ตามรอย "พระมหาชนก"

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 15 กรกฎาคม 2010.

  1. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792


    คิดว่าเป็นปลา ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
    :cool:

    เหตุผล:

    อ้างอิงจากหน้า 136 จากหนังสือ เรื่องพระมหาชนก

    ครั้นอยู่ลำพังพระราชาตรัสกะพราหมณ์ว่า "เราสงวนเรื่องนี้มาหลายเวลาแล้ว
    นับแต่คราวลงเรือมุ่งสู่สุวรรณภูมินั้น
    ก่อนคลื่นยักษ์กระหน่ำนาวา
    เราได้ยินพาณิชชาวสุวรรณภูมิพูดกัน เป็นภาษาสุวรรณภูมิว่า

    :"โน่นปูทะเลยักษ์สู้กับปลาและเต่า"


    และว่าผู้ได้ได้เหยียบปูนั้นได้ จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หากมีความเพียรแท้"

    พราหมณ์ทูลว่า : "ข้าพระองค์ก็เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้ แต่ไม่ทราบว่า มีปูทะเลยักษ์ดังนี้หรือไม่"

    พระราชาตรัสตอบว่า: "มีแน่แท้ หลังจากได้กระโดดจากยอดเสากระโดงเรือ
    ลงทะเลพ้นปลาและเต่าก็ว่ายข้ามมหาสมุทร ได้พักผ่อนเป็นคราวๆ บางครั้ง
    ก็รู้สึกเหมือนเหยียบพื้นทะเลได้คล้ายๆ ใกล้ถึงฝั่ง ดังเช่นบุคคลที่หกในจำพวกเจ็ดบุคคล
    (ในอุทกูปมสูตรที่ ๕) แต่ที่แท้เป็นปูทะเลยักษ์ นั่นเอง"

    พราหมณ์ทูลว่า: "ที่จริงแท้คือพระบุญญาธิการ"
    .................................................................


    พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 27

    ๕. อุทกูปมสูตร

    [๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลมีเปรียบด้วยน้ำ ๗ จำพวกนี้
    มีปรากฏอยู่ในโลก ๗ จำพวกเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้
    จมลงแล้วคราวเดียว ก็เป็นอันจมอยู่นั่นเอง ๑ บางคนโผล่ขึ้นมาแล้ว
    กลับจมลงไป ๑ บางคนโผล่พ้นแล้วทรงตัวอยู่ ๑ บางคนโผล่ขึ้นแล้ว
    เหลียวไปมา ๑ บางคนโผล่ขึ้นแล้วเตรียมตัวจะข้าม ๑ บางคนโผล่
    ขึ้นแล้วได้ที่ พึ่ง ๑ บางคนโผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์ข้ามถึงฝั่ง
    อยู่บนบก ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียว
    ก็เป็น อันจมอยู่นั่นเองอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบ
    ด้วย อกุศลธรรมฝ่ายดำโดยส่วนเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล
    ที่จม ลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจมอยู่นั่นเองอย่างนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้กลับจมลงไป
    อย่าง ไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือเขามีธรรม คือ
    ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย
    แต่ ศรัทธาของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว หิริ
    โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาของเขานั้น ไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไป
    ฝ่าย เดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วกลับจมลง
    อย่าง นี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วทรงตัวอยู่อย่างไร
    บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา
    หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่
    ศรัทธา ของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่ หิริ โอตตัปปะ
    วิริยะ และปัญญาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่ ดูก่อน
    ภิกษุ ทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วทรงตัวอยู่อย่างนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียวไปมา
    อย่าง ไร บุคคลบางตนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้
    คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรม
    ทั้ง หลาย เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เขาเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่
    ตกต่ำ เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า ดูก่อนภิกษุ
    ทั้ง หลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียวไปมาอย่างนี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเตรียมตัว
    จะ ข้ามอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรม
    เหล่า นี้ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดี ๆ ในกุศลธรรม
    ทั้ง หลาย เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป เพราะทำราคะ โทสะ โมหะ
    ให้เบา บางลง เขาเป็นพระสกทาคามี มาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น
    แล้ว ทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้ว เตรียมตัวจะข้าม
    อย่าง นี้แล.

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างไร
    บุคคลบางตนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้ คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ
    ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ชั้นดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย
    เพราะโอรัมภา คิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป เขาเป็นพระอนาคามี จัก
    ปรินิพพานในภพ นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคล
    ที่โผล่ขึ้นมา แล้วได้ที่พึ่งอย่างนี้แล.:cool:

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์
    ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบกอย่าง ไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้
    คือ เขามีธรรมเหล่านี้ คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา
    ชั้น ดี ๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย เขากระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญา-
    วิ มุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญา
    อัน ยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์
    ข้าม ถึงฝั่งอยู่บนบกอย่างนี้แล้ว ก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบ
    ด้วย น้ำ ๗ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก.

    จบ อุทกูปมสูตรที่ ๕
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  2. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807

    มีอะไรหรือครับ ขยายความหน่อยสิ ถอดตัวเลขมาไงอ่ะ
     
  3. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    ใจเย็นๆ นะ เดี๋ยวจะค่อยๆ เอาลงทีละหน่อย :cool:
     
  4. พุทธโกมุท

    พุทธโกมุท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    314
    ค่าพลัง:
    +2,807
    ขอบคุณ เด๋วรออ่าน(kiss)
     
  5. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    [​IMG]

    [​IMG]

    Significance of Kailas ­ Manasarovar

    Mount Kailas (22,028 ft, 6,714 m), the famed holy peak, is situated to the north of the Himalayan barrier in Western Tibet. This legendary snow-shrouded rock dome is one of the most revered pilgrimage sites for Hindus, Buddhists, Jains and Bonpos (Pre-Buddhists) and draws pilgrims from India, Nepal, Mongolia, Tibet, Japan, China, Southeast Asia and other parts of the world. At the slopes of Kailas, a stream is said to pour into Manasarovar and from this lake, flow four of Asia's great rivers ­ the Indus, the Brahmaputra, the Karnali and the Sutlej.

    ความสำคัญ ของเขาไกรลาส และทะเลสาบมานาซาโรวาร์
    เขา ไกรลาสสูงประมาณ22,028 ฟุต หรือ 6714เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เป็นยอดเขาศักดิ์สิทธ์ ที่มีชื่อเสียงตั้งตระหง่านอยู่ในเทือกเขาหิมาลัยตอนตะวันตกของธิเบต มีหิมะปกคลุมยอดหินรูปโดม เป็น สถานที่ผู้ประสงค์จะไปเคารพสักการะและแสวงบุญ จากผู้นับถือศาสนาฮินดู ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน และเหล่า Bonpos ที่เป็นนิกายที่เกิดก่อนศาสนาพุทธ วาดเส้นการเดินแสวงบุญทางจากอินเดีย ไปยังเนปาล มองโกเลีย ทิเบต ญี่ปุ่น จีน และคนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทุกภาคในโลก แนวภูเขาที่สูงชัน เป็นที่กล่าวกันว่าเป็นสายน้ำที่ไหลลงไปสู่ทะเลสาบมานาซาโลว่าร์ และจากทะเลสาบเกิดแม่น้ำสี่สายสำคัญของเอเชีย คือ แม่น้ำสินธุ แม่น้ำพราหมณ์บุตรา แม่น้ำคานาลี และแม่น้ำแดง (Sutlej)


    For well over a thousand years, pilgrims have journeyed here to pay homage to the mountain's mystery, circumambulating it in a ritual that continues to this day. Their faith proclaims that not just the mountain's ice - capped summit but the entire region is the abode of the Gods.

    นัก แสวงบุญเดินทางกันมาที่นี่ เพื่อสักการะบ่อน้ำ้สีมรกต
    อายุเป็นหลายพันปี มาสักการะความลึกลับแห่งหุบเขา
    เดิน จงกรม ในพิธีกรรมที่ดำเนินมาถึงทุกวันนี้ ประกาศความเชื่อที่ว่าที่นี่ไม่ใช่แต่ยอดเขาน้ำ้แข็งเท่านั้น ยังรวมไปถึงพื้นที่ทั้งหมดที่เป็นที่พำนักของเทพเจ้า


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. วจีทุจริต

    วจีทุจริต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +263
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2010
  7. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    เมขลา เป็นเทพธิดาผู้รักษาน่านน้ำ และนางผู้ถือดวงแก้วล่อให้รามสูรขว้างขวานทำให้เกิดฟ้าแลบและฟ้า ร้อง (ดูรามสูรด้วย) นิยายพื้นบ้านของไทยยกเรื่องฟ้าคะนองขึ้นมาเล่าว่า นางเมขลาหรือมณีเมขลามีดวงแก้วประจำตัว รามสูรพอใจในดวงแก้วและความงามของเมขลา จึงเที่ยววิ่งไล่จับนาง เมื่อจับไม่ทันก็ใช้ขวานขว้าง แต่ไม่ถูก เพราะเมขลาใช้แก้วล่อจนเป็นฟ้าแลบ แสงแก้วทำให้ตารามสูรมัวจึงขว้างขวานไม่ถูก
    [​IMG]

    เรื่องเมขลารามสูรนี้ในวรรณคดีเก่า ๆ เช่น เฉลิมไตรภพ ว่า มีพระยามังกรการตนหนึ่งอมแก้วไว้เสมอ จะไปไหนก็เอาดวงแก้วทูนศีรษะไว้ มังกรการได้แปลงเป็นเทวดาไปสมสู่กับนางฟ้ามีบุตรีชื่อ เมขลา เมื่อเจริญวัยขึ้นมีความงามยิ่ง มังกรการได้นำบุตรีและดวงแก้วไปมอบแก่พระอิศวร ครั้งหนึ่งเมขลาได้ขโมยดวงแก้ววิเศษนั้นไป ราหูผู้มีครึ่งตัวเพราะถูกจักรพระนารายณ์เมื่อครั้งแปลงเป็นเทวดาไปดื่มน้ำ อมฤต ได้อาสาไปจับเมขลา และได้ชวนรามสูรผู้เพื่อนไปด้วย รามสูรได้ขว้างขวานจนกลายเป็นฟ้าลั่น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    [​IMG]

    Sumeru เขาพระสุเมรุ


    <!-- /firstHeading --> <!-- bodyContent --> <!-- tagline --> ภูเขาที่เป็นศูนย์กลางของโลก


    Sumeru (Sanskrit) or Sineru (Pāli) is the name of the central world-mountain in Buddhist cosmology. Etymologically, the proper name of the mountain is Meru (Pāli Neru), to which is added the approbatory prefix su-, resulting in the meaning "excellent Meru" or "wonderful Meru".


    The concept of Sumeru is closely related to the Hindu mythological concept of a central world mountain, called Meru, but differs from the Hindu concept in several particulars.


    According to Vasubandhu's Abhidharmakośabhāṣyam, Sumeru is 80,000 yojanas tall. The exact measure of the yojana is uncertain, but some accounts put it at about 24,000 feet, or approximately 4 1/2 miles, but other accounts put it at about 7-9 miles. It also descends beneath the surface of the surrounding waters to a depth of 80,000 yojanas, being founded upon the basal layer of Earth. Sumeru is often used as a simile for both size and stability in Buddhist texts.
    Sumeru is said to be shaped like an hourglass, with a top and base of 80,000 yojanas square, but narrowing in the middle (i.e., at a height of 40,000 yojanas) to 20,000 yojanas square.
    Sumeru is the polar center of a mandala-like complex of seas and mountains. The square base of Sumeru is surrounded by a square moat-like ocean, which is in turn surrounded by a ring (or rather square) wall of mountains, which is in turn surrounded by a sea, each diminishing in width and height from the one closer to Sumeru. There are seven seas and seven surrounding mountain-walls, until one comes to the vast outer sea which forms most of the surface of the world, in which the known continents are merely small islands. The known world, which is located on the continent of Jambudvīpa, is directly south of Sumeru.
    The dimensions stated in the Abhidharmakośabhāṣyam are shown in the table below:
     
  9. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792
    ตำราฝนหลวงพระราชทาน

    [​IMG]
     
  10. วจีทุจริต

    วจีทุจริต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +263
    สุนัขเป็นตัวแทนแห่งความซื่อสัตย์ ซึ่งจะแทบไม่เหลือให้เห็นในปี 2554
    ดัง ส.ค.ส. 2546 และ 2547
    ที่ทรงแสดงจากสัญลักษณ์สุนัขตัวใหญ่ จนเล็กลงไปเรื่อยๆ (นับปีจากตัวสุนัข)



    ดังนั้นให้พึงระวังเหตุการที่เกิดจากความไม่ซื่อสัตย์ไว้ด้วยในปี 2554 หรือ 2011 !!!
    ถ้าตายในปีหน้านี้หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คุณจะจมลงหรือลอยขึ้นคุณพร้อมกันหรือยัง !!!



    "ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง"
    "สิ่งใดจะเป็นที่พึ่งให้ท่านได้ถ้าร่างกายต้องมลายสิ้น ขอท่านจงยังคติให้แน่นอนเถิด"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กรกฎาคม 2010
  11. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    [​IMG]



     
  12. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    man in flame ทำได้แค่คิดนะ
    แนวคิดมหาลัย จิตอาสานั้น

    ไปเจอปัญหาเดียวกับ ตอนที่ ในหลวงมีดำริให้ทำการศึกษานอกระบบ เช่น
    "โรงเรียนพระดาบส" ตอนที่ผู้รับสนองพระราชดำรัส ริเริ่มทำนั้น เจอปัญหาเกี่ยวกับระบบราชการ ข้อบังคับของกระทรวงศึกษามาก
    และยากที่คนทั่วไปจะยอมรับการคิดแบบ"ปฎิวัติ" << (ปฎิวัติ=หันหลังกลับ)

    man in flame เขาเคยไปคุย ขอคำปรึกษา ขอความช่วยเหลือจาก ผู้บริหารโรงเรียนวิถีพุทธชั้นนำแห่งหนึ่ง ที่เป็นระดับแนวหน้าของประเทศไทย แต่กลับถูกมองแปลกๆ พร้อมกับตั้งคำถามว่า ในหลวงยังทำไม่ได้เลย !?

    ซึ่งไม่น่าจะมีคำพูดเช่นนั้นออกมาจากผู้ใหญ่ระดับผู้บริหารโรงเรียนวิถีพุทธชั้นนำของไทย..

    เอาเป็นว่า เล่าพอให้เห็นแรงเสียดทาน ของคนที่จะทำความดีในยุคเสื่อมเช่นนี้

    ในเมื่อ คนที่พอจะมีกำลังนำสังคม มีทุน มีทรัพย์ มีกำลังสื่อ มีกำลังคน (เทวดาเดินดิน) เขาไม่ตระหนักรู้ ไม่เห็นค่า ก็ต้องทนทำแบบขาดทุน

    ขาดทุน ในที่นี้คือ ไม่มีแม้ทุนให้ขาด
    ก็ต้องเพียรทำกันแบบตามยะถากรรมกันต่อไป

    ตอนนี้มีหลายๆสำนัก ที่มีแนวทางของตน

    บ้างเปิด "สยามสามไตร"
    บ้างเปิด "อาศรมศิลป์"
    บ้างเปิด "ปัญญาประทีป"
    บ้างเปิด "สัตยาไส"
    บ้างเปิด "มหาวิทยาลัยชีวิต"
    บ้างเปิด "สาวิกาสิกขาลัย"
    บ้างเปิด"โพธิวิทยาลัย"
    บ้างเปิด"เสมสิกขาลัย"
    บ้างเปิด "วิมุตตยาลัย"
    บ้างเปิด "โพ้นทะเลวิชชาลัย"

    ซึ่งมีหลายแห่งต้องเจอแรงเสียดทานสูง เพราะสวนกระแส
    คนที่มีกำลังนำสังคมเช่นนี้ (มีกำลังคน กำลังสื่อ กำลังทรัพย์) เรียกง่ายๆว่า เป็นเทวดาเดินดินที่มีฤทธิ์ ที่พอจะเสก สถาบัน "วิชชาลัย" ที่กำลังอินเทรนด์ทั้งหลายขึ้นมาได้

    แต่เทวดาก็มีปัญหาของเทวดา คือ
    ท่านไม่ไม่ลงมาเดินดิน เสวยแต่ทิพยสมบัติ อาจจะช่วยบรรเทาทุกข์ให้มนุษย์ด้วยความเมตตา แต่ท่านไม่ได้ลงมาคลุกอยู่กับปัญหาและความทุกข์ยาก คนที่อยู่ในสนามรบเช่นพระเจ้าตาก อยู่บนเสากระโดงเรือแบบพระมหาชนก ย่อมมองเห็นทิศทาง ความเป็นไปของบ้านเมืองได้ดีกว่า เทวดาที่มองจากบนอากาศ

    เทวดาหลายสำนักก็มีตัวตน มีแนวทางของตน ไม่สามารถรวมเทวดาในยุคของความแตกแยกนี้มาช่วยกันได้

    เทวดาบางองค์ก็คงวุ่นอยู่กับกิจของตนในขอบข่ายฤทธิ์ที่พอจะทำได้

    แม้จะเผลอสติ ตรวจตราทะเลย์กว้างไปบ้าง
    คนที่กำลังว่ายน้ำอาจจะน้อยใจเทวดาทั้งหลายอยู่บ้าง

    แต่เทวดาทั้งหลายก็ทำหน้าที่ของเทวดา...อย่างดีที่สุดแล้ว

    เหตุการณ์นี้ คงเป็นทำนองเดียวกันกับ.. เช่นสมัยกรุงศรีอยุธยาที่จะแตก
    เพราะตอนนั้นก็ไม่มีขุนนาง อำมาตย์ท่านใดคิดจะช่วยเหลือ หรือคิดเตรียมการเช่นวิธีของพระเจ้าตาก

    "วิชชาลัย"ทั้งหลาย ที่เปิดอยู่นี้ ก็อยู่ในขั้นลองผิดลองถูก ยังไม่ประสานพลังกัน(ในยุคของความแตกแยก)

    สังคมยังไม่ตื่น กระทรวงศึกษายังคงทุ่มทรัพยากรมหาศาลไปกับ การศึกษาที่รับใช้ระบบทุน คนที่ถูกทำให้ห่างจากพระพุทธศาสนามา 50ปี จึงยังไม่เห็นค่า และความสำคัญว่าศาสนาพุทธมีบทบาทต่อความอยู่รอดของชาติบ้านเมืองอย่างไร

    เหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองจึงไม่ทำให้คนสะดุ้งตื่น ที่ตื่นก็ตื่นแบบตกอกตกใจ จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าแท้จริงแล้วต้นตอของปัญหาทั้งหมดเกิดจากอะไร ไปติดอยู่กับความขัดแย้งแบบฝั่งฝ่ายของบุคคลปลายเหตุ

    บาปมวลรวมประชาชาติต้องให้ผล
    เหตุการณ์ต้องดำเนินไปสู่ขั้น "การทำลายตัวเอง"ถึงขั้นต้นมะม่วงล้ม คนจึงเห็นโลงศพแล้วหลั่งน้ำตา

    ตื่นอย่างมีปัญญาเห็นทุกข์
    จึงจะกลับมาช่วยกันฟื้นฟูอีกครั้ง..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 กรกฎาคม 2010
  13. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ไม่ต้องเปิดเป็นสำนักหรอก
    แค่สอนให้มีสติ
    เอาสติไปกำกับปัญญา
    สอนอริยมรรคมีองค์8
    แบบที่ปุถุชนเอาไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ว่าจะคิดดี พูดดี ทำดี ในสังคมที่มีแต่แก่งแย่ง เอาเปรียบกันได้อย่างไร ประกอบสัมมาชีพอย่างไรในสังคมเมืองที่ต้นทุนสูงไม่เหมือนชึวิตในชนบทที่มีธรรมชาติเป็นต้นทุน
    นั้นแหละมหาวิทยาลัยปูทะเลที่ผมเข้าใจ
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เล่าพอให้เห็นแรงเสียดทาน ของคนที่จะทำความดีในยุคเสื่อมเช่นนี้

    -----------------------------------------------------------------
    ครับผม แต่อย่างไรก็ตามพระองค์ท่านก็ทรงเตือนให้พวกเราทุกคนจงยังความเพียรอันบริสุทธิ์ ความเพียร(ในการทำความดี ทำเพื่อส่วนรวม)อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณไม่ใช่หรือ

    ทรงตรัสอีกว่า

    "จงอย่าได้นำความขาดแคลนมาเป็นข้ออ้างในการไม่ทำความดี"

    ขาด "ทุนทรัพย์"
    ขาด "คน"
    ขาด "การสนับ สนุนการส่งเสริม"

    ไม่เป็นไร

    แต่จงอย่าได้ขาด"แรงใจ"ในการทำความดีเพื่อส่วนรวมครับ

    ขอเป็นกำลังใจในการเสียสละเพื่อส่วนรวมของทุกๆท่านครับ
     
  15. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    ถูกแต่ผิดครับ
    จริงๆแล้วควรเป็นเช่นนั้น ควรเรียบง่ายอยู่ในวิถีชีวิตเช่นนั้นครับ

    เอาเป็นว่าผมคอมเม้นต์เพื่อให้เห็นภาพรวมนะครับ ไม่มีเจตนาล่วงเกินต่อบุคคลเช่นไร

    มันเป็นความคิดหมู่ใหญ่ของคนในสังคมครับ
    ที่กำลังบอกให้เราทราบว่า จริงๆแล้วไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เลย
    เป็นกับดักทางความคิดและวาทะกรรมนะครับ

    ด้านลบเช่น

    "เรื่องคุณธรรมศีลธรรม มันก็บูรณาการอยู่ในทุกวิชาอยู่แล้ว"

    ผลก็คือ ถอด ลดวิชาพระพุทธศาสนาจากหลักสูตร

    ด้านบวกเช่น

    "ความรู้คู่คุณธรรม" หรือต่อมาเปลี่ยนเป็น "คุณธรรมนำความรู้"

    เมื่อต้องการผล คำถามก็คือ
    แล้วเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ละอยู่ที่ไหน?

    INPUT > PROCESS > OUTPUT

    หลักสูตร
    กระบวนการ
    โครงสร้าง
    งบประมาณ
    บุคลากร
    การวัดผลประเมินผล

    เมื่อเทียบสัดส่วน% การใช้งบของกระทรวงศึกษา
    จะพบว่ามีน้อยมากและให้ลำดับความสำคัญเรื่องนี้ไว้ลำดับท้ายสุด
    กระบวนการที่ให้เยาวชนได้เรียนรู้คุณธรรมที่ได้ผลจริงมีน้อยมาก
    แถมยังมีโรคแซกซ้อนเป็น ความดีสร้างภาพ หลอกๆปลอมๆมากมาย

    วาทะกรรมเช่นนี้จึง Fake
    หลอกเอาผลงาน ขายผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ

    หากต้องการผล อยากเห็นสังคมที่ดีงาม
    แต่ไม่ทำเหตุให้ถึง ก็จะไม่ได้ผลตามนั้นครับ
     
  16. ธัมมะอาสา

    ธัมมะอาสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    417
    ค่าพลัง:
    +2,648
    เช่นเดียวกันครับ

    หลังต้นมะม่วงล้ม จะมีสองแบบ ก็คือ
    1) ล้มแล้วล้มเลย กับ 2)ล้มแล้วฟื้นฟูได้

    ขึ้นอยู่ว่าสร้างเหตุ โดยการเตรียมเสบียงไว้เช่นไร

    พระมหาชนก จึงเป็นมหากาพย์ที่เป็นปฐมแหตุแห่งการฟื้นฟูแผ่นดินสยาม

    จริงๆแล้ว การเปิด วิชชาลัย ทั้งหลายเป็นการเริ่มลองผิดลองถูก
    เป็นการเริ่มเข้าสู่กระแสของปูทะเลย์มหาวิชชาลัย

    เป็นได้แค่ "วิชชาลัย" ขั้นต้น

    ในแง่ทั้งมิติของขนาดและคุณภาพ
    การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ของเยาวชน ยังไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ
    (กว้างและลึกแบบทะเลย์)พอที่จะใช้ความว่า "มหา"ได้

    เป็นชนกลุ่มน้อย เมื่อเทียบกับโรงเรียนในระบบ สพฐ. 30,000 แห่ง

    และสถาบันทั้งหมดนี้เพิ่งๆจะคลอด ส่วนใหญ่เป็นระดับมัธยม
    ยังขาดรอยต่อสำคัญช่วงของระดับอุดมศึกษา

    ที่สำคัญเพราะเด็กส่วนใหญ่จะเสียตัว(ถ้าไม่นับสถิติใหม่ ม.2) กินเหล้า เสียคน ทิ้งถิ่น โบยบินออกจากกรง ก็ตอนอุดมศึกษานี่ละครับ

    INPUT = สร้างค่านิยมฝังหัว เจ้าคนนายคน ในปมด้อยของคนชนบท
    PROCESS = เบ้าหลอมบิดเบี้ยว ติดตำรา บีบรัด คาดคั้น แข่งขัน ช่วงชิง
    OUTPUT = ได้แรงงานราคาถูกจากชนบทมาป้อนระบบทุน

    คนจึงทิ้งถิ่น พ่อแม่ขายไร่นาให้นายทุน บุตรหลานดูถูกอาชีพทำนาทำสวนของพ่อแม่ หลงมาฟุ้งเฟ้อในเมืองใหญ่ สุดท้ายก็เนรคุณ ทิ้งพ่อแม่ คนแก่ ไว้เลี้ยงหลานอยู่ตจว. แข่งขัน ช่วงชิงผลประโยชน์กันต่อในเมืองหลวง ขาดจิตสำนึกในหน้าที่พลเมือง ที่จะช่วยกันแก้ปัญหา

    ระบบให้ตัวแทนทำหน้าที่ โดยมีวาทะกรรมว่า "เท่าเทียม"และ"ประชาธิปไตย" ทำให้พึ่งตัวเองไม่ได้ งอมืองอเท้า ได้แต่เรียกร้อง ชุมนุมประท้วงกัน

    สถาบันเหล่านี้จึงมีเพียงหยิบมือ เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยที่เป็นธุรกิจการศึกษา 80 กว่ามหาลัยทั่วประเทศ

    ที่สำคัญก็คือคนที่เป็นชนชั้นกลาง ร่ำรวย จะได้มาอยู่ในตำแหน่งทางการเมืองและเศรษฐกิจต่อไปภายหลัง ส่วนใหญ่ก็นิยมเรียนอินเตอร์ จบนอกแบบนายก ไม่มีโอกาสเห็นคุณค่าหรือสัมผัสพระศาสนา

    จึงเป็นที่มาที่ เจ้ากระทรวงต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาไม่ให้ความสำคัญ และจับพระพุทธศาสนาแยกออกจากการศึกษา จนแทบจะเหลือแค่พิธีกรรรม

    INPUT เข้าสู่กระบวนการเช่นไร ก็ย่อมให้OUTPUT เป็นไปตามหลักเหตุและผล

    INPUT คือ งบประมาณ กระบวนการ กำลังคน การวัดผลประเมินผล
    สัดส่วนของปริมาณและคุณภาพก็ยังทุ่มให้กับ วิชาการ ดนตรี กิฬา

    เพื่อให้ได้ OUTPUT ป้อนระบบ
    การศึกษา จึงเป็นเพียงโรงงาน สร้างหุ่นยนต์เข้าสู่สายพานการผลิตของระบบทุน

    ประเด็นหนึ่งก็คือ "กิฬา" แปลว่า "เล่น" ดนตรี ก็บันเทิง
    ถ้าเอาตัวเลข งบประมาณด้านต่างๆ จะพบว่า เขากำลังให้ลำดับความสำคัญผิด

    จากนั้นก็ยกย่อง จัดประกวดแข่งขัน สร้างค่านิยมออกสื่อ
    เมื่อเอาของเล่นมาทำจริง ใช้เงินมหาศาลจริง กระบวนการเรียนรู้ก็ได้ของปลอมมา

    ในทางตรงกันข้าม กลับเพิ่มวิชาการ ลดวิชาที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา

    นี่คือมิติด้านการศึกษา ซึ่งเป็นส่วนย่อยส่วนหนึ่งของสังคมส่วนใหญ่

    อันจะทำให้เราพอจะเห็นภาพรวมของสังคมจากการวิเคราะห์ส่วนย่อยได้
    เมื่อเหตุแห่งความเสื่อมมีมากกว่าเหตุแห่งความเจริญ มากๆ

    สุดท้ายสังคมนั้นก็ต้องพบกับหายนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2010
  17. มรรค 8 ประการ

    มรรค 8 ประการ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    884
    ค่าพลัง:
    +2,642

    ขณะอ่านตามได้เกิดความรู้สึกประหลาด ขนลุกซู่ไปทั้งตัว สังหรณ์ใจว่าจะต้องเกิดอะไรขึ้นสักอย่างแน่ๆ
     
  18. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เมื่อใดเกิดความอดอยากประกอบกับมีผู้ปกครองที่อธรรม เมื่อนั้นเกิดกลียุค การแก้ไขปัญหาของสังคมมนุษย์ในปัจจุบันไม่สามารถทำได้ในจากtop-downเพราะควบคุมไม่ได้ ไม่มีความsyncronization ระบบการศึกษาในปัจจุบันล้มเหลวเพราะมุ่งเน้นปริมาณขาดคุณภาพ การที่จะพัฒนาเยาวชนบางท่านจึงเน้นให้พัฒนาจากหน่วยที่เล็กที่สุดคือครอบครัว แต่ถามว่าถ้ายังไม่พอกินอาจเป็นด้วยเหตุผลใดก็ตาม มนุษย์คนไหนจะให้ความสำคัญกับศีลธรรม จริยธรรม การเมือง
    การแก้ปัญหาเรื่องปากท้องโดยการจัดสรรทรัพยากรและกระจายอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง ทำให้ครอบครัวมีอยู่มีกินจึงน่าจะเป็นบาทแรกของการฟื้นฟูมะม่วง
    พระเจ้าอยู่หัวของเราจึงเน้นเรื่องนี้มาตลอด
    มีคำจีนกล่าวว่า
    "จ้าวโจวคายข้าว โลกจึงบังคม"
     
  19. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,792

    เดี๋ยวมีเฉลย อิอิ

    เพราะขอแกะของเก่า ความแม่น ที่ไม่สามารถจะบรรยาย
    :cool:
     
  20. ปาฏิหาริย์

    ปาฏิหาริย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +3,516
    มารอเฉลยครับ.....อิอิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...