ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105





    [​IMG]

    อาจจะมีบางท่านยังไม่ทราบว่าต้นกำเนิดของการ ถวายสังฆทานมีมาอย่างไร
    จึงขอเล่าให้ฟังว่า การถวายสังฆทาน หรือการถวายทานแด่สงฆ์แบบไม่เจาะจงนั้น มีมาแต่ครั้งพุทธกาล
    ซึ่งต้นแบบ ของผู้ถวายสังฆทานก็คือพระน้าของพระพุทธองค์ คือ
    พระนางมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นเหมือนพุทธมารดาองค์ที่ ๒ ของพระพุทธองค์
    เพราะเป็นผู้เลี้ยงดู พระพุทธองค์ โดยให้ความรักยิ่งกว่าพระโอรสแท้ ๆ ของพระนางเสียอีก

    เมื่อ คราวที่พระพุทธองค์ เสด็จไปโปรดพระญาติ พระนางมหาปชาบดีมีศรัทธามากๆ
    อุตส่าห์ ตระเตรียมผ้าไตรจีวรในทุกขั้นตอนอย่างประณีตที่สุด รอวันที่พระพุทธองค์จะเสด็จมา
    เมื่อสบโอกาส พระนางจึงได้ขอโอกาสเข้าเฝ้าและนำผ้าไปถวายพระพุทธองค์

    ครั้งนั้น พระพุทธองค์ต้องการให้พระนางได้รับอานิสงส์สูงสุด
    ด้วยการให้พระนางได้ ถวายเป็นสังฆทาน
    คือไม่เจาะจงองค์เพื่อเป็นแบบอย่างของการถวายทาน เพื่อมุ่งหวังอุปถัมภ์พระพุทธศาสนาโดยรวม

    ดังนั้น พระพุทธองค์จึงปฏิเสธการรับการถวายผ้าไตร
    แม้พระนางจะนำไปถวายพระเถระ (ซึ่งต่างก็ล้วนทราบพุทธประสงค์) จึงต่างก็ปฏิเสธไม่รับการถวายเช่นกัน

    สุด ท้ายพระนางทรงเสียพระทัยมาก ที่พระพุทธองค์รวมทั้งเหล่าพระเถระผู้ใหญ่
    ไม่ ยอมรับผ้าที่นางสู้อุตส่าห์ ตั้งใจทำมาเป็นแรมเดือน
    ในที่สุดพระนางนำไป ถวายพระภิกษุบวชใหม่ซึ่งนั่งอยู่ท้ายแถว
    ทั้งพระพุทธองค์และเหล่าพระ เถระจึงเปล่ง "สาธุการ" ขึ้นพร้อมกัน ยังความปีติโมนัสให้เกิดขึ้นแก่พระน้านาง

    นี่แหละต้นแบบสังฆทานเมื่อ กว่า ๒๕๐๐ ปีมาแล้ว

    หมายเหตุ
    แท้จริงแล้ว พระภิกษุบวชใหม่ รูปนั้นก็คือ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์

    จึงเท่ากับว่านอกจะเป็น การถวายทานชนิดที่เรียกว่าสังฆทานคือไม่เจาะจงองค์แล้ว
    พระน้านางก็ได้ มีโอกาสทำบุญในพระพุทธเจ้าถึง ๒ พระองค์
    สมกับค่าน้ำนมและการเลี้ยงดู พระพุทธองค์มาหลายปี
    ก่อนที่พระพุทธองค์จะอนุญาตให้อุปสมบทเป็นภิกษุณี และยังอรหัตผลให้เกิดขึ้นแก่พระน้านางในกาลต่อมา ...

    [​IMG] คุณพรสิทธิ์
    www.luangpudu.com
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105



    [​IMG]

    คำว่า "พระธรรมธาตุ" นี้ ยากที่จะชี้ชัดถึงความหมายที่แท้จริง อาจเนื่องจากมิใช่ศัพท์บัญญัติที่มีมาแต่เดิม
    ประกอบกับการนำไปใช้ใน ความหมายที่ต่างๆ กันไป

    บางสำนักให้ความหมายว่า ธรรมธาตุ คือ สภาวะที่จิตว่าง (ไม่มีการปรุงแต่ง)
    ในขณะที่บางสำนักบอกว่า ธรรมธาตุคือกฎของธรรมชาติ ซึ่งเป็นของคงตัว
    คือ อาการที่ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป บางสำนักเรียนอาจหมายถึงธรรมารมณ์ (อารมณ์หรือสิ่งที่เป็นเครื่องรู้ของจิต)

    ความแตกต่างในความหมายข้าง ต้นนี้ ไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญใหญ่โตอะไร เพราะมิใช่เป็นเรื่องข้อปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์

    สำหรับเรื่องที่จะ เล่านี้ ก็เป็นอีกความหมายของคำว่า "พระธรรมธาตุ" ที่ได้จากประสบการณ์ของลูกศิษย์หลวงปู่ท่านหนึ่ง

    คืนวันหนึ่ง ลูกศิษย์หลวงปู่ที่เป็นนักศึกษาชมรมพุทธฯ มธ. ไปค้างคืนที่วัดสะแก
    พอ ถึงราว ๔ ทุ่ม เมื่อหลวงปู่เข้าพักในกุฏิแล้ว พวกเขาก็พากันนั่งภาวนาต่อที่หอสวดมนต์
    หนึ่งในผู้ปฏิบัติได้มี ประสบการณ์ประหลาดอย่างหนึ่ง กล่าวคือ
    เขาเห็นนิมิตพระพุทธองค์ก้าวเดิน ออกมาจากพระประธานองค์ในสุด
    ก้าวมาได้สัก ๓ ก้าว ก็หยุดยืน ขณะนั้น เขาเห็นตัวเองอีกร่างหนึ่ง ไปก้มลงกราบพระพุทธองค์
    แล้วแบมือทั้งสอง ขึ้นเหมือนจะรอรับอะไรบางอย่าง

    จากนั้น เขาก็เห็นพระพุทธองค์ประทานอะไรก็ไม่รู้มีลักษณะเป็นเกล็ดระยิบระยับโปรย ปรายลงมาที่ฝ่ามือของเขา
    พอเกล็ดเหล่านั้นมาสัมผัสมือของเขา เขาก็เกิดอาการปีติทั่วสรรพางค์ร่างกาย เกิดความเอิบอิ่มอย่างมาก
    เมื่อ เลิกปฏิบัติภาวนาแล้ว เขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่เขาประสบนั้นคืออะไร

    เช้า วันรุ่งขึ้น เขาจึงเข้าไปกราบหลวงปู่ แล้วเล่าถวายท่าน
    หลวงปู่พูดว่า "ข้า โมทนากับแก นั่นเป็นของดี ของวิเศษ"

    เขาถามต่อว่าสิ่งนั้นเรียก ว่าอไรครับ หลวงปู่พูดว่า "พระธรรมธาตุ"
    พอหลวงปู่เห็นใบหน้าที่ งงๆ ของเขา จึงขยายความอีกนิดหนึ่งว่า "เป็นทั้งพระธรรมด้วย เป็นทั้งพระธาตุด้วย"
    เขารู้ว่าสติปัญญาของเขาขณะนั้นยังไม่พร้อม รับ
    ถึงหลวงปู่จะขยายความให้ลึกซึ้งกว่านั้น เขาก็คงไม่เข้าใจ
    จึง จบเรื่องความหมายของคำว่า "ธรรมธาตุ" แต่เพียงเท่านั้น
    ด้วยความเข้าใจ เบื้องต้นว่า พระธรรมธาตุ เป็นทั้งพระธรรมด้วย เป็นทั้งพระธาตุด้วย

    ดู เหมือนโลกนี้จะมีสิ่ง ที่เป็นรูปธรรมแลนามธรรมซึ่งมีความหยาบละเอียดหลายชั้นเหลือเกิน
    ที่ เป็นรูปธรรมหย่างหนึ่งที่ใกล้ตัวลูกศิษย์หลวงปู่ ก็คือ
    พระธาตุที่ปรากฏ บนพระเครื่องของหลวงปู่
    (ดังตัวอย่างในรูปพระสมเด็จที่ทูลเกล้าถวาย ในหลวงที่นำมา post ไว้ด้านบน)

    ในโลกนี้ยังมีอีกหลายสิ่งเหลือ คณานับที่มนุษย์ทั่วไปมิอาจเข้าใจ
    เพราะความจำกัดแห่งอินทรีย์ (ตา หู ฯลฯ)
    เว้นแต่จิตของผู้ฝึกมาดีแล้ว ประกอบวาสนาบารมีที่จะเข้าไปรู้ไปเข้าใจ

    แต่ ถึงแม้จะไม่เข้าใจลึกซึ้งหรืออย่างถ่องแท้ก็ไม่เป็นปัญหา
    เพราะหลาย ๆ อย่างหลวงปู่ท่านสรุปลงว่า "พระท่านทำให้เชื่อ"
    เพื่อว่าจะเป็น ปัจจัยก่อให้เกิดพลังใจ พลังศรัทธา ในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป

    นิมิต ที่เป็นมงคล จะก่อเกิดประโยชน์สูงสุดก็ต่อเมื่อถูกต่อยอดด้วยการปฏิบัติที่เป็นมงคล
    นั่น ก็คือ การขัดเกลาตัวเองให้กิเลสโลภ โกรธ หลง ลดลงๆ นั่นเอง

    ขอขอบพระ คุณพี่พรสิทธิ์
    www.luangpordu.com
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    อ่านแล้วอายฝรั่งเค้า....ทำไงน๊า ถึงจะให้กระจายอ่านกันได้เยอะๆ

    เรื่องเล่า จากสนามบิน



    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB73EC07CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 51.11 KiB | เปิดดู 440 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB783807CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 78.17 KiB | เปิดดู 441 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB7C8407CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 70.95 KiB | เปิดดู 438 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB80D007CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 94.46 KiB | เปิดดู 438 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB851C07CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 50.71 KiB | เปิดดู 436 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB896807CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 35.28 KiB | เปิดดู 435 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB8DB407CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 30.02 KiB | เปิดดู 431 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB920007CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 31.43 KiB | เปิดดู 432 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB964C07CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 50.88 KiB | เปิดดู 428 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_07CB9A9807CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 13.42 KiB | เปิดดู 426 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_08C07A4407CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 54.58 KiB | เปิดดู 427 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]
    <!-- Image._2_08C082DC07CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 16.95 KiB | เปิดดู 425 ครั้ง ] -->


    <!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">-->
    [​IMG]
    <!-- Image._2_08C0872807CB6C24002BDF8847257714.jpg [ 31.69 KiB | เปิดดู 421 ครั้ง ] -->


    _________________
    ชาติ นี้ไม่จริง ชาติไหนก็ไม่จริง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤษภาคม 2010
  4. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมได้โอนเงินบริจาคจำนวน 2,000.-บาท

    09/05/2010 11 .26.59 น.โอนผ่าน internet banking tmb


    ด้วยบุญอุทิศนี้ให้อาม่า,ป๋า,แม่,อาโกว,ชิน9,น้องๆ,หลานๆ,เพื่อนๆ,บริวารทุกคน,ผู้มีพระคุณทุกท่าน,ครู,อาจารย์,คนไทยทุกคน,ลูกค้าทุกคน,ผู้เช่าบ้านและร้านของชิน9

    ขอเชิญเพื่อนๆพี่ๆน้องๆมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105

    อุบายสอนกรรมฐานเด็ก

    [​IMG]------------------------------------------------------------------------------

    หลวง ปู่เคยปรารภหลายครั้งว่าสอนกรรมฐานให้เด็ก ๆ นั้น ง่ายกว่าผู้ใหญ่ เพราะผู้ใหญ่ อ่านมามาก ฟังมามาก สอนคนรู้มากนั้นสอนยาก เพราะมักมีความลังเลสงสัยอันเป็นนิวรณ์หรืออุปสรรคต่อการทำจิตให้เป็นสมาธิ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ท่านให้พวกเราปฏิบัติอย่างคนโง่ (คือ อย่าปฏิบัติอย่างคนรู้มาก ความรู้ความจำเต็มหัว)

    ครั้งหนึ่ง มีคุณพ่อคุณแม่พาลูกสาววัยปฐมศึกษาตอนต้นมาวัดสะแก คราวนี้ตัวพี่สาวของเด็กน้อยผู้นี้ไม่ได้มาวัดด้วย โดยบอกกับคุณพ่อคุณแม่และน้องสาวว่าวันนี้ไม่ไปวัดด้วยนะค๊ะ เพราะจะอยู่ทำการบ้าน

    พอครอบครัวนี้ กราบกลวงปู่เสร็จ หลวงปู่ก็ถามว่าพี่สาวแกหล่ะ ไม่มาด้วยหรือ เด็กน้อยก็กราบเรียนหลวงปู่ว่าพี่สาวหนูเขาต้องอยู่ทำการบ้านค่ะ หลวงปู่ก็บอกเด็กน้อยว่า ถ้าอย่างนั้น ก็นั่งหลับตาเดี๋ยวนี้เลย จากนั้นท่านก็พาเด็กน้อยผู้นี้ไปดูเหตุการณ์ที่บ้าน เด็กก็พูดเล่าทั้งที่ยังหลับตาอยู่ว่า เห็นคนใช้ที่บ้านกำลังซักผ้า พอเข้าไปในบ้านก็เห็นพี่สาวกำลังนอนเหยียดยาวดูทีวีรายการการ์ตูนอยู่
    หลวงปู่ได้แต่อมยิ้ม

    บางครั้งหลวงปู่ก็หลอกให้ เด็กอ่านหนังสือธรรมะให้ท่านฟังในยามบ่าย ปลอดจากผู้คนที่มากวนท่าน นัยว่าเด็ก ๆ จะได้ซึมซับธรรมะที่ตนกำลังอ่านอยู่ ที่ข้าพเจ้าสังเกต ก็มักเป็นหนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งมีเรื่องตัวอย่างภพภูมิและกฎแห่งกรรมอยู่อย่างมากมาย หลวงปู่เคยพูดว่า หนังสือของท่านมหาวีระ อ่านดี

    แต่มีเหตุการณ์อันหนึ่งที่ดูจะไม่ ธรรมดาเท่าไรนัก คือในเวลาที่จะฉันเพล บางครั้งท่านจะให้อุบายฝึกเด็กทำกรรมฐานโดยให้เขานั่งหลับตาแล้วดูว่าท่าน นิมนต์ใครมาร่วมฉันกับท่านบ้าง พอท่านถาม เด็กก็กราบเรียนหลวงปู่ว่า เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ คือ หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง หลวงพ่อโตวัดมงคลบพิตรลุกขึ้น เดินมาวัดสะแก นอกจากนี้ก็ยังมีพระสงฆ์มาร่วมด้วย แต่เขาไม่รู้จัก หลวงปู่จึงเฉลยว่า คือ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ที่ลังกาซึ่งเป็นผู้ที่เรียบเรียงพระไตรปิฎก

    ตัวอย่าง อื่น ๆ ยังมีอีก คงเอาไว้ทยอยเล่าสู่กันฟังในวันหลังครับ

    ***จากบท ความของ คุณสิทธิ์

    สำหรับผู้ที่สนใจในการปฎิบัติกรรมฐานแนวหลวงปู่ ดู่และวิธีทำสมาธิแบบของท่าน

    เชิญ download file PDF ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้ที่นี่ครับ
    เชิญ download file PDF ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้ที่นี่ครับ
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ท่านใดเสด็จมากราบหลวงปู่ดู่


    วันหนึ่ง ทางที่ว่าการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    แจ้งมาที่วัดสะแกว่าวันนั้น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
    จะเสด็จมากราบนมัสการหลวงปู่ดู่ เป็นการส่วนพระองค์
    คนที่วัดสะแกเมื่อทราบข่าวก็มาแจ้งแก่หลวงปู่

    หลวง ปู่บอกว่า "ไม่ใช่พระเทพฯ แต่เป็นพี่สาวเขา"
    คนที่แจ้งแก่หลวงปู่ก็บอก กับเพื่อนว่างานนี้หลวงปู่หน้าแตกแน่ ๆ
    เพราะผู้ว่าฯ แจ้งด้วยตนเองว่าพระเทพฯ จะเสด็จ
    แล้วหลวงปู่ยังจะบอกว่าเป็นพี่สาวเขา

    อย่าง ที่หลวงปู่เคยบอกไว้ ว่าคนใกล้ท่าน
    บางครั้งไม่ใช่เพียงใกล้เกลือกินด่าง
    แต่ ท่านว่าใกล้เกลือตีนด่าง คือ เหยียบเอาเลย คอยแต่จะจับผิดท่าน

    พอถึง เวลา รถพระที่นั่งของสมเด็จพระเทพฯ ก็มาถึง
    ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดก็ เข้าใจผิดเพราะเป็นรถพระที่นั่งของพระเทพฯ
    แต่ผู้ที่ประทับนั่งมา กลับเป็นเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ฯ

    พระองค์คงได้รับคำแนะนำจากบุคคลใกล้ ชิดว่า
    ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยามีครูบา อาจารย์ที่น่าทำบุญด้วยหลายรูป
    พระองค์ ได้ทำบุญและสนทนากับหลวงปู่พักหนึ่ง
    โดยหลวงปู่ได้ให้ลูกศิษย์ไปนำแหวน และวัตถุมงคลจำนวนหนึ่ง
    มาถวายพระองค์ ก่อนที่พระองค์จะเสด็จไปทำบุญที่วัดอื่นต่อ

    เรื่องนี้จึงเป็นเรื่อง ที่บ่งบอกถึงญาณหยั่งรู้ของหลวงปู่
    ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตยจริง ๆ สุดที่พวกเรา ๆ ท่าน ๆ จะรู้ตามได้
    แต่ก็นำมาซึ่งความอัศจรรย์ใจในองค์ หลวงปู่อย่างมาก

    ที่มา : หนังสือตามรอยธรรม ย้ำรอยครู
    เขียนโดย : คุณพรสิทธิ์
    กลุ่มเพื่อนธรรมเพื่อนทำ
    www.luangpordu.com
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105

    แผ่ เมตตา ...อย่าให้ชักช้า

    [​IMG]------------------------------------------------------------------------------

    ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณดา ภรรยาของเฮียอู๋ (โยมอุปัฏฐากคนหนึ่งของหลวงปู่) ก็ได้เกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ ในมุมที่บางคนอาจจะมองข้ามไป จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง

    คุณดาเล่าอานิสงส์ของบทพุทธังอนันตังฯ (บทแผ่เมตตา) ที่หลวงปู่สอน
    (บทเต็มๆ คือ "พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะปัจจะโยโหตุ")
    ว่า เธอได้ใช้เป็นประจำ และก็สังเกตว่ามันได้ผลมาก หลายครั้งที่เจอเหตุการณ์ที่สุนัขดุ ๆ จะมากัดเธอ
    เธอก็ตั้งจิตแผ่เมตตา โดยว่าพุทธัง อนันตังฯ สุนัขนั้นก็กลับเป็นมิตร กระดิกหางให้

    เธอยัง เล่าว่าหลวงปู่เคยกำชับเธอว่า
    "เวลามีใครมาขอส่วนบุญ จะมามัวว่า อิมินาปุญญกรรมเมนะฯ (บทกรวดน้ำใหญ่) มันจะไม่ทันกิน เพราะบางดวงจิตเขามีเวลาประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น"

    อันนี้ไปสอดคล้อง กับคำสอนหลวงพ่อฤาษีฯ (พระราชพรหมยาน) ที่ท่านก็พูดสอนไว้ทำนองเดียวกัน
    ท่าน สอนให้ตระหนักว่าบางครั้งดวงวิญญาณเขาแอบหนีหรือขออนุญาตนายนิรยบาลมารับโมทนาบุญจากญาติ
    หรือคนที่สามารถจะสงเคราะห์เขาได้ เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้นมาก ๆ
    หากเรามัวแต่ตั้งท่าไล่บทกรวดน้ำตั้งแต่ ให้คุณพ่อ คุณแม่ ครูอาจารย์ เทพที่ดูแลพระอาทิตย์ พระจันทร์ ญาติมิตร ศัตรู ฯลฯ
    ก็พอดีหมดเวลา เขาต้องกลับไปถูกจองจำชนิดกลับไปมือเปล่า น่าสงสาร

    คุณดาจึงบอกว่าบท พุทธังอนันตังนี้ หลวงปู่ตั้งใจให้มันสั้น เพื่อให้มันทันกันกับเหตุการณ์จำเพาะหน้า
    เอา ไว้เหตุการณ์ปกติไม่มีอะไร เราก็ค่อยว่าบทกรวดน้ำตามแบบเขา ซึ่งนิยมสวดกันหลังทำวัตรเย็น

    ลูกศิษย์หลวงปู่บางคนเล่าว่า พอได้กลิ่นสาบสาง (ชนิดที่มักได้กลิ่นอยู่คนเดียว คนใกล้เคียงไม่ได้กลิ่นนั้นด้วย) โดยไม่รู้สาเหตุ
    ก็มักตั้งจิตเจตนาไป ที่ต้นแหล่งที่มาของกลิ่น แล้วก็แผ่เมตตา คือ พุทธัง อนันตังฯ ในทันที เรียกว่าปลอดภัยไว้ก่อน ไม่เสียหลายอะไร

    นี้แหละ จึงว่าแผ่เมตตาในยามคับขัน ต้องทำให้เร็ว ให้ทันการณ์ ซึ่งนอกจากวิญญาณเขาจะได้รับส่วนบุญโดยตรงและโดยเร็วแล้ว
    ตัวเราเองก็จะ คุ้นเคยกับการเจริญสติ ตั้งสติ ระลึกถึงพระได้เร็ว ชนิดอัตโนมัติ จนกลายเป็นนิสัยอีกด้วย

    ***จากบทความของ คุณสิทธิ์

    สำหรับผู้ ที่สนใจในการปฎิบัติกรรมฐานแนวหลวงปู่ดู่และวิธีทำสมาธิแบบของท่าน

    เชิญ download file PDF ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้ที่นี่ครับ
    เชิญ download file PDF ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้ที่นี่ครับ
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105



    [​IMG]

    บางเรื่องที่หลวงปู่ทวดสงเคราะห์

    บ่ายวันหนึ่ง หลวงปู่ท่านได้ยกเรื่องที่หลวงปู่ทวดท่านสงเคราะห์ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของเด็ก ๆ

    วันนั้น ท่านยกมาเล่าให้ฟัง ๒ เรื่อง เรื่องแรกเป็นเรื่องของเด็กที่กำลังทำข้อสอบภาษาอังกฤษ เขาทำข้อสอบหมดแล้ว ก็กลับมาที่ข้อที่ยังทำไม่ได้ และด้วยความที่เด็กคนนี้ก็เคยฝึกหัดภาวนาที่วัดสะแก จึงได้ระลึกถึงหลวงปู่ทวด แต่ครั้นจะร้องขอหลวงปู่ทวดให้ช่วยเหลือ ก็ไม่แน่ใจด้วยคิดว่าหลวงปู่ท่านเป็นพระไทยโบราณ ท่านคงไม่รู้ภาษาอังกฤษ หรือไม่ท่านก็คงไม่อาจสื่อสารกับเขาได้แน่ แต่ในเมื่อเวลาทำข้อสอบยังไม่หมด เด็กคนนั้นจึงพยายามทำภาวนาในใจ ... และแล้วเหตุการณ์แปลกประหลาดที่ไม่เคยคาดคิดก็เกิดขึ้น กล่าวคือ เด็กคนนั้น เห็นหลวงปู่ทวดยืนอยู่หน้าชั้น แล้วเขียนคำตอบเป็นภาษาอังกฤษบนกระดานดำให้เขามองเห็น หลวงปู่ดู่ท่านเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี

    เรื่องที่ ๒ ที่หลวงปู่เล่าให้ฟังต่อเนื่อง คือ เรื่องของเด็กนักเรียนตัวน้อย ๆ คนหนึ่ง ระหว่างทางที่เดินกลับบ้าน เขาเห็นสุนัขตัวน้อยกำลังถูกสุนัขตัวใหญ่รุมกัด
    เด็กคนนั้นก็ร้องขอหลวงปู่ทวดว่า "หลวงปู่ช่วยมันด้วย" ทันใดก็(เหมือน)มีมือขนาดใหญ่ปัดไล่จนสุนัขตัวที่รุมกัดเจ้าสุนัขตัวน้อยผู้ น่าสงสาร หนีกระเจิงไป

    หลวงปู่ท่านสรุปว่า มีเรื่องอะไร ๆ ก็ร้องขอหลวงปู่ทวดท่านได้
    แต่ทีนี้ ผู้เป็นศิษย์ก็ต้องรู้เข้าใจเองว่า เรื่องเหล่านั้นต้องเป็นเรื่องที่ชอบที่ควร ไม่ผิดศีลธรรม และอยู่บนพื้นฐานของการช่วยเหลือตนเองอย่างเต็มที่แล้ว
    ไม่เช่นนั้น จะพลัดจากพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาแห่งกรรมและความเพียร ไปสู่เทวนิยมซึ่งเน้นการอ้อนวอนขอร้องมากกว่าพึ่งตนเอง

    ***จากบทความ ของ คุณสิทธิ์

    สำหรับผู้ที่สนใจในการปฎิบัติกรรมฐานแนวหลวงปู่ดู่และ วิธีทำสมาธิแบบของท่าน

    เชิญ download file PDF ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้ที่นี่ครับ
    เชิญ download file PDF ตามรอยธรรมย้ำรอยครู หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้ที่นี่ครับ
     
  9. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    วันที่ 13 พ.ค. 2553 เวลา 16 น. โอนเงินทำบุญกับทุนนิธิ ฯ จำนวน 300 บาทค่ะ อนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    จากเวบนวรัตน์ดอทคอม

    ถ้ารักในหลวง และอยากรู้เรื่องจริง...ควรอ่าน



    ถึง เพื่อนชาวไทยที่รักในหลวง

    ได้ โปรดอย่าได้ FORWARD จดหมายเวียน ที่ลบหลู่ให้ร้ายในหลวง (FORTUNE magazine ลำดับกษัตริย์ ที่รวยที่สุดในโลก ) ต่อไปอีก เพราะนอกจากจะเข้าข่ายร่วมกระทำการหมิ่น และให้ร้ายต่อในหลวงของเราแล้ว ยังร่วมกล่าวหาอย่างเป็นเท็จกับพระองค์ท่านอีกด้วย โดยพระองค์ท่านเองไม่สามารถออกมาชี้แจงหรือโต้ตอบอย่างใดได้เลย

    ท่าน ทราบไหมว่า วังที่ในหลวงประทับที่สวนจิตรฯ นั้น เป็นบ้านที่เล็กกว่าบ้านของเศรษฐีไทยหลายพันคน และเล็กกว่าแม้กระทั่งบ้านของอดีตรมต.หลายร้อยคน วังสวนจิตรลดาถึงแม้จะมีบริเวณใหญ่ แต่ส่วนที่เป็นที่ประทับมีบริเวณเล็กมาก ที่ดินส่วนใหญ่เป็นโรงเรียน โรงงานทดลองทำปุ๋ย โรงเลี้ยงวัว แปลงทดลองปลูกข้าว

    บุคคลทั่วไปก็เข้าไป รร.จิตรลดาได้ โดยขอแลกบัตรได้ทุกคน จากบริเวณโรงเรียน ก็มองเห็นอาคารที่ประทับได้ห่างออกไปไม่ถึง 100 เมตร ใครอยากจะเห็นด้วยตาตนเองก็เข้าไปดูได้สะดวกง่าย ๆ ผมเห็นว่าพระองค์ท่านกิน อยู่ แบบคนไทยชั้นกลางทั่วไป ไม่ใช่แบบเศรษฐีไทยอย่างแน่นอน

    คน ซ่อมรองพระบาทของพระองค์ท่าน ได้เล่าให้พวกเรารับทราบว่า ท่านจะส่งรองพระบาทเก่าท่านมาซ่อมตลอดจนซ่อมไม่ไหว รองพระบาทเก่าคู่นั้นช่างยังเก็บไว้ให้เราไปดูได้

    สมาคมทันตแพทย์ ไทย ไปเข้าเฝ้าเพื่อขอพระราชทานหลอดยาสีฟันเก่า ที่ทรงใช้ยาสีฟันได้จนหยดสุดท้าย โดยรีดจนหลอดแบนเป็นกระดาษ ไปขอดูที่สมาคมได้

    เกี่ยวกับทรัพย์สินมูลค่ามากของสำนักงาน ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตรย์ ที่ฝรั่งไปเอามูลค่าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทปูนซีเมนต์ไทย ธนาคารไทยพานิชย์ นั้นมารวมว่าเป็นทรัพย์สินของในหลวงด้วยนั้น ขอยืนยันว่า

    ไม่ใช่ครับ !

    ที่เป็นของพระองค์ ท่านส่วนพระองค์... มีครับ แต่ไม่มาก เรียกว่า ทรัพย์สินส่วนพระองค์ จะต้องเสียภาษีอากรภายใต้กฏหมายเหมือนประชาชนทั่วไป ทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์เดิม ส่วนที่ถูกยึดมาเป็นของรัฐหลังปฎิวัติโดยคณะราษฎร์ในปีพ.ศ.2475 นั้น ตกเป็นของรัฐทั้งหมด เห็นได้ว่าทรัพย์สินส่วนนี้จึงไม่ต้องเสียภาษี เหมือนส่วนที่เรียกว่า ทรัพย์สินส่วน พระองค์

    สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จัดตั้งขึ้นโดยรัฐบาลยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง2475 โดยให้ รมต.คลังของรัฐบาลเป็นประธานควบคุมดูแล ที่จริงก็คือทรัพย์สมบัติของราชวงค์จักรีเดิม แต่ถูกยึดมาเป็นของกลาง เป็นของรัฐฯ หมดแล้ว หลังจากได้ยึดอำนาจจากระบบปกครองโดยพระมหากษัตริย์ มาเป็นปกครองโดยรัฐบาลใด ๆ ที่ชนะการเลือกตั้ง ก็จะได้สมบัติที่ยึดมาทั้งหมดนี้ไปดูแล ที่ดินของราชวงค์จำนวนมากก็ถูกยึดมาเรียกว่า ที่ดินราชพัสดุ ซึ่งส่วนนี้เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังดูแล

    ธนาคารออมสิน ธนาคารที่ ร.6 ตั้งด้วยเงินส่วนพระองค์เป็นการเริ่มต้นเอง ปัจจุบันมีเงินเพิ่มพูนเป็นแสนล้าน ก็กลายเป็นธนาคารของรัฐ 100 เปอร์เซ็นต์ ใช้ระเบียบที่ ร.6 ท่านวางไว้เดิม ให้เสนาบดีพระคลังเป็นคนดูแล ปัจจุบันรมต.คลังเป็นคนดูแลเอง ตั้งกรรมการได้เองทั้งคณะ รัฐบาลจึงเอาเงินไปใช้ได้สะดวกมาก พระราชวงค์ไม่มีสิทธิ์ใด ๆ ในธนาคารเลย

    ผม เป็นคนไทยธรรมดา มิได้เกี่ยวข้องเป็นราชนิกูลแต่อย่างใด มีเชื้อสายบรรพบุรุษเป็นมอญ ลาว จีน มีเชื้อสายไทยแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น แต่ก็ได้เกิดมาในประเทศไทยที่มีความสุขและมีกษัตริย์ที่ดี ผมจึงรักในหลวงมาก การใส่ร้ายพระองค์ท่านต่าง ๆ ในขณะนี้ ไม่ให้ความเป็นธรรมกับพระองค์ท่านเลย และเริ่มมีคนหลงไหล และเชื่อคำให้ร้ายต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงต้องออกมาชี้แจง ข้อเท็จจริงมีอยู่ และพิสูจน์ได้

    ใครยังไม่เห็นจริงก็ออกมาโต้ได้ อย่าเชื่อโดยไม่พิสูจน์ ก่อน

    ขอแสดงความนับถือ

    รอง ศาสตราจารย์ ดร.ต่อตระกูล ยมนาค
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ส่วนหนึ่งของคำสัมภาษณ์ คุณอี้ แทนคุณ จิตต์อิสระ ที่พูดเกี่ยวกับเรื่องการทำหน้าที่พิธีกรรายการที่ช่อง 11

    “ถึง ผมจะไม่ใช่สื่อมวลชนที่เป็นนักข่าว แต่ผมก็เป็นคนทำงานด้านสื่อในเรื่องการสัมภาษณ์ เวลาที่เกิดปัญหาในเรื่องการบิดเบือนข้อมูล สิ่งหนึ่งที่เราควรจะต้องทำคือไม่หลบหนีความจริง เช่น วาทกรรมเรื่องอำมาตย์ ไพร่ ผมก็ได้มีการหยิบยกขึ้นมาถามอาจารย์ ปณิธาน วัฒนายากร อาจารย์ปราโมทย์ นาครรทรรพ ผมก็ถามตรง ๆ ว่า ชนชั้นพระมหากษัตริย์ทำให้ไม่เกิดความเป็นประชาธิปไตยจริงไหม ? ที่ต้องถามเพราะว่ามีคนอีกเยอะมาก ที่พร้อมจะเอนเอียงไปทางเขา ถ้าเราไม่เปิดใจกว้างพูดคุยเรื่องนี้ในอนาคตก็อาจจะมีปัญหา”

    ท่านอาจารย์ปราโมทย์ก็ได้ตอบ ว่า ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ที่เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด คำหนึ่งที่ผมยิ่งสะเทือนใจและตอกย้ำว่า เราจะต้องทำหน้าที่ตรงนี้ เราจะต้องทำนะ เราจะต้องสู้ และถ้าจะเอาชีวิตเข้าแลกก็ต้องทำ ก็คือ ท่านอาจารย์บอกว่า ในหลวงทรงรู้ว่ามีคนที่ไม่อยากให้มีสถาบัน ท่านก็พยายามบอกผ่านคนทำงานของท่านว่า ขอ ให้บอกเรานะ อยากให้เราปรับตัวอะไรบ้าง ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือ ให้โอกาสในการที่เราจะปรับตัวด้วย นี่คือสิ่งที่เราสัมภาษณ์ออกโทรทัศน์กันสด ๆ เลย”

    “ผมฟังแล้วแบบ....รู้สึกว่าท่านโดดเดี่ยว และก็รู้สึกว่า ถ้าประชาชนไม่ช่วยกันปกป้องท่าน ท่านก็ไม่มีพระราชอำนาจอะไรที่จะบังคับความรักความศรัทธาของผู้คนให้รักเรา นะ จงรักภักดีกับเรานะ แต่ตรงกันข้าม พระองค์กลับพยายามบอกว่า มีอะไรให้ปรับตัว ยินดีที่จะช่วยเหลือประชาชนทุกคน ท่านเป็นในหลวงที่เหนื่อยที่สุดในโลก ทรงงานหนักมากขนาดนี้ แต่กลับถูกคนที่เห็นแก่ตัวไม่กี่คนปลุกระดมคน ฉะนั้นถ้าผมจะทำอะไรได้ จะต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม”
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ไทยเคยเสีย พระแก้วมรกตให้ประเทศรัฐเซียเชื่อหรือไม่?




    [​IMG]
    <!-- 01211_36.jpg [ 37.2 KiB | เปิดดู 283 ครั้ง ] -->


    ในสมัยล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่เดินทางไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศมหาอำนาจต่างๆ หลายประเทศ หนึ่งในนั้นคือประเทศรัฐ เซียซึ่งพระมหากษัตริย์ของรัฐเซียตอนนั้นคือพระเจ้าซาร์นิโครรัส ซึ่งพระองค์เคยเสด็จมาเยือนประเทศสยามในสมัยที่เป็นพระมกุฏราชกุมารเช่นกัน ซึ่งพระเจ้าซาร์ได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่จนถึงวันเสด็จกับ พระเจ้าซาร์ฯได้มาส่งเสด็จล้นเกล้ารัชกาลที่กลับ พระเจ้าซาร์ก็ได้ตรัสขึ้นว่า "เราทั้งสองนี้เปรียบเสมือนพี่น้องกันก่อนจากกันก็อยากจะเเลกเปรียนสิ่งของ ระหว่างกัน" ล้นเกล้ารัชกาลที่5 ทรงตรัสว่า"ท่านเปรียบพี่ได้โปรดพูดมาเถิดไม่ว่าอะไรเราก็จะให้"พระ เจ้าซาร์ฯจังตรัสว่า"อยากจะได้สิ่ง ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจแล้วศุนย์รวมความศรัทธาของคนไทย อยากจะขอพระแก้วมรกตมาไว้รัฐเซีย" ล้นเกล้ารัชกาลที่5ทรงตกพระทัยกับสิ่งที่พระเจ้าซาร์ขอเป็นอย่างมากแต่ เนื่องด้วยตรัสไว้เเล้วว่าไม่ว่าพระเจ้าซาร์อยากได้อะไรก็จะมอบให้ จึงทรงตอบตกลงที่จะยกพระเเก้วมรกตให้แก่พระเจ้าซาร์ ครั้งเมื่อพระเจ้าซาร์ได้คำตอบที่พอใจแล้วจึงทรงตรัสถามว่า "แล้วน้องพี่อยากได้อะไรเล่าพี่ก็จะหามาให้ เช่นกัน" ล้นเกล้าจึงตรัสว่า "สิ่งที่หม่อมฉันอยากได้ คือศูนย์รวมจิตใจและความศัทธาของชาวสสยามคืออยากได้พระแก้วมรกตกลับไปให้ชาว สยามได้กราบไหว้บูชาต่อไป" จึงทำให้พระแก้วมรกตยังอยู่เมืองไทยมาจนถึงทุกวันนี้ นับเป็นพระราชปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งคับ ทุกท่านว่าอย่างนั้นมะคับ


    เนื่องจากพระราชดำรัสของพระมหา กษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น เสมือนหนึ่งกฎหมายและมีผลบังคับในทันที ดังนั้นช่วงเวลาไม่กี่นาทีดังกล่าว ถือได้ว่าพระแก้วมรกตได้เป็นของรัสเซียแล้ว แม้มิได้อัญเชิญออกจากที่หรือเคลื่อนย้ายใดๆแม้แต่น้อย

    หากวันนั้น มกุฎราชกุมารรัสเซียไม่ได้ทรงขอพระแก้วมรกต ราชอาณาจักรสยามอาจจะไม่ต้องเสียดินแดนแม้แต่เศษเสี้ยวเดียวเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม .. พระราชไมตรีอันแน่นแฟ้นของพระราชวงศ์ทั้งสองนี้ ก็ได้คานอำนาจของประเทศมหาอำนาจในยุโรปอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ ทำให้สยามดำรงเอกราชเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคจวบจนกระทั่งทุกวันนี้

    ปล บางตำรากล่าวว่าฝ่ายรัสเซียได้หยอดคำหวานขอก่อน โดยที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมิได้ทรงเสนอข้อแลกเปลี่ยนใดๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เป็นกุศโลบายของฝ่ายรัสเซีย เพื่อที่จะทดลองน้ำพระราชหฤทัยในสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เมื่อความเป็นดังว่านั้น ฝ่ายรัสเซียจึงตระหนักดีว่าฝ่ายสยามไม่ได้มีความโลภที่จะอยากได้ทรัพย์ สมบัติจากรัสเซีย นอกเสียจากน้ำใจไมตรีที่แท้จริง

    ปล ปล หลังจากที่ มกุฎราชกุมารได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นพระเจ้ากรุงรัสเซียแล้ว ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าซาร์ นิโกลัสที่ ๒ สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงได้เสด็จฯเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการเพื่อเป็นการตอบ แทนเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๔๔๐ ในโอกาสเสด็จฯเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการครั้งแรก ซึ่งต่อมาได้ถือวันดังกล่าวเป็นวันสถาปนาความสัมพันธ์ไทย - รัสเซีย

    ปล ปล ปล การเสด็จฯเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงครั้งนั้น ได้ทรงฉายพระรูปคู่กับสมเด็จพระเจ้า ซาร์ นิโคลัสที่ ๒ ในลักษณะประทับบนเก้าอี้พระที่นั่ง ภาพดังกล่าวถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั่วยุโรป (ตามภาพ)

    คัดลอกมาจาก google guru ขอรับ

    <div class="postbody"><!--แนบไฟล์:
    <div class="attachcontent">--> [​IMG]
    <!-- r54_resize.jpg [ 76.41 KiB | เปิดดู 269 ครั้ง ] -->

    <!--แนบไฟล์:
    --> [​IMG]
    <!-- i192505958_80529_3.jpg [ 76.85 KiB | เปิดดู 270 ครั้ง ] -->


    ขอขอบคุณ

    กระดานสนทนา NAVARAHT "นวรัตน์ดอทคอม" &bull; แสดงกระทู้ - ไทยเคยเสียพระแก้วมรกตให้ประเทศรัฐเซียเชื่
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เมื่อวันก่อนได้รับโทรศัทพ์ด่วนจาก รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานีว่า จะมีพระภิกษุเข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกที่ รพ. 1 รูป และขอใช้เงินของทุนนิธิฯ ที่บริจาคมาประมาณ 5 เดือน หรือคิดเป็นเงินบริจาค 25,000.-โดยการรักษาในครั้งนี้ จะใช้เงินเกือบ 5,000.-บาท ได้หรือไม่ ผมเมื่อได้รับโทรศัพท์แล้ว ก็มาพิจารณาดูว่า ยอดการใช้เงินของ รพ.แห่งนี้ มีไม่มากเนื่องจากพระสงฆ์ส่วนใหญ่ก็มีไม่มากเช่นกัน หรือถ้ามีก็เป็นจำนวนเล็กน้อย และส่วนใหญ่ท่านก็จะใช้บัตรทอง หรือบัตรผู้สูงอายุ จึงตอบตกลงทันที ดังนั้น ในโอกาสนี้ จึงขอแจ้งมายังผู้ที่บริจาคให้ทราบโดยทั่วกันว่า เงินที่พวกท่านทั้งหลายได้บริจาคมายังทุนนิธิฯ และทุนนิธิฯ ได้กระจายไปยัง รพ.ภูมิภาคต่างๆ รวมถึง รพ.ปัตตานีนั้น บัดนี้เงินดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้เพื่อการผ่าตัดต้อกระจกของพระภิกษุรูปหนึ่งแล้วที่ จ.ปัตตานี เพื่อให้ท่านให้หายทรมานจากอาการของต้อกระจก และขออานิสงส์นี้ จงมีแด่ทุกท่านที่ได้ร่วมบริจาคมาด้วยกันทุกคนครับ

    สำหรับงานบุญในเดือนนี้ คณะกรรมการฯ ได้กำหนดไว้แล้วคือวันที่ 30 พ.ค. นี้ และหากมีการเปลี่ยนแปลงกำหนดการ อันเนื่องมาจากอะไรก็ตาม ผมจะได้แจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่งเช่นกัน

    พันวฤทธิ์
    15/5/53
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="480"><tbody><tr><td bgcolor="#0080ff" width="363">ต้อกระจก - Cataract</td> <td bgcolor="#3399ff" width="62"> </td> <td bgcolor="#aad5ff" width="37"> </td> <td bgcolor="#e8fafd" width="12"> </td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
    ต้อกระจก เป็นภาวะที่แก้วตาหรือเลนส์ตา
    (lens) ภายในลูกตามีลักษณะขุ่นขาวขึ้น
    จากปกติที่มีลักษณะโปร่งใสเหมือนกระจก เมื่อแก้วตาขุ่นขาวก็จะมีลักษณะทึบแสง ไม่ยอมให้แสงผ่านเข้าสู่ลูกตาไปรวมตัว
    ที่จอตา (เรตินา) ทำให้เกิดอาการตาฝ้า
    ฟาง หรือมืดมัว
    สาเหตุ
    1. ส่วนใหญ่ (ประมาณ 80%) เกิดจากภาวะเสื่อมตามวัย คนที่มีอายุมากกว่า
    60 ปี จะเป็นต้อกระจกแทบทุกคน แต่อาจเป็นมากน้อยต่างกันไป เรียกว่า ต้อกระจกในคนสูงอายุ
    (senile cataract)
    2. ส่วนน้อยอาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น
    เป็นมาแต่กำเนิด ซึ่งจะพบในทารกที่เป็นหัดเยอรมันโดยกำเนิด (ดูโรค หัด
    เยอรมัน)
    เกิดจากการได้รับบาดเจ็บ หรือกระทบกระเทือนที่ตาอย่างรุนแรง
    เกิดจากความผิดปกติของตา เช่น ม่านตาอักเสบ, ต้อหิน
    เกิดจากยา เช่น การใช้ยาหยอดตาที่เข้าสเตอรอยด์ หรือกินเสเตอรอยด์นาน ๆ
    การใช้ยาลดความอ้วนบางชนิด เป็นต้น
    เกิดจากการ ถูกรังสีที่บริเวณตานาน ๆ เช่น คนที่เป็นมะเร็งที่เบ้าตาเมื่อรักษา
    ด้วยรังสีบ่อย ๆ ก็ทำให้เกิดต้อกระจกได้
    ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ก็มักจะเกิดต้อกระจกก่อนวัยได้
    ภาวะขาดอาหาร ก็อาจทำให้เกิดต้อกระจกได้เร็วกว่าปกติ

    อาการ
    ผู้ป่วยจะรู้สึกว่า ตาค่อย ๆ มัวลงเรื่อย ๆ ทีละน้อย
    ในระยะเริ่มแรก จะรู้สึกมีอาการตามัวเหมือนมีหมอกบัง มองในที่มืดชัดกว่า
    ที่สว่าง หรือถูกแสงสว่าง จะรู้สึกตาพร่ามัว สู้แสงไม่ได้ หรือมองเห็นภาพซ้อน
    โดยไม่มีอาการเจ็บปวดหรือตาแดงแต่อย่างไร
    อาการตามัวจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ กินเวลาเป็นแรมเดือนแรมปี จนในที่สุด
    เมื่อแก้วตาขุ่นขาวจนหมด (เรียกว่า ต้อสุก) ก็จะมองไม่เห็น
    สำหรับต้อกระจกในคนสูงอายุ มักจะเป็นที่ตาทั้งสองข้าง แต่จะสุกไม่พร้อมกัน

    สิ่งตรวจพบ
    การตรวจดูตา จะพบแก้วตามีลักษณะขุ่นขาว เวลาใช้ไฟส่อง ผู้ป่วยจะรู้สึก
    ตาพร่า

    อาการแทรกซ้อน
    เมื่อต้อสุกและไม่ได้รับการผ่าตัด จะทำให้ตาบอดสนิท ในบางคนแก้วตา
    อาจบวม หรือหลุดลอยไปอุดกั้นทางระบายของของเหลวในลูกตา ทำให้ความ
    ดันภายในลูกตาสูงขึ้น จนกลายเป็นต้อหินได้ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาอย่าง
    รุนแรง

    การรักษา
    ในรายที่เริ่มเป็นน้อย ๆ ไม่ต้องทำอะไร รอจนกว่าต้อสุก จึงแนะนำไปผ่าตัด
    ที่โรงพยาบาล ยกเว้นทารกที่เป็นต้อกระจกมาแต่กำเนิด อาจต้องผ่าตัดเมื่อ
    อายุได้ 6 เดือน เพื่อป้องกันมิให้ประสาทตาเสื่อม
    การผ่าตัด จะใช้ยาชาฉีดไม่ให้ปวด และใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง หลังผ่าตัด
    ผู้ป่วยควรนอนนิ่ง ๆ ประมาณ 12-24 ชั่วโมง ก็ให้ลุกนั่ง และเข้าห้องน้ำได้ พักอยู่ใน
    โรงพยาบาลประมาณ 5-7 วัน ก็กลับบ้านได้ ควรนัดผู้ป่วยมาตรวจทุก
    2 สัปดาห์และมาตัดแว่นหลังผ่าตัดประมาณ 3 เดือน เมื่อสวมแว่น ผู้ป่วยจะ
    สามารถมองเห็นได้ชัดเหมือนคนปกติ
    ในปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดแบบใหม่ เช่น การผ่าตัดสลายต้อด้วยคลื่นความถี่สูง
    (phacoemulsification) และฝังเลนส์เทียมเข้าไปแทนเลนส์จริงในลูกตา
    (ไม่ต้องตัดแว่นใส่) ใช้เวลาน้อย และไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาล แต่ค่าใช้
    จ่ายค่อนข้างแพง

    ข้อแนะนำ
    1. อาการตามัว อาจมีสาเหตุอื่น นอกจากต้อกระจก ควรซักถามอาการ และ
    ตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ใช่เกิดจากภาวะร้ายแรง เช่น ต้อหิน ดูแผนภูมิประกอบ
    2. การรักษาต้อกระจกมีอยู่วิธีอยู่วิธีเดียว คือ การผ่าตัดเอาแก้วตาออก (lens
    extraction) ไม่มียาที่ใช้กินหรือหยอดแก้อาการของต้อกระจกได้
    3. ต้อกระจกที่พบในคนอายุน้อย หรือวัยกลางคนอาจมีสาเหตุจากเบาหวาน
    หรืออื่น ๆ ได้ ควรแนะนำไปตรวจที่โรงพยาบาล
    4. ผู้ป่วยที่เป็นต้อกระจกอย่าไปรักษาตามแบบพื้นบ้านซึ่งบางคนยังนิยม เพราะ
    กลัวผ่าตัดหรือกลัวเสียค่าใช้จ่ายมาก หมอพื้นบ้านจะทำการเขี่ยให้แก้วตา
    หลุดไปด้านหลังของลูกตา แสงก็จะผ่านเข้าไปในตาได้ ทำให้มองเห็นได้ทันที แต่ไม่ช้าจะภาวะแทรกซ้อนตามมาเช่น ต้อหิน เลือดออกในวุ้นลูกตา หรือ
    ประสาทตาเสื่อมทำให้ตาบอดอย่างถาวร

    เป็นต้อกระจก อย่าเสี่ยงผ่าตัดไปรักษากับหมอพื้นบ้านอาจทำให้ตาบอดสนิท
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ใครรู้จักท่านบ้าง?


    ตะกรุดดีน่าใช้


    หนึ่งเดียวสืบสายตำนาน “ สมเด็จโต ” ยอดพระยอดครูยอดคน
    หลวงปู่พรหมา วัดน้ำพุพรหมจริยาวาส ( พระครูอุปกิตวรานุรักษ์ )
    ต. ทุ่งโพ อ. หนองฉาง จ. อุทัยธานี อายุ 87 ปี 63 พรรษา
    เจ้าตำรับจารย์ฟัน – โบสถ์ลั่นเมื่อหลับตา – วาจาศักดิ์สิทธิ์ – น้ำมนต์มีฤทธิ์เทไม่ออก
    องค์ เดียวในประเทศผู้สืบสายตำราวิชา หลวงปู่ขรัวแสง องค์อาจารย์สมเด็จโต วัดระฆัง
    อันลือลั่นสนั่นทุ่ง
    หลวงปู่พรหมา วัดน้ำพุพรหมจริยาวาส จ. อุทัยธานี

    นามหลวงปู่พรหมา เจิดจรัสฉายแววเรืองฤทธิ์อภิญญา ปฎิทาอันห้าวหาญเด็ดเดี่ยวเป็นที่ร่ำลือมิมีใครเกิน สายตำราของหลวงปู่ก็หาธรรมดาไม่ ชื่อหลวงปู่ดังกระฉ่อนทั่วเมือง สมัยเมื่อหลวงปู่เชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ เป็นประธานเสกพระวัดหนึ่ง ท่านนั่งธรรมมาส มององค์หลวงปู่พรหมาที่นั่งเสกอยู่ก่อน พลางเดินมาหาต่างยกมือไหว้กัน ชมกันมิขาดปาก พอเจ้าภาพมา นิมนต์หลวงพ่อเชื้อ จุดเทียนชัย ท่านชี้มือไปหาหลวงปู่พรหมา บอกว่างานนี้ “ พระพรหมเจ้าถิ่นดีกว่า ” เจ้าภาพเสียมิได้ไปกราบบอกหลวงปู่พรหมา ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก ท่านมองหลวงพ่อเชื้อแล้วยิ้ม และล้วงย่ามได้อะไรไม่รู้ก้อนสีดำๆ มาเคาะ 3 ที เทียนชัยต้นนั้นไฟจุดติดเองได้ ท่ามกลางพระสงฆ์ 9 รูป ที่นั่งสวดเสก และฆราวาสอีก 4 คน พอดีหลวงพ่อเชื้อขึ้น ชยันโต ความตกตะลึงจึงจางไป พระสงฆ์ทั้งนั้นสวดชยันโตไปกับหลวงพ่อเชื้อ พิธีนี้ปิดโบสถ์ เกิดขึ้นมากว่า 30 ปีแล้ว ใคร ๆ ในพิธีนั้นลือว่า หลวงปู่พรหมาเล่นกล ตอนหลังมีศิษย์ไปกราบหลวงพ่อเชื้อท่านบอกว่า “ ท่านพรหมองค์นี้ไม่ธรรมดาตายแล้วเกิดใหม่ก็หาพระอย่างนี้ยาก ” อีกพิธีหลวงปู่พรหมาไปเสกพระในโบสถ์ด้วยวัยชรา ท่านนั่งชันขาตัวเอนๆ เหมือนคนนอนยกเข่าขึ้น หลับตาอยู่ พระหนุ่มหน้าโบสถ์คอยจัดน้ำถวายพระ กระซิบกันว่า “ แก่ป่านนี้แล้วไม่รู้จะทรมานสังขารทำไม นอนอยู่วัดก็หมดเรื่อง ยกแข้งยกขาเสกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ” พอเสร็จพิธีหลวงปู่เดินออกมาจากโบสถ์ ตาก็จับจ้องที่พระหนุ่ม 2 องค์นี้ แล้วเดินช้า ๆ เข้าไปหาแล้วบอกว่า “ เสกนะเขาใช้ข้างในเสกถ้า ท่านไม่รู้อย่าพูดเลยนะ บาปกรรมเปล่า ” เล่นเอาพระหนุ่มหน้าชา


    สมัย หนุ่ม ๆ หลวงปู่เล่นของแรง ท่านใช้เหล็กจารย์ฟันและห้ามพูดกับผู้หญิง 7 วัน ถ้าใครทำได้จะพูดเจรจามีแต่คนรักคนเชื่อติดในคำพูดของเรา ถ้าใครไปเพลอพูดกับผู้หญิงเข้าฟันแตกเห็น ๆ เลย ถามพระที่วัดได้มีประสบการณ์มาเอง

    งานเสกวัตถุมงคลฝังลูกนิมิต ปี 2548 หลวงปู่สั่งให้ปิดโบสถ์เสก ท่านลืมตาตลอด พอท่านหลับตาเท่านั้นเสียงดัง “ เปี้ย ” สนั่นโบสถ์ เสียงอัศจรรย์นั้นทุกวันนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร ต่างลือว่าหลวงปู่หลับตาแล้วโบสถ์ลั่น งานนี้เณร 2 องค์เฝ้าหลวงปู่อยู่จ้องหลวงปู่มิวางตา พักเดียวองค์หลวงปู่หายไป พอมองอีกทีก็เห็นองค์หลวงปู่นั่งอยู่ที่เดิมแต่เหมือนทองคำเหลืองอร่ามทั่ว ทั้งองค์ ที่แปลกกว่านั้นอีกเมื่อเณรองค์หนึ่ง เห็นแสงวิ่งตามสายสิญจน์จากมือหลวงปู่เข้าหาวัตถุมงคล เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือเณรตาฝาดไม่ทราบ พิธีนี้น้ำมนต์ในโองหมุนได้เหมือน น้ำปั่น

    รูปหล่อบูชารุ่นแรกของ หลวงปู่ที่เสกงานโบสถ์ลั่น ศิษย์บูชาไปกลับมาเช่าอีก 20 องค์ บอกว่ามองรูปหล่อแล้วกระพริบตาได้ คนบ้านทุ่งโพมาขอน้ำมนต์ท่าน ท่านก็ไปตักในบาตรมายื่นให้ พอรับไปแล้วนึกฉงนไม่เห็นหลวงปู่ปลุกเสกให้เลย จึงเทน้ำมนต์ทิ้งในตุ่มน้ำ เทยังไงก็เทไม่ออก จึงขับรถเครื่องมาหาท่าน ท่านยืนที่บันไดบอกว่า “ เอาเสกให้แล้วจะเททิ้งหรือ ? ” เขาย้อนหลวงปู่ว่าเทไม่ออก หลวงปู่ก็บอกว่า เอาไหนเทซิ พอเทต่อหน้าท่านก็เทออกปกติ

    คราวงานฝังลูกนิมิตวัดติดป้ายประกาศงาน คนมาเห็นป้ายหลวงปู่สีแดง ๆ กล่าวคำไม่ดีกับท่าน แล้งควักปืนมาเล็งที่รูปหลวงปู่ พอลั่นไกลยิงถึงกับปืนแตก ตัวคนยิงก็ตาย รูปนี้ชาวบ้านจึงเก็บหมด เมือครั้งหลวงพ่อผล วัดดักคะนน อยู่ หลวงปู่พรหมาไปหา ท่านไม่ให้กราบ ท่านบอกว่า “ พระไหว้พระก็พอไม่ต้องกราบกันหรอก ”
    ทั้ง ๆ ที่อายุหลวงปู่พรหมาน้อยกว่าหลวงพ่อผลหลายปี เรื่องทั้งหมดนี้บอกท่านเพื่อให้รู้ว่า หลวงปู่พรหมานี้มิธรรมดาไม่



    หลวง ปู่พรหมาผู้สืบสายวิชาหลวงปู่ขรัวแสง องค์อาจารย์สมด็จโต วัดระฆัง

    รูป เดียวในประเทศไทย เรื่องจริงที่ใครก็ไม่รู้




    หลวงปู่ขรัว แสง เป็นพระภิกษุ เมืองลพบุรี ซึ่งเป็นอาจารย์ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต ) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม หลวงปู่ขรัวแสงมีประวัติไม่ธรรมดาศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ปรากฏในพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชกาลที่ ๕) ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ในคราวเสด็จประพาสมณฑลอยุธยา เมื่อปีขาล 2421 ความตอนหนึ่งว่า “ ขรัวแสง คนทั้งปวงนับถือกันเพราะว่าเป็นผู้มีวิชา เดินตั้งแต่เมืองลพบุรี ลงไปฉันเพลที่กรุงเทพ ฯ ได้ เป็นคนกว้างขวางเจ้านายขุนนางรู้จักกันหมด ได้สร้างเจดีย์สูงไว้องค์หนึ่ง ที่วัดมณีชลขันธ์ ตัวไม่ได้อยู่วัดนี้ หน้าเข้าพรรษาไปจำพรรษาอยู่ที่วัดอื่น ถ้าถึงออกพรรษาแล้วมาปลูกโรงอยู่ริมพระเจดีย์ 2 องค์นี้ ซึ่งก่อเองคนเดียวไม่ยอมให้คนอื่นช่วย ราษฎรที่นับถือพากันช่วยเรี่ยไรอิฐปูน และพระเจดีย์องค์นี้เจ้าของจะทำแล้วเสร็จแล้วตลอดไป หรือจะทิ้งให้ผู้อื่นช่วยเมื่อตายแล้ว ไม่ได้ตามดู ของเธอก็สูงดีอยู่................. ” ( จดหมายเหตุพระราชนิพนธ์ประพาสต้น ) สมเด็จโตเคยไปเรียนวิชากับหลวงปู่ขรัวแสง องค์นี้ได้รับถ่ายทอดวิชามาจนหมดครบถ้วน กาลข้างหน้าเหมือนหลวงปู่ขรัวแสง จะรู้ชัดว่า เจ้าประคุณสมเด็จจะเป็นดุจยอดปรมาจารย์เอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คราวเมื่อสิ้นบุญสมเด็จโต เล่าสืบกันมาว่าตำราหลวงปู่ขรัวแสงได้ตกทอดถึงสมเด็จพระพุทธบาทปิลันทร์ แห่งวัดระฆัง และเมื่อสมเด็จปิลันทร์ฯ ย้ายไปครองวัดพระเชตุพน ฯ (วัดโพธิ์) ได้นำตำรามอบกับหลวงปู่ภู แห่งวัดอินทราราม ซึ่งเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องของสมเด็จปิลันทร์ ฯ จากนั้นตำรานี้ตกถึงผู้มีบุญอีกหลายท่าน สุดท้ายตกถึงมือหลวงปู่แอ๋ว จากนั้นหลวงปู่พรหมาก็ไปเรียนวิชาในตำรานี้กับหลวงปู่แอ๋ว ขณะที่เรียนหลวงปู่แอ๋วจะให้ไหว้ครูตำราและให้เปิดอ่านเปิดท่องฝึกจิตจนชำนิ ชำนาญ หลวงปู่แอ๋วไม่อนุญาติให้จดหรือทำสำเนาแต่อย่างใด หลวงปู่พรหมาเรียนวิชานี้อยู่นานจนช่ำชองและเข้าใจดี จากนั้นก็ฝึกจิตถ่ายเคล็ดวิชาจากหลวงปู่แอ๋ว จนถือว่ารอบรู้ทุกอย่างในสายวิชาเก่าแห่งหลวงปู่ขรัวแสงองค์ต้นบรมครู พอสิ้นหลวงปู่แอ๋วแล้วตำราเล่มนี้ก็ไม่รู้ว่าตกอยู่ ณ. ที่ใด ได้หายสาบสูญไป หลวงปู่จึงเป็นผู้สืบทอดตำนานวิชานี้รูปเดียว

    อีก หนึ่งตำนานบรมครูที่หลวงปู่พรหมาได้รับสืบทอดมา คือตำราหลวงปู่ ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่พรหมาได้รับถ่ายทอดผ่านทางหลวงปู่ระย้า ผู้เป็นศิษย์หลวงปู่ศุข ตอนหลังหลวงปู่ระย้ายังได้เป็นพระปฏิบัติรับใช้หลวงพ่อปลื้ม วัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นพระน้องชายแท้ ๆของหลวงปู่ศุข ซึ่งทำให้หลวงปู่ระย้าได้สอบทานวิชาพุทธคุณของหลวงปู่ศุข จนหมดสิ้น หลวงปู่พรหมาบวชและอยู่กับหลวงปู่ระย้ามา จึงไม่ต้องสงสัยในสายพุทธคุณ

    ปกติ นิสัยหลวงปู่พรหมาเป็นคนเงียบ ๆ สุขุมลุ่มลึก พูดน้อย เก็บตัว สมัยหนุ่ม ๆ ไม่ธรรมดาลองเล่นอาคมไสยเวทย์ ศึกษาฝึกฝนจนชำชองหาตัวจับยาก ปัจจุบันด้วยวัยที่สูงขึ้นท่านตรากตรำกับการสร้างวัดถาวรวัตถุในพุทธศาสนา เป็นเวลานาน สุขภาพหลวงปู่ไม่สู้ดีนัก แต่จิตสมาธิวิชาพลังยิ่งทวีความขลังแรงเพิ่มขึ้น ไปพร้อมกับอายุที่สูงขึ้น ศิษย์หลวงปู่พรหมาจะรู้จักและเข้าใจดีในประสบการณ์ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่ และวัตถุมงคลของหลวงปู่ที่สืบสายพุทธเวทย์หนึ่งเดียวในแผ่นดิน

    กระดานสนทนา NAVARAHT "นวรัตน์ดอทคอม" &bull; แสดงกระทู้ - ตะกรุดดีน่าใช้
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ส่วนหนึ่งของใบอนุโมทนาบัตรที่ผมได้รับมาจาก รพ.ต่างๆ สำหรับการบริจาคในเดือนที่ผ่านมา นำมาลงให้เป็นหลักฐานและได้โมทนาบุญด้วยกันครับ


    [​IMG]


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
  18. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ดูแล้วน้ำตาซึมครับ เห็นด้วยทุกประการครับ
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,791
    ค่าพลัง:
    +16,105
  20. jirautes

    jirautes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    195
    ค่าพลัง:
    +575
    สวัสดีครับครอบครัวผมได้ใอนเงินร่วมทำบุญสงฆ์อาพาธ
    วันที่18/05/10 เวลา16:23น.*500 บาทครับ*
     

แชร์หน้านี้

Loading...