ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    อ้ายชาติคน
    <!-- Main -->ธรรมะดีๆจากท่านพุทธทาสภิกขุ

    เมื่อ มนุษย์ทั้งหลายเบื่อที่จะเข้าวัด แม่หมาตัวหนึ่งก็ชวนลูกหมาไปฟังเทศน์. ทางที่จะไปวัดนั้นต้องผ่านป่าช้าที่ทิ้งศพมนุษย์, ด้วยความเคารพในธรรม แม่หมาจึงเร่งลูก เพราะกลัวจะไปสาย. ส่วนลูกหมานั้นกำลังหิวเป็นกำลัง จึงอ้อนวอนขอกินศพก่อน ผู้ชมลองฟังคำโต้ตอบของแม่ลูกคู่นี้ดู :-


    แม่หมา เจ้าจะกินตรงไหน ไวบอกแม่ .
    ลูกหมา รสเลิศแท้ ตาผี ไม่มีสอง.
    แม่หมา อย่าเลยลูก, ตามัน แส่แต่มอง ทั้งโขนหนังนั่งจ้องกระจกเงา; จะหาแล แต่สิ่งที่สวยงาม; อย่านะ! เจ้าจะทราม ขืนกินเข้า.
    ลูกหมา ถ้าอย่างนั้น ฉันกินหูมัน ได้ไหมเล่า?
    แม่หมา หูมันเฝ้าแต่จะฟังเสียงสอพลอ.
    ลูกหมา (รำพึง) แม่จ๋า, หูมันคงไม่ฟังพระสั่งสอน. ลูกขอวอนกินจมูกได้ไหมหนอ?
    แม่หมา อย่าเลย, ถ้าเจ้าหยิ่งในเหล่ากอ มันชอบพอแต่จะดมกลิ่นดี ๆ.
    ลูกหมา ถ้าอย่างนั้น ลูกจะกินลิ้นมันนะ.

    แม่หมา ตายละ! สับปลับ ปลิ้นปล้อน ลิ้นคนนี่ , ปากว่าชอบนิพพานอย่างโน้นนี้ แท้จริงซิ สังสารวัฎฎ์เต็มอัตรา.
    ลูกหมา ถ้าอย่างนั้น, ฉันกินมือ ได้หรือแม่ ?
    แม่หมา อัปรีย์แท้ เทียวลูก, มือคนหนา. หน้าไหว้หลังหลอกต่อครูบา ทั้งเข่นฆ่าเฆี่ยนตี พ่อแม่ตัว.
    ลูกหมา อย่างนั้นลูกจะขอ กัดกิน ตีนของมัน.
    แม่หมา ลูกเอ๋ย นั่นมันร้าย อยู่ใช่ชั่ว; ไม่ย่างเท้า เข้าฟังธรรม ประจำตัว เดินไปทั่ว แต่ทาง แห่งอบาย.
    ลูกหมา แม่จ๋า ลูกขอกินหัวใจผี (นะแม่นะ)
    แม่หมา (ขู่คำราม ขนตั้งชัน) หยุดนะ, อย่านะ, นั่นกาลีน่าใจหาย ตัวกู -ของกูอยู่นั่น นะลูกชาย; คนใจร้ายโสมม เสียสิ้นดี .
    นั่น แหล่ะ ลูกหมาที่น่าสงสาร จึงได้รู้จักสัตว์ที่เรียกตนเองว่า "มนุษย์" ซึ่งแปลว่า มีใจสูง ดีขึ้น จึงจ้องมองดูศพ ด้วยดวงตาอันเหยียดหยาม ถ่มเขฬะรด "ถุย!" แล้วว่า:-

    อ้ายชาติชั่ว เรียกตัว ว่ามนุษย์
    ผลที่สุด ไม่มีดี อะไรนี่ .
    อนิจจา หมาไม่กิน ขำสิ้นดี
    เสียแรงที่ แสนฉลาด "อ้ายชาติคน

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=tonkla1&month=03-06-2010&group=17&gblog=65
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้เทศน์เตือนสตินักโทษ
    <!-- Main -->[​IMG]
    พระครูศรีนนทวัฒน์ วัดบางแพรกใต้


    “....ขอเจริญพร ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านผู้มีกิจที่จะต้องละจากโลกนี้ไปสู่ยังปรโลกเบื้องหน้า
    ตามกฎสังสารวัฏที่มีการเวียนว่ายตายเกิดเป็นธรรมดา ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนต้องมีวันนี้ด้วยกันทั้งนั้น
    ต่างแต่ว่าใครจะถึงวันนี้ก่อนหลังกันเท่านั้น และไม่มีใครที่จะหนีวันนี้ไปได้ เมื่อทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้
    ท่านกล่าวว่าเกิดมาด้วยอำนาจกรรม ดังพระบาลีที่ว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย
    ซึ่งแปลว่า กรรมย่อมจำแนกสัตว์ คือให้ทรามและประณีต
    ดังจะเห็นว่า ทุกคนที่เกิดมาไม่เหมือนกัน ต่างชั้นต่างวรรณะ ยาก ดี มี จน รูปร่าง นิสัย
    แม้เกิดมาวันเดียวกันยังไม่เหมือนกัน ทั้งนี้เพราะทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง
    ดังที่ท่านผู้รู้กล่าวว่า ทุกคนเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมเก่า และสั่งสมกรรมใหม่
    ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ว่า บางคนทำแต่ความดี แต่ผลที่ได้รับไม่ค่อยดี จนบางทีกลับท้อถอย
    โดยคิดว่า ทำดีไม่ได้ดี นั่นเป็นเพราะว่า เขากำลังได้ผลกรรมชั่วที่เขาได้ทำไว้ในกาลก่อนให้ผลอยู่

    ผิดกับบางคน ทำแต่สิ่งที่ไม่ดี แต่กลับได้รับผล คือความดี ได้รับการยกย่องสรรเสริญ
    เพราะว่าเขากำลังเสวยผลกรรมดีที่เขาทำไว้ในกาลก่อน กำลังให้ผล
    เมื่อหมดกรรมเก่าที่ให้ผลเมื่อไร จึงจะเห็นกรรมในภพปัจจุบัน

    เมื่อเรามาคิดว่า เรามีกรรมเป็นของตน ย่อมเป็นไปตามกรรมนั้น
    ดังพระบาลีที่ยกไว้เป็นเบื้องต้นว่า กมฺมุนา วตฺตตี โลโก ซึ่งแปลว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
    เราจะหนีไม่พ้น ดังที่โยมทุกท่านที่ได้ประสบพบอยู่นี้ จะรู้ตัวดีว่า เรากำลังเสวยกรรมอะไรอยู่
    จะทำหรือไม่ทำ จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ทำไมต้องมาประสบพบกับสิ่งเหล่านี้ และทำไมถึงต้องมีวันนี้
    ทั้งหมดที่กล่าวมา เพราะว่าเราก็ต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ที่เราทำไว้
    ไม่ว่าจะเป็นในชาติก่อน หรือว่าชาตินี้ เราต้องชดใช้

    เมื่อท่านทั้งหลายคิดได้อย่างนี้ จึงไม่สมควรที่จะคิดพยาบาทอาฆาตจองเวรกับใคร
    ควรปล่อยให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอโหสิกรรมไป
    ทุกคนที่ทำกับเราอยู่ขณะนี้ ขอให้คิดว่าเขาทำไปตามหน้าที่ที่เขาได้รับ
    อย่าพยาบาทอาฆาตจองเวรใครอีก เพราะว่าเมื่อท่านคิดพยาบาท อาฆาตจองเวร จิตใจก็เศร้าหมองไม่ผ่องใส
    เมื่อจิตใจเศร้าหมอง ขณะละจากโลกนี้ไปสู่ปรโลกเบื้องหน้า

    พระศาสดาท่านตรัสไว้ว่า จะไปสู่ทุคติ คือกำเนิดในนรก สัตว์ดิรัจฉาน เปรต อสุรกาย
    ซึ่งคนไม่ปรารถนาที่จะไปสู่โลกเหล่านี้ ขอให้คิดว่าเรายังดีที่มีโอกาสได้รู้ว่าเราจะตายเมื่อไร
    ได้มีโอกาสทำทุกสิ่งก่อนที่เราจะตาย ได้ทำบุญกุศล ได้รักษาศีล ได้เจริญภาวนา
    ได้ทำภารกิจที่ตัวเองคิดว่าจะต้องทำก็ได้ทำเสร็จสิ้นแล้ว
    ผิดกับตัวอาตมาที่เทศน์อยู่นี้ ไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไร ไม่มีโอกาสทำสิ่งที่อยากจะทำก่อนตาย

    เมื่อเราคิดได้ว่า ขอให้เราชดใช้กรรมนี้ให้หมด ไม่พยาบาทอาฆาตใคร ทำจิตใจของเราให้สงบ
    เพราะเรามีเวลาน้อยกว่าคนอื่นอีก ความดีที่เราจะทำได้ คือทางใจอย่างเดียว
    ขอให้ทุกคนจงรักษาไว้ให้ได้ทุกขณะลมหายใจเข้าออก ให้กำหนดเป็นกัมมัฏฐาน ตัดห่วงที่อยู่ในโลกนี้ทิ้ง
    เพราะเราไม่สามารถจะช่วยเหลือใครได้อีกแล้ว และไม่มีใครที่จะมาช่วยเราได้ นอกจากตัวเราเอง
    ดังพุทธภาษิตที่ว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน

    คนอื่นเราพึ่งใครไม่ได้ พยายามทำตัวเราให้เราพึ่งตัวเองให้ได้ เมื่อเราทำได้ จิตใจก็จะสงบ
    เมื่อจิตใจสงบระงับจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย เราละจากโลกนี้ไปในขณะนี้ สุคติเป็นที่หวังในเบื้องหน้า
    ดังพระบาลีว่า จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่หวังได้

    ฉะนั้น เมื่อมาถึงตรงนี้ ขอให้ทุกท่านจงพยายามรักษาสิ่งเดียวที่จะรักษาได้ คือ ใจ
    ทุกย่างก้าวที่ออกจากนี้ อย่าปราศจากสติสัมปชัญญะ รักษาใจให้สงบระงับ จนกว่าวาระสุดท้ายของเราจะมาถึง
    ขอให้ทุกท่านทำให้ได้ รักษาใจไว้ให้ดี สุคติจะเป็นที่ไปในเบื้องหน้าทุกท่านทุกคน เทอญ
    เทศนาก็อวสานยุติลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้...”


    ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นพระธรรมเทศนาในหัวข้อ “กมฺมุนา วตฺตตี โลโก” แปลว่า “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
    ที่พระครูศรีนนทวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ อ.เมือง จ.นนทบุรี
    ไม่ได้รับกิจนิมนต์ให้ไปเทศน์มานานกว่า ๓ ปีแล้ว ซึ่งท่านก็ยินดีที่ไม่ได้รับกิจนิมนต์ดังกล่าวด้วย
    เพราะทุกครั้งที่ท่านได้รับกิจนิมนต์ หลังใช้เวลาเพียง ๑๕ นาที
    หลังจากนั้นอีกไม่ถึง ๑๐ นาที จะมีคนตายอย่างน้อย ๑ คน
    ซึ่งอาจะพูดได้ว่า เทศนาของพระครูศรีนนทวัฒน์ เป็นเทศนามรณา

    "พระนักเทศน์นักโทษประหาร" เป็นฉายาหนึ่งเดียวของพระนักเทศน์ของ พระครูศรีนนทวัฒน์
    ด้วยเหตุที่ว่า ท่านเป็นพระนักเทศน์หนึ่งเดียว ที่มีประสบการณ์เดินเข้าออกคุกบางขวางนับครั้งไม่ถ้วน
    ตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาส ปี ๒๕๓๘ และผูกขาดจนถึงปัจจุบัน
    ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ในหมู่นักโทษของเรือนจำบางขวาง
    จนมีคำพูดหนึ่งของนักโทษ มักพูดให้ได้ยินอยู่เสมอๆ ว่า

    "ถ้าผมไม่ติดคุก ผมคงไม่มีโอกาสฟังเทศน์และปฏิบัติธรรม
    หากเข้าวัดฟังเทศน์และปฏิบัติธรรมตั้งแต่อยู่นอกคุก วันนี้คงไม่ต้องมานั่งฟังเทศน์ในคุก"

    จากประโยคคำพูดของนักโทษดังกล่าว พระครูศรีนนทวัฒน์ บอกว่า เมื่อเรามีโอกาสฟังพระเทศน์ก็จงรีบฟัง
    ถ้าตั้งใจฟังก็จะเกิดปัญญา หากนำหัวข้อธรรมะไปปฏิบัติ ชีวิตก็จะเจริญรุ่งเรืองเหมือนได้อยู่เมืองสวรรค์

    ถ้าไม่ฟังเทศน์ นอกจากไม่เกิดปัญญาแล้ว อาจจะนำพาชีวิตไปสู่นรกได้
    แต่คนส่วนใหญ่มักอ้างว่า ไม่มีเวลาฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม
    ซึ่งความจริงแล้ว การฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน ไม่จำเป็นต้องมาทำที่วัด
    อยู่ที่ไหนเวลาใด ก็ฟังเทศน์ ปฏิบัติธรรม และเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานได้ทั้งสิ้น

    แต่คนส่วนใหญ่ ไม่รู้วิธีปฏิบัติธรรม ไม่รู้จักการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน จึงคิดว่าการเข้าถึงธรรมะเป็นเรื่องยาก

    แม้ว่าทันทีที่พระครูศรีนนทวัฒน์ เทศน์จบ นักโทษก็ถูกประหารทันที
    คนจำนวนไม่น้อยคิดว่า มันจะมีประโยชน์อะไร
    แต่ท่านบอกว่า คนที่รู้ตัวว่าจะตายอย่างมีสติ ตายด้วยจิตที่ไม่อาฆาตพยาบาท
    ดีกว่าคนที่ตายในขณะที่ควบคุมสติไม่ได้
    เพราะอย่างน้อย มันก็เป็นการเตือนสติไม่ให้จิตมีความอาฆาตผูกพยาบาท จิตที่สงบก่อนสิ้นลมย่อมพาดวงวิญญาณไปสู่สุคติ

    แต่คนปกติแล้ว คนทั่วๆ จะตายแบบไม่รู้ตัว หรือเรียกว่าตายแบบไม่มีสติ
    แต่นักโทษประหาร ตายอย่างมีสติ รู้กำหนดลมหายใจจะสิ้นเมื่อไร

    การที่รู้ตัวก่อนตายทำให้สามารถเตรียมตัวก่อนตาย
    สามารถทำกิจอะไรก่อนตายได้ เขียนจดหมายบอกลา ฝากคำพูด และแบ่งทรัพย์สมบัติได้
    ส่วนคนที่ตายแบบไม่รู้ตัวเลยนั้น ร้อยทั้งร้อย ไม่เคยเตรียมอะไรไว้เลย ดังนั้น คนเราจึงควรตั้งชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท เพราะความตายเปรียบเสมือนเงาที่ตามตัวเราตลอดเวลา"

    พร้อมกันนี้ พระครูศรีนนทวัฒน์ พูดทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า นรกสวรรค์บนโลกมนุษย์ มีอยู่จริง
    ไม่ต้องรอให้ถึงความตายเข้ามาหา ที่เห็นเป็นรูปธรรม คือ คุก เป็นนรก โลกภายนอกคุกเป็นสวรรค์
    ซึ่งนับวันนรกจะแคบลงทุกวันๆ จนต้องขยายสาขานรกไปสู่ภูมิภาค นั่นหมายถึง คนห่างศีลห่างธรรมมากขึ้น
    จ้องแต่จะทำกรรมชั่ว เพื่อเดินไปหานรก ทั้งๆ ที่กรรมดีมีให้ทำอยู่มากมาย แต่กลับไม่ทำ

    สำหรับนักโทษประหารแล้วใน ๗ วัน จะมีวันขึ้นสวรรค์อยู่ ๒ วัน คือวันเสาร์ อาทิตย์
    เพราะเขาไม่ประหารกันในวันนี้ ส่วนอีก ๕ วัน เป็นวันที่ตกนรกทั้งเป็น เพราะคำสั่งประหารจะออกมาวันไหน
    และตกอยู่ที่ใครในจำนวนนักโทษที่รอประอยู่ประมาณ ๑๐๐ คน และนับวันจะเพิ่มขึ้นอีก


    เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"
    ที่มา : คมชัดลึก
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    แง่คิดดีดี แค่คิดก็พิชิตอุปสรรคแล้ว
    <!-- Main -->

    [SIZE=-1][​IMG][/SIZE]​


    [SIZE=-1]คุณมีตาทั้งสองข้าง แต่หากไม่รู้จักมองหาสิ่งดีๆ คุณก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าคนที่ตาบอดมาแต่กำเนิด [/SIZE]​


    [SIZE=-1]คนที่เข้ามาหาเรา คือเงาสะท้อนตัวเราเอง หากเป็นคนดี คนดีๆจะเข้ามาหา[/SIZE]

    [SIZE=-1]คบคนเช่นใดเป็นมิตร เสพสนิทกับคนเช่นใด เราก็จะกลายเป็นคนเช่นนั้น ผลของการอยู่ร่วมกันย่อมเป็นเช่นนี้เอง[/SIZE]

    [SIZE=-1]ความเหนื่อยมาก่อน ความสุขจะตามมา[/SIZE]

    [SIZE=-1]ความดีก็ต้องทำ ความชั่วก็ต้องทิ้ง[/SIZE]

    [SIZE=-1]วันไหนๆก็ไม่สำคัญเท่าวันนี้ เป็นวันที่สำคัญกว่าวันไหน ถึงพรุ่งนี้มะรืนนี้ดีอย่างไร ก็ยังไม่สำคัญเท่าวันนี้[/SIZE]

    [SIZE=-1]ผู้ใดรีบในการที่ควรช้า ผู้ใดช้าในการที่ควรรีบ คนที่ไม่ฉลาดในการจัดการเช่นนั้น จะต้องพบกับความทุกข์ร่ำไป[/SIZE]

    [SIZE=-1]ไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง ไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป [/SIZE]


    [SIZE=-1]ในได้มีเสีย ในเสียมีได้[/SIZE]



    [SIZE=-1]คนโง่ที่รู้ตัวว่าเป็นคนโง่ ยังมีโอกาสเป็นคนฉลาด [/SIZE]


    [SIZE=-1]ส่วนคนโง่ที่สำคัญตนเป็นปราชญ์ คนนั้นแหละบรมโง่[/SIZE]



    [SIZE=-1]ชนะศัตรูพันคนพันครั้ง ก็ยังไม่นับเป็นแม่ทัพที่ยอดเยี่ยม [/SIZE]


    [SIZE=-1]ต่อเมื่อใดชนะใจตนเพียงคนเดียว จึงนับเป็นยอดขุนพล[/SIZE]



    [SIZE=-1]พ่อแม่ที่รักลูกมากเกินไป จนไม่ยอมให้ลูกทำอะไรด้วยตนเอง [/SIZE]


    [SIZE=-1]วันหนึ่งเขาจะกลายเป็นลูกบังเกิดเกล้า พ่อแม่จะเป็นบ่าวข้าใช้ของลูก[/SIZE]




    [SIZE=-1]คนทุกคนต่างมีปาก บางคนใช้ปากสร้างเสน่ห์ให้กับตน [/SIZE]


    [SIZE=-1]บ้างใช้ปากสร้างเสนียดแก่ตน เสน่ห์หรือเสนียดไม่ได้อยู่ที่ไหน[/SIZE]


    [SIZE=-1]***แต่อยู่ที่ปากของเรา***[/SIZE]


    [SIZE=-1]เคล็ดลับหน้าใสของพระพุทธเจ้ามีดังนี้ ไม่หวนละห้อยถึงความหลัง [/SIZE]


    [SIZE=-1]จ่อจดอยู่กับขณะปัจจุบัน ผิวพรรณจึงผ่องใส[/SIZE]





     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    บางส่วนของรูปถ่ายที่เก็บไว้ พระพิมพ์สมเด็จสกุล "ปัญจสิริ" รุ่นแรก องค์พระอย่างบางที่นิยมเช่าหาและเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว พระในตำนานที่รอการพิสูจน์ พลังอิทธิคุณและบารมีเกริกไกรกว่าพระสมเด็จวัดระฆังมากมายนัก ตามที่ท่าน อ.ประถม อาจสาคร หรือนามปากกา ปรัศนี ประชากร ได้เขียนไว้ในหนังสือ "วิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จฯ และพระสมเด็จท่านเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์<WBR>มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุญนาค)"
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC_0180.jpg
      DSC_0180.jpg
      ขนาดไฟล์:
      56.9 KB
      เปิดดู:
      109
    • DSC_0182.jpg
      DSC_0182.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.5 KB
      เปิดดู:
      91
    • DSC_0184.jpg
      DSC_0184.jpg
      ขนาดไฟล์:
      61.5 KB
      เปิดดู:
      120
    • DSC_0185.jpg
      DSC_0185.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.8 KB
      เปิดดู:
      91
    • DSC_0186.jpg
      DSC_0186.jpg
      ขนาดไฟล์:
      57.6 KB
      เปิดดู:
      101
    • DSC_0188.jpg
      DSC_0188.jpg
      ขนาดไฟล์:
      52.8 KB
      เปิดดู:
      89
    • DSC_0190.jpg
      DSC_0190.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.8 KB
      เปิดดู:
      93
    • DSC_0191.jpg
      DSC_0191.jpg
      ขนาดไฟล์:
      68.4 KB
      เปิดดู:
      117
    • DSC_0192.jpg
      DSC_0192.jpg
      ขนาดไฟล์:
      55.5 KB
      เปิดดู:
      102
    • DSC_0194.jpg
      DSC_0194.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.4 KB
      เปิดดู:
      106
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    [​IMG]

    อุบายในงานอุปสมบท
    <!-- Main -->

    หมอน - หมายถึงกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิตใจ ผู้บวชจักต้องตื่นรู้มีสติ
    ที่ให้หญิงเป็นถือนั้นก็อาจเป็นอุบายเพื่อให้ผู้บวชเห็นชัดในกิเลสของผู้บวชเอง

    ขบวนรำวงเบื้องหน้า - หมายถึง หนทางข้างหน้านั้นจักมียศ มีลาถสักการะ มีคำสรรเสริญ เป็นอันมาก โลกจักยกย่องเชิดชูผู้บวช
    ผู้บวชจักต้องรู้และมีสติไม่หลงยึดติด ในสุขนั้น

    ผู้เดินตามหลัง - จักมีชนอีกจำพวกหนึ่ง ซึ่งอาจรู้ตามเห็นจริงในธรรมวินัยนี้ได้ ซึ่งผู้บวชควรแสดงความอนุเคราะห์ให้รู้ตามธรรมสมควรแก่บุคคลนั้นๆ

    กางร่มให้ผู้บวช - ก็เพื่อให้ผู้แลเห็น เข้าใจว่า นี้คือผู้ร่มเย็นจักเป็นที่พึ่งของพุทธศาสนา เป็นเนื้อนาบุญของโลก

    ให้ขี่คอ - เพื่อยกย่องเชิดชูว่าผู้บวช เมื่อบวชแล้วจักดำรงอยู่ในคุณธรรมเบื้องสูง อันไม่ใช่วิสัยของผู้ครองเรือนอีกต่อไป

    โยนเหรียญ - เพื่อให้รู้ว่าผู้บวชได้สละซึ่งทรัพย์อันน่าปราถนาของชนทั้งหลายแล้ว และจะมีจิตเมตตาอนุเคราะห์ ทำกิจเพื่อประโยชน์แก่ตนและบุคคลทั้งหลาย

    เวียนสามรอบ - เพื่อแสดงความเคารพในพระรัตนตรัย และจักเพื่อดำรงจิตให้มีสติวนเกาะอยู่พระรัตนตรัยนั้น แม้ผู้อื่นก็จักให้ดำเนินตามด้วย

    ให้ผู้มีอุปการะมากแก่ผู้บวช ถือปิ่นโต บาตร จีวร - เพื่อให้ผู้บวชระลึกถึงการดำรงอยู่ในสมณะเพศ จักต้องอาศัยข้าวเลี้ยงชีพ อาศัยจีวรเป็นเครื่องนุ่งห่ม
    ทั้งที่อยู่อาศัยของผู้บวช นั้นล้วนเป็นอุปการะมากแก่ผู้บวช ชนทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้มีอุปการะมาก
    และเพราะเป็นของที่เค้านำมา ผู้บวชจึงต้องไม่ปฎิบัติตนอันเสื่อมเสีย ไม่ประพฤติตนนอกธรรมวินัย และจักต้องอนุเคราะห์เกื้อกูลแก่ชนทั้งหลาย


    ...เมื่อคนทั้งหลายลากลับไป โอ้นี่หนอชีวิตเรา เรามาผู้เดียว เราก็ไปเพียงผู้เดียว คนอื่นสิ่งอื่นมิได้เป็นที่พึ่งพิงได้อย่างถาวรเลย
    มีเพียงธรรมเท่านั้น ที่จักเป็นที่พึ่งแก่เรา ชีวิตของเรานี้ก็สั้น เป็นลาภอันประเสริฐแก่เราแล้วหนอ ที่ได้มาบวชในพระพุทธศาสนานี้

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=jaipranthum&month=24-10-2009&group=2&gblog=22
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    [​IMG]

    “ข้าวโพดคั่ว” กับ “ธรรมะ”

    <!-- Main -->"นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ"
    ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

    ------------------------------------------------------------------------------

    โลกเล็กๆใบนี้ก็เปรียบดั่งหม้อกะทะคั่วเมล็ดข้าวโพด
    ไฟอันเขาตั้งไว้ดีแล้วก็เปรียบดั่งกิเลสและตัณหาอันเร่าร้อนเผาในจิตใจของมนุษย์ปถุชน
    บุรุษ,นางสตรี,หรือเด็ก ที่เขย่า หรือเหล็กหมุนคลุกเคล้าเมล็ดข้าวโพดในหม้อคั่ว ก็เปรียบดั่งกามกิเลสทั้งหลาย
    มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นต้นนั้น หลอกลวงยั่วยวนให้หมู่สัตว์ มนุษย์ เทวดา พรหม ให้ลุ่มหลง ให้มัวเมา
    คลุกเคล้า หลงติดอยู่กับสังสารวัฎ
    เมล็ดข้าวโพด เปรียบดั่งหมู่สัตว์เหล่านั้น ติดอยู่ในโลก
    ติดอยู่ในภพ ในหม้อกะทะนั้น ถูกฝาปิดบังมืดมิดด้วยอวิชชา เมื่อถูกไฟกิเลสตัณหาเผาอยู่ ถูกกามราคะยั่วยวนให้คลุกเคล้าติดอยู่
    เมล็ดข้าวโพดเหล่านั้นก็พ่ายแพ้แตกออกฟูฟ่อง เมื่อนำออก ก็ถูกกลืนกินไปเสียหมด แต่จะมีบางเมล็ดที่ไม่ยอมแตกปริ ออกอย่างนั้น เมล็ดข้าวโพดนั้นยังคงความแกร่งในตัวของมันเอง มีสภาพคงความเป็นเมล็ดคงเดิมอยู่อย่างนั้น

    ผู้ปฏิบัติธรรม ก็ต้องอดทนต่อความเร่าร้อนเหมือนดั่งเมล็ดข้าวโพดไม่แตกปรินั้น ไม่ให้ใจของตนพ่ายต่อกิเลส แม้จะถูกความเร่าร้อนสักเท่าไหร่ แม้จะถูกกามราคะยั่วยวนสักเท่าไหร่ ก็อดทน มีขันติ มีความเพียร มีปัญญาเป็นเครื่อง รักษาธรรมนั้นไว้
    บัณฑิตย่อมสรรเสริญ บุคคลเช่นนั้น

    ชีวิตนี้ดำรงอยู่ได้ก็เพียงชั่วคืน ชั่ววัน สั้นไม่ยาวนาน
    กำหนดความแน่นอนก็มิได้
    “สิ่งที่มองเห็นก็นำติดไปไม่ได้ สิ่งที่จะติดตามตนไปได้ก็มองไม่เห็น”

    “ธรรม” เท่านั้นจะเป็นเครื่องเบาใจ คุ้มครองใจ เป็นหลักประกันที่พึ่งของชีวิตได้อย่างมั่นคง ตลอดไป...


    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=jaipranthum&month=09-2009&date=13&group=2&gblog=19
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรมงานบุญที่ รพ.สงฆ์ครับ กิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนนี้เป็น วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน 2553 คือวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ทราบทั่วกัน โดยผมและนายสติจะได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ มาเพื่อเตรียมบริจาค ตามประมาณการดังนี้


    1 รพ.สงฆ์

    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้ 200 รูป)
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-
    รวม 16,000.-

    2 รพ.ภูมิภาค

    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 6,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราช (ปัว) 8,000.-
    จ.น่าน
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย 5,000.-
    จ.เลย
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 5,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000.-
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-
    รวม 50,000.-

    รวมเป็นยอดเงินบริจาคตามข้อ 1.และ 2. เป็นเงินทั้งสิ้น
    66,000.- (หกหมื่นหกพันบาทถ้วน)



    สำหรับงานบุญในเดือนนี้ คงไม่มีอะไรมากนอกจากจะเปิดโอกาสให้ทำบุญเพื่อหาปัจจัยสร้างหลังคาหอฉันของสำนักสงฆ์ดอยอกิญจโน ต.สบเปิง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ โดยผู้ที่ทำบุญในงาน จะมีพระพิมพ์สกุลวังหน้าเพียง 5 องค์ นำมาให้บูชากัน โดยพระพิมพ์นี้ เป็นพิมพ์เดียวกันกับที่ผมใช้อยู่ และจากการตรวจทางจิตพบว่าอธิษฐานบารมีโดยบรมครูหลวงปู่โลกอุดรองค์ที่ 3 คือ หลวงปู่อิเกสาโร โดยท่านขอบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันท่านมาทำให้ โดยเป็นพระพิมพ์สมเด็จที่มีพระโลหิตธาตุของพระองค์อยู่ด้วย นับเป็นมงคลแก่ผู้บูชาอย่างยิ่ง เดิมทีพระชุดนี้ผมกะจะเก็บไว้ใช้เองเพราะคัดไว้แล้ว และมีไม่มาก แต่เมื่อนึกถึงสำนักสงฆ์ที่อยู่กลางดอยหลังคารั่ว ฝนลงมาทำให้ขบฉันไม่สะดวก กอรปกับสำนักสงฆ์อยู่ท่ามกลางชาวเขาเผ่าแม้วที่ยากจน จึงจำเป็นที่จะนำออกมาให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมบูชากันแล้วถวายปัจจัยที่ได้ทั้งหมดให้ท่านเพื่อไปซ่อมแซมหลังคาได้ทันในหน้าฝนและเข้าพรรษานี้ พร้อมนี้ผมจึงขอเรียนเชิญผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมในกระทู้นี้ใหม่ๆ หากมีเวลาไปทำบุญถวายสังฆทานอาหารที่ รพ.สงฆ์ในเวลา 7.30 น.-9.00 น. กัน (เริ่มถวายสังฆทานเวลา 8.00 น.)โดยจุดเตรียมเครื่องสังฆทานอาหารอยู่ที่ โรงอาหารด้านข้างของ รพ. หากเดินเข้ามาที่ รพ.สงฆ์ โรงอาหารจะอยู่ด้านซ้ายมือสุด ติดรั้วของ รพ. หากมีเวลาขอเรียนเชิญด้วยใจจริงครับ มาทำบุญกัน มารับบุญกัน บางทีสิ่งที่ติดขัดในชีวิตจะลดน้อยถอยลง เหมืออย่างที่ผู้ที่มาทำบุญถวายสังฆทานกับทุนนิธิฯ มาเป็นเวลานานได้พบได้เจอกัน



    พันวฤทธิ์
    19/6/53
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มิถุนายน 2010
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    วันนี้มีของดีมาแนะนำกันครับ





    พระผงรูปเหมือนเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต รุ่นกตัญญู

    หากเอ่ยชื่อวัดเทพศิรินทราวาส แล้วนักนิยมพระเครื่องร้อยทั้งร้อยต้องนึกถึงท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต พระภิกษุที่ได้รับการยกย่องจากพุทธศาสนิกชนว่า เป็นอริยะสงฆ์ผู้สำเร็จในยุคกึ่งพุทธกาล ด้วยจริยาวัตรอันงดงามของท่านที่เคร่งครัด และไม่ยึดติดในลาภ ยศ ชื่อเสียง แม้ในช่วงที่ท่านอยู่ในเพศฆราวาส (ก่อนอุปสมบท) มียศถึงเจ้าพระยา กลับได้ชื่อว่าเป็นมหาดเล็กที่สมถะมักน้อยที่สุด เช่นการแต่งกาย ของท่านก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย ชอบสงบ ยามว่างท่านจะนั่งสมาธิตามลำพังเสมอ นับได้ว่าท่านเป็นผู้ถือศีล บริสุทธิ์ มาตั้งแต่สมัยเป็นฆราวาสทีเดียว และเมื่อท่านได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุท่านก็ไม่ปรารถนาชื่อเสียง แต่กลับเป็นภิกษุที่มีชื่อเป็นอมตะจนทุกวันนี้ ผู้ที่ได้รับใช้ใกล้ชิดท่านนั้นเชื่อกันว่า ท่านน่าจะสำเร็จญาณชั้นสูง แต่จะถึงอรหันต์หรือไม่นั้น ไม่มีใครตอบได้เพราะท่านเป็นพระที่ไม่โอ้อวด แต่ที่แน่ใจได้อย่างหนึ่งก็คือ ท่านรู้วันมรณะของตนเอง

    ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต หรือพระภิกษุธัมมวิตกโกภิกขุ เดิมชื่อ ตรึก จินตยานนท์ เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๔๐ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๓ ปีระกา เวลาประมาณ ๐๗.๔๐ น. (ตรงกับวันมาฆบูชา) เป็นบุตรคนโตของคุณพระนรราชภักดี (ตรอง จินตยานนท์) มารดาชื่อ ภุก จินตยานนท์ ส่วนสถานที่กำเนิดของท่านคือ บ้านเลขที่ ๙๒ ถนนพะเนียง หลังวัดโสมนัสวิหาร อ.ป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ

    เมื่อเจริญขึ้นท่านก็ได้เข้าศึกษาวิชาเบื้องต้นที่โรงเรียนวัดโสมนัส จนจบชั้นประถม (ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดในสมัยนั้น) และได้เข้าศึกษาชั้นมัธยมที่โรงเรียนวัดเบญจมบพิตร สำเร็จการศึกษาชั้นมัธยมด้วยการสอบได้ที่ ๑ ของสนามสอบ (การ สอบในสนามสอบ ในสมัยนั้นเป็นการสอบรวมกันหลาย ๆ โรงเรียนโดยใช้ข้อสอบเดียวกัน ฉะนั้นอาจจะกล่าวได้ว่า ท่านสอบได้ที่ ๑ ของประเทศในสมัยนั้น) และได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนข้าราชการพลเรือน (ปัจจุบันคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) โดยเลือกเรียนวิชารัฐศาสตร์ ซึ่งไม่ค่อยตรงกับที่ท่านตั้งใจไว้เพราะแต่เดิมท่านสนใจในวิชาแพทย์ แต่ด้วยบิดาท่านเป็นนักปกครอง อยากจะให้ท่านเป็นนักปกครองตามท่านจึงเลือกเรียนตามความประสงค์ของบิดา และในขณะที่ท่านศึกษาอยู่เมื่อมีเวลาว่าง ท่านก็จะเข้าเรียนพิเศษภาษาอังกฤษกับครูเฉลิม สำหรับการเรียนวิชารัฐศาสตร์ของท่านนั้นท่านจบด้วยการสอบไล่ได้ที่ ๑ ของชั้นเรียน

    ภายหลังจากการที่ท่านศึกษาอยู่ในปีสุดท้าย นักศึกษาในปีนั้นต้องเข้ารับการซ้อมรบเสือป่า ในฐานะนักเรียนเสือป่ารักษาพระองค์ และในการซ้อมรบครั้งนี้เองทำให้ชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลงไป เดิมนั้นต้องการเป็นข้าราชการปกครองกลับต้องมาเป็นข้าราชการในสำนักฯ เพียงเพราะล้นเกล้า รัชกาลที่ ๖ เห็นท่านรูปร่างเล็กจึงทรงรับสั่งถามว่า “ตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ถ้าเกิดข้าศึกดักทำร้ายแล้วจะสู้เขาไหวหรือ” ท่านจึงกราบบังคมทูลว่า “ต้องขอลองสู้ดูก่อน ส่วนจะไหวหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่งขอรับ” ถ้อยคำกราบบังคมทูลในครั้งนั้นเป็นที่พอพระราชหฤทัยของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ มาก หลังจากซ้อมรบเสือป่าเสร็จสิ้นแล้วก็ทรงโปรดให้ ท่านเป็นฝ่ายในและโปรดเกล้าให้ท่านเข้าไปรับใช้ประจำห้องบรรทมในที่สุด และด้วยความจงรักภักดีที่ท่านมีต่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ ท่านจึงปฏิบัติรับใช้ด้วยความขยันและซื่อสัตย์จนเป็นที่โปรดปรานของล้นเกล้าฯ จนได้รับโปรดเกล้าพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาพานทองที่พระยานร รัตนราชมานิต เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๒

    ภายหลังล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖ สวรรคตแล้ว ท่านจึงตัดสินใจบวชอย่างเงียบ ๆ เป็นการถวายพระราชกุศลต่อรัชกาลที่ ๖ ในวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๘ โดยครั้งแรกนั้นท่านลาบวชเพียงพรรษาเดียว จากนั้นท่านก็ผลัดเป็น สองพรรษา สามพรรษา แม้กระทั่งรัชกาลที่ ๗ ทรงเห็นว่า พระยานรรัตนราชมานิต เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ มั่นคงทั้งสูงด้วยความกตัญญูกตเวที ทั้งเป็นผู้ที่มีความรู้สูง สมควรที่จะแต่งตั้งให้รับราชการต่อไป แต่ท่านก็ไม่ยอมลาสิกขาออกไปรับตำแหน่ง คงยังยืดการลาสิกขาออกไปอย่างไม่มีกำหนดจนกระทั่งถึงแก่กาลมรณภาพ ในวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๑๔ สิริรวมอายุ ๗๔ ปี ๔๖ พรรษา

    เนื่องในโอกาสพิเศษครบวาระ ๑๑๑ ปี ชาตะ เจ้าคุณนรฯ และ ๑๐๘ ปี หลวงปู่อำพัน คณะศิษย์อาภรโณ ประกอบด้วยผู้ที่มีศรัทธาต่อวัดเทพศิรินทราวาส สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) หลวงพ่อธัมมะวิตักโก (เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต) สมเด็จพระวันรัต (นิรันดร์ นิรนฺตโร) สมเด็จพระญาณวโรดม (ประยูร สนฺตงฺกุโร) และท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ หรือ หลวงปู่อำพัน (อาภรโณ บุญ-หลง) ได้ร่วมทำบุญประจำปี พร้อมจัดสร้างพระรูปเหมือนเจ้าคุณนรฯ โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

    -เพื่อสืบสานหลักธรรมคำสอนของหลวงปู่อำพัน บุญหลง “กตัญญูกตเวที เป็นรากแก้วของคนดี”

    -เพื่อช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และองค์กรที่บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม อาทิ มูลนิธิวังพญาไท โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

    -เพื่อร่วมถวายผลบุญกุศลในการจัดงานครั้งนี้ ขอจงอภิบาลองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงเป็นศูนย์รวมความรัก ความเคารพสักการะของปวงชนชาวไทยตลอดกาล

    -เพื่อทำบุญและสร้างของที่ระลึกอนุสรณ์ ในวาระ ๑๑๑ ปี ชาตะเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต และ ๑๐๘ ปี หลวงปู่อำพัน บุญ-หลง (อาภรโณ)

    ในการนี้ท่านเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส ได้อนุญาตให้เปิดพระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส เมื่อวันจันทร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (วันจันทร์เพ็ญ เดือนสิบสอง) เพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีพุทธาภิเษก อธิษฐานจิต และสวดมนต์ และท่านยังรับเป็นประธานหล่อพระพุทธรูป (ประจำศาลาปฏิบัติธรรม) และจุดเทียนชัยพุทธาภิเษก ส่วนประธานดับเทียนชัย ได้รับความเมตตาจาก พระพรหมมุนี วัดบวรนิเวศ ส่วนประธานฝ่ายฆราวาสได้แก่นายแพทย์ธำรงรัตน์ แก้วกาญจน์ และนายแพทย์ ยศวีร์ สุขุมาลจันทร์

    พระเถราจารย์ผู้ใหญ่หลายรูป ได้เมตตารับนิมนต์มาร่วมบุญบารมีอธิษฐานจิต เช่นหลวงปู่บุญมา สกลนคร หลวงพ่อไพบูลย์ พะเยาหลวงปู่สรวง ยโสธร หลวงปู่หวาน สงขลา หลวงปู่คูณ สุเมโธ อุดรธานี หลวงปู่บุญ ชลบุรี หลวงพ่อเฉลิม พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อเอียด พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อรวย พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อหวล พระนครศรีอยุธยา

    พระผงรูปเหมือนเจ้าคุณนรฯ รุ่นนี้ ตั้งชื่อว่า รุ่นกตัญญู ผู้ดำเนินการเป็นผู้ใหญ่ของคณะ ศิษย์ อาภรโณ โดยอัญเชิญมวลสารศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวพันกับวัดเทพศิรินทราวาส เจ้าคุณนรฯ และ ครูบาอาจารย์ของหลวงปู่อำพัน ที่หลวงปู่อำพันบูชาภายในกุฏิ ซึ่งเป็นมวลสารมงคลศักดิ์สิทธิ์ แท้ ๆ และเดิม ๆ เก็บรักษาบูชามาเป็นเวลามากกว่า ๕๐ ปี มาสร้างพระรูปเหมือนเจ้าคุณ นรฯ โดยคณะศิษย์จะนำพระรุ่นนี้ไปมอบให้องค์กรการกุศลที่เกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว มูลนิธิมหาวชิราลงกรณ (กองทุนบูรณะพระราชวังพญาไท) มูลนิธิอนุรักษ์พระราช วังพญาไท ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพัณณวดี ในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปี พระราชวังพญาไท องค์กรที่ช่วยเหลือพระภิกษุอาพาธ และองค์กรที่ช่วยเหลือการศึกษาของเด็กและสังคม เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนทำบุญและได้รับพระรุ่นนี้เป็นที่ระลึก เสมือนหนึ่งหลวงปู่อำพันนำพาประชาชนไปทำบุญยังองค์กรการกุศลนั้น ๆ

    สนใจสอบถามรายละเอียดได้ที่สำนักงานชมรมคนรักวัง โทร. ๐-๒๓๕๔-๗๙๘๗ และ ๐-๒๓๕๔-๗๗๓๒ และดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ประวัติข่าวสาร update หลวงปู่




    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=502&contentID=70002
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    การอธิษฐานฝากดวงไว้กับหลวงปู่ดู่.....


    [​IMG]


    "... ให้นึกถึงหลวง ปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้ ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."

    "ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

    *************************************

    ณ ตอนนั้น ผมได้เดินทางไปที่วัดพุทธพรหมปัญโญเป็นครั้งแรกของชีวิต เห็นหลวงตาม้าท่านนั่งอยู่ในถ้ำใหญ่และกำลังสนทนาธรรมกับศิษย์ผู้สูงอายุ ท่านหนึ่ง ผมนั่งอยู่เกือบจะหลังสุดและไม่สามารถมองเห็นหน้าของศิษย์ผู้สูงอายุท่าน นั้นได้ แต่ก็ยังได้ยินทุกถ้อยทุกคำของบทสนทนาอย่างชัดเจน

    แต่ ว่า...นับตั้งแต่เกิดมา การฟังครั้งนี้ถือว่าเป็นการฟังที่มีประโยชน์มากที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิตเลย ก็ว่าได้ หลวงตาม้าท่านพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำได้ใจความว่า

    "... ให้นึกถึงหลวง ปู่(ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลกและทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่ นับตั้งแต่บัดนี้ ไปจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน..."

    ทันที ที่คำพูดนี้เข้าหู ผมอาศัยครูพักลักจำ รีบกำพระนึกถึงหลวงปู่ดู่และอธิษฐานในทันใด! ก็ได้ยินหลวงตาม้าท่านพูดต่อไปได้ใจความว่า...

    " อย่างที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านผูกพันกับสมเด็จองค์ปฐมเป็นพิเศษก็เพราะท่าน เคยอธิษฐานอย่างนี้กับสมเด็จองค์ปฐมเนี่ยแหละ คราวนี้ถึงแม้สมเด็จองค์ปฐมท่านเข้านิพพานไป ท่านก็ยังตามมาดูแลหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้"และท่านได้อธิบายเพิ่มได้ใจความว่า...

    "ถ้าทำอย่างนี้ ต่อไปเรื่องซวยๆจะไม่ค่อยมีในชีวิต เพราะเราฝากดวงไว้กับหลวงปู่แล้ว"

    การ ฝากดวงไว้กับ หลวงปู่นี้ผมเห็นว่ามีประโยชน์เป็นอย่างมากสำหรับลูกหลานหลวงปู่ดู่หลวงตา ม้าเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเราฝากตัวเป็นลูกหลานท่านอย่างเต็มตัวแล้ว เราก็ควรจะทำตัวให้สมกับที่เป็นลูกศิษย์ลูกหลานของพระมหาโพธิสัตว์บารมีเต็ม ที่จะมาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า

    ครั้งหนึ่ง หลวงตาม้าท่านเคยพูดกับผมและพวกพี่บอยว่า " กลับลงไปจากถ้ำแล้ว อย่าไปทำให้เสียชื่อนะ อย่าลืมว่าเทวดาเขารู้จักหลวงตาเยอะนะ กลับลงไปแล้วที่สอนไปก็ให้ทำด้วย เจอกันครั้งหน้าเดี๋ยวก็รู้ว่าใครทำหรือไม่ทำ(หัวเราะ)"

    หลวงตาม้าท่านเมตตาย้ำว่า
    "รักทุกคน ไว้ใจบางคน ไม่เกลียดใครเลยสักคน นี่คือสูตรของหลวงปู่ดู่"

    เขียนโดย Akenutyos panicpaisankul ที่ <A class=timestamp-link title="permanent link" href="http://powerprotectionss.blogspot.com/2009/12/blog-post_9190.html" rel=bookmark><ABBR class=published title=2009-12-24T02:55:00-08:00>2:55</ABBR>
    ป้ายกำกับ: การอธิษฐานฝากดวงไว้กับหลวงปู่ดู่
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เรื่องของโต๊ะหมู่บูชา...ที่หลวงปู่ดู่ท่านสอน


    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]

    ในสมัยที่ "หลวงปู่ดู่" ยังมีชีวิต
    ท่านเคยพูดเล่าถึง "ความละเอียด" ที่แฝงอยู่ในการจัด...โต๊ะหมู่บูชา
    หลวงปู่ดู่ท่านกล่าวว่า...


    หากว่า "โดยธรรม"
    การที่เราจะตั้งพระพุทธรูป หรือ รูปเหมือนพระสงฆ์ไว้เท่า ๆ กัน...ก็ไม่ผิด
    เพราะในพระพุทธรูปที่ท่านอธิษฐานจิต ก็มีทั้ง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    และในรูปเหมือนพระสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นรูปเหมือนของท่าน รูปเหมือนหลวงปู่ทวด
    หลวงพ่อเกษม พระสีวลี พระสังกัจจายน์ ฯลฯ
    ก็ล้วนมี พระพุทธ พระธรรม และ พระสงฆ์...เช่นเดียวกัน


    แต่หากจะว่า "โดยสมมติ"
    เราก็ต้องลำดับ ลดหลั่นลงมา
    ตั้งแต่พระพุทธ...มาหาพระสงฆ์


    ที่ท่านสอนนี้ ผมคิดเอาเองว่า
    ท่านมิได้มีเจตนาจะให้ไปจัดโต๊ะหมู่แบบอวดรู้ โดยตั้งพระพุทธ และ พระสงฆ์ให้เสมอกัน
    แต่ท่านคงจะไม่ให้ "ยึดติดกับสมมติ" จนเกินไป
    เช่น หากที่โต๊ะหมู่บูชา หรือ ตู้พระ มีพระพุทธ และ พระสงฆ์..คละกันอยู่
    ผู้ที่ "ยึดติดเคร่งครัด" ก็อาจรู้สึกไม่สบายใจ
    เมื่อฟังหลวงปู่ท่านสอนเช่นนี้ ก็จะได้สบายใจขึ้น
    และจะได้ทำทุกอย่าง "ด้วยปัญญา"


    การทำ "ตามสมมติ" นั้นมีประโยชน์
    เป็นความเรียบร้อย พร้อมเพรียง งามตา
    แต่ก็ต้องทำ "ด้วยความเข้าใจ" ว่า...เรากราบรูปเหมือนท่าน
    เรามิได้กราบแค่อิฐ หิน ปูน ทราย หรือ โลหะ
    หากแต่เรากำลังใช้เป็น "สื่อ"
    เพื่อจะ "นบนอบ...พระคุณของท่าน" ต่างหาก


    ถ้าเป็น "พระพุทธเจ้า"
    เราก็นบนอบใน "พระบริสุทธิคุณ" ในความหมดจด หมดกิเลส
    "พระปัญญาธิคุณ" ในการแยกแยะธรรม ให้คนเข้าใจ และ ปฏิบัติตามได้
    และ "พระกรุณาธิคุณ" ที่ท่านเดินทางไปในที่ต่าง ๆ เพื่อตรัสสอนโปรดเวไนยสัตว์ ตลอด ๔๕ พรรษา
    แม้ขณะที่กำลังจะเสด็จปรินิพพาน ก็ยังได้โปรดพราหมณ์ผู้หนึ่ง ให้เป็นพระอรหันต์องค์สุดท้าย


    เวลาเรากราบ "รูปเหมือนพระสงฆ์"
    ก็เคารพนบนอบใน "คุณแห่ง ศีล สมาธิ และ ปัญญา" ในองค์ท่าน
    การเอาตัวเองเป็นประจักษ์พยานว่า
    หากตั้งใจปฏิบัติธรรมจริง ๆ แล้ว "มรรคผล"...ย่อมเกิดขึ้นได้จริง
    ทำให้บุคคลธรรมดา กลายเป็นบุคคลที่ควรแก่การกราบไหว้ขึ้นมาได้


    เรื่องที่หลวงปู่ดู่สอนนี้
    ทำให้ระลึกถึงเรื่องราวของ "หลวงปู่มั่น" ที่ท่านเล่าไว้ว่า...
    ท่านเคยเห็น "นิมิต" พระพุทธเจ้า และ พระอรหันต์...นั่งคละกันอยู่ดูแปลก ๆ
    แต่พอดูใหม่ พระพุทธเจ้าและ พระอรหันตสาวก...ก็กลับนั่งลดหลั่นไปตามลำดับ


    ความรู้ที่เกิดกับหลวงปู่มั่นก็คือ
    นิมิตแรกนั้น แสดงถึงว่า หากว่า "โดยธรรม" แล้ว
    พระพุทธเจ้า และ พระอรหันตสาวกนั้น...เสมอกันโดยธรรม
    คือ ความหมดจดจากกิเลส...เสมอกันหมด
    ดังนั้น จะนั่งเสมอกัน...ก็ไม่ผิด


    แต่นิมิตอันหลังนี้
    แสดงการลำดับไป "ตามสมมติ" หรือ "โลกนิยม" เท่านั้น

    เรื่องนี้จึงสอนว่า เรายังคงจำเป็นต้องทำไป "ตามสมมติ" นั่นแหละ
    เพื่อความเรียบร้อย งดงาม และ ไม่ถูกตำหนิ ติเตียน จากผู้มาพบเห็น


    แต่ในใจเรา ก็ให้มี "ปัญญา"
    ทำทุกอย่างด้วย "ความรู้ และ เข้าใจ"
    ทำด้วยปัญญา มิใช่ด้วยความยึดติดเคร่งเครียด
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://luangpordu.com/?cid=453342&f_action=forum_viewtopic&forum_id=41281&topic_id=60573
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ใครจะใหญ่เกินกรรม

    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD></TD></TR><TR><TD>เมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว ที่จังหวัดสระบุรีมีอุบัติเหตุรถบรรทุกชนรถสองแถวซึ่งบรรทุกนักเรียนอยู่เต็มคัน เด็กนักเรียนทั้งหมดเสียชีวิตและหนึงในนั้นเพิ่งจะได้มีโอกาสตามญาติผู้ใหญ่ไปกราบนมัสการหลวงปู่ดู่เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย

    คำถามที่ค้างคาใจในเวลานั้นคือทำไมหนอ หลวงปู่จึงไม่เมตตาช่วยให้เด็กน้อยอันเป็นแก้วตาดวงใจของผู้เป็นพ่อและแม่ให้แคล้วคลาดจากภยันตราย ทั้ง ๆที่เด็กน้อยผู้นั้นก็มีวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวอยู่ แล้วทำไมกับศิษย์บางคนหลวงปู่จึงสงเคราะห์ให้เขาแคล้วคลาด หรือกระทั่งต่ออายุให้แก่เขา

    คำถามอันจัดเป็นมิจฉาทิฏฐินั้นค่อย ๆ คลี่คลายลง เมื่อได้ยินเรื่องราวว่า วิญญาณของเด็กน้อยผู้นั้น ได้ไปปรากฏตัว โดยมีหลวงปู่ทวดยืนอยู่ข้าง ๆ ให้ลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่อยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นญาติกันได้เห็นในเย็นวันเกิดเหตุ (ซึ่งขณะนั้น ทางคุณพ่อคุณแม่ของเด็กก็ยังไม่ได้ส่งข่าวว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว) เด็กนั้นได้ฝากคำพูดผ่านลูกศิษย์หลวงปู่ผู้นั้นไปถึงคุณแม่ว่า "หนูออกมาแล้ว หนูไม่เจ็บเลย ชาติหน้าหนูขอมาเป็นลูกของแม่อีก บอกแม่หนูด้วย"จากนั้น ตอนค่ำ ทางญาติของเด็กน้อยนี้จึงได้ส่งข่าวให้ลูกศิษย์หลวงปู่ผู้นั้นได้ทราบว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว !

    วันต่อมา ครอบครัวของผู้ตายได้พากันไปทำบุญกับหลวงน้าสายหยุด หลวงน้าบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง เด็กน้อยนี้อยู่ในความอุปการะของหลวงปู่ทวดแล้ว ซึ่งก็ตรงกันกับภาพที่มาปรากฏให้ลูกศิษย์หลวงปู่ผู้นั้นได้เห็น

    บางครั้งแม้เหตุปัจจัยจะไม่เอื้อให้หลวงปู่สงเคราะห์ให้เขารอดตายได้ แต่ท่านก็จะสงเคราะห์ด้วยการอุปการะดวงจิตของผู้ตายให้ไปสู่ภพภูมิที่ดี ซึ่งก็อาจจะดีเสียกว่ามาเสียชีวิตภายหลังแต่จากไปอย่างเคว้งคว้าง ล่องลอย หรือไปสู่ภพภูมิที่ไม่ดี

    กาลเวลาผ่านไป ประกอบกับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้พบเห็นทำให้ได้ข้อสังเกตอันหนึ่งว่าบุคคลที่หลวงปู่จะสงเคราะห์ต่ออายุให้แก่เขาได้มักเป็นผู้ปฏิบัติธรรม หรือเป็นผู้ที่จะทำประโยชน์ไว้กับพระพุทธศาสนานั่นคืออาศัยบุญบารมีและกุศลเจตนาของตัวผู้นั้นเองด้วยว่าหากรอดชีวิตไปแล้ว จะเป็นที่แน่นอนว่าเขาจะบำเพ็ญธรรมสั่งสมคุณงามความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เหนือสิ่งอื่นใด เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
    “ใครจะใหญ่เกินกรรม” </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://luangpordu.com/?cid=453342&f_action=forum_viewtopic&forum_id=41281&topic_id=36770
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    หลวงปู่ดู่กับพระลูกศิษย์หลวงปู่ชา


    [​IMG]

    แม้ว่าหลวงปู่ดู่จะไม่รับกิจนิมนต์ไปนอกอาวาส แต่ด้วยกลิ่นศีลกลิ่นธรรมที่หอมทวนลมดังที่พระพุทธองค์ตรัสรับรองไว้ จึงทำให้มีครูบาอาจารย์ทั้งจากในกรุงเทพฯ รวมทั้งครูบาอาจารย์กรรมฐานจากจังหวัดต่าง ๆ เดินทางมากราบนมัสการท่านเป็นระยะ ๆ เรื่อยมา
    จากรูปที่นำมาเผยแพร่นี้ เป็นการบันทึกภาพเมื่อครั้งที่พระลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ซึ่งปัจจุบันล้วนแต่เป็นครูบาอาจารย์ที่มีสานุศิษย์จำนวนมากมาย จากรูป เท่าที่รู้จักก็มี (จากองค์ที่อยู่ซ้ายสุดคือ) พระอาจารย์เปี๊ยก วัดฟ้าคราม จ.ปทุมธานี พระอาจารย์อนันต์ วัดมาบจันทร์ จ.ระยอง และพระอาจารย์ตั๋น วัดป่าบุญญาวาส จ.ชลบุรี
    ทำให้ระลึกถึงว่าเพียงการได้เห็นพระอริยเจ้าผู้ทรงศีลาจาริยวัตรย่อมเป็นการเห็นอันเยี่ยม ซึ่งเป็นหนึ่งในอนุตตริยะ ๖ ซึ่งได้แก่

    ๑. ทัสสนานุตริยะ (การเห็นอันเยี่ยม ได้แก่ การเห็นพระตถาคต และตถาคตสาวกรวมถึงสิ่งทั้งหลายที่จะให้เกิดความเจริญงอกงามแห่งจิตใจ — supreme sight)
    ๒. สวนานุตตริยะ (การฟังอันเยี่ยม ได้แก่ การสดับธรรมของพระตถาคต และ ตถาคตสาวก — supreme hearing)
    ๓. ลาภานุตตริยะ (การได้อันเยี่ยม ได้แก่ การได้ศรัทธาในพระตถาคตและตถาคตสาวก หรือการได้อริยทรัพย์ — supreme gain)
    ๔. สิกขานุตตริยะ (การศึกษาอันเยี่ยม ได้แก่ การฝึกอบรมในอธิศีล อธิจิต และอธิปัญญา — supreme training)
    ๕. ปาริจริยานุตตริยะ (การบำเรออันเยี่ยม ได้แก่ การบำรุงรับใช้พระตถาคตและตถาคตสาวก — supreme service or ministry)
    ๖. อนุสสตานุตตริยะ (การระลึกอันเยี่ยม ได้แก่ การระลึกถึงพระตถาคต และตถาคตสาวก — supreme memory)
    โดยสรุปคือ การเห็น การฟัง การได้ การศึกษา การช่วยรับใช้ และการรำลึกที่จะเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ ล่วงพ้นโสกะปริเทวะ ดับสูญทุกข์โทมนัส เพื่อการบรรลุญายธรรม ทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน

    หมายเหตุ จากผมเอง ปัจจุบันลูกศิษย์หลวงปู่ชาทั้ง 3 รูปนี้ ต่างมีกำลังจิตที่กล้าแข็ง และรู้ทางไปแล้ว ใครอยู่ใกล้องค์ไหน ก็เร่งไปกราบได้ตามหลักธรรมทั้ง 6 ข้อ นับว่าเป็นมงคลโดยแท้ ปัจจุบันท่านทั้ง 3 กำลังแกร่งกล้าในธรรม ต่างกุลีกุจอเร่งปฏิบัติและสร้างบารมีธรรมเพื่อให้สำเร็จมรรคผลในขั้นสูง บางทีสิ่งที่เราติดขัดท่านก็อาจสามารถช่วยเราได้ สำหรับท่าน อ.อนันต์ วัดมาบจันทร์นั้น รับแขกทุกวันถึงประมาณ 10.00 น. ส่วนตอนบ่าย รับแขกตอน 15.00 น.ครับ
     
  13. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    วันนี้ครอบครัวผมได้โอนเงินทำบุญ เดือน มิ.ย จำนวน 500 บาท
    (22/06/10 เวลา 16:44 น.)ขออานุภาพแห่งบุญนี้ จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดทั้งเวรภัยทั้งหลาย อย่าได้ประสบทั้งโจรภัย วาตะภัย อัคคีภัย และอุทกภัย นับแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ...สาธุ:cool:
     
  14. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ใกล้ได้ทำบุญ ทุนนิธิ อีกครับ

    รู้สึกถึงความสุขที่อยู่ในใจครับ

    สาธุครับ
     
  15. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    เมื่อวานนี้ 23 มิถุนายน 2553 เวลา 19.00 น. โอนเงินร่วมบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธฯ จำนวน 700 บาท ในนาม สุชาดา พร้อมบิดามารดาและเพื่อนค่ะ
     
  16. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    หลวงพ่ออุดม วัดพิชัยสงคราม

    ปัจจุบัน แม้ว่าหลวงพ่อจะมีอายุ ๗๔ ปีแล้วก็ตาม แต่ท่านก็ยังพัฒนาวัดอย่างต่อเนื่อง และคอยต้อนรับพุทธศาสนิกชน ที่มากราบไหว้ด้วยความเมตตาเป็นประจำทุกวัน
    อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังมานี้ แพทย์ได้ตรวจสุขภาพของหลวงพ่อ พบว่าท่านเป็นโรคเบาหวาน และโรคไต (ต้องฟอกไต) จึงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอยุธยา จนเมื่อเร็วๆ นี้แพทย์ได้ตรวจพบอีกว่า หลวงพ่อมีอาการเส้นเลือดตีบตัน อาจจะต้องผ่าตัดหัวใจ เพื่อทำบายพาส จึงให้เข้ารับการรักษาพยาบาลในกรุงเทพฯ
    แต่ด้วยความจำเป็นเร่งด่วน คณะศิษย์ที่พาหลวงพ่อเข้ากรุงเทพฯ เลยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพญาไท ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากพอสมควร ขณะที่ทางวัดไม่มีเงินสำรองเลย เพราะหลวงพ่อได้นำไปใช้จ่ายในการก่อสร้างเขื่อนหน้าวัดจนหมด และหลวงพ่อเองก็ไม่ได้สะสมปัจจัยส่วนตัวแต่อย่างใดเลย

    คณะศิษย์จึงขอเชิญชวนศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่ออุดม และศรัทธาสาธุชนทุกท่าน ได้ร่วมกันทำบุญถวายค่ารักษาพยาบาลอาการอาพาธ แด่หลวงพ่ออุดม (ขณะนี้คณะแพทย์ได้ผ่าตัดทำบายพาสหัวใจแล้ว) โดยสามารถถวายเงินค่ารักษาพยาบาล ด้วยการโอนผ่านบัญชี ธนาคาร ทหารไทย สาขาถนนจันทน์ เลขที่บัญชี 016-235333-8 ชื่อบัญชี พระครูวิชัยกิจจารักษ์ (อุดม ลัดดา) หรือสอบถามโทร.๐๘-๑๓๔๕-๗๘๐๐ หรือที่ร้านชุดเครื่องนอนออนไลน์ สบายอินเบด ดอทคอม (www.sabuyinbed.com) โทร.๐๘-๑๓๓๐-๑๐๗๓

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  17. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,113
    สาระธรรมมงคล หลวงปู่ท่อน ญาณธโร วัดศรีอภัยวัน จ.เลย<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->..."การปฏิบัติอย่าอยากได้ อยากเห็น อยากเป็นใดๆ เลย ให้รู้มันอยู่อย่างเดียวมีอะไรก็ช่าง รู้อยู่อย่างเดียว ถ้าอยากก็ไม่ไปไหน เป็นสมาธิอยู่ก็หลุดจากสมาธิ เราปฏิบัติเพื่อความปล่อยวาง เพื่อละความยึดมั่นต่างๆ เพื่อละความยินดียินร้าย เราเป็นผู้ดูไม่ใช่ผู้บังคับให้มันเป็น"<!-- google_ad_section_end -->
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    บางส่วนของอนุโมทนาบัตรที่ทุนนิธิฯ ได้ส่งเงินไปทำบุญตาม รพ.ต่างๆ ในเดือน พฤษภาคม 2553 ครับ ผมขอนำมาลงให้อนุโมทนากัน และขอให้ได้บุญด้วยอนุโมทนามัยปิติกันเยอะๆ ครับ


    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2010
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    จากการที่ทุนนิธิฯ ได้ช่วยเหลือพระภิกษุ 2 รูป ให้ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกที่ รพ.ปัตตานี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในครั้งแรกได้รับแจ้งว่ามีเพียงรูปเดียว แต่หลังจากอีกราวสองอาทิตย์ถัดมา ก็มีอีกรูปหนึ่งมาผ่าตัดต้อกระจกเพิ่ม ก็นับว่าดีมาก เพราะเป็นการเพิ่มบุญกุศลให้เราได้สงเคราะห์อีกรูปหนึ่ง ผมจึงนำรูปที่ส่งมาพร้อมกับใบอนุโมทนาข้างต้นนำมาให้อนุโมทนาในกุศลและผลบุญนี้กันครับ (เกิดชาติหน้าขอให้ตาสวย และในชาตินี้ขออย่าให้มีปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บอันเกิดจากตาด้วยกันทุกๆ คนครับ)

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2010
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุนนิธิฯ ได้ทยอยโอนเงินช่วยเหลือไปยัง รพ.ภูมิภาคต่างๆ ทั้ง 8 แห่งเรียบร้อยแล้ว จึงนำหลักฐานมาแจ้งให้ทราบกันครับ

    [​IMG]

    รพ. 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ จ.อุบลฯ และ
    รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน

    [​IMG]


    รพ.สงขลา จ.สงขลา และ รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่
    [​IMG]

    รพ.แม่สอด จ.ตาก
    และมูลนิธิหลวงปู่เทสก์ เพื่อ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น
    [​IMG]


    รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี และ รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย


    [​IMG]

    เหรียญพระบรมโพธิสัตว์กวนอิมที่มีความละเอียดสวยงามมาก ทุนนิธิฯ เคยแจกไว้ให้สร้างความสุขความเจริญในครอบครัวกันฟรีๆ พระองค์ท่านบำเพ็ญทานบารมีมามาก เหมือนกับที่ผู้ที่บริจาคทานมัยแก่สงฆ์อาพาธ ก็กำลังเริ่มต้นการเดินในเส้นทางเดียวกับพระองค์ท่านเช่นกัน จึงขออัญเชิญรูปท่านมาลงไว้เป็นอนุสติแห่งตน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2010

แชร์หน้านี้

Loading...