ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ..ขออนุโมทนาบุญกับท่านจขกท.และทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ ..

    ในวันที่ ๘ กค.๕๓ เวลา ๑๗.๐๒ น. ได้นำเงินเข้าบัญชี เพื่อร่วมบุญกับศ.ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ประจำเดือน กรกฎาคม๒๕๕๓ เป็นจำนวนเงิน ๕๐๐ บาท


    ขออุทิศบุญกุศลนี้แด่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายของข้าพเจ้า ขออุทิศแด่บิดา-มารดา ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณ ตลอดทั้งมิตรรักสนิทตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ขออุทิศแด่บุรพกษัตริย์ของไทยทุก ๆ พระองค์ เหล่าวีรชนผู้กล้าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
    <O:p</O:p

    และขออุทิศแด่เทวดารักษาตัว พระภูมิเจ้าที่ ท่านท้าวสักกะเทวราช ท่านท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ เทวดาทั่วหมื่นแสนจักรวาล อนันตจักรวาลในทิศทั้ง ๔ ตลอดทั้งท่านพระยายมราช นายนิริยบาล ขอให้โปรดโมทนาสาธุการ และเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด

    <O:p</O:p

    ขออานิสงส์แห่งบุญนี้ส่งผลให้ข้าพเจ้า และครอบครัว ตลอดทั้งท่านทั้งหลายที่เคยร่วมบุญกุศลกับข้าพเจ้าในทุก ๆ บุญ แม้ระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ขอให้ได้รับอานิสงส์นี้ดุจเดียวกับข้าพเจ้าโดยอัตโนมัติ

    ขอให้เราทั้งหลาย เป็นผู้มีผิวพรรณวรรณะผ่องใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ หากมีโรคใดที่ยังไม่ปรากฏขอให้หายโดยฉับพลัน มีอายุยืนยาว เพื่อให้สร้างบารมีได้โดยสะดวกไปทุกภพทุกชาติ

    หากยังไม่เข้าพระนิพพาน เกิดมาชาติใด ขอให้ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาที่เจริญรุ่งเรือง ให้เป็นผู้ระลึกชาติได้ และได้สร้างบารมีตั้งแต่ยังเยาว์วัย ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ.. สาธุ...

    <O:p</O:p

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ


    Numsai
     
  2. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมได้โอนเงินบริจาคจำนวน 2,000.-บาท

    11/07/2010 16:53 น.โอนผ่าน bay 0531 พารากอน


    ด้วยบุญอุทิศนี้ให้อาม่า,ป๋า,แม่,อาโกว,ชิน9,น้องๆ,หลานๆ,เพื่อนๆ,บริวารทุกคน,ผู้มีพระคุณทุกท่าน,ครู,อาจารย์,คนไทยทุกคน,ลูกค้าทุกคน,ผู้เช่าบ้านและร้านของชิน9

    ขอเชิญเพื่อนๆพี่ๆน้องๆมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    [​IMG]




    [​IMG]


    [​IMG]
     
  4. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ขออนุญาต นำการถามตอบจาก เว็บ yokeedam มาฝากเพื่อน ๆ ครับ

    คำถามจากคุณ miaow


    กราบนมัสการคะหลวงปู่

    หนูขอความเมตตาคะมีคำถามเรื่องการปฏิบัติ วันก่อนหนูหงุดหงิดตั้งแต่ตื่นนอน ทำให้พาลหมดรู้สึกเศร้าคะ ไม่ชอบแบบนี้เพราะปฏิบัติไม่ได้ แต่ไล่ไม่ไป แต่หนูรู้ตัวนะคะว่ากำลังหงุดหงิด มีกัลยาณมิตรเตือนว่าเป็นที่อารมณ์มันหงุดหงิดไม่ใช่เราหงุดหงิด ตอนแรกรับรู้คะว่าเป็นเรื่องของขันธ์ แต่ก็เป็นการรู้ตามคำบอก พอตอนเย็นความหงุดหงิดคลายลง เริ่มมีสติก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาแปแว๊บเดียว มาแล้วก็ไปเลยคะ ความรู้สึกเป็นความรู้สึกดี หลุดไปเลย แต่ไม่ชัดแต่ไม่อยู่นานคะ จากนั้นทุกข์ก็เหลือนิดเดียว ขอเรียนถามคะ
    1. เรียกว่าปัญญา หรือปล่าวคะ ปกติเมื่ออริยบุคคลเจริญปัญญาได้แล้ว ก็จะอยู่ไปตลอดใช่หรือปล่าวคะ แล้วอารมณ์แบบที่เกิดคืออะไร หรือว่าคิดไปเองเจ้าคะ
    2. ถ้าเราไม่ถนัดนั่งปฏิบัติตามท่ามาตรฐานแล้วดูลมหายใจ คือระยะหลังนี้ติดเพ่งแล้วอึดอัดคะ หนูเลยตามดูกายดูจิตในชีวิตประจำวัน ถ้าเผลอไปสติก็จะดึงกลับมาเอง หนูปฏิบัติถูกหรือปล่าวคะ
    3. หนูขอความเมตตาหลวงพ่อสั่งสอนเจ้าคะ

    คำตอบ โดย หลวงพ่อเครา หรือ yokeedam
    เป็นเพียงการเอาสัญญาไปดับสัญญาไว้เท่านั้น......อันเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะก้าวไปสู้วิปัสนาญาณจ๊ะ......( ตราบใดที่เรายังมีเจตสิกปรุงแต่งอยู่ในดวงจิต ย่อมเกิดอารมณ์ทั้งที่พอใจและไม่พอใจได้ ) สัตว์โลกทั้งหลายนั้น.....ติดอยู่ในความพอใจกันทั้งสิ้น เมื่อมีอารมณ์อันไม่เป็นที่น่าพอใจเกิดขึ้นมา จึงหงุดงิดรำคราญใจ เพราะไม่เข้าใจด้วยปัญญาว่า......ในสากลโลกนี้นั้น<เมื่อมีสิ่งดีเกิดขึ้นมาแล้ว ก็จะดับไปกลายเป็นของไม่ดี><และของไม่ดีเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็จะดับไปกลายเป็นของดี><ตามกฎของ "พระตรัยลักษณ์" (ก็ถ้าเรายังมีความยินดีอยู่ในอารมณ์ดีๆที่เราพอใจอยู่ อารมณ์ที่ไม่ดีก็ต้องเกิดตามมา) เธอจงเจริญปัญญาให้เห็นว่า......ธรรมชาติทั้งหลาย ที่ทั้งดีและไม่ดี "มันก็มีที่ตั้งอยู่เป็นหนึ่งเดียวกัน" ใจของเธอจะเป็นกลาง แม้อารมณ์เหล่าใดที่เกิดขึ้นมา ทั้งพอใจและไม่พอใจก็จะไม่ทำให้ใจของเธอหวั่นไหวได้....ดังนี้แล.....
    2.เธอต้องเข้าใจการเจริญธรรมให้พ้นทุกข์ด้วย "ทำไมไม่ดู วีชีดี หลักการปฎิบัตินะ" "สมถะ"อย่างหนึ่ง, "วิปัสสนา" อย่างหนึ่ง, "กรรมฐาน" อย่างหนึ่ง,.......สมถะคือการสงบทั้งสังขารกายและเจตสิก.....จึงต้องให้กายอยู่ในท่าที่สงบนิ่ง (ก็ถ้าไม่หนั่งหลับตาแล้วจะอยู่ท่าไหนล่ะ).....วิปัสสนาคือการเอาสัญญาธรรมมาเจริญให้เกิดปัญญาญาณ (ก็อยู่ในอิริยาบถทั้งสี่ได้ ด้วยการมีสติสัมปชัญญะประครองไป).....กรรมฐานคือสัญญาที่เราเอามาเจริญแล้วเกิดปัญญาญาณและพร้อมที่จะดับสังโยชน์ให้เป็นพระอริยะบุคคลได้......ดังนี้......
    3."ความเมตา" ก็ต้องเจริญกันเอาเอง จนเกิดมีเมตตาในใจและอนุสัยอยู่ป็นนิด แม้คิดจะให้ก็ให้ใครไม่ได้ดอก ทำเอาเองก็แล้วกันนะคุณหนู (ถ้ารู้ว่าสรรพสัตว์ในโลกล้วนแต่มีความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น)......ความโหดก็จะหายไปจากสันดานเองแหละ.......
     
  5. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    มาช้าหน่อยสำหรับเดือนนี้ครับ วันนี้ผมได้โอนเงินทำบุญประจำเดือนของ พี่น้องผองเพื่อน
    ภายในบริษัท จำนวน 3300 บาท
    ขอความสุขความเจริญ และความสำเร็จ จงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย สุขภาพกายใจแข็งแรงสมบูรณ์โรคภัยไม่เบียดเบียนครับ
    อนุโมทนาด้วยครับ

    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="95%" align=center bgColor=#bdc9d5 border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffff height=22><TD>บัญชีผู้รับโอน</TD><TD> 3481232459</TD><TD> PRATOM F. </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD width="50%">
    จำนวนเงินที่ต้องการโอน​
    </TD><TD>
    3,300.00 บาท ​
    </TD></TR><TR><TD>
    ค่าธรรมเนียมการโอนข้ามเขต​
    </TD><TD>
    10.00 บาท ​
    </TD></TR><TR><TD>
    ค่าคู่สาย​
    </TD><TD>
    0.00 บาท ​
    </TD></TR><TR><TD>ค่าธรรมเนียม SMS </TD><TD>ฟรี</TD></TR><TR><TD>บันทึกช่วยจำ</TD><TD>
    </TD></TR><TR><TD>การแจ้งให้ทราบ</TD><TD>
    ต้องการ​
    </TD></TR><TR><TD>แจ้งโดย</TD><TD>
    SMS​
    </TD></TR><TR><TD>การแจ้งให้ผู้รับทราบ</TD><TD>
    ไม่ต้องการ​
    </TD></TR><TR><TD>แจ้งโดย</TD><TD>
    -​
    </TD></TR><TR><TD>ผลการโอน</TD><TD>success</TD></TR><TR><TD>
    หมายเลขอ้างอิง​
    </TD><TD>
    bayi17044936​
    </TD></TR><TR><TD>
    วัน / เวลา ​
    </TD><TD>
    16/07/2010 03:38:44 PM ​
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ============================================================

    ครั้ง หนึ่ง มีหญิงวัยทำงานคนหนึ่งตามเพื่อนไปกราบหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก เพื่อขอบารมีหลวงปู่ให้สงเคราะห์คุณพ่อที่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งเป็นการเดินไปกราบนมัสการหลวงปู่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอ

    หลัง จากถวายทานและเล่าเรื่องราวให้หลวงปู่ฟังแล้ว หลวงปู่ได้ให้ลูกศิษย์ผู้หนึ่งนั่งสมาธิขอบารมีหลวงปู่ทวด หญิงผู้นั้นก็ฝากถามหลวงปู่ทวดด้วยว่าคุณพ่อเขาจะหายไหม

    ลูกศิษย์ผู้ นั้นกราบเรียนหลวงปู่ว่าเห็นหลวงปู่ทวดท่านเอาไม้เท้ามาตวัดเป็นวงกลม หรือเลขศูนย์ ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไรครับ หลวงปู่ดู่ท่านรับฟังแล้วก็นิ่ง ไม่พูดอะไร (อาจเพราะเกรงว่าลูกสาวผู้ป่วยผู้นั้นจะรับไม่ได้)

    หญิงผู้นั้นก็ เดินทางต่อไปจังหวัดสิงห์บุรีเพื่อไปเอายาหม้อมาต้มให้คุณพ่อกิน (เพราะหมอแผนปัจจุบันไม่ให้ความหวังแล้ว) ตามคำแนะนำของคนรู้จักกัน

    ทราบ ว่าคุณพ่อของหญิงผู้นั้น อยู่ต่อมาได้อีกไม่กี่เดือน ก็ถึงแก่กรรม
    ทำให้ ได้ข้อคิดว่า เมื่อคนเราถึงคราวแล้ว ครูบาอาจารย์ที่ไหน ๆ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

    การที่เรารู้จักครูบาอาจารย์ชั้นเลิศนั้นนับ ว่าเป็นโชคดีมหาศาลก็จริง
    แต่สิ่งที่ต้องตระหนักก็คือ สุดท้ายแล้วไม่มีใครฝืนกฎแห่งกรรมได้
    สิ่ง ที่สำคัญยิ่งก็คือการช่วยตัวเองตั้งแต่ยังแข็งแรงดีอยู่ ด้วยการตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ขวนขวายปฏิบัติภาวนาให้จิตใจของเรามีเครื่องอยู่ภายในให้ได้
    ส่งตัวเอง ให้ได้ ดังที่หลวงปู่ท่านย้ำว่า "ต้องส่งตัว แกเองนะ จะรอให้ข้าส่งไม่ได้ ...มันประมาท"
    ===============================================




    จาก บทความของคุณพรสิทธิ์
    www.luangpudu.com

    สำหรับผู้ที่สนใจในการปฎิบัต ิกรรมฐานแนวหลวงปู่ดู่และวิธีทำสมาธิแบบของท่าน

    เชิญ download file PDF ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้ที่นี่ครับ
    เชิญ download file PDF ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้ที่นี่ครับ
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105


    [​IMG]

    หลวงปู่ดู่ท่านนอกจากจะชี้แนะให้แนวทางการ ปฏิบัติแล้ว
    ท่านยังคอยให้กำลังใจลูกศิษย์ในการปฏิบัติอยู่เสมอ ๆ

    ครั้ง หนึ่ง ท่านกล่าวกับลูกศิษย์ที่กำลังเริ่มปฏิบัติกรรมฐานว่า
    เพื่อน บ้านแก เอาว่าสัก ๑๐ หลัง แกคิดว่า จะมีสักหลังไหมที่เขาสนใจปฏิบัติภาวนา ...
    (ลูกศิษย์คนนั้นแอบนึกอยู่ในใจว่า อย่าว่าแต่ ๑๐ หลังเลย มากกว่านั้น ก็ยังยากที่จะมีคนสนใจปฏิบัติภาวนา)

    หลวงปู่กล่าวสรุป โดยมีใจความว่า พวกแกเหลวไหลมานาน
    กว่าจะได้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กว่าจะรู้จักการภาวนาซึ่งถือเป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตจริง ๆ

    เหมือน หลวงปู่จะพูดให้คิดเพื่อเพิ่มพูนกำลังใจว่า น้อยคนเต็มที ที่จะมีโอกาสมาใส่ใจปฏิบัติภาวนา
    ในหมู่บ้านหนึ่ง ๆ จะมีสักหลังไหม ในบ้านหลังหนึ่งจะมีสักกี่คน ...
    ทำให้ลูกศิษย์เกิดกำลังใจขึ้นมาทันที ว่าเป็นโชคลาภอันประเสริฐที่เกิดมาชาตินี้ ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรม
    จึง ไม่ควรที่เราจะท้อถอยหรือทอดธุระในการปฏิบัติให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป
    หากวันใด เกิดเริ่มท้อถอยเหนื่อยหน่าย ก็ให้นึกว่า เราจะฝืนกิเลสและอุตสาหะในการปฏิบัติต่อไป
    เพื่อถวายกุศลแด่หลวงปู่อัน เป็นที่เคารพรักของเรา

    [​IMG] www.luangpordu.com
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    อีก ๑๐ ปี ค่อยพบกัน

    [​IMG]


    "อีก ๑๐ ปี ค่อยพบกัน" คือคำที่หลวงปู่ได้พูดทิ้งท้ายไว้ให้กับลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งก่อนที่ท่าน จะมรณภาพไม่นาน
    เรื่องราวต่อไปนี้เป็นกรณีศึกษาที่มี คุณค่าไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่ทันเห็นสังขารขันธ์ของหลวงปู่ ก็จะพอทำให้เห็นภาพปฏิปทาท่านชัดเจนขึ้น
    ลูกศิษย์หลวงปู่คนนี้ได้มาพบหลวงปู่และ เกิดศรัทธาท่านนับแต่ครั้งแรกที่เพื่อนพามากราบท่านที่วัดสะแก ถ้าว่าทางโลกก็ต้องเรียกว่า รักแรกพบกันเลยทีเดียว
    คำพูดหลวงปู่ที่ก้องกังวานอยู่ในใจเขา ตลอดก็คือ "ภาวนาไป ๆ"
    ไม่ว่าจะมีปัญหาชีวิต หรือประสบอุปสรรคใด ๆ หลวงปู่ท่านก็ให้ภาวนาลูกเดียว ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่ท่านจะบอกว่าให้ไปสะเดาะเคราะห์แก้กรรมอะไรเทือก นั้น
    เขาภาวนาที่บ้าน พอมาที่วัด หลวงปู่ก็มักให้เขารายงานผลการปฏิบัติให้ท่านฟัง นัยว่าให้เกิดความละอายใจหากขี้เกียจปฏิบัติ เพราะถ้าไม่ได้ปฏิบัติก็ย่อมไม่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติที่จะมาสนทนากับ ท่านนั่นเอง
    เขาปฏิบัติก้าวหน้ามาเป็นลำดับ กระทั่งหลวงปู่ละสังขารจากเขาไป
    เขาและครอบครัวไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวัน ที่เขาลืมหลวงปู่ไปถึง ๑๐ ปี ตรงตามที่หลวงปู่ได้พูดทิ้งท้ายก่อนมรณภาพ
    นับแต่หลวงปู่ได้มรณภาพไป ชีวิตครอบครัวของเขาพบอุปสรรคต่าง ๆ มากมาย การค้าการขายก็ย่ำแย่ พอมีคนมาทักว่าถูกคุณไสย เขาก็พากันไปสะเดาะเคราะห์แก้กรรม กลับมาดีขึ้นไม่ทันไร เดี๋ยวก็ฝันร้ายว่ามีเจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้อีก ก็ต้องไปสะเดาะเคราะห์แก้กรรมกันอีก
    ไปสะเดาะเคราะห์บางแห่ง ต้องทำบุญเทียนต้นละ ๔-๕ หมื่นบาทก็มี เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ไปแก้คุณไสยบางแห่ง ก็ถูกคุณไสยของใหม่เข้าให้อีก เดินทางจากกรุงเทพฯ ไปสะเดาะเคราะห์แก้กรรมที่จังหวัดระยอง เทียวไปเทียวมาทุกสัปดาห์อยู่อย่างนี้เป็นเวลาถึง ๑๐ ปีเต็ม การปฏิบัติภาวนาไม่ต้องพูดถึง เพราะลืมไปสิ้น ในหัวสมองรู้แต่ว่าต้องไปสะเดาะเคราะห์แก้กรรม
    และแล้วเมื่อย่างเข้าปีที่ ๑๐ ที่เขาลืมหลวงปู่ไปเหมือนอย่างศิษย์ไร้ครูอาจารย์ หรือเหมือนลูกไร้พ่อแม่
    ณ ที่สำนักทรงแห่งหนึ่ง แทนที่คนทรงจะทำการรักษาเขาเหมือนที่รักษาให้คนอื่น คนทรงคนนั้นกลับด่าเขาว่า "มีครู อาจารย์ดีอยู่แล้ว ท่านคอยตามดูแลและเป็นห่วง กลับไม่สำนึก กลับลืมท่านไปได้ ให้รีบกลับไปขอขมาท่านเสีย"
    ศิษย์หลวงปู่เมื่อได้ฟังคำด่านั้นแล้ว พลันนึกถึงหลวงปู่ขึ้นมา ...โอหนอ เวลาเวรกรรมมันจะให้ผล มันปิดบังสติปัญญาเสียสิ้น ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่เตือนเขาไว้ว่า "อย่าทิ้งการปฏิบัติ อย่าทิ้งพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ถ้าแกทิ้งพุทธัง ธัมมัง สังฆัง ชีวิตแกจะลำบาก" ถึงขนาดนี้แล้วเขาก็ยังลืมไปได้
    นับแต่วันนั้น เขาได้เดินทางกลับมาวัดสะแกอีก และแม้บัดนี้จะไม่ได้พบสังขารขันธ์ของหลวงปู่ แต่เขาก็เริ่มรื้อฟื้นการปฏิบัติธรรมอีกครั้ง เขาเพียรนั่งสมาธิภาวนาทั้งที่บ้านและที่วัด พอถึงวันพระก็รักษาศีลแปด ทำเช่นนี้ไม่นานฝันร้ายก็หายไป ธุรกิจของเขาก็กระเตื้องขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งกลับมามีความสุขดังเดิมอีกครั้ง
    การกลับมาปฏิบัติธรรมครั้งนี้มันมีคุณ ค่าสำหรับชีวิตเขามาก และเขาเองก็เห็นคุณค่าแห่งการปฏิบัติด้วยประสบการณ์ผ่านชีวิตที่ลำเค็ญเพราะ ผลอันเกิดจากการไม่ปฏิบัติดังที่หลวงปู่กล่าวเตือนไว้แล้ว
    เวลาประสบทุกข์ ประสบเคราะห์ใด ๆ คำหลวงปู่จะก้องกังวานมาทันทีว่า "ภาวนา ไป ๆ" การปฏิบัตินี้แหละตัวสะเดาะเคราะห์แก้กรรมที่ได้ผลดีที่ สุด และไม่ทำให้เขาตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพไม่ว่าพระหรือฆราวาส
    เขาเล่าให้ฟังว่า เขาเที่ยวเดินทางไปสะเดาะเคราะห์แก้กรรมเป็นเวลาถึง ๑๐ ปีเต็ม เสียเงินไปร่วมล้าน และมันก็ไม่จบไม่สิ้นสักที กระทั่งหลวงปู่ไปดลใจคนทรงให้กล่าวเตือนสติเขา เขาจึงระลึกถึงหลวงปู่ขึ้นมาได้ พร้อมกับคำสอนหลวงปู่ที่ให้สะเดาะเคราะห์แก้กรรมด้วยการปฏิบัติสมาธิภาวนา
    ทุกยุคทุกสมัย พิธีการสะเดาะเคราะห์แก้กรรมย่อมลวงคนโง่ให้ตกเป็นเหยื่อ
    บัดนี้ หลวงปู่ไม่อยู่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าศิษย์ชั้นหลังจะได้รับทราบหรือไม่ว่าหลวงปู่ไม่เคยส่งเสริมพิธี สะเดาะเคราะห์ใด ๆ เลย มีแต่ "ภาวนา ไป ๆ" หากใครกล่าวอ้างว่าหลวง ปู่ส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ก็ให้รู้ว่าเขากล่าวตู่คำสอนหลวงปู่ เขาขาดความเคารพในหลวงปู่ และเขาอาจเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ต้องการทรัพย์จากคนที่ยังไม่มีหลักใจให้ ต้องมาเสียเงินเสียทองสะเดาะเคราะห์แก้กรรม อันไม่ใช่ทางของการปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ที่แท้จริงตามแนวทางที่หลวงปู่ กล่าวสอนแต่อย่างใดเลย


    http://luangpordu.com
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เล่าเรื่องเหรียญรุ่นใบโพธิ์


    [​IMG]




    ภายหลังที่คณะศิษย์หลวงปู่ผู้สร้างเหรียญรวม ใจในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้แจกจ่ายเหรียญรวมใจออกไปพอสมควร ก็นึกอยากสร้างเหรียญรูปใบโพธิ์ที่บรรจุครบทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ศรัทธาโดยห้ามซื้อขายเช่นเดียวกับเหรียญรวมใจ
    แนวคิดดังกล่าว ได้เป็นจริงขึ้นมาในราวปี พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยรูปแบบที่ออกมาลงตัวคือ
    ๑. เป็นเหรียญที่มีแต่ด้านหน้า ไม่มีด้านหลัง
    ๒. ด้านหนึ่งเป็นหลวงปู่ทวด โดยด้านบนมีพระพุทธปางประทานพร
    ๓. อีกด้านหนึ่งเป็นหลวงปู่ดู่ โดยด้านบนมีพระพุทธรูปทรงเครื่อง
    ๔. ทั้งหมดอยู่ในรูปทรงใบโพธิ์ และใช้กรรมวิธีแบบโลหะฉีด เพื่อรองรับรูปนูนสูงทั้งสองด้าน
    ซึ่งโดยรวม เท่ากับว่าได้รูปแบบครบพระรัตนตรัย คือ มีทั้งพระพุทธ (ที่อยู่ตอนบนของทั้ง ๒ ด้าน) มีพระธรรม (สัญลักษณ์ใบโพธิ์) และมีพระสงฆ์ (หลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่)
    การสร้างพระครั้ง นั้น ได้ใช้เนื้อชนวนที่เหลือจากเหรียญรวมใจ รวมทั้งห่วงเหรียญเปิดโลกจำนวนหนึ่ง และเนื้อชนวนที่ได้รับมอบจากหลวงน้าสายหยุด จากนั้นก็นำไปกราบขอหลวงปู่ทา จารุธัมโม วัดถ้ำซับมืด และหลวงปู่คำพัน โฆษะปัญโญ วัดธาตุมหาชัย เมตตาอธิษฐานให้ ก่อนที่จะนำกลับมาขอบารมีที่หน้ากุฏิหลวงปู่ดู่ที่วัดสะแก
    เหรียญนี้มีจำนวน ๓,๐๐๐ เหรียญ ซึ่งได้ถูกแจกจ่ายออกไปจนหมดในเวลาอันสั้น เช่นเดียวกับเหรียญรวมใจ
    เล่าไว้เผื่อว่าใครไปเห็นเข้า จะได้พอทราบที่มาที่ไป



    http://luangpordu.com
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ถวายข้าวพระ

    [FONT=verdana,geneva]กิจกรรมบุญอันหนึ่ง ที่เป็นอุบายที่หลวงปู่สอนลูกศิษย์ ก็คือ "การถวายข้าวพระ"[/FONT]
    การถวายข้าวพระในที่นี้ หมายถึงการถวายข้าวพระพุทธเจ้า
    ถามว่าพระพุทธเจ้า พระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว จะยังทรงเสวยอาหารอยู่อีกหรือ คำตอบก็คือ ไม่แล้ว เพราะพระองค์ไม่มีขันธ์ ไม่ว่าขันธ์หยาบหรือขันธ์ละเอียดที่ต้องมีภาระในการเลี้ยงขันธ์อีกแล้ว
    ถ้าเช่นนั้น เราถวายข้าวพระพุทธเจ้าไปทำไม คำตอบก็คือ "กิริยาบุญ"
    หลวงปู่ท่านเน้นมากเรื่องความ กตัญญูรู้คุณ แต่ก็ผสมไปด้วยไหวพริบปฏิภาณ ดังเช่น "อุบายการตั้งจิตถวายข้าวพระพุทธเจ้า"
    ทุกเช้า ก่อนที่หลวงปู่จะฉันภัตตาหาร ท่านจะยกมือพนมเพื่อตั้งจิตถวายข้าวพระพุทธเจ้า จากนั้นก็พิจารณาอาหารก่อนฉัน (แบบสำรวม) ซึ่งในระหว่างที่หลวงปู่ตั้งจิต หลวงปู่ก็จะแนะนำให้บรรดาผู้ที่อยู่ที่นั้นตั้งจิตตามไปด้วย
    อุบายหรือรายละเอียดการตั้งจิตอาจแตกต่างกันไปบ้างก็คงไม่ถือเป็น เรื่องตายตัว ตัวอย่างอันหนึ่งก็เช่น กำหนดให้ข้าวปลาอาหารเบื้องหน้าใสเป็นแก้ว แล้วยกขึ้นถวายหลวงปู่ทวดเพื่อขอบารมีท่านเพิ่มพูนอาหารให้ทับทวีคูณมากเข้า แล้วถวายต่อพระพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏจักรวาล อีกตัวอย่าหนึ่งก็คือเราตั้งจิตน้อมเอาข้าวปลาอาหารยกขึ้นไป แล้วน้อมประเคนพระพุทธเจ้าด้วยตนเอง อันนี้ก็ตามแต่อัธยาศัย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกิริยาบุญทั้งสิ้น โดยที่ก่อนที่หลวงปู่จะฉัน ท่านก็สอนให้ตั้งจิตลาข้าวพระ เพื่อขออนุญาตเอาอาหารส่วนหยาบมาฉัน (ว่าบท เสสังฯ) (เพราะถือว่าอาหารส่วนที่เป็นทิพย์ได้ยกถวายพระพุทธเจ้าไปแล้ว)
    ในขณะที่ท่านฉัน ก็เป็นธรรมเนียมอยู่เองที่บรรดาลูกศิษย์ก็ควรแยกย้ายกันไปหาที่นั่งภาวนา ด้วยอาการอันสงบ จนเมื่อหลวงปู่ฉันเสร็จก็จะมาช่วยกันลำเลียงอาหารไปวางเรียงบริเวณหน้ากุฏิ แล้วนั่งเตรียมรับประทานทั้ง ๒ ฟาก
    ก่อนจะทาน ข้าว ก็จะทำอย่างที่หลวงปู่พาทำ คือ พนมมือตั้งจิตลาข้าวพระ ขออนุญาตเอาอาหารส่วนหยาบมารับประทาน และพิจารณาอาหารว่าสักแต่ว่าเป็นธาตุมาเลี้ยงธาตุ จะไม่กินเพราะเห็นแก่ความเอร็ดอร่อย หรือเพียงมาบำรุงบำเรอร่างกาย หากแต่เพื่อระงับเวทนาคือความหิว และให้เกิดกำลังวังชาเพื่อการประพฤติธรรมต่อไปได้
    โดยสรุป การถวายข้าวพระพุทธเจ้า สามารถกระทำได้ทุกครั้งก่อนที่จะรับประทานอาหาร แม้ในที่ทำงาน เพียงแต่อย่าทำให้ประเจิดประเจ้อ เมื่ออาหารอยู่ต่อหน้า ก็ทำควมสงบใจ ตั้งจิตน้อมถวายข้าวพระ ชั่วอึดใจก็กำหนดจิตลาข้าวพระ แล้วเริ่มรับประทานอาหาร โดยอาจไม่ต้องพนมมือให้เป็นที่สังเกต เท่านี้ก็ได้บุญอย่างที่หลวงปู่ท่านให้อุบายไว้แล้วครับ
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรมงานบุญที่ รพ.สงฆ์ครับ กิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนนี้เป็น วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม 2553 นี้ จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ ทราบทั่วกัน โดยผมและนายสติจะได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ มาเพื่อเตรียมบริจาค ตามประมาณการดังนี้


    1 รพ.สงฆ์


    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้ 200 รูป)
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-
    รวม 16,000.-

    2 รพ.ภูมิภาค


    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 6,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) 8,000.-
    จ.น่าน
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย 5,000.-
    จ.เลย(อาจจะสลับยอดเงินกับ รพ.สมเด็จฯ (ปัว) จ.น่าน เนื่องจากทาง จ.เลย มีพระที่เจ็บป่วยและใช้เงินในการรักษามากกว่า)
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000.-
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-
    รวม 50,000.-


    3. อุปกรณ์การแพทย์
    จำนวน 5,500.-

    เนื่องจากในเดือนนี้ ได้รับแจ้งจาก รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่นว่า มีพระสงฆ์รูปหนึ่ง อาพาธอันเนื่องมาจาก เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองตีบ ทำให้ระบบในการทำงานบางส่วนของร่างกายนั้นมีปัญหาต้องใช้วิธีเจาะลำคอเพื่อให้อาหารและดูดเสมหะ จึงขอบริจาคเครื่องดูดเสมหะจากทุนนิธิฯ มา ผมจึงได้ดำเนินการให้ โดยจัดซื้อไว้แล้ว 1 เครื่อง ในราคา 5,500.-บาท ตามราคาเดิมที่เคยซื้อไว้แล้ว ดังนั้นกิจกรรมในคราวนี้ จะได้นำเครื่องไปติดสติกเกอร์ของทุนนิธิฯ ในงาน และให้โมทนาบุญกันด้วย

    รวมเป็นยอดเงินบริจาค ตามข้อ 1. 2.และ 3. เป็นเงินทั้งสิ้น 71,500.- (เจ็ดหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยบาทถ้วน)

    โดยในวันพรุ่งนี้ คณะกรรมการทุนนิธิฯ จะได้มีการประชุมกัน และหากมีข้อมูลใดๆ เพิ่มเติม จะได้แจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งครับ สุดท้าย ก็ต้องขออนุโมทนาและสาธุบุญกับทุกท่านที่ได้ร่วมบริจาคช่วยสงฆ์อาพาธ ผ่านทุนนิธิฯ นี้มา ปัจจัยของท่านไม่ได้ไปไหนครับ ทุกบาท ทุกสตางค์ ผมและคณะกรรมการฯ ได้ดำเนินการส่งไปช่วยสงฆ์อาพาธ ตามภูมิภาคต่างๆ ทุกๆ เดือนกว่า 2 ปี ครึ่ีงแล้ว หากนับเป็นจำนวนเงินก็กว่า 2 ล้านบาท แล้ว โดยในสัปดาห์หน้า จะได้ทยอยนำใบอนุโมทนาบัตรที่ได้รับมาจาก รพ.ต่างๆ มาลงให้ทราบกัน พร้อมกับหลักฐานในการโอนเงินบริจาคของเดือน กรกฎาคมนี้ครับ


    พันวฤทธิ์
    ประธานทุนนิธิฯ
    17/7/53

    [​IMG]


    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

     
  12. Natachai

    Natachai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2009
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +937
    อนุโมทนาทุกประการ สาธุ
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เมื่อวานช่วงราวๆ หกโมงเย็น ได้รับโทรศัพท์จาก รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) จ.น่าน ว่ามีหลวงปู่รูปหนึ่ง ท่านชื่อหลวงปู่วรกิจ ได้เดินธุดงค์จาก จ.อุตรดิตถ์ มาที่ จ.น่าน แล้วมาป่วยลง แต่เนื่องจากโรคของหลวงปู่นี้ เป็นโรคร้ายแรงระยะสุดท้าย เมื่อญาติโยมที่พบเห็นจึงเวทนา และนำมาส่งยัง รพ.สมเด็จฯ แต่เนื่องจากทาง รพ.เห็นว่าเป็นโรคที่ร้ายแรงเกินที่จะรักษาได้เนื่องจากเป็นระยะสุดท้ายแล้ว จึงส่งต่อไปยัง รพ.ในตัวจังหวัด ซึ่งคาดว่า หลวงปู่วรกิจไม่น่าจะมีอายุยืนยาวได้นาน แต่เนื่องจากท่านเป็นพระธุดงค์ไร้ญาติขาดมิตร ใน จ.น่าน ทางจนท.พยาบาลของ รพ.สมเด็จฯ ที่ติดต่อกับทุนนิธิฯ มาตลอด จึงโทร.มาปรึกษาว่า หากท่าน มรณะภาพที่ รพ.ในตัวจังหวัด ทางทุนนิธิฯ จะขัดข้องหรือไม่ ที่จะให้ ทาง รพ.สมเด็จฯ เป็นธุระในการจัดหาโลงศพ ค่าส่งศพ และผ้าไตร เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน ตามที่ทุนนิธิฯ ได้เคยทำไว้แล้วเมื่อตอนต้นปี ผมจึงได้ตอบตกลงทันทีและได้แจ้งให้รองประธานที่ปรึกษาได้ทราบในเบื้องต้นไว้ก่อน โดยยังที่ไม่ได้มีการแจ้งให้กรรมการท่านอื่นทราบ และหากมีข้อมูลเรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ มาจากทาง รพ.สมเด็จฯ แล้ว จะได้นำมาลงให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ก็ขอให้ผู้บริจาคได้ภูมิใจด้วยว่า หากแม้นพระภิกษุสงฆ์รูปใด หากใช้เงินของทุนนิธิฯ ในการรักษาแล้ว หากการรักษานั้นเกินกว่าความสามารถของแพทย์ที่จะรักษาชีวิตท่านไว้ได้ ทุนนิธิฯ แห่งนี้ ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือท่านจนถึงที่สุดไม่ว่าจะเป็นค่าโลงศพ ค่าส่งศพกลับวัด รวมถึงการทอดผ้าไตรในนามทุนนิธิฯ เป็นเกียรติแก่ท่านที่หน้าโลงศพ ทั้งนี้ เพื่อที่กุศลผลบุญต่างๆ ที่เกิดขึ้น พวกเราจะได้อานิสงส์กันอย่างสมบูรณ์ตามข้ามภพชาติไปนั่นเอง...


    พันวฤทธิ์
    19/7/53

    [​IMG]


     
  14. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    โมทนาบุญในสิ่งที่ดีแล้วกับทุก ๆ ท่าน ทุกประการครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2010
  15. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    วันนี้กระผมนำการ ปุจฉา - วิสัชนา มาให้เป็นกรณีศึกษาให้ทุกท่านได้พิจรณาและวิเคราะห์กันครับ

    กราบนมัสการหลวงปู่ครับ
    ปุจฉา
    กระผมมีข้อสงสัยกราบเรียนถามดังนี้ครับ
    1 การที่จะเข้าถึงพระธรรมนั้นต้องหยุดความคิดให้ได้ก่ือนใช่หรือไม่ครับ
    2 ความคิดนั้นเกิดจากใจเป็นตัวคิดไม่ใช่สมอง แต่สมองมีหน้าที่บันทึกเท่านั้นใช่หรือไม่ครับ
    3 การบริจาคร่างกายนั้น ถ้าชาติหน้าเราต้องเกิดอีกอวัยวะที่เราได้ให้เขาไปในชาตินี้ก่อนที่จะเผานั้น
    ชาติหน้าอวัยวะของเราจะยังครบ32อยู่หรือเปล่าครับ

    วิสัชนา
    1 การที่จะเข้าถึงพระธรรมนั้นต้องหยุดความคิดให้ได้ก่ือนใช่หรือไม่ครับ>>>>>>
    ครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ประทับอยู่ที่ถ้ำสุกะระขาตากับพระสารีบุตร มีมานพผู้หนึ่ง (จำชื่อไม่ได้แล้ว)
    ได้เข้าไปแสดงความคิดแก่พระองค์ว่า "สิ่งนี้ควรแก่ข้าพเจ้า,สิ่งนี้ไม่ควรแก่ข้าพเจ้า"
    พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "ดูก่อน (......) สิ่งที่ว่าควรก็ไม่ควรคิด-สิ่งที่ไม่ควรก็ไม่ควรคิด
    และทั้งควรและไม่ควร ก็ไม่ควรคิด" ดังนีแล้ว เมื่อมานพนั้นหยุดความคิดของตนลงแล้ว
    พระองค์จึงแสดงอริยสัจสี่ให้ฟัีง มานพนั้นจึงเข้าใจในพระพุทธศาสนาแจ่มแจ้ง แสดงตนเป็นพุทธมามะกะต่อหน้าพุทธองค์
    และในการครั้งนี้......พระสารีบุตรผู้ถวายงานพัดพระพุทธองค์อยู่ ก็วิมุติหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ไปด้วย เพราะพระสารีบุตรนั้น....ติดอยู่กับความคิด

    โดยคิดถึงอาจารย์เก่าของตน ว่า "ทำอย่างไรหนอ จึงจะให้อาจารย์ผู้นี้ได้รู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์บ้าง"
    จึงไม่วิมุติหลุดพ้นเสียที พอได้สดับคำเตือนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสบอกมานพผู้นั้น
    จึงพลอยหยุดความคิไปด้วย....แต่ตามธรรมดานั้น
    การไตร่ตรองหลักธรรมทางสมองก็ทำให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสได้....
    เพราะเห็นว่าคำสอนนี้มีหลักการที่ตนแสวงหาอยู่...คือทำให้พ้นทุกข์ได้....
    แต่ถ้าจะเจริญญาณปัญญาให้ละสังโยชน์ได้นั้น...."มันไม่ได้ใช้ความคิด"....

    2 ความคิดนั้นเกิดจากใจเป็นตัวคิดไม่ใช่สมอง แต่สมองมีหน้าที่บันทึกเท่านั้นใช่หรือไม่ครับ>>>>>>
    ไม่ใช่.....ใจเป็นเพียงสื่อกลางระหว่าง "สังขารกาย กับ สังขารจิต" เท่านั้น....ความคิดนั้นเหมือน "CPU"
    แปรค่าสัญญาให้เป็นผล ส่วนใจมีหน้าที่ติดตามผลส่งไปที่ "วิญญาณ" ให้เกิดการ "กระทำ" ทางกาย หรือ "จิต"
    ให้เจตสิกปรุงแต่งเป็น "ธรรมารมณ์"....

    3 การบริจาคร่างกายนั้น ถ้าชาติหน้าเราต้องเกิดอีกอวัยวะที่เราได้ให้เขาไปในชาตินี้ก่อนที่จะเผา นั้น
    ชาติหน้าอวัยวะของเราจะยังครบ32อยู่หรือเปล่าครับ>>>>>>>>
    ก็คนที่ไม่บริจาคนั้น....มันมีอะไรเหลืออีกเล่า.....มันก็เน่าก็เผาทิ้งทั้งนั้น....แต่สมณะนั้นไม่ควรบริจาค...
    เพราะมีศีลเป็นเครื่องรักษาอยู่มากแล้ว บุคคลธรรมดาไม่อาจรองรับอวัยของท่านได้ หรือเจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐานก็ไม่อาจละสังโยชน์ได้....
    เพราะติดสัญญาของการบริจาคร่างกายนี้อยู่...(การทำดีนั้นมันก็ดีอยู่...แต่ควรรู้เหตุและผลตามฐานะของการกระทำนั้นด้วย มิฉนั้นก็จะขัดกับการเจริญธรรมให้ยิ่งยวดขึ้นไปอีก)
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เมื่อวานได้ดำเนินการแลกเงินให้เรียบร้อยแล้วครับ จะนำส่งเข้าบัญชีทุนนิธิฯ ตามความประสงค์ต่อไป ขออนุโมทนาบุญด้วยอีกครั้ง อยู่ที่ประเทศอังกฤษ ก็รักษาตัวด้วย หากใจเป็นพุทธะ ที่ไหนในโลกกระแสบุญก็ตามไปถึงครับ


    [​IMG]


    [​IMG]

     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    หลักฐานบางส่วนของการโอนเงินผ่านทางธนาคารไปยัง รพ.ภูมิภาค ครับ โดยในส่วนของ รพ.สมเด็จพระยุพราช(ปัว) จ.น่าน และ รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบลฯ จะได้ธนาณัติให้ไม่เกินวันศุกร์นี้ และจะนำหลักฐานการส่งธนาณัติมาลงให้ทราบกันครับ

    [​IMG]

    [​IMG]



    [​IMG]
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ประมวลคติธรรมของหลวงปู่ (ฉบับปรับปรุง)

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]



    ๑. ครูอาจารย์ดีๆ มีอยู่มากก็จริง แต่สำคัญที่เราต้องปฏิบัติให้จริง สอนตัวเองให้มาก นั่นแหละจึงจะดี
    ๒. การปฏิบัติ ถ้าหยิบตำราโน้นนี้มาสงสัยถาม มักจะโต้เถียงกันเปล่า โดยมากชอบเอาจากอาจารย์โน่นนี่ว่าอย่างนั้นอย่างนี้มา …การจะปฏิบัติให้รู้ธรรมเห็นธรรม ต้องทำจริง จะได้อยู่ที่ทำจริง เอาให้จริงให้รู้ ถ้าไปเรียนกับครูอาจารย์อื่นโดยยังไม่ทำให้จริงให้รู้ ก็เหมือนดูถูกดูหมิ่นครูบาอาจารย์
    ๓. การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับการปลูกต้นไม้ ศีล คือ ดิน สมาธิ คือ ลำต้น ปัญญาคือ ดอกผล เราต้องการให้ต้นไม้เจริญงอกงาม ก็ต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน และต้องคอยระมัดระวังมิให้ตัวหนอนคือ โลภ โกรธ หลง มากัดกิน
    ๔. ถ้าเป็นโลกแล้ว จะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา แต่ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเข้ามาหาตัวเอง เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดในตัวของเรานี้ทั้งนั้น
    ๕. “โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม” เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้ ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเอง แก้ไขที่ตัวเราเอง... ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง
    ๖. ให้พยายามภาวนาไว้เรื่อยๆ ไม่ว่ายืน เดิน นั่ง นอน ทำได้ตลอดเวลาถ้าเราจะทำ ดีกว่านั่งร้องเพลง จะซักผ้า หุงข้าว ต้มแกง นั่งรถ ทำได้ทั้งนั้น เขาเรียกว่า พยายามเกลี่ยจิตใจให้เข้าที่ ถ้าจะรอเวลาปฏิบัติ (นั่งสมาธิภาวนา) ทีเดียวมันยาก เพราะจิตมันแตกมาตลอดวัน
    ๗. ของดีอยู่ที่ตัวเรา ให้หมั่นดูจิต รักษาจิต
    ๘. คนดีน่ะ เขาไม่ตีใคร
    ๙. ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เหมือนรสแกงส้ม
    ศีล เปรียบได้กับรสเปรี้ยว ความเปรี้ยวทำหน้าที่กัดกร่อนความสกปรกออก ทำนองเดียวกัน ศีลจะช่วยขัดเกลาความหยาบออกจากทางกาย วาจา ใจ
    สมาธิ เปรียบได้กับรสเค็ม เพราะความเค็มช่วยรักษาอาหารต่างๆ ไม่ให้เน่าเสีย สมาธิก็เหมือนกัน สามารถรักษาจิตของเราให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณงามความดีได้
    ปัญญา เปรียบได้กับรสเผ็ด เพราะปัญญามีลักษณะคิด อ่าน ตริตรอง โลดแล่นไป เพื่อขจัดอวิชชาความหลง
    ๑๐. การปฏิบัติ ถ้าอยากเป็นเร็วๆ มันก็ไม่เป็น หรือไม่อยากให้เป็น มันก็ประมาทเสีย เลยไม่เป็นอีกเหมือนกัน อยากเป็นก็ไม่ว่า ไม่อยากเป็นก็ไม่ว่า ทำใจให้เป็นกลางๆ ตั้งใจให้แน่วแน่ในกรรมฐานที่ตั้งไว้ ภาวนาเรื่อยไป เหมือนกับเรากินข้าว ไม่ต้องอยากให้มันอิ่ม ค่อยๆ กินไป มันก็อิ่มเอง ภาวนาก็เช่นกัน ไม่ต้องไปคาดหวังให้มันสงบ หน้าที่ของเราคือภาวนาไป ก็จะถึงของดีของวิเศษในตัว แล้วเราจะรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ให้หมั่นทำเรื่อยไป
    ๑๑. รวยกับซวยมันใกล้กันนะ จะเอารวยน่ะ จะหามายังไงก็ทุกข์ กลัวคนจะมาจี้มาปล้น หมดไปก็เป็นทุกข์อีก ไปคิดดูเถอะ มันไม่จบหรอก มีแต่เรื่องยุ่ง เอา “ดี” ดีกว่า
    ๑๒. ความสำเร็จนั้น มิใช่อยู่ที่การสวดมนต์อ้อนวอนพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาประทานให้ หากแต่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง ถ้าตั้งใจทำตามแบบแล้วทุกอย่าง รับรองว่าต้องสำเร็จ ไม่ใช่จะสำเร็จ พระพุทธเจ้าท่านวางแบบเอาไว้แล้ว ครูบาอาจารย์ทุกองค์มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ก็ได้ทำตามแบบเป็นตัวอย่างให้เราดู อัฐิของท่านก็เลยกลายเป็นพระธาตุกันหมด
    ๑๓. รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัวแล้วจึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำตอนเรือหรือแพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์
    ๑๔. ที่ว่านิมิต แสงสว่างเป็นกิเลสก็ถูก แต่เบื้องแรกต้องอาศัยกิเลสไปละกิเลส (อาศัยกิเลสละเอียดไปละกิเลสอย่างหยาบ) แต่ไม่ได้ให้ติดแสงสว่าง หรือหลงแสงสว่าง ท่านให้ใช้แสงสว่างให้ถูก ให้เกิดประโยชน์เหมือนอย่างกับเราเดินทางผ่านไปในที่มืด ก็ต้องอาศัยแสงไฟช่วยนำทาง หรืออย่างว่าเราจะข้ามแม่น้ำ ก็ต้องอาศัยเรือ อาศัยแพ เมื่อถึงฝั่งแล้ว เราจะแบกเรือแบกแพขึ้นฝั่งไปด้วยทำไม
    ๑๕. อย่าต้มน้ำทิ้งเปล่า ๆ โดยไม่ได้เอาน้ำร้อนไปใช้ประโยชน์ (หมายถึงอย่าเอาแต่ทำสมาธิโดยไม่พิจารณาธรรม)
    ๑๖. อย่าปฏิบัติแบบไฟไหม้ฟาง (หมายถึงไหม้วูบเดียวแล้วก็ดับ กล่าวคือ ขยันก็ทำ ขี้เกียจก็หยุด อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องทำ (ปฏิบัติธรรม) ให้สม่ำเสมอให้ได้ทั้งในยามขยันและขี้เกียจ)




    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. san02

    san02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +145
    วันที่ 20/07/10 ได้โอนเงินร่วมทำบุญจำนวน 300 บาท
     
  20. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    เดือนนี้ ชวนครอบครัวและเพื่อนมาทำบุญร่วมกัน เมื่อวานนี้ วันที่ 20 ก.ค. 2553 เวลา 19.24 น. โอนเงินร่วมบุญกับทุนนิธิฯ เป็นเงิน 600 บาทค่ะ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...