ฌานสมาบัติ มีอยู่ทั้งหมด 8 ขั้น เมื่อปฏิบัติ "กรรมฐาน" ที่"สามารถ" ทำให้จิต ไปถึงฌานได้ แล้วฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะยกระดับจิตไปสู่ฌานที่สูงขึ้นตามลำดับดังนี้ 1. ปฐมฌาน คือ ฌานแรกที่จะได้ มีองค์ 5 คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา (แต่อย่าเพิ่งไปสนใจอาการต่างๆ ให้มากเลยครับ เพราะ ถ้าเราทำได้เองก็จะเข้าใจ เองครับ คนส่วนมามักจะอุปทานการรับรู้ว่าตัวเองเป็นแล้วถึงแล้ว) 2.ทุติยฌาน มีองค์คือ ปิติ สุข เอกัคคตา 3.ตติยฌาน มีองค์คือ สุข เอกัคคตา 4.จตุตถฌาน มีองค์คือ อุเบกขา เอกัคคตา คำว่า "เอกัคคตา" หมายถึง อารมณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว เมื่อได้ฌาน 4 อาจน้อมจิต ไปเพื่อให้ได้ "อภิญญา" คือ การแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ 5. อากาสานัญจายตนฌาน กำหนดอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ 6.วิญญาณัญจายตนฌาน กำหนดวิญญาณไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ 7.อากิญจัญยายตนฌาน กำหนดความไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์ 8.เนวสัญญานาสัญญายตนะ กำหนดความมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่เป็นอารมณ์ น่าจะเป็นคำตอบแล้วนะครับ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติก็จะมิเข้าใจ ดังมีควารู้ท่วมตัว แต่เป็นเพียงฟังเพียงอ่านมา
แต่ก่อน ชอบนั่งสมาธิ แต่ไม่รู้เรื่องอาการว่ามันเทียบฌาณยังไง และ แก้ยังไง แต่ก่อน ไม่เอาอารมณ์ใดเลย ไม่รู้ร้อน ไม่รู้หนาว ไม่เจ็บปวด ยิ่งกินเผ็ดร้อนน้ำตาไหล ปากบวม ยิ่งสะใจ และเหมือนจิตมันเบื่อมาก ๆๆๆๆๆ ใครว่าไรไม่สนใจเลย มีแต่สุข ตรงนี้ ยิ่งทำให้เราอยากชนะอารมณ์ทุกอย่าง แน่นอน หากเรามีกำลังสติ และ สมาธิเป็นอาวุธ เราชนะได้แน่ ก็เลยอยากลองดี ทิ้งอาวุธไป ลองของซะหน่อย อ่วมเลยเรา แต่ที่ไม่เอาไรเลยเป็นอารมณ์นี่ก็แย่เหมือนกัน ตรงที่ เราอยู่ในสังคม เราต้องเรียนรู้สังคม แต่จิตมันไม่เอาไร เหมือนคนโง่ๆๆๆ ไม่รู้เพราะอะไรนะ ไม่เคยเทียบฌาณ บางคนบอกว่า อาการนี้ติดฌาณ 3 บางคนว่าติดฌาณ 4 ส่วนข้าเจ้า มะรู้ รู้ว่าเป็นงี้ หากรู้จักใช้จริงๆ มันก็เป็นประโยชน์มากๆ แต่ก่อน สมัยเรียน ก่อนสอบอ่านหนังสือรอบเดียว จำได้เกือบหมด วิชาสุขศึกษาว่าด้วยเรื่องยาเสพติด ไม่รู้จำชื่อ ประเภท ที่เป็นภาษาอังกฤษได้ไงนะ แต่รู้แค่ว่า ตา เหมือนกล้องถ่ายรูป เราจะกระพริบตาถ่ายรูปแต่ละหน้า สมองจำไว้ เวลาสอบ ก็อ่านชื่อในแต่ละข้อ แล้วก็ พยายามโยงเข้าหาภาพที่ตาเราถ่ายเก็บไว้ กู้จากความทรงจำ มันทำได้จริงๆ มันก็คือจินตนาการ ผลสอบ ได้เกือบเต็ม โฮ๊ะๆๆ (ปัจจุบันต้องทบทวนใหม่ ) เรื่องการปฏิบัติกรรมฐาน ควรมีครูชี้แนะ หากไม่ชี้แนะเราจะหลงทางได้ เพราะบางอารมณ์ ซ่า ซะเหลือเกิน ชอบลองดี ชอบท้าทาย ทำให้จิตผิดปกติไปเลย เหมือนคนประสาท (สำหรับเรานะ) ครูผู้สอนจะช่วยแก้อารมณ์ และ เสริมความเข้าใจในความละเอียดของฌาณแต่ละขั้น ส่วนคำถาม เป็นคำถามที่ดี แต่ คำตอบมันไม่ใช่คำตอบของผู้รู้ หากผู้รู้ตอบ คนไม่เคยปฏิบัติเลยก็จะถามอีก คำตอบอยู่ในความรู้สึกของผู้ปฏิบัติ หากว่า ผู้ตอบ ตอบได้ตรงความรู้สึกของผู้ถาม ก็จะเข้าใจแก่นจริงๆ ไม่ใช่อุปทานด้วย เพราะความรู้สึกเป็นเรื่องที่ละเอียด เรื่องนี้ จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย นะ ที่สำคัญต้องซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกตัวเอง
วันหนึ่งๆๆโดยเฉลี่ย จะมีสาว มาที่ บู๊ธ ประมาณ 5-6 คน (หนุ่มๆๆก็มาพอกัน) เดือนหนึ่งก็ราวๆๆ..150 คน...หนึ่งปี ก็..1800 คน...หลานสาวสวยๆๆทั้งนั้น คงจำรายละเอียด ว่า ไผ เป็น ไผ...ไม่ได้ ครบปีแล้ว...ก็ลงมาพบกัน ปีละครั้ง...ดีใหม ...หลาน พลอย มณี.คนเก่ง ตอนนี้เล่น ปิยวาจากับ วิษณุ ไป พลางๆๆก่อน...น่ะ ..........................................................................
ผมอยากเปิดตาที่3ครับ พอลองทำตอนแรกมันรู้สึกร้อนๆกระตุกๆแถวหูพอตั้งสมาธิดีดีแล้วก็ลองยิงไปที่ตรงระหว่างคิ้ว ปรากฏว่ามันกระทบอ่อนนุ่มแล้วก็แข็งๆ สักพักก็หลุดสมาธิเลยครับเพราะเหมือนพอธรรมแล้วมันกดจุดนั้นจากข้างในแรงมากอะครับ
ไม่อยากได้ตาที่สาม แต่อยากตามจิตได้ทันจริงๆ= = เฮ้อ ฟุ้งซ่าน= ='' ช่วงนี้ก็ประสาทหลอน เหมือนเห็นหมอกดำๆ ตามซอกหลืบ ถ้าเป็นผี ก็ออกมามาคุยกันดีๆก็ได้ แต่อย่าโผล่ขึ้นมาเลยล่ะ ประเดี๋ยวผมจะหัวใจวาย
มีคำถามอยากให้ช่วยเร่งตอบหน่อยครับ คือเมื่อวานลองทำแล้วเป็นอย่างที่บอกวันนี้ ตอนเช้าปวดแถวตาที่3สุดๆเลย จะปวดหัวก็ไม่ใช่เพราะไม่ได้อยู่ที่หัวอะครับ อยากรู้ทำไงถึงหายครับ ตอนนี้ก็เป็นอยู่บ้าง แต่ไม่เจ็บมากเหมือนตอนเช้าอะครับ EDIT อยากให้ช่วยบอกหน่อยครับว่าทำไงถึงหายมันปวดขึ้นมา เวลาผมเรียนหรือผมทำงานผมไม่มีสมาธิและมันทำผมหงุดหงิดมาก อะครับ
ใครที่อยากมีตาที่ สาม ให้ไปอ่าน กระทู้ ตั้งแต่ต้น จะได้ รายละเอียดมากมาย จากประสบการณ์ ของ ผู้ที่เคยเปิดตาที่สาม แล้วจะรู้ ขั้นตอน เป็น อย่างไร..แล้วจะไปอย่างไร ........................................................ ก่อนอื่นต้องถามตัวเองว่า..อยากมีตาที่สามที่เปิด เพื่อ ..อะไร?????? เพื่อ ความเท่ห์/เพื่อไว้ดูผี เล่นสนุกๆๆ/เพื่อดูสาวๆๆ เวลาเดินผ่าน/ อย่างนี้ ล่ะ ไม่ใช่.....คนที่มีตาที่สาม..คือคนที่จะอยู่ เพื่อคนอื่น ///ไม่ได้ อยู่เพื่อ ตัวเอง/ คุณพร้อมที่ จะช่วยคนอื่น อย่างเต็มตัวแล้วยัง ????
ของผมก็ตัดสินใจแล้วอะนะ ตอนนี้ก็หมั่นนั่งสมาธิ ผมไม่ใช่พวกที่ประเภทไปบ้าสาวอยู่แล้วอะครับ ตอนนี้ค่อยหายปวดหัวละ ไม่รู้เป็นอะไรพอจิตนิ่งแล้วหาย = =" สิ่งสำคัญผมรู้ว่าผมอยากได้ไปเพื่ออะไร ซึ่งผมก็คิดจะใช้สิ่งนั้นตั้งแต่ที่เคยฝึกพลังจิตมาแล้วให้กับผู้อื่น
ซินแวะมาฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ มาสมัครเป็นน้องใหม่ของกระทู้นี้ค่ะ แล้วซินจะแวะมาบ่อยๆนะคะ หวังว่า พี่ๆ คงต้อนรับนะคะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ (กระทู้ไปเร็วจังค่ะ ไม่มาแปปเดียว - -")
ใครอยากมีตาที่สามก็เร่งๆปฎิบัติเข้านะครับ แต่ใช่ว่าจะเปิดได้ทุกคนซะเมื่อไหร่บางคนปฎิบัติมาครึ่งชีวิต ก็ยังไม่เห็นอะครับเพราะเบื้องบนเห็นว่าคุณไม่เปิดตาที่สาม จะดีกว่าหรือไม่บางคนตาเปิดแล้วแต่เบื้องบนไม่ให้ ก็ไม่เห็นอยู่ดีอะครับ
คือ ผมสงสัยในการอ่านนะครับ ญาณ คำอ่าน คือ ยาน ใช่มั้ยครับ ฌานสมาบัติ มีอยู่ทั้งหมด 8 ขั้น เมื่อปฏิบัติ "กรรมฐาน" ที่"สามารถ" ทำให้จิต ไปถึงฌานได้ แล้วฝึกฝนบ่อยๆ ก็จะยกระดับจิตไปสู่ฌานที่สูงขึ้นตามลำดับดังนี้ 1. ปฐมฌาน คือ ฌานแรกที่จะได้ มีองค์ 5 คือ วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา (แต่อย่าเพิ่งไปสนใจอาการต่างๆ ให้มากเลยครับ เพราะ ถ้าเราทำได้เองก็จะเข้าใจ เองครับ คนส่วนมามักจะอุปทานการรับรู้ว่าตัวเองเป็นแล้วถึงแล้ว) 2.ทุติยฌาน มีองค์คือ ปิติ สุข เอกัคคตา 3.ตติยฌาน มีองค์คือ สุข เอกัคคตา 4.จตุตถฌาน มีองค์คือ อุเบกขา เอกัคคตา คำว่า "เอกัคคตา" หมายถึง อารมณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว เมื่อได้ฌาน 4 อาจน้อมจิต ไปเพื่อให้ได้ "อภิญญา" คือ การแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ 5. อากาสานัญจายตนฌาน กำหนดอากาศไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ 6.วิญญาณัญจายตนฌาน กำหนดวิญญาณไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ 7.อากิญจัญยายตนฌาน กำหนดความไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์ 8.เนวสัญญานาสัญญายตนะ กำหนดความมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่เป็นอารมณ์ ส่วนนี้ของ คุณ วิษณุ ตรงนี้คือ ฌาน อ่านว่า ชาน ใช่มั้ยครับ คือผมมักจะอ่านผิด อ่านออกเสียงไม่ถูก และได้บังเอิญมาเจอะพอดี ญาณ อ่านว่า ยาน ฌาน อ่านว่า ชาน ถูกต้องมั้ยครับ สับสนกับ 2 คำอ่านนี้มานาน
ถามไรหน่อยสิครับ สมาธิกับการนั่งกรรมฐาน ต่างกันยังไงอะครับ อ่อ มีอีกคำถาม คือแม่ผมอะครับ ไม่นั่งสมาธิเพราะกลัวผี-*- แต่ ไปต่างจังหวัดเวลามองไปที่ต้นไม้บางทีแม่ผมจะเห็นว่ามันสวยกว่าปกติ พอดูตรงโคนต้นไม้ก็เห็นเป็นศาลอยู่ เป็นงี้ทุกครั้งที่แม่ผมทักเลย ไม่ทราบว่ามันมีส่วนกับตาที่สามรึเปล่าครับ (อยากรู้ว่าแม่ผมมีโอกาสไหมอะนะ แต่ถึงมีแม่ผมก็คงไม่เปิดเพราะบอกไม่อยากได้ เหอๆ)
พอดีว่า ซินนอนไม่หลับค่ะ กำลังตื่นเต้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันก่อน พิจารณาหาเหตุผลอยู่ ก็เลยแวะเข้ามาดันกระทู้ค่ะ ^^
คนทุกคนเกิดมามีทุนไม่เท่ากัน มีปัญญาไม่เท่ากัน คนไม่มีปัญญาก็ต้องคิดที่จะเรียนรู้ แต่การเรียนรู้คนส่วนใหญ่ไม่ชอบศึกษา ชอบทางลัดเพราะถูกสอนให้เป็นอย่างนั้น วิชาที่เรียนก็จะมีสูตรลัด ไม่เข้าใจก็ถาม สอนให้ตั้งข้อแม้ สอนให้พิสูจน์ สอนให้ใช้สมอง จนมากกว่าสติ และจิต สิ่งที่สอนกันมาเพื่อให้เจริญในวัตถุไม่ได้สอนให้เจริญทางจิต ทำให้ยากต่อการที่จะไปถึงนิพาน กระทู้นี้หรือการเปิดตาที่สามเหมือนเป็นกุศโลบาย ให้เกิดศรัทธา ก้าวเข้ามาในธรรมแต่ไม่ใช้จุดสิ้นสุด คนที่หลงในวัตถุมักจะมองทุกอย่าง เป็นผลประโยชน์คือ มีได้กับมีเสีย การทำบุญเมื่อเป็นทุกก็จะหวังว่าบุญนั้นจะกลับมาช่วยตน แต่ไม่ได้เกิดจากศัทธา การเข้าวัดของบุคลนั้นจึงเข้าแบบหวังผลคือละโมบในบุญ ในของ ขลัง ของศักสิทธ์ การเข้าวัดแบบนี้เหมือนเป็นการลงทุนบุญ ไม่ใช้การทำบุญ แม้ในการ ศึกษาวิปัสณา ก็ติดยึดในสิ่งเดิมทางวัถุคือ เหมือนเรียนคือหาทางลัด หาผู้วิเศษ เหมือนกับ หาอาจารย์ติวเตอร์ มีอะไรก็ถามอย่างเดียวแต่ไม่ลองทำลองปฏิบัติ การปฏิบัติคือการทำเป็น ประจำ แต่ด้วยความเคยชินทางโลกคือ หาแต่วิธีแล้วคิดประมวล ไม่ลงมือทำคอยคิแต่จะ ถาม จะตามหาผู้ที่ตอบคำถามตนได้จนพอใจแล้วจึงเชื่อสนิดใจ หามีสติไม่ ดังเช่นในสมัย เรียนหนังสือคือ ครูสอนอะไรก็เชื่อ อาจารย์สอนอะไรก็เชื่อ สอนให้ชอบใครให้เกรียดใคร ก็ตามนั้น ไม่ได้ใช้ปัญญาคิดเนื่องจากไม่มี การที่มีปัญญาได้คือการวิปัสนา ถ้าไม่ทำก็ไม่เกิด ไม่นั่งมัวแต่ถามก็ไม่เข้าใจ เพราะไม่มีปัญญาไปวิเคราะ แต่ถ้ามีปัญญาแต่คำแนะนำ ก็ได้คิด ได้สติในการตรึกตรอง ใครรู้แจ้ด้วยตัวเอง ตามคำสอนพุทธองค์ ทุกอยางจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่ลงมือทำ นั่งพูดนั่งถามกันก็ไม่มีประโยชน์เพราะผู้ที่ตอบก็ ไม่รู้แจ้ง ผู้ที่ถามก็ไม่รู้ถาม ถามกันไปก็คาดคะเนกันไปก็ไม่ถึงไหนซักที อ่าแล้วคิดก็ได้ไปบ้างไม่มากก็น้อย ถ้าไม่รู้เรืองก็เป็นเพียงเรื่องที่ไร้สาระก็ไม่ต้องใส่ใจครับ
สาธุ สาธุ สาธุ กับคำพูดของคุณวิษณุ ด้วยนะครับ ตรงประเด็นมากครับ ผมว่าเรื่องเล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องรู้ได้ด้วยตนเองเท่านั้น เราไม่สามารถที่จะไปรู้จากคนอื่นได้ พยายามกันต่อไปเถอะครับ การรู้ได้ด้วยตัวเองมันดีกว่ามากครับ
สำหรับบางคน...ที่ไม่มีตาที่สาม แต่มีจิตสัมผัสที่ไว..ก็นับว่า ใช้ได้..เพราะเท่ากับครึ่งของตาที่สาม เช่นไป บ้านใคร..หายใจไม่ออก เมื่ออยู่ในบ้านนั้น..แสดงว่า เจ้าที่แรง มองใคร..ก็รู้ว่า เขาเป็นอย่างไร..คิดอะไร อยู่ เป็นคนดี ที่น่าคบหรือ ไม่..หรือ เราตัองระวัง คนนั้น .......................................................... ลองเช็คตัวเองว่า..เป็นได้ แค่ไหน ......................................................