เรื่องเล่า ก่อนนอนคืนนี้..ของเหล่าคนผู้มีตาทิพย์

คุณสุวิเล่าให้ชาวกระทู้ฟังหน่อยสิคะว่า
เมื่อวันอังคารไปทำอะไรมา หน้าตามีความสุขม๊ากมาก...

ตอนคุยกันเห็นบอกว่า เรื่องนี้จะเขียนเล่าอยู่แล้วเชียว แต่ไม่ได้เขียน

เกริ่นให้หน่อยว่า คุณสุวิเขาไปเจอผู้ที่มีความสามารถทางการรักษาเหมือนเขา

แต่ว่าท่านนั่นกำลังภายในสุดยอด ขนาดที่คุณสุวิเดินไปขอลายเซ็นต์เลย

ว้าว...ว้าว... เห็นหนะ...ว่า...หน้าบานเชียว... ดีใจที่เห็นคุณสุวิมีความสุขค่ะ

 

ขอเล่าส่วนตัวนะคะ
คือว่าเมื่อวันจันทร์ ได้รับข้อความจากหัวหน้าว่า วันอังคารที่ 6 ต.ค.52
จะมีงานแถลงข่าวหนังสือหมอพญายม ผู้เขียนคือคุณวิเชียร อยู่เกตุ
อ่านข้อความแนะนำสั้นๆ ก่อนไปงานนี้ พบว่า เรื่องราวของเขาคล้ายๆ องคุลีมาร (เขียนถูกอะเปล่า?)
จึงสนใจ และขอหัวหน้าไปทัศนา แต่เห็นเรื่องดีๆ อย่างนี้กะไรเลย ชวนผู้เกี่ยวข้องไปด้วยดีกว่า
อ่านข้อความประวัติย่อๆ พบว่า คุณวิเชียรคนนี้ ศึกษาเรื่องยาสมุนไพรด้วย
จะมีใครที่เราจะเชิญไปด้วย หากไม่ใช่ผู้สนใจในด้านนี้เป็นทุน อย่างคุณสุวิ
ไม่คิดว่าคุณสุวิจะตกลง
(ก็ท่านต้องเดินทางออกจากบ้านไกลโผ้น จากบางบัวทอง ประมาณ 3 ชั่วโมง กว่าจะถึง ถนน ชิดลม)

เราก็วิตกเหมือนกันว่า ท่านจะได้อะไรดีๆ กลับไปไหม กลัวจะไม่ใช่ทางกันอย่างที่เราคิด
เลยเขียนอีเมลไปบอกทางทีมงาน ขอให้เตรียมคำถามที่เกี่ยวกับสมุนไพร ถามคุณวิเชียรด้วย
พอถึงวันงาน เจ้าหน้าที่บอกว่า เอาเบอร์ไปคุยเองเบื้องหลังนะกัน
เขาจะคุยแต่เรื่องปนะวัติการสังหารคน เรียกว่า มาเฟีย มือสังหาร มากลับใจ
มีพลังรักษาโรคให้คน ในข่ายเฉพาะในหนังสือที่เขาจะโปรโมทเท่านั้นก่อน

ดิฉันก็ใจไม่ค่อยดี แต่ไม่เป็นไร ดูท่านสุวิไปก่อน ปรากฏว่า คุณสุวิยิ้มแฉ่ง
เลยถอนหายใจด้วยความโล่งอก เข้าทาง ขอถอนอีกที เฮ้อ...

 

เล่าเรื่องคุณวิเชียร อยู่เกตุ สักหน่อย
อย่างที่บอกว่าอ่านประวัติคร่าวๆ ท่านมีลักษณะพฤติกรรม เหมือนพระอรหันต์ท่าหนึ่งในอดีต
ท่านก็คืออังคุลีมาร จึงขอหัวหน้า ไปงานนี้
เพื่อไขความลับบางอย่างที่ องคุลิมารอาจจะได้รับสาร
และก็เหมือนกับว่า เรากระจ่างใจบางอย่าง แม้อาจจะไม่เหมือน ไม่ตรงไปซะทีเดียว

คือแม้คุณวิเชียรจะได้ชื่อว่านักฆ่า มาเฟีย แต่เป็นบุคคลที่มีความคิดระดับที่เรียกว่าใช่
และชอบเอาชนะตนเอง ไม่ว่าจะเป็นความกลัว ความเจ็บ ความจน หรือแม้แต่โรคภัยไข้เจ็บ
ท่านบอกในงานว่า เราต้องไม่ยอมแพ้ต่อการเป็นโรค ต่อความเจ็บป่วย (ข้อความนี้ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่จะเล่า แค่ประทับใจในประโยคนี้เป็นการส่วนตัว)

แล้ววันที่ล้างหนี้ประมาณ 500 ล้าน ก็เป็นจุดเปลี่ยนให้ท่านมาปฏิบัติสมาธิ
คุณวิเชียนรคล้ายองคุลิมาร อีกตรงที่ มีพระรูปหนึ่งเดินทางมาพบโดยเฉพาะกิจ
(ของคุณวิเชียรไม่ใช่เป็นพระพุทธเจ้าคะ แต่เป็นพระเถระรูปหนึ่ง จำชื่อบ่อได้ ต้องกลับไปอ่านอีกที)
เพื่อบอกให้ท่านทำสมาธิประมาณ 7 เดือนเสียเถอะ แล้วจะพ้นเคราะห์
(คือคุณวิเชียรเคยบวชเรียนมาแล้วนะคะ แต่ก็เอาไม่อยู่ค่ะ กลับไปสังหารคู่อริอีก เพราะใจร้อนมาก)

แล้วท่านก็ถามคำถามหนึ่งกับพระ ถ้าพระตอบได้จะยอมทำตาม คำถามคือ
คุณวิเชียร : ผมติดหนี้อยู่เท่าไหร่
พระ : ตอบตัวเลขยาวเหยียดได้ทุกตัวอักษร ทั้งที่เพิ่งเจอกัน

คุณวิเชียรไม่เคยกราบตีนใคร (ท่านใช้ภาษาชาวบ้านๆ เวลาพูดนะคะ)
ก้เลยก้มลงกราบนับเดี๋ยวนั้น แล้วก็ทำตามที่รับปาก นั่งสมาธิข้ามวันข้ามคืน
ประมาณ 17 ชั่วโมง ถ้าจำไม่ผิด ร่วม 7 เดือนกว่า (ถ้าจำไม่ผิดอีกเช่นกัน)

นี่เป็นจุดเริ่มต้น คล้ายๆ องคุลิมารไหมคะ..
แล้วในสมาธิ ผู้ที่นั่งมาก่อน ย่อมทราบแก่ใจดีว่า (ปัจจัตตังฯ) การทำสมาธิที่ยาวนานต่อเนื่องนั่น มันให้ผลที่น่าอัศจรรย์เช่นไรกับผู้นั่ง

คำตอบไม่ต้องมีใครบอก มันเป็นปัจจัตตังฯ จริงๆ

ฟังมาถึงตรงนี้ คุณสุวิก็พูดขึ้นว่า มีคนบ้าอยู่อีกคนที่เคยทำอย่างนี้ นั่นก็คือคุณ Visnu

 

ระหว่างที่คุณวิเชียร ทำการรักษาโรคให้ผู้ที่มาในงาน
นักข่าวก็ถ่ายรูปกันไป มีอยู่คนหนึ่งถ่ายรูปติดดวงจิตดวงใหญ่ ข้างหลังฉากที่เป็นรุปปกหนังสือของท่าน

เอารูปปกหนังสือขึ้นมาให้ดูก่อน

 

รูปภาพประมาณข้างบนนี้นะคะ.. แต่ใหญ่กว่า เป็นฉากหนะค่ะ
แล้วก็มีดวงจิตดวงใหญ่เบิ้ม อยู่ที่กลางอกของภาพในฉาก อันนี้ถ่ายภาพมาด้วย (จากภาพต้นฉบับ)
แต่ไม่มีสายต่อภาพเข้าคอมพ์ และภาพที่ถ่ายต่อมาอีกทีก้ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ ก็โทรศัพท์มันโบฯ ด้วยอีกต่างหาก
ข้อรับรองว่าข้อความนี้เป็นความจริง ว่าดวงจิตที่มาอวยพรใหญ่เบิ้ม ถามคุณสุวิ พยาน ดูได้ค่ะ

กลับบ้านมา ก็เอาหนังสือมาอ่าน เรียกว่าชีวิตบัดซบมีจริง

แต่จะเพราะอะไรก็ตาม บัดนี้ท่านมีวิทยายุทธขั้นเทพ
ที่แม้แต่คุณสุวิยังไปอยากได้ลายเซ็นต์ แล้วยิ้มหน้าบานด้วยความสุข
ดิฉันก็พลอยยินดีไปด้วย เหอะๆ

วิชาที่คุณวิเชียรรักษาคน มันวิชาไปในทางเดียวกับท่าน แต่คุณวิเชียรเขาใช้มาตั้งแต่ปี 2516 ก่อนข้าพเจ้าเกิดเสียอีก
นั่นทำให้แน่นอนว่า ทำไมถึงท่านมีวิชาขั้นเทพยุทธ

อื่นๆ ถ้าคุณสุวิจะแชร์ ก็แล้วแต่เจ้าค่ะ จบด้วยประการฉะนี้เอย

 

อ่อ อ.วิเชียรนี่เองเคยคุยกันหลายครั้งแล้วแกเรียกตัวเองว่าแพทย์แผนสุดท้าย คือ ไม่หายจากที่ไหน
พอจะตายแล้วไปหาแก ก็ดีครับนั่งคุยไปนั่งดูข้างในกันไปก็ เฮฮาดี แต่ไม่ประทับใจคนที่อยู่รอบข้างแก
คือเอาแกมาหาผลประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด

 

ใช่แล้วค่ะคุณ Visnu ท่านเรียกตัวท่านเองว่าแพทย์หมดทางเลือก
(ข้อสงสัยคือ เมื่อท่านทราบว่า คนอื่นน่าจะใช้ประโยชน์จากท่าน
แล้วท่านไม่คิดจะทำให้พวกเขาหยุดทำอย่างนั้นหรือคะ?)

เห็นคุณ visnu พูดประโยคนี้ขึ้นมา ก็เลยนะขอเล่าเพิ่มจากคำๆ นี้เสียหน่อย

คือท่านบอกว่า บางโรคท่านก็รักษาไม่ได้ (ท่านเป็นคคนพูดตรงๆ นะคะท่านผู้อ่าน)
แต่ท่านมีให้เลือก 3 ทาง
เลี้ยวซ้ายไปหาหมอแผนปัจจุบัน ให้หมอทำคีโม ทำโน่นนี่ (จำไม่ได้แล้วเอาคร่าวๆ นะคะ)
แล้วก็ตาย

ตรงไป เข้าวัด เผา

เลี้ยวขวามาหาท่าน (พอดีตอนบรรยายสัมมนา ท่านนั่งเก้าอี้ค่อนมาทางขวา)
ท่านก็บอกว่าตายเหมือนกัน (สำหรับโรคที่ท่านเห็นแล้วว่า เป็นศูนย์ สำหรับกรรมของคนๆ นี้)
แต่ตายอย่างมีเหตุผล (ท่านจะบอกเหตุผลให้ฟัง) และตายอย่างมีความสุข
ให้เลือกเอา

ท่านบอกประมาณว่า ถ้ารู้ว่าจะตายแน่ขอให้เขียนเลยว่า แต่นี่ทุกนาที ทุกวินาที(จำไม่ค่อยได้นะคะ) ให้ทำทุกนาทีให้จิตมีความสุข
ทำยังไงใช่ไหมคะ?
ถึงท่านบอกให้เลี้ยวมาหาท่านไง ท่านก็คงจะใช้ธรรมะขององค์พระศาสดากล่อมเกลานั่นเองละมังคะ

 

มีกรณีหนึ่ง เป็นเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 ระยะสุดท้าย คุณวิเชียรเล่าว่า
ท่านถามว่าทำไมไม่มาหาหมอเร็วกว่านี้ ญาติของเด็กว่าพามาแล้ว แต่โรงพยาบาลให้กลับบ้าน
พอมีอาการเลยกลับมาอีก และก็เลยเป็นหนัก ท่านบอกว่า ถ้าไม่ช่วย เด็กไปแน่แล้ว
ระหว่างที่กำลังจะส่งพลังไปช่วย ในเสี้ยววินาทีนั้นมีคนมาสะกิตที่หลังแขน
ท่านถามว่ามีอะไร คนนั้นบอกให้ช่วยยายผมด้วย
ท่านก็ถามว่ายายอายุเท่าไหร่แล้ว ถ้าดิฉันจำไม่ผิด ท่านบอกว่าคนนั้นตอบว่า 80 กว่า
แล้วเป็นอะไร ท่านก็ถาม คนนั้นตอบว่า ปวดเข่า

ได้ยินเท่านั้น ท่านก็มีรมณ์เลย บอกว่า เด็กนี่ยังเห็นโลกแค่แป๊บเดียว ยังไม่ทันได้ใช้ชีวิตอะไรมากมายเลย
แต่นี่ยายอายุปาเข้าไปเท่าไหร่แล้ว
ขอโทษนะคะ ถ้าจำไม่ผิด ท่านบอกว่า ไปตายเลย (เล่าในห้องสัมมนานะคะ)

คือนิสัยคุณวิเชียรจะเป็นคนพูดตรงๆ ดิบๆ ห่ามๆ และก็มีตลกแนวทะลึ่งหนะคะ
ถ้าไม่เคยรู้ประวัติท่านมาก่อน ยังไงก็ไม่คิดว่าคนๆ นี้ฆ่าคนมาเป็นพันแล้วแน่ๆ

ดูจากรูปภาพบนปกหนังสือ ทุกท่านจะเห็นว่า พลังการทำสมาธิมีผลอย่างไรกับผู้ปฏิบัติบ้าง

คุณสุวิบอกดิฉันว่า นี่เป็นการสต๊าฟอายุ คือใครที่เริ่มปฏิบัติตอนไหน ก็จะสต๊าฟอายุของใบหน้าไว้ที่ตอนนั้น เหอะๆ ได้ความรู้เพิ่มมาอีกเรื่อง

สรุปคือ เด็กคนที่เป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 ระยะสุดท้ายไม่ตายนะคะ ส่วนยายตายค่ะ ท่านบอก

 

และในงานสัมมนาก็มีคนหนึ่งเป็นโรคตับระยะสุดท้าย ในเดือนสิงหาคม แพทย์บอกว่า
จะมีชีวิตอยุ่ได้อีกประมาณ 2 เดือน แต่ในวันงานคุณคนนี้ก็มาด้วย
แล้วบอกว่าผมไปตรวจมาแล้ว หมอบอกว่าผมหายแล้ว
คุณอี้แทนคุณ จิตต์อิสระเป็นพิธีกรก็ถามว่า หมอไม่งงหรือ เขาก็ตอบว่า งง เหมือนกันมังครับ

คุณสุวินั่งอยู่ข้างๆ ก็พูดเสริมให้ดิฉันฟังกันได้ยิน 2 คน ว่า
ถ้าไม่ไปคีโมมาก่อน แล้วใช้พลังรักษาจะง่ายกว่า ไล่ตัวประหลาดออกไปง่ายกว่า หากฉายคีโมไปแล้ว ก็เท่ากับไปทำลาย...แล้ว

อันนี้ก็นานาจิตตังนะคะ เพียงแต่เล่าเรื่องในเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังเฉยๆ

และในวันนั้นก็มีนายสามารถ ซึ่งเป็นคนที่ดิฉันรู้จักคนหนึ่ง
บังเอิญคุณวิเชียรคงไปได้คุยกับเขามา เพราะเขาทำงานเป็นพนักงานบริษัทที่จัดสัมมนานี่แหะค่ะ
ก็เลยเชิญขึ้นเวทีสัมมนาด้วย แต่ดิฉันไม่เคยทราบเลยว่าเขาชอบป่วยเป็นนู่นนี่อยู่บ่อยๆ
คุณวิเชียรท่านก็อธิบายให้ผู้ฟังว่า คนนั้นมี sence แต่มักเป็นโน่นเป็นนี่ แต่ละวันไม่เหมือนกัน
และถ้านึกถึงยาที่คิดว่าจะไปกินแก้กัน ก็จะหายเฉยๆ ซะอย่างนั้น
ดิฉันฟังแล้วเข้าทางเลย เออ....นายสามารถไม่รู้ตัวเองแฮะว่ามีความสามารถในการจับพลังยา

หลังเลิกงานพอดีได้เจอนายสามารถ ก็เลยคุยกัน คุยเลยไปถึงเรื่องส่วนตัว
ได้ความว่า เขาฝึกสมาธิ ไปวัดท่าซุง แต่เขาไม่ค่อยเชื่อว่าตัวเองอะไรประมาณที่ดิฉันกับคุณสุวิบอกหรอก...
แล้วแต่นายละกันนะ...นายสามารถ

 

เมื่อคืนอ่านหนังสือหมอพญายมจบแล้วค่ะ
จริงๆ ทั้งหมดตั้งแต่ข้างบนลงมาถึงตรงนี้ ตั้งใจจะไม่เล่าอะไรเลย แค่จะแซวคุณสุวิเรื่องเดียวเท่านั้น
แต่สันดานมันออก ขอให้คำตรงๆ แบบคคุณวิเชียรสักครั้ง
ใช่แล้วดิฉันเป็นคนชอบเล่า ถึงขั้นโม้นั่นเอง แต่ก็พยายามเล่าให้ตรงกับที่ได้รับประสบการณ์มาให้มากที่สุด
และเห็นว่าพอมีประโยชน์อยู่บ้าง

ตอนต้นของหนังสือหมอพญายม จะเป็นเรื่องประวัติส่วนตัวของคุณวิเชียร
ตอนกลางพูดเรื่องว่าจากผลกรรม ทำให้ท่านได้รับผลยังไงบ้าง ท่านตายมาแล้ว 5 ครั้ง แล้วก็ฟื้น มีอยู่ครั้งหนึ่งตายไปแล้วตอนปนะมาณ บ่ายโมงกว่า
คือแพทย์เซ็นต์แล้วว่าตาย แต่ก้กลับฟื้นขึ้นมาตอน บ่าย 5 โมงกว่า
กรรมใดหนอ...?

 

ส่วนตอนท้ายหนังสือ เป็นเรื่องที่ท่านศึกษาธรรมะของพระพุทธองค์อย่างจริงจัง
ด้วยนิสัยนักเลงคือ เวลาพูดอะไรออกไป ต้องรักษาสัญญาไม่อย่างนั้นลูกน้องก็จะไม่เชื่อถือและรักหมดจิตหมดใจในตัวหัวหน้า

ดังนั้นเมื่อคิดแล้วว่าตนเบื่อแล้วกับนิสัยที่มีจิตใจเหี้ยม คือแค่ใครทำให้โมโห ก็ถึงขั้นเอาชีวิตได้โดยง่าย เอาถึงตาย

บวกกับตอนนั้นเป็นหนี้เกือบ 500 ล้าน ก็เลยไปเป็นลูกศิษย์พระเถระต่างๆ
(ดิฉันคิดว่า ถ้าเป็นตัวเองจะทำยังไง คงวิ่งหาสตางค์อยู่ละมัง จะมีใจมารับใช้พระเถระอยู่หรือเปล่านะ
ยิ่งใกล้พระ จะเอาของวัดไปใช้เป็นเงินหรือเปล่า? มันเสี่ยงที่จิตจะขึ้นหรือลงจริงๆ)

คุณวิเชียรตัดสินใจในเวลาต่อมาว่า "เอาหิน (ดิน) ทับหญ้า" เอาความดีกลบความชั่ว ไม่ให้ใครเห็น
ก็เลยไปซื้อพระไตรปิฎกมาครบชุด อ่านตั้งแต่ต้นจนจบอย่างบรรจงทุกตัวอักษร
ซึ่งในนั้นเขียนเรื่องอภิญญาไว้ด้วย พออ่านจบก็ไปหาเล่มอื่นมาเพิ่มเติม เว้นไปอีกหลายเดือน เพื่อปฏิบัติศึกษาอื่นๆ
ถึงจะกลับมาศึกษาเฉพาะเรื่องอภิญญาอย่างถึงแก่น

 

ที่จะเขียนเล่าเพราะท่านไม่เห็นว่าอภิญญาเป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ยาก
มันเริ่มจาก ศีล สมาธิ ดังที่เล่าไปตอนต้นไป
คุณวิเชียรเขียนไว้ อภิญญาเป็นของเล่าของฤาษีสมัยก่อนที่จะคุยกันผ่านโทรจิต และเวลาไปบำเพ็ยเพียรในป่า
ก็จะให้สิ่งนี้แผ่เมตตาให้สัตว์ไม่มาทำร้าย ให้เทวดาช่วยรักษา

และในพระไตรปิฎกก็เขียนเรื่องอภิญญาไว้ชัดเจนว่า ยังไงเสียก็ต่อผ่านอภิญญาก่อน จึงจะถึงนิพาน

เหมือนไปภาคเหนือ เรารู้ว่าเราจะต้องผ่านจังหวัดนั่นก่อน ถึงจะถึงจังหวัดนี้ ต้องผ่านตำบลอำเภอนี้ก่อน ถึงหลักกิโลเมตรนี้ก่อน ถึงจะถึงเชียงใหม่
มันจะข้ามขั้น ไม่ไปอภิญญา แต่จะไปนิพานเลยไม่ได้
(ดิฉันไม่รู้ทางไปเหนือ จึงขอยกทางไปใต้ละกันนะคะ ดิฉันรู้ว่าจากกรุงเทพ ผ่านเพชรบุรี สู่สุราษฎร์ฯ ถึงหาดใหญ่ จึงถึงปัตตานี และสุไหงโกลก
เช่นกันกับนิพาน ถ้านิพานเป็นสุไหโกลก ยังไงก็ต้องผ่านอภิญญาไปก่อน ถึงจะถึงนิพาน จะข้ามจังหวัดไม่ได้ ยังๆ ต้องผ่านจังหวัดต่างๆ เหล่านี้)

และยังเขียนว่า อภิญญาเป็นของเด็กๆ ยังมีสูงกว่านั้นอีก แล้วก็จะเห็นทางนิพาน
ที่ท่านพูดได้เพราะท่านปฏิบัติถึงแล้วนั่นเอง สาธุ

 

คุณวิเชียรกล่าวว่า อภิญญาไม่ใช่ของไกลตัว
เหมือนกับตอนนี้เรารู้ว่ามีไส้เดือนอยู่ใต้ดิน มีรถไฟใต้ดินวิ่งอยู่ตลอดในชั้นใต้ดินนั้น

รู้ว่ามีอะไรอีกหลายอย่าง (จำไม่ได้ กล่าวเองเลยละกัน) รู้ว่ามีอะตอมเป็นหน่วยเล็กที่สุดของสิ่งของทุกชิ้น รู้ว่ามีไฟฟ้าวิ่งอยู่ในสายคอมพิวเตอร์

แต่ทั้งหมดเราไม่ได้มองเห็นจริงๆ ในขณะนั้น แต่รู้ว่ามันมีอยู่ และทำงานอยู่ตลอดเวลา
เช่นเดียวกับอภิญญา พลังจิต ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัว เช่น รู้ว่ามีไส้เดือน หรือว่ามีรถไฟใต้ดินวิ่งอยู่

ท่านจึงเปิดห้องเรียน สอนอภิญญาขึ้นที่สำนักอโรคยา เหม่งจ๋าย ให้ใครก็ได้มาเรียน

แต่ไม่รับรองความสำเร็จ เพราะคนที่ไม่มีศีล ไม่มีพรหมวิหาร ฝึกไปสักพักจะไม่รู้เรื่อง แล้วก็เลิกไป ไม่มาเรียนต่อเอง คุณวิเชียรเขียนไว้

ตั้งแต่ต้นจนถึงกระทู้ที่ 2917 นี้ ผ่านมาหลายหน้าที่กล่าวถึงเรื่องสมาธิ เชิญชวนให้มาร่วมทำสมาธิกัน

ดังนั้นที่โม้มาทั้งหมดเฉพาะวันนั้น ก็อยากให้ท่านผู้อ่าน มาทำสมาธิ รักษาศีลกันเถอะคะ ดิฉันเองไม่ได้มีศีลบริสุทธิ์
แต่ก็อยากแนะนำ แล้วในที่สุด อภิญญาก็จะเกิดกับทุกท่านในความเพียรนั้น

บุญรักษาทุกท่านค่ะ ขอให้ดวงจิตทุกท่านมีความสุข ถึงพร้อมด้วยความเพียรโดยมีพระพุทธองค์เป็นสะระณะเทอญ

 

ตามอ่านเรื่อง ของอธิษฐาน..มาตลอด
ดูสำนวนก๊รู้ว่า เป็น นักเขียนในแนว
ยแย่อง คนดี คนเก่ง /คนที่มีประโยชน์กับสังคม
คนที่ ทำสมาธิดี และเขาปฏิบัติ อย่าง ไร
ซื่งออกมาในแนวสาระคดี มากกว่า เรื่อง ลึกลับ
.....................................................
ตามกระทู้นี้ เรื่องลึกลับ จะเเน้น การพบเห็น
สิ่งแปลกๆๆที่คนธรรมดา จะไม่ค่อยได้ เห็นกัน
การพบ เผชิญหน้า กับ เหล่า พญานาค / การพบและสทนากับ พระเกจิอาจารย์/
การพบ และสนทนา/ กับบรรดา มหาเทพในสายฮินดู
............................................................
.ดังนั้นอยากจะให้ อธิษฐาน เปิดกระทู้ใหม่ เป็น ของ ตนเอง
ผู้ที่มุ่งสายพระ /กรรมฐาน จะได้ แยกออกไป /
ไม่มาเวียนหัวกับ พิลึกพิลั่น..ที่หลายคนรับไม่ได้
และหาว่า พวกเราบ้า
................................................................

 

ในวงการพลังจิต...อย่างสมาชิก ของ กระทู้นี้
ส่วนใหญ่จะดี มีความคิดดี /มีความจริงใจ
อยากช่วยเหลือ ซึ่งกันและกัน
ซึ่งที่แท้จริง เป็นการมอง กระจกเพียงด้านเดียว
......................................................
เมื่อมีสีขาว..ก็ต้องมีสีดำคู่กันมา
.......................................................
ตัวสีดำที่แทรกเข้ามาในหมู่นักพลังจิต ..ที่เป็นดำ มีหลายคน
แต่คนที่ เก่งที่ สุด/ดูดพลังจากผู้คนได้มากที่สุด
.....................................................................
ภ้าเขาเจาะ คนเก่งๆๆ...ได้ สักยี่สิบตน ต่อท่อ ดูดพลังทางจิตไว้
วันๆๆก็ไม่ต้องทำอะไร..ตื่นขึ้นมาก็มาตั้งจิตดูดพลัง..เขาก็อิ่มแล้ว
.......................................................................
เคยเจอ และจับได้ 1 คน ชื่อ " สันติ" นำสกุล จำไม่ได้
อาชีพ..เป็น บาร์เทนเดอร์แจกเบียร์ฝรั่ง ที่ ศรีราชา
.......................................................................
เวลาว่าง เขาก็จะมา นั่ง อ่านเวบพลังจิต
สะแกนดูรูป ดู ชื่อ ก็ จะรู้ว่า คนไหน เก่ง และแรง..ควรเอาเป้น เป้า หมาย
................................................................................

 

เขาจะค้นหาจนรู้ว่า เราเป้น ใคร อยู่ไหน / ขายอะไร/ ทำอาชีพ อะไร
เขาจะมาพบด้วยตัวเอง...ความที่อ่านมามาก และเหมือนมีความรู้มาก
เขาจะศึกษามาก่อน
เช่นถ้าคุณ มีความสามรถในการทำเสน่ห์..
เขาก็จะมาขยายความรู้การทำเสน่ห์ และแนะนำ น้ำมัน ทำเสน่ห์
และเอามาให้ 40-50 ขวด ให้แจกแก่คนที่มาหา...นั่นคิแ ติดกับเขาแล้ว
...........................................................................
บางทีเ ก็จะเอา ครีมทาหน้า เด้ง..ที่ ใส่น้ำมันมนตฺไว้ให้มาแจกสาวๆๆ...
เพื่อให้ ติดกับ
.........................................................................
หรือ ถ้า คุณ เป็น เกจิ อาจารย์ ด้าน ปิก ตาที่สาม
เขาก้จะมา อธิบายเรื่อง ตรที่ สาม เป็น ยังไง /เวลาเปิด มันเปิด ยังไง
/เหมือนดอกไม้เวลาบาน..ยังไง
.................................................................
แลววเขาก็จะให้ น้ำมันที่ บอกว่า ทาแล้ว..ตาจะเปิด ทันที..เป็น ร้อย ขวด
ถ้าใครทาหมด ก็จะ ติดกับ เหมือนเป็น ทาส
............................................................................
ดังนั้นให้ระวัง คนผอมๆๆ ขาว สูง ประมาณ 165 ซม
ชอบแต่งตัว ชุดกางเกงเล และเสื้อ เล ขาว
เข้ามาติดต่อ อย่างสนิท ทั้งๆๆที่ไม่รู้จักกันดี
..................................................................
ที่เขาคุยได้ เพราะ เขาศึกษาเรามาก่อน..จึงชวนคุย ชักนำสนุก
และท้ายสุด เขาจะทิ้ง ของ ไว้ให้ จำนวนมากๆๆ แหวน/ สร้อย/ขวดน้ำมนต็
ตลับ ทาแป้ง/ ตลับ เครื่อง สำอางค์...ฯลฯ
.................................................................
ให้ระวังตัวไว้..อันตรายที่ สุด
...........................................

 

กระทู้ท้าย ๆ ของอาจารย์ อยู่ในแนวลักษณะดูดพลัง งั้นผมขอเล่ามั่งครับ

แต่ไม่น่าจะเรียกดูดพลัง คืองิครับ........


เมื่อวานผมไปเยี่ยมพ่อ ที่คลองสิบสอง นอนเท่าไหร่ก็ไม่หลับ เอ ทำไงดีหวา

นึกพิเรนท์ไปคิดถึงบู๊ท 042 เพราะเห็นมีของหลาย ๆ อย่าง ที่อัดก็อบปี้พลังมา

แหม! อยากรู้ว่าพลังที่บู๊ท 042 แรงไหมหว่า 555555 แล้วพลังเป็นแบบไหน

แล้วตอนนี้อาจารย์คงหลับแล้ว (ตีสาม) งั้นก็เสร็จมังกรล่ะ


เลยลองสูดลมหายใจ สัก 2-3 ฟอด โอ้โฮ้ อิอิ (ทำได้มั่งไม่ได้มั่ง)

หัวเข่าสองข้างงี้เย็นเจี๊ยบ ทั้งที่อาการแบบนี้ ผมไม่เคยเป็น แต่จิตรู้ว่า พลังมาแค่หัวเข่า

แสดงว่า ของที่บู๊ทไม่แรง ม่ายแรงครับ


คิดไม่ทันขาดคำ อ้่าวมาจากไหนอีกเนี่ย หัวเข่าก็ยังเย็นอยู่ แต่ทำไม ทำไม

ที่หน้าอก ถึงมีพลังเย็นวิ่งเข้ามาสมทบ กลายเป็นเย็น 2 จุด เอ! ถ้าพลัง

วิ่งขึ้นมาที่หน้าอกได้ ก็แสดงว่า ไม่ค่อยธรรมดา.......เผลอไม่กี่วินาที

 

ตามมาอีกหนึ่งขบวนหนึ่ง คราวนี้พลังเย็นวิ่งมาจับที่หน้าผาก เล่นเสียเย็นเจี๊ยบ

พลังมันจบที่ตรงนี้ครับ หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ สัมผัสได้ถึงพลังเย็นกองใหญ่

มากระจุกที่หน้าอก เป็นกลุ่มที่มีมากที่สุด


เห่อะ ๆ ๆ มันแปลกดีหนอ พอเลิกเล่นแล้ว ก็ยังเย็นอยู่อีกนานมาก เหมือนกับ

เป็นการกระตุ้นอะไรสักอย่าง ในร่างกายของผมเอง สรุปเป็นว่า ผมไม่ได้ดูดพลัง

ก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ครับ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ก็าก ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ วิ่งตามกันออกมา

ทำไมตั้งเยอะแยะ นั่นก็น่าจะแสดงว่า ของหลายอย่างที่บู๊ท 042 แบ่งออกเป็น

3 กลุ่มใหญ่ครับ ไม่อยากแปลมากกว่านี้ เดี๋ยวหน้าแตก

 

ขอบพระคุณอาจารย์มากๆเลยนะครับ ที่เข้ามาเตือนเรื่องภัยใกล้ตัว
ทางที่ดีคือ พยายามสร้างบารมีด้วยตนเองเป็นทางที่ดีที่สุด
อย่าพยายามใช้อุปกรณ์เสริม เพราะจะหลงกลพวกสายดำได้
พยายามหลีกเลี่ยงไสยศาสตร์ เพราะมันจะมัดตัวเรา
และจะทำให้ดวงจิตของเราลงอบายไปเรื่อยๆ
หมั่นถือศีลและเจริญสมาธิ เป็นทางที่ดีที่สุด
และเป็นทางที่พระพุทธองค์ท่านสรรเสริญด้วยนะครับ
เทพ เทวดาที่อยู่ในตัวเราท่านก็จะมีบารมีมากขึ้นด้วย
จริงมั้ยครับอาจารย์...

 

ขอโทษทีเถอะ คุณTriKun.........


สิ่งต่าง ๆ ที่ผมเคยได้รับจากครูบาอาจารย์ ทางวิชาไสยศาสตร์ อย่างอ่อนที่สุด

ท่านสอนพวกเราว่า ให้เคารพคุณพระทั้งห้าประการ อันมี...

1. รู้จักเคารพในพระพุทธ ระลึกถึงพระองค์ เพราะป็นเบื้องต้น เป็นตัวอย่างที่ประเสริฐ์

ในการปฎิธรรม

2. รู้จักเคารพในพระธรรม ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ดีแล้ว

3. รู้จักเคารพในพระสงฆ์ ซึ่งนำคำเผยแพร่ มาสู่พวกเรา

4. รู้จักเคารพ ในพระคุณของบิดามารดา ผู้เป็นอรหันต์ มีความสำนึก

ที่ได้เลี้ยงเรามา จนเติบใหญ่

5. รู้จักเคารพ ในพระคุณของครูบาอาจารย์ ที่ได้สั่งสอนอบรม ถ่าย

ทอดความรู้ ประสบการณ์ เพื่อเจริญสติปัญญา


และยังมี...ห้ามนำอักขระ หรืออักษรภาษาไทย ที่พ่อขุนรามคำแหง ท่านได้ตราไว้

หรือที่ติดอยู่ตามกระดาษ มาทำในเรื่องไม่สมควร


อีกสอนให้เคร่งในศีล 5 ข้อ เพื่อเป็นฐานแห่งการฝึกจิต ฝึกสมาธิ

และถือเรื่องสัจจะ เป็นหัวใจอีกประการหนึ่ง


ปฎิปทาของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ตัวอย่างเช่น

หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร , สมเด็จพระพุฒาจารย์โต , หลวงพ่อปาน

หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก , หลวงปู่ดู่ วัดสะแก , พระครูบาคำเป็ง

หลวงปู่สุข วัดมะขามเฒ่า , เสด็จพ่อกรมหลวงชุมพร , ฯลฯ

ต่างผ่านการศึกษา วิชาอาคมมาแล้วทั้งสิ้น


โอหนอ! พ่อแม่ครูบาอาจารย์ จะลงอบายภูมิ ตามที่คุณบอก

หรืออย่างไร ไม่รู้จริง อย่าพูดดีกว่า มันไม่เป็นมงคล


สำหรับข้อความสีเขียว...ผมขออนุโมทนา