การล้างบาปในศาสนาพุทธทำได้ เรียกว่า “การก้าวล่วงบาปกรรม”

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย พงษ์ญาดา, 11 กันยายน 2010.

  1. พงษ์ญาดา

    พงษ์ญาดา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2009
    โพสต์:
    156
    ค่าพลัง:
    +1,871
    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]
    พระสงฆ์ฝ่ายปริยัติ มักสอนกันผิดๆว่า บาปล้างไม่ได้ การแก้วิบากกรรม ทำได้โดยต้องทำความดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนบาปตามไม่ทัน เรียกว่า ทำบุญหนีบาป โดยพระเหล่านั้นมักยกตัวอย่างว่า บาปที่เราทำในอดีตชาติที่อยู่ในสังสารวัฏฏ์มีมากมหาศาลเหมือนน้ำทะเลที่เค็ม เราจะล้างหมดได้อย่างไร พระบางท่านก็แนะวิธีว่า ต้องบรรลุโสดาบันให้ได้ภายในชาตินี้ เพราะพระโสดาบันจะไม่ตกนรก ยิ่งถ้าเป็นพระอรหันต์ได้ กรรมทั้งหมดก็ถือว่าเป็นอโหสิกรรม ไม่มีอีกต่อไป

    คำตอบของพระสงฆ์ฝ่ายปริยัติเหล่านั้นถูกบางส่วน แต่ไร้สาระอย่างมากในประเด็นสำคัญที่สุด พระพุทธองค์ตรัสถึงวิธิล้างบาปในศาสนาพุทธไว้ เรียกว่า “การก้าวล่วงบาปกรรม” ซึ่งสามารถทำได้ตอนที่เรายังเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบัน และต้องเป็นบาปที่เราทำลงไปในชาติปัจจุบันเท่านั้น ผลของการทำการก้าวล่วงบาปกรรม จะทำให้เรารับผลกรรมแค่เศษกรรมเท่านั้น ไม่รับเลยไม่ได้ เพราะผิดกฎแห่งกรรม ส่วนบาปในอดีตชาติไม่เกี่ยว เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บาปในอดีตชาติ เราต้องทำบุญหรือทำกรรมฐานอุทิศผลบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวร ลองอ่านเรื่องนี้ดูนะครับ


    การสารภาพบาปในศาสนาคริสต์ = การก้าวล่วงบาปกรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน

    มีพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าอยู่บทหนึ่งที่อยู่ในสุตตันตมัชฌิชนิกาย สัจจวิภังคสูตร สัจจภังคสูตร 22/542-546(ผมอ่านมาจากหนังสือธรรมธาตุ ธรรมชาติของสรรพสิ่งของคณะสังคมผาสุกเพื่อความผาสุกของสังคม หน้า229) เรื่องการก้าวล่วงบาปกรรม
    พระพุทธองค์ทรงตรัสแนะนำให้ก้าวล่วงออกจากกรรมเสีย โดยการกำหนดอธิษฐานจิต ตั้งใจมั่นว่า:

    ” กรรมนั้นๆเป็นสิ่งไม่สมควร ต่อไปนี้ตลอดไปนิรันดร เราจะไม่กระทำกรรมนั้นอีกเป็นอันขาด “
    ในโลกมนุษย์ เพราะว่าคุณได้สำนึกผิดอย่างเด็ดขาดไปแล้ว วิบากกรรมที่จะส่งผลถึงคุณนั้นจะเบาบางลง แต่ก็ยังมีผลอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นกฎแห่งกรรมก็จะผิด หรือมีไม่ ส่วนในปรโลก วิบากกรรมนั้นจะกลายเป็นเศษกรรมไป

    ตัวอย่าง
    พระองคุลิมาล แม้ว่าจะสำนึกผิดแบบเด็ดขาดแล้ว แต่ท่านก็ยังต้องได้รับผลอยู่บ้าง คือ เมื่อท่านไปบิณฑบาต ท่านได้เข้าไปบิณฑบาติในเมืองสาวัตถี ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น
    = ต้องรับเศษกรรมด้วย เพราะเราไปทำกับขันธ์ 5 คนอื่น จึงต้องรับผลกรรมในขันธ์ 5 ของเรา แต่กรรมนั้นเบาบางลงมาก เป็นเศษกรรม
    พอมาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคก็ตรัสว่า

    “กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน”(รับเศษกรรมไปแล้วจากการโดนทำร้ายบนโลก จึงไม่ต้องรับกรรมใดๆอีกในปรโลก)

    ผมอธิบายเรื่องนี้ได้ว่า
    1. จิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)เป็นตัวเก็บกรรมดำ-กรรมขาวเอาไว้ การสารภาพบาปอย่างจริงใจ ตั้งใจแน่วแน่ว่า จะไม่ทำบาปกรรมนั้นอีก เป็นเหมือนเราdeleteอกุศลจิตนั้นออกจากใจ กรรมชัวหรือกรรมดำที่เราบันทึเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) ก็จะสลายไปจนหมดสิ้น ก็เหมือนคุณลบเทปนั้นในจิตทิ้งไป

    2. แม้ว่าอกุศลจิตในเทปจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต) หรืออาทิสมานกาย(กายทิพย์, วิญญาณธาตุ)จะถูกลบทิ้งแล้ว แต่เทปที่บันทึกอยู่ในขันธ์ 5 มีวิญญาณขันธ์ รวมอยู่ด้วย ยังไม่ได้ถูกลบทิ้ง เราจึงต้องรับผลกรรมที่บันทึกอยู่ในวิญญาณขันธ์(ในขันธ์ 5)

    สรุป
    พระองคุลิมาลไม่ต้องตกนรกเพราะเป็นพระอรหันต์ แต่เป็นเพราะพระองคุลิมาลทำการก้าวล่วงบาปกรรม ลบอกุศลจิตในเทปจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ออกไปแล้ว และยังรับผลกรรมที่บันทึกอยู่ในวิญญาณขันธ์(ในขันธ์ 5)ไปแล้วด้วย ลองอ่านคำพูดของพระพุทธเจ้าที่บอกองคุลิมาลใหม่ใหม่นะครับ

    “กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน”
    กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปีไม่มีแล้ว เพราะลบอกุศลจิตในเทปจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ออกไปแล้ว
    เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน คือถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก เลือดไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาดวิ่น
    มีผู้ถามพระพุทธเจ้าเรื่องที่เราต่างทำบาปมากบ้างน้อยบ้างว่า ผู้ที่ทำบาปต่างๆ ก็ต้องตกอบายตกนรกทั้งนั้นน่ะซิ

    พระพุทธเจ้าตอบดังนี้ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
    …….พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์ มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม
    เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้(สำนึกบาป ยอมรับความผิด) เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย(แล้วตั้งใจจะไม่ทำบาปนั้นอีก ขบวนการทั้งหมดเรียก การก้าวล่วงบาปกรรม) เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
    [๖๑๖] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนอทินนาทาน(การลักทรัพย์)โดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทานทรัพย์ที่เราลักมีอยู่มากมาย
    ข้อที่เราลักทรัพย์มากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อน เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละอทินนาทานนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากอทินนาทานต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้

    ถาม
    พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน
    เรื่องบาป บุญเป็นเรื่องไม่ควรสนใจ ศาสนาไหนๆเขาก็มีสอน
    นรก-สวรรค์เป็นเรื่องเอาไว้สอนคนป่าคนดงที่ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์
    เรื่องดับทุกข์เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ที่พิสูจน์ได้ ไม่งมงาย

    ตอบ
    1. เรื่องดับทุกข์ถาวร เป็นเรื่องที่ไกลเกินฝันถึงในชาติเดียว พระอรหันต์ในแต่ละยุคจึงมีไม่มาก
    เรื่องดับทุกข์ชั่วคราว เป็นเรื่องที่ไม่ไกลเกินฝันถึง เพียงแต่พระฝ่ายปริยัติของเรา ถูกมารครอบงำจิต จึงไม่เปิดเผยความจริงเรื่องการก้าวล่วงบาปกรรมให้ประชาชนรู้ว่า มีวิธีทำให้วิบากกรรมในปรโลกเป็นเศษกรรมด้วย ในขณะที่วิบากกรรมในโลกเบาบางลงมาก

    2. เรื่องดับทุกข์ถาวร เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจในทางทฤษฎี คนปฏิบัติถึงขั้นดับทุกข์ถาวรน้อยมากๆ
    เรื่องดับทุกข์ชั่วคราว เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจในทางปฏิบัติ มีศูนย์บำบัดอาการทางจิตเต็มไปหมดทั่วโลก

    มีผู้ถามพระพุทธเจ้าเรื่องที่เราต่างทำบาปมากบ้างน้อยบ้างว่า ผู้ที่ทำบาปต่างๆ ก็ต้องตกอบายตกนรกทั้งนั้นน่ะซิ
    พระพุทธเจ้าตอบดังนี้ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐ สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
    …….พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาตโดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงเว้นจากปาณาติบาต ก็สัตว์ที่เราฆ่ามีอยู่มากมาย ข้อที่เราฆ่าสัตว์ มากมายนั้น ไม่ดีไม่งาม

    เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้(สำนึกบาป ยอมรับความผิด) เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย(แล้วตั้งใจจะไม่ทำบาปนั้นอีก ขบวนการทั้งหมดเรียก การก้าวล่วงบาปกรรม) เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ

    [๖๑๖] สาวกนั้นย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนอทินนาทาน(การลักทรัพย์)โดยอเนกปริยาย และตรัสว่า จงงดเว้นจากอทินนาทานทรัพย์ที่เราลักมีอยู่มากมาย
    ข้อที่เราลักทรัพย์มากมายนั้น ไม่ดี ไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อน เพราะข้อนั้นเป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละอทินนาทานนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากอทินนาทานต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ ด้วยประการอย่างนี้
    ในพระสูตร อังคุตตระสูตร กล่าวว่า

    “บุคคลที่ไม่ได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อยก็ตกนรก แต่กับบุคคลผู้ได้อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา แม้ทำบาปกรรมเพียงเล็กน้อย ผลกรรมก็จะทำให้เจ็บแสบในชาติปัจจุบันเท่านั้น
    ตามความเข้าใจของผมน่ะครับ บุคคลที่ประพฤติไตรสิกขา ผลกรรมก็จะให้ผลไม่มากแต่เห็นชัดเจนในชาตินี้ คงเหมือนกับที่ คุณtuenum พูดถึงการก่าวล่วงกรรม ก็คือการกลับตัวกลับใจมาประพฤติธรรมนั่นเอง
    เพราะอย่างนี้นี่เองคนทั่วไปผู้ไม่ใฝ่ศึกษาหรือมีกิเลสบังตา กลับคิดว่าทำดีกลับได้รับผลร้าย (ผลกรรมให้เห็นในปัจจุบัน)ทำชั่วไม่เห็นมีบาปกรรมอันใด(ผลกรรมส่งผลในนรก)

    1. พุทธพจน์นี้เป็นภาวะปกติ ทำบาปกรรมก็ต้องได้รับผล พระพุทธเจ้าไม่เคยปฏิเสทเรื่องนี้ แต่ในภาวะไม่ปกติที่เราได้ อบรม กาย ใจ อบรมปัญญา = เราทำการก้าวล่วงบาปกรรม ผลกรรมที่จิตใต้สำนึกของเรานำมาให้เรา มันจึงเบาบางลงไปนั่นเอง
    อสังขาสูตร
    สาวกของศาสดานั้นกลับได้ความเห็นว่า
    ทรัพย์ที่เราลักมีอยู่(และบาปอย่างอื่น) แม้เราก็ต้องไปอบาย ต้องตกนรก เขายังไม่ละวาจานั้น ยังไม่ละความคิดนั้น ยังไม่ละความเห็นนั้น ย่อมตั้งอยู่ในนรก เหมือนถูกนำมาขังไว้

    2. พระพุทธเจ้าบอกทางแก้ที่จะไม่ตกนรกในพระสูตรนี้ให้ด้วย
    ข้อที่เราฆ่าสัตว์มากมายนั้น(และบาปอย่างอื่น) ไม่ดีไม่งาม เราแลพึงเดือดร้อนเพราะข้อนี้เป็นปัจจัยแท้ เราจักไม่ได้ทำบาปกรรมนั้นหามิได้ เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว ย่อมละปาณาติบาตนั้นด้วย ย่อมงดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วย เป็นอันว่าเขาละบาปกรรม ก้าวล่วงบาปกรรมได้ด้วยประการอย่างนี้ ฯ
    อย่างไรก็ตาม พญามารเขาไม่ยอมให้ผู้คนทั่วไปรู้ในเรื่องการแก้กรรมหรอก เขาจึงให้เหล่ามารสิงใจสงฆ์ฝ่ายปริยัติและปถุชนทั่วไปไม่ให้พบเรื่องการก้าว ล่วงบาปกรรม ถึงพบก็ไม่ให้เชื่อ ทั้งๆที่พระสูตรที่ผมยกมาก็หลายพระสูตรแล้ว และเป็นพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น เช่น คุณsmile072 ที่เขียนว่า ไม่ว่าจะคำว่าล้างบาปก็ดีหรือก้างล่วงบาปก็ดี ทำไม่ได้ครับไม่ว่าจะหยิบยกตำราเล่มใดมาก็ไม่มีกล่าวถึง

    3. เราทุกคนต่างล้างบาปของตัวเองในชาตินี้ได้ทั้งนั้น ด้วยการทำการก้าวล่วงบาปกรรม ส่วนบาปในชาติอื่นๆก็แก้ได้เช่นกันเมื่อเราบรรลุธรรม เราจะรู้ว่าตัวเราตัวเขาล้วนไม่มีจริง เป็นแค่สิ่งมายามาลวงเราเท่านั้น เราทุกคนยกเว้นพระอรหันต์ต่างกำลังฝันที่เสมือนจริงอยู่ แต่เราไม่รู้ว่า เรากำลังฝันอยู่
    -การทำบาป ทำให้เราฝันร้ายมากๆที่เสมือนจริง และเราก็ต้องรับโทษของผลบาปที่เสมือนจริงด้วย…ในนรก
    -การทำบุญ ทำให้เราฝันดีมากๆที่เสมือนจริง และเราก็ต้องรับคุณของผลบุญที่เสมือนจริงด้วย…ในสวรรค์
    แต่ทั้งนรก-สวรรค์ก็ล้วนเป็นของปลอม ที่ทำเสมือนจริงที่สุด แม้แต่ในโลก ทุกอย่างแม้แต่ตัวเรา ลูก เมีย รถยนต์ ฯลฯ ก็ล้วนแล้วแต่ของปลอม ที่ทำเสมือนจริงที่สุด ทำให้มนุษย์หลงคิดว่า ทุกอย่างเป็นของจริง
    บาป-บุญ สวรรค์-นรก มันอยู่ที่ไหน? บาป-บุญ สวรรค์-นรก มันอยู่ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ของเรานั่นเอง จิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ของเราต่างฝังข้อมูลความจำในการทำชั่วทำดีเอาไว้ใน จิตใต้สำนึก เมื่อเราลบข้อมูลการทำชั่วนั้นไปแล้ว โดยการทำการก้าวล่วงบาปกรรม(สำนึกบาป)แบบจริงใจ (กายทิพย์,อาทิศมานกาย)จึงไม่สร้างนรกให้เราเพื่อไปรับโทษ
    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในวิญญาณขันธ์ หนึ่งในขันธ์ 5 ของเรา มันก็มีตัวสัญญา(ความจำ)อยู่ด้วย เมื่อขันธ์ 5 ของมันทำบาปกรรมเอาไว้ มันจึงต้องรับผลกรรม ตามกฎแห่งกรรม แต่วิบากกรรมที่เกิดกับขันธ์ 5 จะเบาบางลงด้วยเพราะเราได้สำนึกในบาปกรรมนั้นแล้ว
    นั่นคือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าตรัสกับองคุลิมาลว่า “กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน”
    - กรรมที่จะให้ผลไปหมกไหม้ในนรกเป็นเวลาหลายหมื่นหลายแสนปี ขององคุลิมาล อยู่ในจิตใต้สำนึก(ภวังค์จิต)ของวิญญาณธาตุโดนลบทิ้งไปแล้ว
    - เป็นอันท่านได้รับผลในปัจจุบัน เพราะ ขันธ์ 5 มันมีตัวสมองและวิญญาณขันธ์อยู่ แม้องคุลิมาลdeleteข้อมูลความชั่วออกไป แต่มันก็ออกไปไม่ได้ เพราะได้กระทำกรรมกับคนอื่นไปแล้ว มีโจทย์(เจ้ากรรมนายเวร)ที่ต้องการให้เขารับผลกรรมในขันธ์ 5


    ที่มา : community.thaiware.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image001.jpg
      image001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.7 KB
      เปิดดู:
      2,246
  2. หาธรรม

    หาธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,163
    ค่าพลัง:
    +3,739
    ข้อเขียนข้างบนนี้ให้แง้คิดที่ดี แต่เป็นจริงไม่หมด ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่มาก และจะเห็นว่ามีการเอาความรู้สึกนึกคิดของตนเองไปอธิบายและพยายามเอาข้อความในพระไตรปิฎกมาสนับสนุน แล้วยังไปโยงกับการสารภาพปาปของสริสต์อีก และข้อเขียนเหมือนจะปฏิเสธ นรกสวรรค์ ดังข้อความข้างล่าง และยังโยงการดับทุกข์ว่าเป็นวิทยาศาตร์ทางจิตอีก ถ้าเป็นจริงทำไมไม่มีตำราจิตวิทยาเล่มใดเลยที่อธิบายหรือพูดถึงสภาวะจิตหลุดพ้น เพราะวิทยาศาสตร์ทางจิตมันตันแค่นั้นรู้แค่นั้น

    Qoute มาจากกระทู้ข้างบน

    "พระพุทธเจ้าสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน
    เรื่องบาป บุญเป็นเรื่องไม่ควรสนใจ ศาสนาไหนๆเขาก็มีสอน
    นรก-สวรรค์เป็นเรื่องเอาไว้สอนคนป่าคนดงที่ไม่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์
    เรื่องดับทุกข์เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ที่พิสูจน์ได้ ไม่งมงาย"

    นรกสวรรค์มันไม่ได้พิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เพราะเป็นวิธีที่หยาบ อีกอย่างคนที่ยังไม่มีความสามารถไปรู้ไปเห็นก็อย่าเพิ่งเหมาไปว่าไม่มีเพราะความสามารถของตัวเองไม่มี มันก็จะเหมือนปลาที่อยู่แต่ในน้ำไม่เคยขึ้นบก แล้วมันก็บอกไม่มีสัตว์ที่อยู่บนบก ในพระอภิธรรมปิฏกก็อธิบายภพภูมิ ๓๑ ไว้โดยละเอียด

    เป็นข้อเขียนที่มีเนื้อความขัดแย้งกันเองในตัวหลายประเด็น เช่น เหมือนไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ แต่ดันอ้างถึงนรกหลายจุดด้วยกัน

    ข้อความข้างบน มีหลายอย่างที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง บางส่วนก็จริง หลายส่วนไม่ถูกเพราะเป็นเพียงการใช้ความเห็นอธิบายตามหลักตรรศาสตร์ เพราะฉะนั้นผู้อ่านควรพิจารณา อีกอย่างเขียนยังไม่รอบด้านเรื่องกรรมและวิบาก กรรมบางอย่างให้วิบากที่หนักหนามันไม่สามารถถอนออกได้โดยการเพียงพูดให้บุคคลที่ ๓ ฟัง คนสมัยพุทธการเขาคงใช้วิธีนี้ถอนกรรมกันหมด คนสมันนั้นเขามีปัญญาทางธรรมมากกว่าศาสตราจารย์หรือนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบลสมันนี้ซะอีก

    ประเภท ของกรรมมันมีทั้งหนักและเบา บางอย่างก็ให้วิบากที่เบา กรรมบางอย่างก็ให้วิบากที่เผ็ดร้อนหลายภพชาติ

    การถอนกรรมไม่ใช่การเล่ากรรมที่เราทำให้บุคคลที่ ๓ ฟังแล้วกรรมหาย มันเป็นแค่เพียงความสบายใจ มันหลอกตัวเองต่างหาก

    ข้อเขียนไม่ได้พูดวิธีทำให้กรรมเบาบางหรือการถอนกรรมที่เบาบางด้วยสมาธิกรรมฐานเลย กรรมฐานแก้กรรมนี่แหละความจริง สมาธิระดับสูง (ฌานสูง ๆ) จิตรวมเป็นหนึ่งรู้อยู่ เจตสิก(เวทนา สัญญา สังขาร) ทั้งหลายดับไป เหลือแต่จิตที่เป็นตัวรู้อยู่ นี่แหละการฟอร์แมทอารมณ์ของจิต แต่เป็นเพียงชั่วคราว แต่ยังดีกว่านึกเอาเฉย ๆ ว่าไปบอกบุคคลที่ ๓ แล้วมันจะออกจากจิตไปได้ เมื่อสมาธิแน่วแน่ประกอบกับสติที่คงตัว จนเป็นมหาสติ (สำหรับพระอริยะเจ้าทั้งหลาย) กรรมใหม่ก็จะไม่ประกอบ และ กรรมอันเป็นเก่า ๆ ก็ให้ผลได้ไม่เต็มที่

    เพื่อความกระจ่างโปรดอ่านเรื่อง การให้ผลของกรรม โดย พระเทพวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวณฺโณ) ได้ที่<O:p</O:p
    http://dharma-gateway.com/monk/preach/pra-thep-visut-kawee/pra-thep-visut-kawee-05.htm<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กันยายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...