ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    สวัสดีครับยามเช้าทุกท่านนะครับ หลังจากเวบปิดไปนาน
     
  2. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    โอนเงินไป 500 วันที่ 29 เดือน พค เวลา 06.47 จากตู้ 7-11 pc mansion และ โอน อีก 500 บาท วันที่ 30 พค เวลา 08.30 ครับผม
     
  3. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ช่วงก่อนเว็บมีปัญหา ผมและครอบครัวได้โอนเงินร่วมทำบุญ 200 บาทครับ
    ขอบคุณมากครับ
    มหาโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  4. ลูกปลาใหญ่

    ลูกปลาใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +577
    วันนี้ 06/06/54 เวลาประมาณ 21.30 น. ได้โอนเงินจำนวน 500 บาท เข้า บ/ช ทุนนิธิฯ เพื่อร่วมทำบุญประจำเดือน มิถุนายน 2554 ครับ
     
  5. BD

    BD เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +419
    ทานบารมี

    [​IMG]


    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้ คือ

    ๑. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

    ๒. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัยแม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๓. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๔. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๕. ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ
    พระด้วยกันก็มีคุณธรรมแตกต่างกัน จึงเป็นเนื้อนาบุญที่ต่างกัน บุคคลที่บวชเข้ามาในพระพุทธศาสนามีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ตรัสเรียกว่าเป็น "พระ" แต่เป็นเพียงพระสมมุติเท่านั้น เรียกกันว่า "สมมุติสงฆ์" พระที่แท้จริงนั้น หมายถึงบุคคลที่บรรลุคุณธรรมตั้งแต่พระโสดาปัตติผลเป็นพระโสดาบันเป็นต้นไป ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะได้บวชหรือเป็นฆราวาสก็ตาม นับว่าเป็น "พระ" ทั้งสิ้น และพระด้วยกันก็มีคุณธรรมต่างกันหลายระดับชั้น จากน้อยไปหามากดังนี้คือ "พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธมเจ้า" และย่อมเป็นเนื้อนาบุญที่แตกต่างกัน ดังต่อไปนี้

    [​IMG]

    ๖. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น)

    ๗. ถวายทานแก่พระโสดาบันแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๘. ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    . ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๐. ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๑. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    [​IMG]

    ๑๒. ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๓. การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า "การถวายวิหารทาน" แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม "วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน" อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์หรือสิ่งที่ประชาชนใประโยชน์ร่วมกัน แม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น "โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท็งก์น้ำ ศาลาป้ายรถยนต์โดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ" ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน

    ๑๔. การถวายวิหารทานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง (๑๐๐ หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "ธรรมทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม "การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ"

    ๑๕. การให้ธรรมทานแม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ "อภัยทาน" แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ "การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู" ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ "ละโทสะกิเลส" และเป็นการเจริญ "เมตตาพรหมวิหารธรรม" อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้น อันพรหมวิหาร ๔ นั้น เป็นคุณธรรมที่เป็นองค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌานและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาน ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใด ก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง "พยาบาท" ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้ การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง
    อย่างไรก็ดี การให้อภัยทานแม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะการให้ทานอื่น ๆ ทั้งมวล ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า "ฝ่ายศีล" เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน

    [​IMG]
    <O:p</O:p
    ที่มา : โดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก<O:p></O:p>
     
  6. somsakasat

    somsakasat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    693
    ค่าพลัง:
    +1,914
    ร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธประจำเดือนมิถุนายน
    โอน 03/06/11 time 12:36 Kbank to BAYA 3481232459 amount 300
    ขออนุโมทนาสาธุ กับผู้ร่วมบุญทุกท่านด้วยครับ
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เมื่อสัปดาห์ก่อน มีโอกาสไปเดินดูพระพิมพ์ต่างๆ แถวท่าพระจันทร์หลังจากห่างหายไปนาน พอเข้าไปในซอยบาจา เห็นกลุ่มเซียนพระชื่อดังรวมตัวกันเยอะเป็นพิเศษ เลียบๆ เคียงๆ ดู จึงได้ความว่ามีพระใหญ่ (พระสมเด็จวัดระฆัง) ท่านธุดงค์มาในสนาม กลุ่มเซียนใหญ่จึงรวมตัวกันช่วยกันตรวจท่าน เพราะราคานิมนต์ท่านหลักล้าน แว่วว่างานนี้มีหลายหุ้น เราเบี้ยน้อยหอยน้อย เลยเดินเลี่ยงหาลูบคลำ หาดูพระนอกวงการมาตรฐานตามแผงโนเนมข้างถนนดีกว่า เดินไปเรื่อยๆ จนถึงทางเข้าวัดมหาธาตุฝั่งสนามหลวง จึงได้พระสมเด็จพิมพ์อรหังมาเชยชม โดยได้มาจากร้านที่เคยอุดหนุนกันประจำในราคาองค์ละไม่กี่บาท พอๆ กับผัดกระเพราบวกน้ำแข็งเปล่าพอดี ซึ่งพระพิมพ์สกุลนี้เสกโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) ที่วัดระฆัง แล้วไปฝากกรุที่วัดทองนพคุณ พลังท่านยังคงเกรียงไกรเช่นเดิม เป็นพระนอกแถว เซียนไม่แตกตื่นเหมือนข้างต้น แต่รับรองได้ "แขวนแล้วเจริญมีเงินมีทอง" เหมือนชื่อวัดเช่นกัน วันนี้เลยนำรูปแทนซึ่งพบเจอในเวบอื่นมาลง ส่วนด้านหลัง คำว่า "อรหัง" จะมีร่องหรือไม่มีร่อง อย่าไปยึดถือครับดูพิมพ์เอาตามนี้ เนื้อนี้ ก็ใช้ได้ครับ ส่วนสีของพระก็จะมีทั้งสีแดง เขียว ดำ และเนื้อกระเบื้องธรรมดาครับ

    ภาพจาก
    00252 : Oddy : 2006-08-10 08:53:02 Powered by : 212cafe.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ไม่ได้เข้ากระทู้มานานมาก แต่ยังไงก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านข้างต้นด้วยครับ รับรองครับเงินที่ท่านโอนผ่านทุนนิธิฯ เข้ามาได้ใช้ไปกับการบริบาลรักษาพระสงฆ์อาพาธตาม รพ.ต่างๆ ที่ทุนนิธิฯ ติดต่อไว้อย่างแน่นอน และเมื่อวันที่ 29/5 ในวันทำกิจกรรมประจำเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมาในห้องพิธีการที่ รพ.สงฆ์ มีผู้ที่ศรัทธาทั้งเก่าและใหม่ได้เข้าไปร่วมทำกิจกรรมกับทุนนิธิฯ มากจริงๆ ได้เงินบริจาคเข้าทุนนิธิฯ และเงินบริจาคเพื่อช่วยเปลี่ยนเลนส์แก้วตาให้พระสงฆ์อาพาธที่ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น รวมแล้วแสนกว่าบาท ในคราวเดียวกันนับว่ามากโขจริงๆ ครับ ก็ต้องขออนุโมทนาบุญทั้งในกระทู้นี้และในห้องกิจกรรมย้อนหลังด้วยกันครับ สำหรับในเดือนนี้ เป็นวันครบรอบทำกิจกรรมเพื่อพระสงฆ์อาพาธนับแต่เปิดทุนนิธิฯ ครบรอบมา 3 ปีครึ่งพอดี ซึ่งที่ผ่านมาทุนนิธิฯ ได้ทำบุญช่วยพระสงฆ์อาพาธทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเครื่องมือแพทย์ ค่าปรับปรุงห้องพยาบาล ผ้าสำหรับตัดเย็บบริขาร ผ้าปูเตียงพร้อมปลอกหมอน ชุดผ่าตัีดพระสงฆ์ รวมถึงค่าโลงศพและค่าส่งศพสำหรับพระสงฆ์อาพาธที่ทุนนิธิฯ สงเคราะห์ท่านอยู่ แต่เยียวยาเกินกำล้ังรักษาและเกิดมรณะภาพในขณะที่ทำการรักษาโดย จนท.พยาบาลได้ร้องขอมายังทุนนิธิฯ เพื่อให้ช่วยเหลือเป็นรายกรณี มาแล้วนับล้านบาทครับ ซึ่งเงินที่ใช้ในการช่วยเหลือข้างต้นนั้น ก็มาจากการบริจาคทั้งสิ้น คณะกรรมการทุนนิธิฯ ทุกท่าน ขอขอบพระคุณทุกท่านอีกครั้งด้วยใจจริงครับ

    พันวฤทธิ์
    9/6/54

    หมายเหตุ วันทำกิจกรรมทุนนิธิฯ ในเดือนนี้ คือวันอาทิตย์ที่ 26/6 ครับ โดยในวันดังกล่าวมีการแจกพระพิมพ์ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จ (โต) ที่ท่านได้เสกไว้ในขณะยังดำรงขันธ์โดยพิจารณาจากการตรวจทางจิต ไว้ให้บูชากันฟรีๆ คนละ 1 องค์ด้วยครับ แต่มีข้อแม้ ต้องมารับด้วยตนเองเท่านั้น มารับแทนกันไม่ได้ ส่วนท่านที่ทำบุญหรือเคยทำบุญผ่านทุนนิธิฯ มา แต่อยู่ไกล อดใจนิดนึงครับ หากมีพระพิมพ์เหลือในงานเท่าใด ผมจะให้ท่านเขียนชื่อที่อยู่แล้วใส่ซองเปล่าส่งมา ผมก็จะจัดส่งพระพิมพ์ข้างต้นให้ท่านเช่นเดียวกันครับ พระนี้หมดแล้วหมดเลย ไม่มีอีก แถมปิดทองล่องชาดสวยงามมาก แต่เป็นองค์เล็กๆ สัก 1 ซม. แขวนได้เฉพาะเด็กๆ เหมือนรูปข้างล่าง หรือพกใส่กระเป๋าน้อยไว้ ซึ่งคราวหลัง จะได้นำรูปมาให้ชมกันครับ แต่ขอโทษ พลังท่านจี๊ดจ๊าดมากจริงๆ เหมือนเคี้ยวพริกลูกโดดครับ

    [​IMG]แนะนำรีวิวข้อมูล >> สถานที่ท่องเที่ยว
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ความรู้เบื้องต้นของวัดทองนพคุณ


    [​IMG]
    พระอุโบสถวัดทองนพคุณ


    จิตรกรรมวัดทองนพคุณ

    ไม่ว่าวัดราษฎร์หรือวัดหลวง จะมีจิตรกรรมฝาผนังไว้ที่โบสถ์ ด้วยฝีมือช่างระดับท้องถิ่นบ้าง ช่างหลวงบ้าง แล้วแต่กรณี เรื่องเอามาเขียนเป็นภาพส่วนมากเป็นพุทธประวัติ มีน้อยมากที่เป็นเรื่องอื่น มีวัดบวรนิเวศวิหารเท่านั้น ที่ขรัวอินโข่งฝีมือระดับอินเตอร์วาดภาพฝรั่งมังฆ้องและจิตรกรรมล้ำสมัยเป็น ที่ฮือฮา

    ขรัวอินโข่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากในยุครัตนโกสินทร์ วัดทองแอ๋ของผมพลอยมีชื่อเกี่ยวข้องกับศิลปะสำนักขรัวท่านด้วย โดยเจ้าอาวาสวัดทองแอ๋มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับขรัวอินโข่งอยู่ด้วย จะเป็นศิษย์ขรัวอินโข่ง หรือศิษย์ร่วมสำนักกัน ไม่แจ้ง ผมก็ฟังๆ มาแล้วก็เดาต่อเท่านั้นเอง

    พระครูกสิณสังวร เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณรูปหนึ่ง เคยอยู่วัดราชบูรณะ (วัดเลียบ) มาก่อนจะมาเป็นเจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับขรัวอินโข่งมาก่อน คงได้เป็นศิษย์ขรัวอินโข่ง หรือเป็นจิตรกรร่วมสมัยกันมาอย่างใดอย่างหนึ่ง

    พระอุโบสถวัดนี้แปลกตรงที่หน้าต่าง แทนที่จะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั้งหมดเหมือนที่อื่น กลับเป็นวงกลมเสียแปดบาน เฉพาะบานใหญ่ตรงกลางเท่านั้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ซุ้มข้างบนเป็นรูปทรงชฎา สี่บานถัดจากบานกลางทั้งสองด้าน มองจากข้างนอกเหมือนพัดยศพระราชาคณะ หรือพระเจ้าคุณ อีกสี่บานที่เหลือเหมือนพัดยศพระครู สวยงามมาก

    พระครูกสิณสังวรเป็นผู้เขียนภาพด้วยตัวท่านเอง ว่ากันอย่างนั้น ภาพที่เขียนแบ่งกว้างๆ ดังนี้ ที่ผนังด้านเหนือและด้านใต้ แบ่งเป็นสองตอน ตอนบนเขียนรูปซึ่งเข้าใจว่าดัดแปลงมาจากนิทานชาดก ชาดกไหนบ้างไม่ทราบ เท่าที่สืบได้มีภาพลิงเหาะ กับนกกระยางจำศีลเท่านั้นที่คุ้นตา

    ตอนกลางเป็นภาพพระเวสสันดรชาดกทั้งหมด

    ส่วนตอนล่างคือระหว่างช่องหน้าต่างนั้น ผมจำไม่ได้แล้วเป็นภาพอะไร เพราะชำรุดเสียหาย และที่เขียนซ่อมใหม่ก็เป็นรูปเทวดาเหาะแทน

    ผนังด้านตะวันตก คือด้านที่ตั้งพระะประธาน เป็นภาพม่านแขวนอยู่หลังพระประธาน เหมือนจริงมาก ที่มุมทั้งสองเป็นรูปเทวดาชุมนุม ภาพนี้เองทันทีที่ในหลวงรัชกาลที่ 4 เสด็จเข้ามาเพื่อพระราชทานผ้าพระกฐิน ทอดพระเนตรเห็น รับสั่งว่า “ใครเอาม่านในวังมาแขวนไว้” คงเหมือนของจริงมาก

    ที่ผนังด้านตะวันออก ตรงหน้าพระประธานแบ่งเป็นสองตอน ตอนบนเป็นภาพพระไตรปิฎกแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ วาดเป็นคัมภีร์ใบลานห่อผ้าอย่างเรียบร้อย ซ้อนๆ กันบนโต๊ะ ซ้ายมือเป็นพระสูตร ขวามือเป็นพระอภิธรรม โต๊ะกลางเป็นพระวินัย

    ใต้โต๊ะพระไตรปิฎก มีแมวสองตัวจ้องมองกันในท่าหยอกล้อตามประสาสัตว์ ให้อารมณ์ขันหรรษาท่ามกลางบรรยากาศขรึมขลัง

    ตอนล่างคือระหว่างประตูทางเข้า ด้านขวามือเป็นภาพต้นไม้สองสามต้น หรือเรียกว่ารากไม้จะถูกกว่า กิ่งข้างบนพันรวมกันไว้มองสูงขึ้นไป กิ่งนั้นจะเรียวคอดเกือบจะขาด สูงขึ้นไปอีกเป็นภาพความว่างเปล่า ใต้ต้นไม้ประหลาดทั้งสามนี้ มีภาพพระสงฆ์ทำกิจต่างๆ กัน

    มุมหนึ่งเป็นสามเณรน้อยนั่งพับเพียบ ต่อหน้าพระอาจารย์แก่ใส่แว่นนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง มองลอดแว่นดูสามเณรน้อย มีคัมภีร์วางอยู่ ดูแล้วทำให้นึกถึงบรรยากาศการต่อหนังสือแบบมุขปาฐะสมัยโบราณ

    อีกมุมหนึ่ง พระภิกษุสองรูปกำลังนั่งยองๆ ปลงอาบัติกัน อีกมุมหนึ่งกำลังเทศน์โปรดประชาชน อีกมุมหนึ่งพระอีกรูปหนึ่งกำลังชักผ้าบังสุกุลจากศพ

    ภาพนี้ภาพเดียว จะได้แง่คิดในทางปฏิบัติตามที่ผู้เขียนภาพสอดแทรกไว้มากมายมหาศาล ขึ้นอยู่ที่ว่าผู้ดูจะมองทะลุได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น ผมเองแม้มิใช่ศิลปิน ดูภาพนี้แล้วรู้สึกอัศจรรย์ที่ศิลปินท่านสามารถสอดแทรกแง่คิดในการปฏิบัติ ศาสนกิจ ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติอย่างมหัศจรรย์ยิ่ง

    ไม่ทราบว่าผมคิดมากไปหรือเปล่า ผมดูแล้ว “สเก๊ตช์” ภาพออกมาได้ดังนี้

    (1) ต้นไม้สามต้น (หรือรากไม้ทั้งสาม) เป็นตัวแทนอกุศลมูล คือรากเหง้าแห่งกิเลสชั้นแนวหน้าคือ ราคะ (โลภะ) โทสะ และโมหะ

    (2) การที่ต้นไม้ทั้งสามพันรวมกันเป็นกิ่งเดียว หมายความว่า กิเลสทั้งสามนี้เมื่อว่าโดยสภาวะก็เป็นอย่างเดียวกัน คือสภาวะฝ่ายต่ำฝ่ายชั่ว

    (3) ภาพสามเณรน้อยเรียนธรรม เป็นตัวแทนคันถธุระ หรือการท่องจำพระไตรปิฎก (ดังภาพข้างบน) ภาพบังสุกุลก็ดี ภาพปลงอาบัติก็ดี เป็นตัวแทนของวิปัสสนาธุระ คือนำเอาธรรมะที่เล่าเรียนมาปฏิบัติกรรมฐานเช่นอสุภกรรมฐาน (ภาพบังสุกุล) หรือรู้ว่าตัวเองปฏิบัติผิดพลาดในพระวินัยบัญญัติอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็แสดงอาบัติ หรือสารภาพต่อเพื่อนพระภิกษุ และตั้งใจแน่วแน่มิให้บาปอกุศลนั้นเกิดขึ้นอีกต่อไป เป็นการ “กวาดชำระ” กิเลสออกจากใจ (ภาพกวาดลาน)

    (4) ขณะเดียวกัน ก็ไม่เอาตัวรอดคนเดียว ยังเป็นห่วงพุทธบริษัทอื่นๆ อยู่ จึงเมื่อตนได้เรียนรู้และปฏิบัติได้แล้วก็นำมาสั่งสอนประชาชนให้รู้ตามด้วย (ภาพแสดงธรรม)

    (5) เมื่อบำเพ็ญกิจของสมณะครบถ้วน จิตก็จะผ่องแผ้ว ราคะ โทสะ โมหะ จะเบาบางขาดหายไปจากจิตใจ ภาพกิ่งไม้เรียวคอดข้างบน หมายถึง ระยะที่กิเลสจะหมดไปจากใจ เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อระหว่างภาวะปุถุชนกับพระอรหันต์ หรือที่เรียกว่า “โคตรภูญาณ”

    (6) เมื่อพ้นระยะนี้ไปแล้ว กิเลสก็จะขาดผึงจากจิตสันดาน คือบรรลุนิพพาน จิตก็จะ “ว่าง” จากความยึดมั่นถือมั่น (ภาพความว่าง)

    ซ้ายมือเป็นภาพพระเวสสันดรชาดก กัณฑ์ทศพร ตอนพระอินทร์กับนางผุสดีอยู่บนศาลา หน้าศาลาเป็นสระน้ำ มีนางฟ้าลงเล่นน้ำเป็นที่สนุกสนาน บางพวกก็ฟ้อนรำอยู่บนฝั่ง

    เล่ากันว่า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทันทีที่ทอดพระเนตรเห็นฉากเทวดาอาบน้ำไม่ทรงพอพระทัย หาว่าเป็นภาพหยาบโลน มีสตรีแก้ผ้าต่อหน้าพระประธาน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นทรงชื่นชมว่าฝีมือช่างวิเศษมาก ครั้นทรงทราบว่าเป็นฝีมือพระครูกสิณสังวร เจ้าอาวาส ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า จะเลื่อนสมณศักดิ์ให้เป็นพระราชาคณะที่ “พระญาณรังษี” แต่พอทอดพระเนตรเห็นภาพเทวดาโป๊ตรงหน้าพระประธาน กลับทรงระงับเสีย

    [​IMG]
    พระประธานในพระอุโบสถวัดทองนพคุณ กรุงเทพฯ
    ด้านหลังเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังรูปพระวิสูตร คล้ายผ้าม่านจริง



    เป็นอันว่า กำลังจะได้เป็นพระเจ้าคุณอยู่รอมร่อ ก็เลยไม่ถึงดวงดาวซะอย่างนั้น นัยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงตำหนิใหญ่โต เรื่องนี้มีเล่าไว้เป็นหลักฐาน ผมขอคัดบางตอนมาดังนี้

    “จึงได้ทรงพระราชดำริ จะใคร่ทรงสถาปนาเลื่อนที่พระครูกสิณสังวร ให้เป็น พระญาณรังษีที่พระราชาคณะสำหรับพระอารามนั้น แต่ครั้นทรงพิเคราะห์ไปในจิตรกรรมการเขียนในพระอุโบสถนั้น รำคาญพระเนตรอยู่ห้องหนึ่ง ซึ่งเป็นห้องระหว่างประตูกลาง และประตูเหนือหน้าพระอุโบสถ ตรงที่เสด็จประทับ และตรงพระพักตร์พระพุทธปฏิมาในส่วนเบื้องซ้ายห้องนั้น เขียนเป็นรูปลับแลสร้างและมีกิจกรรมสำแดง เรื่องมหาเวสสันดรกัณฑ์ทศพร เขียนเป็นนันทอุทยานในดาวดึงส์สวรรค์ และมีปราสาทอันหนึ่ง มีรูปพระอินทร์และนางผุสดีนั่งอยู่ด้วยกัน แต่สองรูปในนันทอุทยานนั้น ล้วนเกลื่อนกลาดดารดาษไปด้วยนางเทพินนิกรอัปสรกัญญา เดินไปมาเก็บและชมต้นไม้ที่มีดอกมีผลบ้าง ลงอาบน้ำในสุนันทโบกขรณีบ้าง ในรูปนางอัปสรต่างๆ นั้น มีรูปวุ่นวายอยู่ถึง 7 รูป คือเป็นรูปเปิดผ้านุ่งถึงตะโพก นั่งถ่ายปัสสาวะบ้าง เป็นรูปยืนแหวกผ้านุ่งข้างหน้าบ้าง ลางนางว่ายน้ำนอนคว่ำ โก่งตะโพกขึ้นมาพ้นน้ำขึ้นมาไม่มีผ้านุ่ง ลางนางนอนหงายว่ายน้ำอ่อนกลางตัวพ้นน้ำผ้านุ่งไม่มี ลางนางขึ้นจากน้ำผลัดผ้าข้างหน้าแหวกอยู่จนถึงอุทรประเทศ ลางนางผลัดผ้าข้างหลังเปิดเห็นตะโพก ลางนางหกล้มผ้าหลุดลุ่ย ก็ซึ่งรูปภาพสตรีต่างๆ ถึง 7 รูป เขียนไว้ดังนี้ ก็เป็นรูปนางสวรรค์ล้วนประดับประดามงกุฎ ประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ปิดทองคำเปลว เป็นรูปภาพระบายอย่างดี มิใช่เป็นของเล่นที่ห้องนั้น อยู่เบื้องหน้าพระอุโบสถตรงพระพักตร์พระประธานตรงที่เสด็จไปประทับ หรือเมื่อพระสงฆ์จะมาชุมนุมกันทำสังฆกรรม อุโบสถกรรม ก็จะต้องแลดูรูปนั้นอยู่จนสังฆกรรมเลิก ก็รูปนางสวรรค์แปลกตา 7 รูปนี้พระครูกสิณสังวรให้การเขียน หรือช่างเขียนไปเอง ถ้าให้การเขียนนั้น จะเป็นประโยชน์โภชผลเป็นปริศนาธรรมทางสังเวช หรือทางเลื่อมใสอย่างไร จึงเขียนไว้ ถ้าช่างเขียนเขียนไปเอง ช่างเขียนนั้นเป็นคนดีหรือเสียจริต ถ้าเสียจริต ทำไมจึงเขียนรูปภาพระบายได้งามๆ ได้ดีๆ”

    ภาพที่ว่านั้น ทราบว่ามิได้ถูกลบทิ้งแต่ประการใด ยังคงเป็นรูปเดิม จนเลอะเลือนไปตามอายุขัย บัดนี้ได้เขียนซ่อมใหม่รักษาแนวเดิมไว้ แต่ได้ดัดแปลงให้สุภาพกว่าเดิม

    อย่างว่าแหละครับ ส้มกำลังจะหล่นทับได้เป็นพระเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ก็มีอันสะดุดเสียนี่ นี่แหละน้า วาสนาคนเรา

    นอกจากจิตรกรรมลือชื่อนี้ วัดทองแอ๋ยังมีภาพปูนปั้นประดิษฐานไว้รอบศาลา เป็นฝีมือช่างชาวบ้านที่แปลกตาดี เมื่อรื้อศาลาทางวัดได้นำมาประดิษฐานไว้ที่ศาลาสร้างใหม่ ฝีมือปั้นสวยงามแปลกตาดี แต่เขียนบรรยายไม่ค่อยถูกหลักภาษาสักเท่าไร

    ทราบว่าในการพิมพ์ได้รับอุปถัมภ์จากบริษัทมติชน โดยคุณขรรค์ชัย บุนปาน จัดพิมพ์ในคราวสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จพระราชดำเนิน ทรงผ้าพระกฐินพระราชทาน ทรงยกช่อฟ้าศาลาการเปรียญ และทรงทอดผ้าป่าของมติชน เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2522


    ::
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    พระพิมพ์สมเด็จสกุลเจ้าคุณกรมท่าพิมพ์ใหญ่ (B) พระนอกมาตรฐานวงการพระเครื่อง แต่มีคุณค่าน่าเก็บรักษาและรอการพิสูจน์ในระยะต่อไป ทำจากเนื้อปูนเพชรมีน้ำเบา เปราะแตกหักง่าย มีทั้งโรยผงทองและไม่โรจ หากพบเจอท่านตามแผงข้างทางอย่าให้ปล่อยผ่านมือไปศึกษาเนื้อหาและคราบรักเก่าไว้ให้แม่น พระพิมพ์สกุลนี้ ยังมีความพิสดารอีกมากมาย หากสัมผัสพลังท่านได้จะพบว่าพระพิมพ์ หรือพระเครื่องในสมัยนี้ ที่เช่าหากันในราคาแพง หรือตามโฆษณาต่างๆ หาทัดเทียมกับท่านได้ยากยิ่งหรือไม่มีเลย นอกจากเป็นพระที่ผ่านจากการอธิษฐานจิตจากอริยะเจ้าเท่านั้น แต่บารมีก็ยังไม่เท่ากันอีก การศึกษาพระพิมพ์สกุลนี้ และพระพิมพ์สกุลอื่นๆ ของวังหน้าจึงมีหลายมาตรฐานทั้งเนื้อพระ ทรงพิมพ์ ความเก่า ยากแก่การจำ จึงถูกเขี่ยตกกระดานไปอย่างน่าสงสาร แต่สำหรับนักปฏิบัติหรือพระสงฆ์สายกัมมัฏฐานในระดับฌาณ 1-2 ต่างรู้ซึ้งถึงคุณค่าในจิตตานุภาพแห่งองค์ผู้อธิษฐานจิตดี พระพิมพ์สกุลนี้ จึงไม่เหมาะแก่การซื้อขาย แต่เหมาะแก่การตอบแทนในการทำความดีเพื่อพระศาสนา หรือให้ไว้เพื่อเป็นเครื่องระลึกแห่งกันเท่านั้น ทั้งนี้ เพราะคุณสมบัติที่เป็นมาตรฐานหลักๆ มีไม่ซ้ำกัน จึงไม่สามารถกำหนดเป็นราคาตายตัวได้นั่นเอง....
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PB010431.JPG
      PB010431.JPG
      ขนาดไฟล์:
      490.1 KB
      เปิดดู:
      143
    • PB010432.JPG
      PB010432.JPG
      ขนาดไฟล์:
      523.3 KB
      เปิดดู:
      137
    • PB010433.JPG
      PB010433.JPG
      ขนาดไฟล์:
      493.3 KB
      เปิดดู:
      151
    • PB010434.JPG
      PB010434.JPG
      ขนาดไฟล์:
      446.1 KB
      เปิดดู:
      135
    • PB010436.JPG
      PB010436.JPG
      ขนาดไฟล์:
      729 KB
      เปิดดู:
      145
    • PB010437.JPG
      PB010437.JPG
      ขนาดไฟล์:
      861.7 KB
      เปิดดู:
      172
    • PB010438.JPG
      PB010438.JPG
      ขนาดไฟล์:
      559.9 KB
      เปิดดู:
      129
    • PB010440.JPG
      PB010440.JPG
      ขนาดไฟล์:
      757.9 KB
      เปิดดู:
      272
    • PB010442.JPG
      PB010442.JPG
      ขนาดไฟล์:
      619.4 KB
      เปิดดู:
      129
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ในปีนี้ ทุนนิธิฯ น่าจะมีโอกาสเปิดสอนหลักการดูเนื้อพระ พิมพ์ทรง คราบรารัก ของพระพิมพ์สกุลนี้อีกครั้งในวันทำกิจกรรม แต่จะเป็นเดือนไหน คอยติดตามในกระทู้ก็แล้วกันครับ เพราะเมื่อสองเดือนก่อนได้สอนวิธีการดูและจำพระพิมพ์สกุล ๒๔๐๘ และ ๒๔๑๑ พร้อมประวัติต่างๆ ไปแล้ว คราวนี้ก็จะทวนเนื้อหาให้กับผู้ที่มาใหม่ในสกุลเจ้าคุณกรมท่า และปัญจสิริกันใหม่ และเป็นการฟื้นความรู้เดิมสำหรับคนเก่าที่อาจจะจำไม่ได้แล้ว

    พันวฤทธิ์
    12/6/54
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    โอวาทธรรม
    ของ
    หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร
    วัดถ้ำยายปริก อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    คัดลอกบางส่วนจาก...เอกสารธรรมบรรยาย
    เรื่อง “ศีลบริสุทธิ์เพราะเมตตาธรรม” (หน้า ๕)
    เทศน์อบรม ณ วัดถ้ำยายปริก พ.ศ. ๒๕๒๘


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    เหตุนั้นทุกอย่างขึ้นตรงต่อกรรม คือ การกระทำนั่นเอง
    เขาจะว่าทำดีไม่ไ่ด้ดี มันก็เรื่องของคนพูด เราทำดีแล้วมันย่อมได้ดี
    ใครไม่รู้ไม่เห็น เรารู้ของเราเอง

    อย่างเรากินข้าวไปคำหนึ่ง กินไปคำสองคำสาม
    มีใครเขารู้กับเราว่า คำไหนอร่อยไม่อร่อย เรารู้ของเรา
    กลืนไปแล้วจนกระทั่งอิ่ม มันอิ่มแล้ว ผลของมันก็คืออิ่ม
    ให้ดีแสนดีอีกมันก็ไม่เอา ก็สงบ ความหิวก็ระงับไป เราก็ไม่ต้องกิน

    การปฏิบัติธรรมของพวกเราก็เหมือนกัน การปฏิบัติกำลังดำเนินอยู่
    เหมือนกับเรากินอาหารอยู่ จนกว่าอิ่มเมื่อไรมันก็เลิก อิ่มแล้วเลิกทุกอย่าง

    ผลของมันก็คือ อุเบกขา ไม่ยินดียินร้ายในอาหารนั้น
    ในงานนั้นๆ มันก็สบาย ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนอะไร

    ฉะนั้น ขอให้พวกเราประคับประคองให้ศีลธรรมเกิดขึ้นในจิตของเรา
    ทำอะไรให้นึกถึงเมตตาก่อน เว้นจากการเบียดเบียนตนและผู้อื่น
    เจริญเมตตาธรรมให้เกิดในจิตใจ
    รักษาศีลให้บริสุทธิ์ดังที่ได้อธิบายมาข้างต้น
    เราก็จะอยู่อย่างมีความสุขทั้งในปัจจุบันและอนาคต


    .....................................................
    ...รักษาใจ...


    บ่อเกิดของบุญและบาป คือ กาย วาจา ใจ.


    http://www.dhammajak.net
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    โอวาทธรรม
    ของ
    พระโพธิญาณเถร
    (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)

    วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี

    [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    คัดลอกบางส่วนจาก...ธรรมบรรยายเรื่อง “ธรรมที่หยั่งรู้ยาก”

    อ่านธรรมบรรยาย (ฉบับเต็ม) ได้ที่
    http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... cha_70.htm

    และฟังเสียงอ่านธรรมบรรยายได้ที่
    http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... aew09.html

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    นั้นที่จริงมันง่ายที่สุดโยม มันง่ายมาก

    การกระทำอะไรต่อมิอะไรมันง่าย มันไม่ยาก
    ไม่ต้องเลือกวันนั้น เดือนนี้ ยามนี้ ไม่ต้องแล้ว

    พระพุทธองค์ของเราก็ทรงสอนว่า
    เมื่อไรมันสะดวกวันนั้นมันดี มันไม่ขัดข้องวันนั้นมันดี


    แต่นี่เราไม่อย่างนั้น เช่น จะปลูกบ้านปลูกช่องสารพัดอย่าง
    ก็จะต้องหาฤกษ์วันพันยามกันเสียแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ว่าอย่างนั้น
    ท่านว่าเมื่อโอกาสมันเหมาะสมก็ให้ทำไปเถอะ แต่เราก็กลัว
    ซึ่งถ้าพูดถึงพระรัตนตรัยเต็มที่ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว
    คือว่ามันไม่ผิดหรอก เมื่อมันมีโอกาสที่จะทำเมื่อไรมันสะดวก
    มันถูกกับเวลาของเรา มันสะดวกก็เอาละ นี่ท่านว่าอย่างนี้

    แต่เราไม่เอาอย่างนั้นซิ จะต้องเอาวันนั้นวันนี้ จนอาตมารำคาญ
    ยิ่งวันแต่งงานนั้นเขาถือว่าเป็นวันที่สำคัญของเขามาก
    ต้องเอาวันนั้น ต้องเอาฤกษ์อย่างนั้นอย่างนี้
    ถ้าไม่ได้ฤกษ์ไม่เอา ต้องให้ได้ฤกษ์

    อาตมาก็คอยสังเกตใครที่มีฤกษ์ดีๆ บ้าง
    ว่ามันจะเป็นอย่างไรไหม มันจะดีไหม
    บางคนอยู่กันได้ไม่ถึงเดือนทะเลาะกันไปเลย
    อ้าว...ดูซิมันเป็นเสียอย่างนี้ แล้วทำไมไม่สังเกตเหตุผลดูล่ะ
    จะต้องเอาวันนั้นวันนี้ วันนี้มันจม วันนั้นมันฟู ต้องทำข้างขึ้น ข้างแรมอย่าเอา
    ไปถือเอาอันนั้นมาเป็นฤกษ์ของเรา

    ฤกษ์มันก็เป็นเรื่องของฤกษ์ เวลาก็เป็นเรื่องของเวลา
    มันไม่ใช่มาเกี่ยวข้องกับเรา
    ถ้าเราไปคิดอะไรต่อมิอะไรมันมากทุกอย่างในเรื่องพุทธศาสนา
    มันก็ยุ่งเหยิงหลายอย่าง
    จนกระทั่งที่ว่าพูดกันไม่ค่อยจะได้ ทีนี้เรามามองดูซิว่า

    ถ้าเป็นอย่างนั้น
    พระรัตนตรัยของเราจะเสื่อมไหม เศร้าหมองไหม
    มันก็เสื่อม มันก็เศร้าหมองเท่านั้นแหละ


    ที่ว่าฤกษ์ดียามดี ก็คืออะไรที่มันดี
    อะไรที่มันเหมาะสมไม่ขัดข้องนั่นแหละอาตมาว่าดีแล้ว
    อาตมาพูดอย่างนี้ ทั้งยังถืออย่างนี้มาตลอดจนทุกวันนี้
    ไม่เคยเห็นมันเป็นอะไร

    เมื่อเรามามองคนบางคน ตระกูลบางตระกูล โยมบางโยมก็ลำบาก
    เช่น แต่งงานกัน ไม่ถึงฤกษ์หมายจริงๆ ไม่ต้องละ
    พระฉันเสร็จแล้วก็ต้องนั่งคอยอยู่นั่นแหละ
    คือ พอถึงฤกษ์ก็ต้องสวด ชะยันโต โพธิยา มูเล...
    แต่แล้วมันก็ดีบ้างได้บ้างเสียบ้างเหมือนกัน
    บางคนก็อยู่ด้วยกันเดือนสองเดือนพูดกันไม่รู้เรื่อง
    หนีจากกันเสียแล้ว ทำไมฤกษ์มันไม่คุ้มล่ะ
    ฤกษ์มันไปอยู่ตรงไหน อันนี้ขอให้โยมคิดกัน

    อาตมาเคยพูดอยู่เรื่อยๆ ให้โยมคิด
    ถ้าเราพูดถึงการตกลงกันวันนั้นวันนี้
    ตกลงกันพร้อมเพรียงสามัคคีกัน
    ไม่ใช่ว่าได้วันจันทร์ไม่เอานะ ไม่ได้วันอังคารไม่เอานะ
    ไม่ใช่อย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องยุ่ง
    ไม่ต้องมากหรอก เท่านี้มันก็ยุ่งอยู่แล้ว

    เมื่อเราตัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นมงคลตื่นข่าวออกไปแล้ว
    มันก็ก้าวเข้าไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
    เรานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สูงสุดสูงส่งดีแล้ว
    จะสบายจะสะดวกกันทุกอย่าง


    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]

     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    คติธรรมจากพระหลวงตาบัว ญาณสัมปันโน

    [​IMG]


    คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่ง ตรัสอย่างใดเป็นอย่างนั้น
    คำสอนนั้น คือ องค์ศาสดา และพระวินัย เช่น ศีล ก็คือ องค์ศาสดา
    ธรรม ก็คือ องค์ศาสดา โอวาทคำสอนของท่านอย่าฝ่าอย่าฝืน

    พระพุทธเจ้าสอนลงในจุดรวมว่า
    ผู้ที่จะไปสู่ภพชาติใดๆ ต้องขึ้นอยู่กับจิตนี้เท่านั้น
    เพราะฉะนั้นจงสร้างจิตฝึกฝนอบรมจิตให้ดีเป็นสำคัญ
    ถ้าอบรมจิตนี้ด้วยดี คือ โดยศีล โดยธรรมแล้ว
    จะมีสักกี่ร้อยล้านภพภูมิของสัตว์ก็ตาม จิตจะเกิดในภพภูมิที่ดีเท่านั้น
    เหมาะสมกับวาสนาบารมีของตน

    ใจเป็นของสำคัญมาก
    ใจเป็นผู้ก่อภพชาติ ใจเป็นโรงงานผลิตทุกข์ทั้งหลาย
    ผลิตเชื้อพาให้เกิดแก่เจ็บตาย
    ผลิตวิบากให้เป็นผลดี-ชั่วขึ้นมา

    ใจเป็นผู้ท่องเที่ยวในวัฏสงสารนับประมาณไม่ได้มาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
    ใจอันนี้เสกสรรได้ ส่งเสริมได้ กดถ่วงลงไปได้
    จึงต้องพยายามพากันดูใจตัวเองให้ดี
    หลักใหญ่อยู่ที่ใจ

    เห็นโทษก็เห็นที่ใจทั้งดวงนั้นแล
    ใจทั้งดวงเป็นผู้เห็นโทษ
    แม้เห็นคุณก็ใจทั้งดวงนั้นเป็นผู้เห็น

    ในเมื่ออะไรเข้ามาเกี่ยวข้องกับใจ เป็นดีหรือเป็นชั่ว อารมณ์ชนิดใด
    สติปัญญาใคร่ครวญเลือกเฟ้นในอารมณ์ต่างๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับใจ
    อันใดที่เห็นว่า ไม่ชอบธรรม
    จิตจะสลัดปัดทิ้งทันทีๆ คือ ปัญญานั่นแหล่ะเป็นผู้ทำการสลัดปัดทิ้ง

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    คัดลอกจาก : หนังสือคติธรรมะพระหลวงตา
    รวบรวมและจัดพิมพ์แจกเป็นธรรมทานโดยคณะศิษยานุศิษย์.
    พิมพ์ครั้งที่ ๓. มีนาคม ๒๕๕๔, หน้า ๑๐-๑๑.

    http://www.dhammajak.net
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    แบกก้อนหิน (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


    “การปล่อยวาง” ความจริงมันหมายความอย่างนี้
    อุปมาเหมือนเราแบกก้อนหินหนักอยู่ก้อนหนึ่ง
    แบกไปก็รู้สึกหนัก แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับมัน
    ก็ได้แต่แบกอยู่นั่นแหละ
    พอมีใครบอกว่าให้โยนมันทิ้งเสียซิ
    ก็มาคิดอีกแหละว่า
    เอ๊ะ ! ถ้าเราโยนมันทิ้งเสียแล้ว
    เราก็ไม่มีอะไรเหลือน่ะซิ
    ก็เลยแบกอยู่นั่นแหละ ไม่ยอมทิ้ง

    ถึงจะมีใครบอกว่า โยนทิ้งไปเถอะ
    แล้วจะดีอย่างนั้น เป็นประโยชน์อย่างนี้
    เราก็ยังไม่ยอมโยนทิ้งอยู่นั่นแหละ
    เพราะกลัวแต่ว่าจะไม่มีอะไรเหลือ ก็เลยแบกก้อนหินหนักไว้
    จนเหนื่อยอ่อนเพลียเต็มทีจนแบกไม่ไหวแล้ว ก็เลยปล่อยมันตกลง

    ตอนที่ปล่อยมันตกลงนี่แหละ
    ก็จะเกิดความรู้เรื่องการปล่อยวางขึ้นมาเลย
    เราจะรู้สึกสบาย แล้วก็รู้สึกได้ด้วยตนเองว่า
    การแบกก้อนหินนั้นมันหนักเพียงใด
    แต่ตอนที่เราแบกอยู่นั้น
    เราไม่รู้หรอกว่า การปล่อยวาง มันมีประโยชน์เพียงใด
    .....................................................
    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เรื่องเล่าจากอดีต ประสพการณ์ หลวงปู่ขาว
    วัดถ้ำกลองเพล


    เรื่องที่ 1

    ในปี พ.ศ 2520 ผู้เขียนเข้าเรียนในกรุงเทพ ผู้เขียนพร้อมด้วยเพื่อนชาวจังหวัดอุดรธานี 2 คน คือสุบิณฑ์และตุ่น ได้ไปเช่าหอพักอยู่ ซอยรณชัย 2 สามเสน ซึ่งหอพักนี้ด้านหนึ่ง จะทะลุออกไปยังสถานีรถไฟสามเสนได้ โดยผู้เขียนกับสุบิณฑ์จะพักอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนตุ่นจะพักอีกห้องคนเดียว สุบิณฑ์แกจะชอบแต่งตัวออกเก๋าๆ แขวนลูกปัด แม่แกให้สร้อยนาค ติดล็อกเก็ตหลวงปู่ขาวเลี่ยมนาคไปหนึ่งเส้น ผู้เขียนไม่เคยเห็นแกนำมาแขวนคอเลย นอกจากแขวนไว้ที่หัวเตียง จวบจนในราวเดือน กันยายน พ.ศ 2520 ในวันหนึ่ง ตุ่นได้เข้ามาถามผู้เขียนและสุบิณฑ์ว่า ใครจะฝากจดหมายกลับอุดรไหม? ตุ่นจะกลับอุดรเย็นนี้ พอถึงเวลาตุ่นก็มาถามว่าใครจะฝากอะไรกลับไหม? ผู้เขียนและสุบิณฑ์บอกไม่มี ผู้เขียนจึงถามตุ่นว่ามีของกลับเยอะไหม ตุ่นจึงบอกว่าพี่สาวฝากของกลับไปให้พ่อแม่ 2-3 กล่องและมีกระเป๋าเสื้อผ้าอีกหนึ่งใบ ผู้เขียนจึงชวนสุบิณฑ์ออกไปส่งตุ่นจะได้ช่วยถือของด้วย สุบิณฑ์ก็บอกไปก็ไป แล้วลุกขึ้นถอดลูกปัดออกจากคอวางไว้ แล้วเอื้อมมือไปปลดสร้อยนาคที่แขวนอยู่หัวเตียงมาคล้องคอ ซึ่งในเวลานั้นผู้เขียนก็นึกแปลกใจอยู่ลึกๆ เพราะนับตั้งแต่มาพักที่หอนี้ผู้เขียนไม่เคยเห็นสุบิณฑ์แขวนสร้อยเส้นนี้เลย

    เมื่อถึงเวลาผู้เขียนและสุบิณฑ์ก็ไปช่วยถือของและไปส่งตุ่น ที่สถานีรถไฟสามเสน เมื่อถึงเวลารถไฟจากหัวลำโพงสาย กรุงเทพ - หนองคายเข้าเทียบชานชลา วันนั้นมีผู้โดยสารบนขบวนรถเยอะมาก เมื่อรถจอกเทียบชานชลานิ่งสนิทดีแล้ว สุบิณฑ์ก็โดดขึ้นไปบนโบกี้ ผู้เขียนก็ตามขึ้นไป ตุ่นตามเป็นคนสุดท้าย ด้วยความที่บนโบกี้ผู้โดยสารเยอะประกอบกับต้องหิ้วของด้วย ทำให้ใช้เวลาพอสมควร ในขณะที่ถึงกลางโบกี้ ขบวนรถเริ่มเคลื่อนออก ผู้เขียนจึงร้องบอกสุบิณฑ์ ว่ารถออกแล้วลงเถอะ เราสองคนจึงวางของ รีบแหวะผู้โดยสารอื่นออกมา เมื่อมาถึงช่วงต่อโบกี้ ผู้เขียนรู้สึกว่ารถเริ่มเคลื่อนเร็วขึ้น ผู้เขียนจึงรีบก้าวลงบันใดรถและกระโดดลง ทางที่ผู้เขียนกระโดดลงเป็นคนละฝั่งกับชานชลา ทางฝั่งนี้จะมีรางรถไฟอีกคู่หนึ่ง ผู้เขียนเมื่อถึงพื้นแล้วจะวิ่งข้างรางคู่นั้นแต่หันไปเห็นหัวรถจักร วิ่งมาด้วยความเร็วจึงหยุดอยู่กับที่ แต่สุบิณฑ์ก้าวลงตามผู้เขียนลงมา แต่เมื่อสุบินณฑ์ถึงพื้นห่างจากผู้เขียนประมาณ 5 เมตร สุบิณฑ์ไม่ได้หันไปดูหัวรถจักรแต่ก้าวขาจะวิ่งข้ามรางคู่นั้น ในขณะที่ขาข้างหนึ่งก้าวข้ามราง ผู้เขียนหันไปเห็นพอดี จึงร้องบอก "บิณฑ์รถสวน" แต่ช้าไปแล้วผู้เขียนเห็นสุบิณฑ์หันหน้าไปมอง ในขณะที่หัวจักรวิ่งเข้าชนด้านข้างของลำตัวอย่างจัง จนตัวกระเด็นกลับมาทางรถไฟที่พึ่งโดดลงมา ส่วนหัวเสียบเข้าไปด้านล่างของกระบวนรถหายเข้าไปทั้งตัว ผู้เขียนก้มลงไปดู เห็นสุบิณฑ์กลิ้งอยู่ใต้ขบวนรถทั้งตัว แม้แต่ขาก็ไม่โพล่ออกมาจากใต้ตัวรถ สักพักหนึ่งสุบิณฑ์ก็กระเด็นออกมาจากใต้ตัวรถ นอนคว่ำหน้าขนานไปกับราง ในเวลานั้นผู้เขียนตกใจจนเข่าอ่อนคิดว่า สุบิณฑ์ตายแน่ แต่ก็รีบวิ่งไปดู เห็นสุบิณฑ์ยันแขนลุกขึ้นพร้อมสบัดหัว ผู้เขียนจึงวิ่งเข้าไปประคอง ได้ยินสุบิณฑ์พูดว่า มันชนแรงว่ะ ผู้เขียนจึงประครองสุบิณฑ์ข้ามรางมาอีกฝั่ง ในตอนนั้นผู้โดยสารที่อยู่บนสถานีรถไฟสามเสน ต่างก็วิ่งมามุงดูสุบิณฑ์ ส่วนหัวหัวจักรที่ชนกว่าจะหยุดรถและถอดรถกลับมาได็ร่วมครึ่งกิโล พขร ได้ลงมาดูสุบิณฑ์ได้ถามว่าเจ็บตรงไหน สุบิณฑ์ตอบว่าไม่เจ็บแต่มึนๆ พขร จึงนำไฟสายมาส่องดูตามร่างกายของสุบิณฑ์ ปรากฏว่า มีแค่รอยถลอกที่แก้มซ้าย ชายโคลงด้านซ้าย แค่นั้น พขร จึงถามว่า น้องแขวนพระอะไร สุบิณฑ์จึงล่วงสร้อยขึ้นมาให้ พขร ดู ผู้เขียนยังจำที่ พขร ผู้นั้นพูดว่า อ้อหลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล องค์นี้เชื่อขนมกินได้เลย หลังจากนั้นผู้เขียนจึงพา สุบิณฑ์ ไปตรวจที่คลีนิกใกล้ๆ หมอก็ถามว่าไปโดนอะไรมา ผู้เขียนจึงบอกหมอว่า โดนรถไฟชน หมอจึงเอ็ดผู้เขียนว่าอย่างพูดเล่นสิ ผู้เขียนจึงบอกว่าจริงไม่เชื่อไปถามที่สถานีสิ เหตุพึ่งเกิดมายังไม่ถึงชัวโมง หมอจึงตรวจสุบิณฑ์อย่างละเอียด ปรากฏว่าไม่เป็นอะไร นอกจากรอยถลอก หมอจึงให้ผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังจนจบ หมอจึงถามสุบิณฑ์ว่า แขวนพระอะไร สุบิณฑ์ จึงบอกหลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล พร้อมกับถอดสร้อยให้ดู.....

    รุ่งเช้า สุบิณฑ์ ได้บอกกับผู้เขียนว่า เราอยู่ไม่ได้แล้วช่วยไปส่งเรากลับอุดรหน่อย ผู้เขียนจึงบอกว่างั้นเดี่ยวไปตีตั๋วรถไฟให้ สุบินบอกว่า เราได้ยินเสียงรถไฟเรารู็สึกกลัวและแหยงมาก ผู้เขียนจึงเข้าใจ จึงได้พาสุบิณฑ์ไปส่งที่ หมอชิต กลับรถ บขส ภายหลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนผู้กลับอุดร จึงได้ไปเยี่ยมสุบิณฑ์ที่บ้าน พบแม่ของสุบิณฑ์ แม่ของสุบิณฑ์จึงให้ผู้เขียนเล่าเหตุการณ์ให้ฟังเพราะผู้เขียนเห็นเหตุการณ์ ตั้งแต่ต้นจนจบ คุณแม่ของสุบิณฑ์ จึงชวนผู้เขียนว่า พรุ่งนี้ไปกราบหลวงปู่กับแม่ไหม? ผู้เขียนจึงตอบว่า ไปครับ เมื่อถึงวันนัด เราได้ออกเดินทางไปวัดถ้ำกลองเพล มีคุณพ่อ คุณแม่ สุบิณฑ์ และผู้เขียน เราไปถึงวัดถ้ำกลองเพลเวลาประมาณ 9 โมงเช้า ในสมัยนั้นวัดถ้ำกลองเพลเงียบมาก พระสงฆ์ มีน้อยไม่มีเดินเพ่นพล่านให้เห็นเลย เมื่อเราไปถึงวัดได้เข้าไปกราบพระพุทธ ในบริเวณถ้ำ แล้วเลยไปกุฏิหลวงปู่ด้านใน เมื่อเราไปถึงกุฏิหลวงปู่ พบป้ายประกาศงดเยี่ยมหลวงปู่ หลวงปู่กำลังอาพาธ บนกุฏิ บริเวณกุฏิเงียบมาก ไม่พบพระสงฆ์แม้แต่รูปเดียว เราจึงนั่งปรึกษากันบนกุฏิหน้าห้องหลวงปู่ ว่าเอาไว้ให้หลวงปู่หายก่อนแล้วค่อยมากราบหลวงปู่ใหม่ ตกลงกันได้ดังเราจึงกราบหลวงปู่หน้าประตูห้องหลวงปู่นั้นแหละ ในเวลานั้นผู้เขียนได้อธิฐานว่า ลูกได้มากราบหลวงปู่ แต่ไม่ได้พบหลวงปู่ ลูกจะกลับแล้วนะหลวงปู่ พอกราบครบ 3 ครั้งแล้วกำลังจะลุก ประตูห้องหลวงปู่ก็เปิดออก พระที่อุปถากหลวงปู่ก็บอกว่า หลวงปู่บอกให้เข้าไป พวกเราก็รีบคลานเข้าไป เมื่อเราของไปในห้องหลวงปู่แล้ว พระที่อุปถากหลวงปู่ได้พยุงท่านขึ้นในลักษณะ ครึ้งนั่งครึ่งนอน แล้วผู้เขียนก็ได้ยินท่านพูดว่า "มะเข้ามะ หำบ่เป็นหยังแล้วละ" คำๆนี้ยังก้องในโสดของผู้เขียนตราบจนทุกวันนี้ แล้วหลวงปู่ก็กวักมือให้พวกเราเข้าไปใกล้ๆทีละคน หลวงปู่ท่านได้เมตราเป่าหัวให้ทุกคน ลมที่หลวงปู่เป่าให้นั้นได้ไหลผ่านศรีษะ ทะลุทะลวงผ่านร่างกาย เหมือนหนึ่งขับไล่สิ่งชัวร้าย เสนียดจังไร ทั้งหลายให้มลายหายสิ้นไป..............

    เรื่องที่ 2 เมื่อไม่นานมานี้

    ..เรื่องเล่ากี่ยวกับองค์หลวงปู่ขาว อนาลโย เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับครอบครัวครับ..

    - เรื่องแรก เกิดขึ้นกับตัวของผมเอง เป็นเหตุการณ์สั้นๆ แต่น่าขนลุกครับ.. คือเมื่อประมาณปลายปี 53 ที่ผ่านมา วันนั้นผมประกอบโต๊ะปลีกไม้แดง ที่เหลือจากเขาเลื่อยเอาขนาดที่เขาต้องการไปแล้ว เป็นเวลาตอนประมาณเที่ยงกว่าๆ ผมกับน้องชายคนหนึ่งกำลังช่วยกันเลื่อยปลีกไม้ และประกอบเป็นโต๊ะ ผมเป็นคนจับไม้แผ่น แล้วให้น้องชายเป็นคนตอกตะปูครับ.. โต๊ะเป็นรูปร่างแล้วครับ เหลือตอกแผ่นข้างบนโต๊ะอีก 2 แผ่นก็จะเสร็จ .. เกิดเหตุไม่คาดฝันครับ น้องชายเขาตอกตะปูอยู่ ( ตะปู 3 เรียว )ตอกพลาดครับ ตะปูกระเด็นไปโดนผนังปูนด้านข้าง แล้วกระเด็นออกมา

    ผมมีความรู้สึกเสียว แว็ป ที่เปลือกหนังตาข้างซ้ายครับ ( เพราะตอนที่เขาตอกตะปูอยู่ก็มองดูอยู่ และจับไม้แผ่นนั้นอยู่ครับ ตอนที่ตะปูกระเด็นไป ก็เห็นอยู่ครับ สัญชาตญาณคนเราก็เลยหลับตาโดยอัตตโนมัติครับ ) พอลืมตาขึ้นมาก็เลยบอกน้องชายช่วยดูเปลือกตาให้หน่อย ว่าเกิดอะไรขึ้น ..เป็นรอยขีดจางๆสีแดงครับ..ไม่มีเลือดซึมออกมาเลย รู้แต่ว่าแสบหน่อยๆครับ.. ผมพอตั้งสติได้ก็เลยใช้มือขวาจับที่เหรียญหลวงปู่ ( รุ่น 3 สน. ปี 14 )ที่ห้อยคออยู่เหรียญเดียว พร้อมกับกับอธิษฐานในใจขอบพระคุณหลวงปู่ที่ช่วยให้แคล้วคลาดครับ..ขนลุกไม่ หายเลยครับช่วงนั้น ตะปู3 เรียว แท้ๆ..

    - เรื่องที่2 ครับ. เกิดกับลูกชายครับ..( อยู่ ม.6 ) ประมาณปลายปี 53 ก่อนสอบ O-NET ประมาณ 6 โมงกว่า เกือบ 1 ทุ่มแล้วครับ ลูกชายกลับจากเรียนพิเศษครับ ขับรถมอร์เตอร์ไซค์ มีโอครับ ใกล้จะถึงบ้านแล้วครับ ผ่านหน้าโรงหนัง แล้วมีวัยรุ่นเขาเตะบอลกันอยู่หน้าโรงหนัง ลูกบอลหลุดออกมากลางถนน ประจวบเหมาะกันพอดี รถมอร์เตอร์ไซค์เหยียบลูกบอลเข้าเต็มๆ รถกับคนกระเด็นไปคนละทางครับ ลูกชายเขากระเด็นกลิ้งกี่ตะหลบไม่ทราบ เขารู้แต่ว่ารู้สึกตัวขึ้นมา เวียนหัวมาก ลุกขึ้นยืนไม่ได้ วัยรุ่นกลุ่มนั้นเป็นคนวิ่งมาอุ้มลุกขึ้น อีกคนก็ไปยกรถขึ้นให้ แล้วจูงมาให้ ปรากฎว่ารถมีโอ ตระกล้าหน้าพัง กระจกเบี้ยว กาบกระจังหน้าแตก โชคหน้าคด ลูกชายผม มีรอยถลอกที่นิ้ว และศอกนิดหน่อย หัวเข่าไม่มีรอยแตก หมวกกันน็อคไม่ได้ใส่ ใส่ชุดนักเรียนเสื้อขาว กางเกงสีกากีธรรมดา รองเท้าแตะ ลูกชายเล่าต่อว่า พี่เขาก็ขอโทษ ถามว่าเป็นอะไรไหม เขาก็ตอบว่าไม่เป็นไรครับ เรื่องรถเดี๋ยวผมซ่อมเองครับ ไม่เป็นไรครับ..เขาก็ช่วยสตาร์ทรถให้ แล้วลูกชายก็ค่อยๆขี่กลับบ้านครับ.. ผมก็ได้แต่มองดูชุดนักเรียน มีรอยเปื้อนนิดหน่อยไม่มีรอยขาด..ก็มีแต่บอกลูกชายว่า..หลวงปู่ท่านช่วยลูก ให้ปลอดภัย ให้ยกเหรียญที่ห้อยอยู่คอขึ้นหัวอธิษฐานเอาลูก ( ลป.ขาว หันข้าง รูปใข่ ปี 18 ที่ด้านหลังเป็นยันต์อุนาโลมตัวใหญ่ตัวเดียวครับ ) ที่จุดที่เขาชนลูกบอล ก่อนหน้านั้น หลายเดือนแล้วครับ 2 ศพ..ลูกชายผมเขามีเคราะห์เพื่อรับโชคครับ..เขาติดคณะแพทย์ ม.อุบล ครับ..( ผมไม่ทราบว่าเขาอธิษฐานอะไรบ้างครับ)..สาธุหลวงปู่ ปกป้อง ค้มครองครับ..

    บารมีธรรมหลวงปู่คุ้มครอง พระผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก
    <hr class="hrcolor" size="1" width="100%">
    [​IMG]

    [​IMG]



    สำหรับผมเองชอบเหรียญรุ่นทรัพย์สินครับ เพราะเป็นเหรียญที่สวยและมีเจตนาการสร้างดี ใครยังไม่มีให้หาเก็บไว้ให้ได้ครับ

    พันวฤทธิ์
    12/6/54


    ขอบคุณเนื้่อเรื่องจาก

    อุดร 108


     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    พระเครื่องที่ดีแต่หลายคนอาจจะไม่รู้จัก ขอแนะนำถ้าเจอให้คว้าไว้เลย ดูองค์ผู้เสกเอาเอง อ่านแล้วขนลุกนับว่าเป็น "พระนักรบ" เหมาะกับหัวคะแนนโดยแท้

    "พระเทริดขนนก สระบุรี"


    พระ เทริดขนนก ค่ายอดิสร สระบุรี พิธีเดียวกับพระกริ่งตากสิน พิธีสุดเข้มขลัง ในวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2514 โดยมี พล.อ เปรม ตินสูลานนท์ เป็นประธาน ฝ่ายฆราวาส และมีอาจารย์ไสว สุมโณ วัดราชนัดดา เป็นเจ้าพิธี ในการสร้างได้มีการผสมเนื้อชนวนโลหะจากบรรดาคณาจารย์ต่างๆ และนิมนต์สุดยอดพระเกจิในยุคนั้นร่วมพุทธาภิเศกถึงเกือบ 100 รูป พระเกจิที่ดังๆ เช่น

    หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี
    หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่
    หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
    พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา
    หลวงพ่อเกษม เขมโก
    หลวงพ่อกวย วัดโฆษิตฯ
    หลวงพ่อทบ วัดชนแดน
    หลวงพ่อโอด วัดจันเสน
    หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง
    หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน
    หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์โก่งธนู
    หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่
    หลวงพ่อนอ วัดกลางท่าเรือ
    <hr class="hrcolor" size="1" width="100%"> [​IMG]

    [​IMG]

    ขอขอบคุณเนื้อหาจาก
    อุดร 108 ดอทคอม
     
  18. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ดีครับผมทุกท่านเลยนะครับ ประจำวันอาทิตย์นะครับ หวังว่าทุกท่านสบายดีนะครับ
    รอชมภาพในวันงานที่ผ่านมาครับผม และขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมบุญกันะครับ ถึงจะไมสามารถไปร่วมด้วยตนเองครับผม
     
  19. Limtied

    Limtied เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    822
    ค่าพลัง:
    +3,662
    วันนี้โอนร่วมทำบุญ
    เวลา 17.51 น.
    จำนวน 500 บาท
     
  20. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    วันนี้ครอบครัวผมร่วมทำบุญเข้าบ/ช ทุนนิธิฯ 12/06/11 เวลา19.09น.ได้โอนเงินจำนวน 500 บาท ประจำเดือน มิถุนายน 2554 ครับ:cool:<!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...