะนั้นใครเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ แต่ผมเชื่อในพระพุทธวจนะของพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุดเหนือชีวิต เพราะคนเราคิดว่าทำได้ เลยทำไปไม่สนใจว่าถูกหรือผิด อ้างเอาความจำเป็นทางสังคม บังคับต้องทำ สุดท้ายมันก็เลยกลายเป็น " ปัญหาสังคม "
ป.ล. ขอแจงที่มีกระทู้นึงที่ว่าเกี่ยวกับพระสงฆ์นะครับ พระสงฆ์ที่ท่านๆ เราๆเห็นอยู่ทุกวันนี้คือ สมมุติสงฆ์นะครับ ส่วนจะเป็นสงฆ์ตามพระรัตนตรัยหรือเปล่านั้นก็ดูที่การปฏิบัติตนครับ

 

แล้วพวกเกมคนสร้างเกม สร้างโปรแกรม ไรพวกนี้จะบาปเปล่าครับ ผมเข้าใจว่า อาชีพที่ทําให้คน ติดในกิเลสมากขึ้น จะบาปไหม (ผมก็อดสงสัยไม่ได้ คนทําข้าวนี่จะบาปไหมเนี่ย เพราะราคะ ความอร่อย ก็มี)

สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสมา ไม่ใช่ท่านเดามั่วๆมาสุ่ม ท่านเห็นความจริงรู้แจ้งหมดทุกอย่าง แล้วนํามารวบรวมเอาความยากมา เข้าใจให้ง่าย เลยนํามาสอน พวกเราๆนี่แหละครับ

คือความจริงมันมีอยู่แล้ว ท่านเห็น เลยนํามารวบรวมมาสอนอ่าครับ

 

--------------ถ้าดารานักแสดงไม่ดี---ทำให้คนลุ่มหลงก็โอเคนะ
-------------------แต่ แต่ ถ้าเราไม่ดูตัวเราบ้างหละครับ ว่าไปยึดเขาทำไม
-------------------เขาหล่อ เขาสวย บุญนะครับตบแต่ง
-----------------ที่น่ากลัวกว่าที่ปรากฎในพระไตรปิฎกคือ
--------------------หนี่ีงพวกนักปฎิบัติธรรมที่หลอกตัวเองว่าดีกว่าเขา
--------------------สองพวกนักบวชแต่ละสำนักที่บอกว่าตัวเองถูกคนเดียวสายอื่นไม่ใช่
ไม่ตรง
-------------------สองพวกนี้ใกล้ตัวผมมากมาก
-------------------ทำให้ผมโง่เสียตังค์ไปหลายครับ
-------------------สำหรับผมสองพวกนี้โคตรน่ากลัวมากมาก

 

ผมเชื่อพระพุทธวจนะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ล้านเปอร์เซนต์ ใครว่าผมบ้าก็ช่าง งมงายก็ช่าง เมื่อก่อนถ้าคืนไหนไม่ได้ฟังเพลงก่อนนอน นอนไม่หลับ วันไหนไม่ได้ฟังเพลงหงุดหงิด ไม่ได้ดูทีวี ดูละครต่างๆอยู่ไม่ได้ ติดหนังเกาหลี แต่งตัวตามแฟชั่น หลังจากได้ไปปฏิบัติธรรมกรรมฐานมา 7 วัน ฟังคำสอนครูบาอาจาร์ต่างๆ ผมไม่มีความอยากดูหนังดูละคร ฟังเพลง หรือติดหนังเกาหลีเลยครับ เอ...ผมก็อยู่ได้ ธรรมะวิเศษอย่างนี้นี่เอง...

 

เอาง่ายๆที่ผมสังเกตุจากในเว็บนะครับผม ไม่ไ้ด้กล่าวถึงหรือพาดพิงถึงบุคคลหนึ่งบุคคลใดนะครับผม สองกระทู้ตั้งขึ้นพร้อมกัน กระทู้หนึ่งแจกพระ อีกกระทู้แจกขุนแผน หรือเครื่องลางเสน่ห์ คิดเอาเองนะครับผม ว่าส่วนใหญ่ 100 ละ 80 ไปกระทู้ขุนแผนแสนเสน่ห์และเครื่องลางก่อน ขนาดคนที่เข้าเว็บส่วนใหญ่เป็นคนศึกษาธรรมมะนะครับผม แต่กิเลศแห่งความอยากเป็นที่รัก หรือนิยมชมชอบของผู้อื่นก็ยังมีอยู่ในตัวเป็นธรรมชาติ(กิเลศ)ของมนุษย์อยู่แล้วครับผม จะพอมีใครบ้างหรือเปล่าก่อนออกจากบ้าน ไม่ได้มองกระจกเพื่อให้ตนเองดูดีครับผม แต่พอเห็นคนอื่นที่เขาแต่งตัวไม่ดี กลับดูถูกเขาซะงั้น หารู้ไม่ ตัวเองยังโดนกิเลศแห่งความหลงกินเข้าไปข้างในจนชินเป็นนิสัยจนแยกไม่ออกเสียแล้ว ยังมีหน้ามามองคนอื่นต่ำอีก เฮ้อ นี่แหล่ะครับผม ที่เขาเรียกว่าคน เพราะมันมีสังคม และ สิ่งแวดล้อม เป็นตัวยุ ว่าเอ้อแบบนี้ดี ว่าเอ้อแบบนี้ไม่ผิด แต่อนิจจัง เต็มๆ ผลกรรมท่านไม่ไ้ด้วัดที่ความเข้าใจของเรา แต่ท่านวัดกันที่ความเป็นจริงที่ทำต่างหากครับผม

 

ธรรมะวิเศษอย่างนี้นี่เอง!!

เพราะทำให้เราใช้ชีวิตไปอย่างที่โลกเป็น ไม่ทุกข์มาก ไม่สุขมาก
รู้เท่าทันสมมติทั้งหลายในโลก ไม่ยึดติด ไม่หลงไป ไม่จำเป็นต้องหาเหตุ
ให้ต้องยินดี ยินร้าย ปรุงกันไปให้เข้ากับกิเลสตน มโนกรรมเป็นเรื่อง
เฉพาะตน หาเหตุให้สอดคล้องกับสมมติเพื่อตัวเอง จึงบิดเบือนพระธรรม
ให้หย่อน ให้จางลงก็เพื่อตัวเอง เพื่อกิเลสในตัวเอง

เมื่อเรามีพุทธานุสติ เป็นเครื่องอยู่เป็นวิหารธรรมอยู่ในจิตในใจของเราแล้ว
สมมติใดๆก็ไม่ได้วิเศษไปกว่า ความศรัทธาในพระศาสดา ในคำสอนของ
พระศาสดาหรอกครับ

 

​

​

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัวของจีนรายงานว่า เกิดเหตุสุดสลดขึ้นในมณฑลอันฮุยของจีน เมื่อเด็กหญิงวัย 11 ขวบ ผูกคอตายกับขื่อบ้าน เชื่อเป็นการผูกคอตายเลียนแบบละครที่เพิ่งนั่งดูกับย่าก่อนเกิดเหตุ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อ ฟาง ฟาง เด็กหญิงวัย 11 ขวบ ได้นั่งดูละครทีวีกับคุณย่าของเธอที่บ้าน ซึ่งในละครที่เธอดูก็มีฉากผูกคอตายด้วย และหลังจากนั้นเธอก็เดินไปอีกห้องหนึ่ง ก่อนจะใช้ผ้าพันเข้ากับขื่อบ้าน ผูกคอตายดับอนาถ

จากการสอบถามไปยังเพื่อนบ้านและญาติ ได้ความว่า ก่อนหน้าที่จะมาพบศพเด็กหญิงฟางฟาง ราว ๆ ครึ่งชั่วโมง ยังเห็นเธอเธอนั่งดูละครทีวีอยู่กับคุณย่าอยู่ และเธอก็พูดกับคุณย่าเกี่ยวกับสิ่งที่เธอได้เห็นในทีวีว่า นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลก็ยังผูกคอตายเลย

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเฟยตง ได้เปิดเผยว่า จากการสอบสวนจากพยานหลายคน มีความเป็นไปได้สูงว่า เด็กหญิงฟาง ฟาง จะผูกคอตายเลียนแบบสิ่งที่เธอเห็นในละครทีวี แต่เธออาจไม่คาดคิดว่ามันจะทำให้เธอเสียชีวิตก็ได้

ทั้งนี้ สำหรับการผูกคอตายเลียนแบบหนังหรือละครทีวี ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในจีน แต่เหตุการณ์ดังกล่าวพบเห็นได้เรื่อย ๆ โดยล่าสุด เกิดขึ้นกับเด็กหญิงวัย 7 ขวบรายหนึ่ง เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เธอได้เล่นเกมแขวนคอกับเพื่อน ๆ เลียนแบบละครทีวี จนทำให้เธอขาดใจตายเสียชีวิต


สลด เด็กจีน 11 ขวบผูกคอตายเลียนแบบละครทีวี

 

ทางสายกลางค่ะ สาธุ

 

อย่าว่าแต่คนที่มีอาชีพนักแสดงเลย ทุกคนนั่นล่ะไม่ว่าอาชีพไหน ต่างก็ทำทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม สรุปคือสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

 

พระพุทธวัจนะตรงไปตรงมาไม่มีการปรุงแต่ง แต่ปุถุชนย่อมปรุงแต่งแตกต่างกันไปตามจิตของแต่ละบุคคล

 

พระพุทธองค์ ท่านทรงมีพระมหาเมตตามาบอกพวกเราไม่ให้ตกนรก พระองค์ท่านอยากให้พรวกเราทุกคนได้กลับบ้านพระนิพพานกันเสียที....โมทนาสาธุ สาธุ สาธุ

 

สงสัยนิดนึงน่ะค่ะ พวกนักร้องนักดนตรีที่เป็นดารา ก็เข้าข่ายเต้นกินรำกินรึเปล่าคะ