เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    แล้วจะส่งให้น่ะค่ะ...(smile)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2008
  2. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    คุณ jin คุณเดรด คุณ mead และเพื่อนๆ วาดรูปเก่งกันทั้งนั้นครับ
    ถ้าเรามีเครื่องอ่านคลื่นสมอง และสแกนออกมาเป็นภาพได้ คงจะได้ภาพที่เยอะจนกระทู้นี้รับไม่ไหวนะครับ (smile)
     
  3. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    เล่ม 1 ธรรมชาติชาติภพ บทที่ 14 หน้า 221

    "ความปราถนาของเธอเป็นปัจจัยที่นำเอาบุคลิกภาพและรูปกายของเธอไปปรากฎขึ้น ณ ที่นั้น แต่เธอก็อาจจะไม่รู้ตัวเลยว่า เธอได้ไปปรากฎขึ้นที่เวลาและสถานที่นั้น
    รูปกายของเธอที่ไปปรากฎต่างสถานที่ เป็นสิ่งที่ผู้อื่นไม่สามารถจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า "
    น่าคิดเหมือนกันนะครับว่า ในแต่ละวันที่เราฝัน จะไปปรากฎให้ผู้ที่อยู่ในฝันเห็นเราในรูปกายต่างๆกันด้วยรึเปล่าน๊า
    เพื่อนๆคนไหนมีประสบการณ์ลองมาแชร์กันได้นะครับ

    การที่ไปปรากฎในที่ต่างๆในขณะที่เราปราถนา จะเหมือนกับการที่เราเห็นรูปดอกไม้ และจินตนาการถึงกลิ่นดอกไม้ ซักพักก็จะได้กลิ่นของดอกไม้นั้นจริงๆรึเปล่าน๊า (f)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2008
  4. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,945
    ค่าพลัง:
    +4,262
    Show off

    เห็นคนอื่นโดนชมล่ะเป็นไม่ได้
    ก็เลยต้องขอโพสต์มั่ง 555
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tukta.jpg
      tukta.jpg
      ขนาดไฟล์:
      73.7 KB
      เปิดดู:
      39
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  5. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    จากที่พี่นักเขียน เคยบอกว่า ถ้าเราฝันถึงใคร หมายถึงเค้าคนนั้น มักจะกำลัง นึกถึงเราอยู่...


    วันนี้ เดรด ลองตรวจสอบดู 2-3 วันก่อน ฝันถึงคนๆหนึ่ง ซึ่งไม่เคยฝันถึงมานานแล้ว เป็นเพื่อน ที่ยังพุดคุยกันอยู่ ปกติ เกือบทุกวัน แต่ไม่เคยเอาเขาไปฝัน เลยลองถามว่า ช่วงนี้ มีฝันถึงบ้างรึเปล่า เค้าบอกเค้าไม่ฝันเลย หรือฝันแล้วจำไม่ได้เลย ...แต่ บอกว่า มีอยู่คืนนึง 2-3 วันที่แล้ว เค้ารู้สึกตัวตื่นเพราะละเมอเรียกชื่อเรา เลยลุกมาดื่มน้ำ....แล้ว เค้าก็ถามว่าทำไมเหรอ...(อิอิ..ใครจะกล้าบอก)

    เดี๋ยว เดรด จะลองเชคดูหลายๆคน ที่มาปรากฎในฝัน(ถ้าสามารถจำได้...เพราะบางที มีคนที่ไม่รู้จักด้วย แต่คุ้นๆ)...ขอเก็บสถิติ ซักระยะ เพื่อยืนยัน(smile)
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    คำถามของ Einstein Zipper น่าจะทำให้พวกเราต้องคิดไปอีกหลายชั้น เพราะไม่เช่นนั้นแล้วก็จะสะดุดกับเครื่องพรางของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรากล่าวถึงจิตวิญญาณ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้ หรือการพัฒนาของจิตวิญญาณ เราจะต้องพิจารณาจากมุมมองที่นอกเหนือเส้นทางแห่งกาลเวลาเสมอ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้วเราจะพบกับการคิดเป็นเสันตรงตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เราคุ้นเคย และทำให้เราเข้าใจในธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึงได้ยาก

    ในกรณีของตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้หลายตัวตนของพี่นักเขียน พวกเราจะต้องมองจากมุมมองที่ว่า แต่ละตัวตนสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างเป็นปัจจุบันทันด่วน อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่ผันแปรไปจากการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ของแต่ละตัวตน ซึ่งเปลี่ยนความเชื่อของแต่ละตัวตนเป็นความรู้ ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของกันและกันอย่างฉับพลันเป็นระบบ

    แม้ตามประวัติศาสตร์ - ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก เราจะมองเห็นตัวตนของ Jane และ Myrtle เป็นตัวตนในอดีต แต่เขาทั้งสองก็กำลังมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในปัจจุบันนี้พร้อมกับพี่นักเขียน บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่น มิติอื่น แม้เราจะมองเห็นตัวตนของ Neal Walsch เป็นตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นเดียว ชาติภพเดียว และมิติเดียวกันกับพี่นักเขียน แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ตัวตนทั้งสามก็ไม่ได้แตกต่างกันเลยจากมุมมองของพี่นักเขียน และจากความเป็นจริงทางกายภาพ เพราะทุกตัวตนล้วนมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปในปัจจุบันนี้พร้อมกับพี่นักเขียน โดยไม่ได้มีการสื่อสารทางกายภาพใดๆเลย แต่การสื่อสารทั้งหลายล้วนเป็นไปในระดับจิตวิญญาณ ซึ่งส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของจิตวิญญาณในทุกรูปกาย ทุกตัวตน พร้อมกันหมด - ทุกทิศทาง

    ที่คุณ zip กล่าวว่าความรู้ความเข้าใจของพี่นักเขียนส่งผลกระทบต่อบุคคลตัวตนทั้งสาม จึงเป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา และเป็นไปตามธรรมชาติของจิตวิญญาณดังที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้อธิบายไว้


    คำว่า วงจรของชาติภพ เป็นคำกล่าวที่พวกเราต้องนำไปคิดจากมุมมองเดียวกันคือ นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา มิฉะนั้นแล้ว เราจะพบว่า เราคิดและพิจารณาวงจรดังกล่าวตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก ซึ่งทำให้เราเกิดความเชื่ออื่่นๆที่คล้องจองไปด้วย เช่นเชื่อว่า การพัฒนาหรือการดำเนินชีวิตในแต่ละชาติภพจนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเส้นตรง

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า จิตวิญญาณรวมมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง เป็นบุคคลตัวตนย่อยๆที่เป็นเราแต่ละคน เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์อันหลากหลาย-เป็นอนันต์ เราเข้าใจแทบไม่ได้ว่า ความเป็นอนันต์นั้นคืออะไร อย่างมากที่เราจะพอจินตนาการได้ก็คือ การดำเนินต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งบ่อยครั้งเราก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงการดำเนินไปบนเส้นทางแห่งกาลเวลา

    แต่ความหลากหลายเป็นอนันต์ที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึงนั้น นอกจากจะเป็นไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันแล้ว ยังปราศจากขอบเขต ท่านจึงกล่าวว่า พัฒนาการของจิตวิญญาณ ไม่ได้ดำเนินไปสู่การเป็นเลิศ ที่เปรียบเสมือนจุดจบ ซึ่งหมายถึงว่า เมื่อไปถึงจุดดังกล่าวแล้วจะเป็นภาวะที่หยุดนิ่ง ปราศจากการเคลื่อนไหว

    พี่นักเขียนไม่อาจอธิบายคำว่า นิพพาน ได้ในทิศทางที่พวกเราอาจจะคุ้นเคย เพราะรังแต่จะก่อให้เกิดการโต้แย้งจากผู้ที่เรียกตนเองว่า ผู้รู้ทางพุทธศาสนา เพราะพี่นักเขียนไม่แน่ใจว่าผู้รู้ทั้งหลายจะพิจารณาธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณนอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาดังเช่นที่พี่นักเขียนและพวกเรากำลังพยายามพิจารณากันหรือเปล่า

    ในที่นี้ พี่นักเขียนขอออกตัวว่า เรากำลังพยายามทำความเข้าใจโดยอาศัยคำศัพท์ที่มีอยู่เดิมและเป็นที่รู้จักกันว่า นิพาน หรือพัฒนาการสูงสุดที่จะนำจิตวิญญาณไปสู่ภาวะที่ปราศจากร่างกายตัวตนหรือรูปกาย โดยกำลังพยายามพิจารณาว่า ภาวะดังกล่าวนี้เป็นไปได้อย่างไร โดยพิจารณาจากมุมมองที่พวกเราเรียนรู้จากข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย หากมุมมองนี้ขัดแย้งหรือผิดเพี้ยนไปจากที่ผู้รู้ทางพุทธศาสนาเข้าใจกัน พี่นักเขียนก็ขอย้ำว่า เราไม่ได้กำลังพยายามตีความหมายคำศัพท์เดิมของพุทธศาสนาใหม่ จากมุมมองหรือความเชื่อที่แตกต่างไปโดยขาดความเคารพ แต่กำลังนำมาพิจารณาด้วยความเคารพอย่างสูงสุด และเป็นการพิจารณาเพื่อการศึกษาและเรียนรู้ร่วมกัน ใช้ปัญญาร่วมกันเพื่อให้เกิดความแตกฉาน โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะเปลี่ยนสาระหรือบิดเบือนคำสอนเดิมแต่อย่างใด

    หากคำว่า นิพพาน หมายถึง ภาวะอันสูงสุดที่จิตวิญญาณจะพัฒนาไปสู่การปราศจากรูปกาย หรือดำเนินชีวิตต่อไปได้โดยปราศจากรูปกาย ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย กล่าวได้ว่า ตัวตนทั้งหลายที่ยังเป็นจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นรูปกายอยู่ในปัจจุบันนี้ กำลังสนับสนุนเกื้อกูลตัวตนที่ปราศจากร่างกายให้พัฒนาต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับที่ตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ทั้งหลายกำลังพัฒนาและส่งผลกระทบต่อตัวตนอื่นๆอย่างเป็นปัจจุบันทันด่วน

    คำว่า ครบวงจร จบวงจรของชาติภพ หรือ เสร็จสมบูรณ์ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย จึงต้องพิจารณาจากมุมมองที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเช่นกัน ก่อนหน้าที่ท่านจะอธิบายถึงสาระเหล่านี้ ท่านได้กล่าวย้ำว่า ท่านและผู้อ่านทั้งหลายกำลังเผชิญกับปัญหาการสื่อสาร ซึ่งอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา และท่านได้กล่าวย้ำว่า ให้ผู้อ่านพิจารณาสาระทั้งหมดจากหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณด้วยมุมมองที่อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา ท่านไม่มีวิธีการอื่นที่จะอธิบายให้เราเข้าใจได้ นอกจากอธิบายสาระทั้งหมดไปตามลำดับ ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก เพราะการสื่อสารของมนุษย์เราทำได้ในนัยนั้นเพียงทางเดียว แต่ทุกส่ิงที่ปรากฏหรือเป็นไปนั้น ล้วนกำลังเป็นไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่า

    จิตวิญญาณรวมกำลังแตกตัวออกเป็นหน่วยย่อยๆ มาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนพร้อมด้วยบุคลิกภาพจำเพาะอันเป็นเอกลักษณ์
    หน่วยย่อยของจิตวิญญาณบางส่วน กำลังเผชิญกับภาวะก่อนมาถือกำเนิด
    หน่วยย่อยของจิตวิญญาณบางส่วน กำลังเผชิญกับภาวะกำลังถือกำเนิดอยู่ในครรภ์มารดา
    หน่วยย่อยของจิตวิญญาณบางส่วน กำลังเผชิญกับภาวะที่ได้ถือกำเนิดแล้ว-เป็นทารกแรกเกิด
    หน่วยย่อยของจิตวิญญาณบางส่วน กำลังเผชิญกับภาวะที่ได้ถือกำเนิดแล้ว-เป็นบุคคลตัวตนในวัยต่างๆกัน
    หน่วยย่อยของจิตวิญญาณบางส่วน กำลังเผชิญกับภาวะที่กำลังเผชิญกับภาวะใกล้ตาย
    หน่วยย่อยของจิตวิญญาณบางส่วน กำลังเผชิญกับภาวะของความตาย
    หน่วยย่อยของจิตวิญญาณบางส่วน กำลังเผชิญกับภาวะหลังความตาย


    ทั้งหมดนี้กำลังเป็นไปสำหรับแต่ละบุคคลตัวตน บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลายเป็นอนันต์ ณ ขณะจิตนี้

    การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์กำลังเป็นไปอยู่ในขณะจิตนี้
    การเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ก็กำลังเป็นไปอยู่ในขณะจิตนี้
    การมีรูปกายของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณที่ยังเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ ก็กำลังเป็นไปอยู่ในขณะจิตนี้


    การปราศจากรูปกายของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณที่ได้เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ก็กำลังเป็นไปอยู่ในขณะจิตนี้

    ทั้งหมดนี้เป็นภาวะที่กำลังเป็นไป อย่างไม่มีวันสิ้นสุด(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  7. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอบคุณครับพี่นักเขียน แล้วผมก็ยังมีคำถามต่ออีก

    คงเนื่องจากว่าต้องพิจารณาด้วยมุมมองที่อยู่เหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่างและกาลเวลาถึงจะเข้าใจได้ แต่บางประโยคผมก็ยังสงสัยด้วยความคิดไปตามเส้นทางแห่งกาลเวลา และจากรูปประโยคมันก็เอื้อให้คิดแบบนั้น

    ขอยกประโยคมาเลยนะครับ จากอมตะแห่งจิตวิญญาณภาคต้น หน้า 245

    ในจุดนี้ฉันต้องการชี้แจงเพิ่มเติมว่า เวลาที่บุคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนต้องตัดสินใจเลือกที่จะไปถือกำเนิดมีความซับซ้อนขึ้นไปอีกหากชาติภพล่าสุดคือชาติภพสุดท้ายของวงจรชาติภพที่เขาไปถือกำเนิดมาแล้วอย่างสมบูรณ์

    และจากเล่มเดียวกัน หน้า 246

    เมื่อวงจรชาติภพจบลงเธอจะอยู่ในภาวะที่เข้าใจตนเองได้อย่างถ่องแท้ เข้าใจถึงความเป็นเอกลักษณ์อันเป็นพื้นฐานของตนเอง เข้าใจถึงความเป็นเอกลักษณ์อันเป็นพื้นฐานของตนเอง เข้าใจถึงแก่นแท้ของตัวตนของเธอว่าตัวตนทั้งหมดหรือตัวตนรวมของเธอไม่ได้เป็นเพียงแค่ผลรวมของบุคลิกภาพหรือการเป็นบุคคลตัวตนในทุกชาติภพรวมกัน

    เธออาจกล่าวว่าบุคลิกภาพอันหลากหลายในทุกชาติภพไม่ได้เป็นอะไรนอกเหนือไปจากการแบ่งแยกตัวตนของเธอ ที่นี่ ไม่มีการแข่งขันระหว่างตัวตนต่างชาติภพ และไม่มีการแบ่งแยกที่แท้จริง ชาติภพทั้งหมดเป็นเพียงเสมือนชีวิตหนึ่งชีวิตที่เธอรับบทบาทหลากหลาย พัฒนาความสามารถต่างๆ กัน เรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ในทิศทางใหม่ ที่แตกต่างกันไป บุคลิกภาพอันหลากหลายต่างชาติภพยังคงพัฒนาต่อไปและเธออาจเข้าใจว่าเอกลักษณ์หลักของทุกชาติภพ-เป็นของเธอ

    เมื่อวงจรของชาติภพเสร็จสมบูรณ์ เธอมีความรู้อันสมบูรณ์เกี่ยวกับชีวิตในอดีตชาติทั้งหมด เธอมีความรู้ ประสบการณ์และความสามารถทั้งหลายอยู่เพียงแค่ปลายนิ้วมือ ในทีนี้หมายความว่าเธอเข้าใจในโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติในนัยทางปฏิบัติ


    เมื่ออ่านแล้วจากที่ผมเข้าใจว่า จิตวิญญาณเราแตกเป็นหน่วยย่อยไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว "ชาติภพล่าสุดคือชาติภพสุดท้ายของวงจรชาติภพที่เขาไปถือกำเนิดมาแล้วอย่างสมบูรณ์" จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร หรือว่าเมื่อแตกไปหน่วยย่อยๆ จนไปเรียนรู้ทุกอย่างจนหมดแล้ว (นึกถึงฟองน้ำอัดลมที่เปิดตอนแรกจะมีฟองออกมาเยอะๆ แล้วเมื่อทิ้งไปนานๆ ฟองนะน้อยลง ฟองที่ออกมานั่นก็เปรียบถึงหน่วยย่อยของจิตวิญญาณที่แตกตัวออกมา หลังๆ สิ่งที่เรียนรู้น้อยลง ก็จะแตกหน่วยย่อยออกมาน้อยลง) ซึ่งหน่วยย่อยที่แตกออกมาทั้งหมดนั้น อาจจะเยอะเป็นหมื่นเป็นแสนดวงก็ได้ เมื่อเรานึกอยากจะลองทำอะไร ก็จะเกิดเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ใหม่ ซึ่งก็ทำให้เกิดหน่วยย่อยเพิ่มขึ้น เมื่อหน่วยย่อยไปเรียนรู้ประสบการณ์ตรงนั้นสำเร็จก็ถือว่าจบเส้นทางนั้น และเมื่อหน่วยย่อยที่แตกตัวไปเรียนรู้ประสบการณ์ได้หมดทุกดวง ก็ถือว่าจบวงจรชาติภพโดยสมบูรณ์ใช่หรือเปล่าครับนี่??
     
  8. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    พี่นักเขียนครับ
    หากตัดคำว่า ช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา ที่เป็นเครื่องพรางของโลกสามมิติออกไป
    ทุกตัวตนในเส้นทางความเป็นไปได้ที่เป็นอนันต์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ต่างดำเนินไปพร้อมกัน ณ ขณะนี้
    ทุกตัวตนของจิตวิญญาณรวมดำเนินไปพร้อมกันหมด เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์
    ดังนั้นการฝึกสติสัมปชัญญะให้แจ่มชัด จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นมากใช่หรือไม่ครับ
    เพราะสติสัมปชัญญะโดยปกติ ที่ยังไม่ได้พัฒนาให้แจ่มชัด ก็มักจะติดอยู่กับเครื่องพราง และความเชื่อต่างๆ
    เป้าหมายจริงๆ ก็คือ การหลุดจากเครื่องพราง การเข้าใจถึงความเชื่อต่างๆ และปล่อยวางความเชื่อทั้งหลาย ขยายสติสัมปชัญญะให้กว้างขึ้นจนกลายเป็นสติสัมปชัญญะของจิตวิญญาณรวม
    จุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุดจริงๆจึงไม่มี
    (ไม่รู้ใช้คำพูดถูกหรือเปล่าครับ)
     
  9. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    คำถามที่ไปถามหลังบ้านกับพี่นักเขียน ขอเอายกมาหน้าบ้านให้ลองขบคิดกันดูนะครับ

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ zipper
    จากที่เมื่อวานอ่านอมตะแห่งจิตวิญญาณภาคต้นจบ ตอนท้ายๆ มีพูดถึงสวรรค์-นรก ที่ว่าเป็นสถานที่ที่สร้างจากความเชื่อขึ้นมาเอง

    เมื่อตายไปแล้วจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ก็ขึ้นกับความคิดที่มีต่อตัวเอง ว่าทำตัวดี ไม่ดี ขนาดไหน เมื่อระลึกย้อนไปยังการกระทำที่ผ่านมาแล้วเห็นว่าตัวเองทำตัวไม่ดีคิดว่าจะต้องลงนรกก็จะสร้างนรกขึ้นมา และไปรวมกลุ่มกับจิตวิญญาณที่เชื่ออย่างเดียวกัน

    ถ้าเป็นการกระทำที่เป็นความดี-ไม่ดีที่เห็นได้ชัดก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก

    แต่ทีนี้เคยได้ยินมาว่าผู้ที่สอนคนผิดๆ โดยที่ตัวเองเชื่อว่าถูก ตายไปก็ตกนรกด้วย

    ก็หมายความว่า เมื่อตายไปแล้ว จิตวิญญาณจะสามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ถึงแม้ว่าตอนที่เป็นมนุษย์จะแยกแยะไม่ได้ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองทำผิดไป จึงส่งตัวเองไปลงนรกด้วยความเชื่อ

    ถ้าใช่... ถ้าเป็นตามนี้.... ก็หมายความว่าให้เชื่อสิ่งที่จิตวิญญาณบอกเรา จะถูกกว่า... งั้นใช่ไหมครับ ส่วนจะติดต่อกับจิตวิญญาณกันได้ยังไง ก็ต้องพยายามหาทางเอา

    และถ้าการที่ลงนรกหรือชึ้นสวรรค์ด้วยความรู้สึกถูกผิดในตัว ถ้าอย่างนั้นการที่ศาสนานึงมีการแก้บาป ที่ทำให้คนที่ไปแก้บาปรู้สึกว่าตัวเองพ้นผิดบาป ก็มีส่วนทำให้ไม่ลงนรกด้วยสินะครับ? เพราะว่าความเชื่อตัวเองเชื่อว่าตัวเองพ้นผิดบาปแล้ว ไม่ต้องไปรับโทษ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    สวัสดีค่ะคุณ zip
    คำถามของคุณ zip เป็นคำถามที่ดีมาก น่าขบคิดและน่าแชร์กับพวกเราหน้าห้องวิทย์ฯ เพราะหลายคนคงจะมีประสบการณ์และความคิดเห็นอื่นๆมาเพิ่มเติมให้เราได้คิดต่อไปอีก พี่นักเขียนตอบแล้วคงต้องขอรบกวนคุณ zip นำไป post หน้าห้องด้วยนะคะถ้าเห็นด้วย

    พี่นักเขียนเชื่อว่า ความรู้ที่แท้จริงของจิตวิญญาณไม่ได้อยู่ลึกหรือไกลจากความรู้ของจิตสำนึกและสติสัมปชัญญะของเราเสียจนทำให้ตัวตนภายนอกที่เราคิดว่า-เป็นของเรา-คือเรา แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับแก่นแท้ของตนเอง ซึ่งก็คือจิตวิญญาณ หรือทำให้ตัวตนภายนอกตัดขาดจากจิตวิญญาณเสียจนไม่อาจค้นไม่พบจิตวิญญาณของตนเอง หากมันห่างไกลกัน หรือแตกต่างกันได้เสมือนดำกับขาว มนุษย์เราก็คงแยกดี-ชั่วออกจากกันไม่ได้หรือหลงผิดไปชั่วชีวิตแล้วต้องรอให้จิตวิญญาณไปเรียนรู้ทีหลังเมื่อปราศจากร่าง แต่พี่นักเขียนเชื่อว่า ตามธรรมชาติแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น

    หากพิจารณาจากคำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า มนุษย์เราคือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิด"เป็น"ร่างกายเนื้อหนัง เราต่างก็มีคุณสมบัติของจิตวิญญาณอยู่ในร่างกายเนื้อหนังอย่างพร้อมมูล คุณสมบัติหรือคุณภาพที่แท้จริงของจิตวิญญาณ-อยู่ที่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด-ซึ่งมีสติพร้อม ไม่ใช่อยู่ที่อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด-ซึ่งคล้อยตามความเชื่ออย่างตาบอด

    ในนัยนี้กล่าวได้ว่า มนุษย์เรารู้ดี-รู้ชั่ว รู้ผิด-รู้ถูกได้เสมอเมื่อเราใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด-ด้วยสติพร้อม จุดต่อของตัวตนภายนอกกับตัวตนภายในหรือจิตวิญญาณอยู่ที่สติสัมปชัญญะ ซึ่งคิือการจดจ่ออย่างคมชัดของจิตวิญญาณ สติสัมปชัญญะอันคมชัดของเราจึงไม่ใช่อะไรอื่น แต่คือการจดจ่ออย่างคมชัดของจิตวิญญาณหรือแก่นแท้ของตัวตน ที่มีความรู้กว้างไกลลุ่มลึก เมื่อใดที่เราใช้สติสัมปชัญญะอย่างคมชัด เราก็สัมผัสหรือนำคุณภาพที่แท้จริงตามธรรมชาติของจิตวิญญาณมาใช้เสมอ เราทำเช่นนั้นอยู่เสมอๆไม่มากก็น้อย ตามอุปนิสัยและการฝึกฝนอบรมที่เรามีให้ตนเอง

    เราจะมองเห็นความดี-ความชั่ว หรือความถูกต้องและความผิดไม่ได้ชัดเจน ไม่ใช่เพราะว่าบางกรณีมันเป็นสิ่งที่แยกแยะได้ยาก หากแต่เรามองไม่เห็นหรือแยกแยะไม่ได้เพราะเราไม่ได้ใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดด้วยสติพร้อม แต่เราใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดที่คล้อยตามความเชื่อที่ผิด และการคล้อยตามความเชื่อที่ผิดย่อมทำให้เรารู้สึกดีไปไม่ได้ ไม่ว่าเราจะคิดว่ามันทำให้เราได้ผลประโยชน์หรือเชื่อว่าเราได้ทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ตาม เราก็จะพบกับความรู้สึกที่ขัดแย้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะกลไกของความรู้สึก คือจุดต่อที่ตัวตนภายนอกสื่อสารกับจิตวิญญาณได้โดยตรงเสมอๆ

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิด ซึ่งมีสติพร้อม หรือตัวรู้ของจิตวิญญาณ จะส่งสัญญาณเตือนเสมอ เราจะรู้สึกดีไปไม่ได้หากเราใช้อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึิกคิดคล้อยตามความเชื่ออย่างผิดๆ ตัดสินใจผิด เลือกทำชั่วแทนที่จะทำดี ฯลฯ

    กรณีที่คุณ zip กล่าวถึงผู้ที่สอนคนผิดๆ โดยที่ตัวเองเชื่อว่าถูก ตายไปก็ตกนรกด้วยนั้น พี่นักเขียนเคยได้ยินเรื่องของบาทหลวงในศาสนาคริสต์ ที่เผชิญกับ Near Death Experience (NDE) และพบว่าตนเองตกนรกเพราะสอนผิดๆมายาวนาน กรณีนี้พี่นักเขียนเชื่อว่า การมีสติรู้ว่าตนเองสอนผิดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นหลังความตาย หรือเมื่อบาทหลวงท่านนั้นละร่าง ละประสาทสัมผัสทั้งห้าโดยสิ้นเชิงแล้ว แต่น่าจะเป็นกรณีที่ว่า การยอมรับนั้นเกิดขึ้นหลังความตายมากกว่า คือรู้อยู่แก่ใจก่อนหน้าที่จะตายแต่ไม่ยอมรับ จะด้วยกฏระเบียบ ด้วยการรักษาหน้า ด้วยความเชื่ออันเคร่งครัดที่ตนมีต่อศาสานา หรือต่อผู้บริหารศาสนา ฯลฯ ทำให้การยอมรับก่อนตายเป็นไปไม่ได้ ต่อเมื่อเผชิญกับความตายหรือการละร่าง ละประสาทสัมผัสทั้งห้าโดยสิ้นเชิงแล้ว บุคคลดังกล่าวจะตกอยู่ในภาวะที่สติสัมชปชัญญะเผชิญกับความเปลือยเปล่า ไร้เครื่องพรางอันได้แก่ความเชื่ออย่างตาบอด หรือการปกปิดบางสิ่งบางอย่างจากตนเอง ทำให้การยอมรับเป็นไปได้ง่ายขึ้น

    พี่นักเขียนเชื่อว่าภาวะดังกล่าวนี้ ไม่ต้องไปไกลถึงความตาย หรือภาวะที่เราละร่าง ละประสาทสัมผัสทั้งห้าโดยสิ้นเชิงแล้วด้วยความตาย เพราะมันปรากฏให้เราเห็นเสมอๆ แม้ในความฝันเราก็ก้าวล่วงไปสู่ภาวะเดียวกันนี้อยู่ทุกคืน ผู้ที่ทำชั่ว ยามตื่นดูเสมือนไม่สามารถแยกแยะดีชั่วได้ แต่ยามนอนหลับและฝัน จะฝันดีไปไม่ได้ด้วยสติสัมปชัญญะอันเป็นตัวรู้ของจิตวิญญาณย่อมก้าวล่วงไปสู่ภาวะดังกล่าวนี้ ทำให้ฝันร้าย เพราะมองเห็นสภาวะจิตที่แท้จริงของตนเอง ศาสนาพุทธของธิเบตจึงมักกล่าวไว้เสมอๆว่า เราจะค้นพบได้ไม่ยากว่า ภาวะหลังความตายของเราจะเป็นอย่างไร โดยการสังเกตภาวะของตนเองในความฝัน ผู้ที่ฝันดีเสมอๆ จะพบกับภาวะหลังความตายด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกเดียวกันนั้น

    คนที่ทำชั่ว คิดผิด หลงผิด ก็เผชิญกับความเป็นจริงทั้งหลายได้ในความฝัน ซึ่งทำให้คิดใหม่แก้ตัวใหม่ได้ยามตื่น โดยไม่ต้องรอให้ตายค่อยเรียนรู้ แต่เมื่อตื่นแล้วหลายคนก็สลัดความฝันทิ้งและยอมจมอยู่กับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกที่คล้อยตามความเชื่อที่ผิดต่อไป หากเราถามเขาว่าเขารู้สึกอย่างไร คำตอบที่ซื่อสัตย์คงจะเป็นไปไม่ได้ว่า เขาสุขใจดีอยู่เสมอทั้งยามตื่นยามฝัน เพราะจิตวิญญาณจะส่งสัญญาณให้เขารู้ได้เสมอด้วยการมีความรู้สึกไม่ดี หากหาความรู้สึกดังกล่าวไม่พบยามตื่นด้วยเหตุใดก็ตาม ก็ย่อมจะหาพบได้ในความฝัน ไม่ว่าจะอยากฝันหรือไม่ก็ตาม และความฝันร้ายที่ทำให้ผู้ที่ทำชั่วยามตื่นและแยกแยะไม่ได้ มักเป็นฝันร้ายที่ทำให้จดจำได้ดีอย่างเหลือเชื่อเสมอ

    การแก้บาปนั้น พี่นักเขียนได้เคยคุยกับเพื่อนชาวคริสต์หลายคนที่บอกว่า มันทำให้รู้สึกสบายใจได้ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แต่ส่วนลึกแล้วมันแก้ไม่ได้อย่างหมดเปลือก หากแก้ได้จริงก็คงไม่ต้องไปแก้บาปกันอยู่เรื่อยๆตลอดชีวิต แก้หนเดียวก็คงจะจบ

    ในแง่ของชาวพุทธ พี่นักเขียนก็พบกับผู้ที่ไปทำบุญเพื่อพยายามแก้บาปหรือกรรมชั่ว ซึ่งบุคคลเหล่่านั้นก็ไม่ต่างไปจากคนที่แก้บาปตลอดชีวิต คือพยายามทุ่มทำบุญมากมาย เพราะในส่วนลึกนั้นคงจะทำให้รู้สึกสบายใจได้ชั่วครู่ชั่วยามเช่นกัน หยุดทำบุญเมื่อไรก็รู้สึกว่าบาปหรือกรรมจะตามทัน จึงเร่งทำบุญให้รุดหน้าไปไกล บาปหรือกรรมจะได้ตามไม่ทัน เป็นต้น แต่ความรู้ดีรู้ชั่ว หรือรู้ผิดรู้ชอบนั้น คงแก้ไม่ได้ด้วยการทำตามพิธีกรรมเพียงแค่นั้น แต่แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่ออย่างถอนรากถอนโคน[​IMG]

    <hr>
    อันนี้เป็นข้อความตอบกลับ

    ถ้างั้นแล้วเราก็ใช้ความฝัน ฝันดี-ฝันร้าย ตรวจสอบได้ด้วยสิเนาะ

    ส่วนความหลงจนทำให้ตกนรกทั้งๆ ที่คิดว่าถูกนั้น zipp คิดว่าถ้ามีตัวอย่างว่าขณะที่คนผู้นั้นหลงอยู่ มีความคิดและรู้สึกอะไรอยู่ก็คงจะดี....

    หลังจากคิดไปคิดมาซักพักก็คิดตัวอย่างออก เช่น ถ้ามีบางความเชื่อที่สอนว่าการระเบิดฆ่าตัวตายพร้อมกับศัตรูได้จะทำให้ขึ้นสวรรค์ และลูกศิษย์ก็เชื่อตามความเชื่อนี้และทำตาม....

    เมื่อตายไปถ้าไม่ได้ไปสวรรค์ตามที่เชื่อ มันก็ดูเหมือนว่า................
    ...
    ..
    .
    .
    ขอโทษครับ -_-'' เมื่อเขียนไปถึงเมื่อกี้ ในใจก็คิดว่า ในขณะที่เค้าจะทำอย่างนั้นจริงๆ ในใจเค้าอาจจะรู้สึกกังวลว่าจะจริงหรือเปล่า อาจจะมีสับสนในใจ และนั่นก็อาจจะเป็นการทำงานของจิตวิญญาณที่พยายามร้องเรียกว่า อย่านะ อย่านะ อยู่ก็ได้ ความคิดอย่างนี้มันเข้ามาเหมือนว่ามากวนความคิดให้สับสนจนเขียนต่อไปไม่ได้

    มีแอบคิดว่าความคิดนี้อาจจะคิดถูกก็ได้ ก็เลยเขียนออกมา....

    (อาจจะเป็นการทำงานของจิตวิญญาณก็ได้)


    ส่วนเรื่องแก้บาปของคริสต์ ตามความเข้าใจ ก็เพราะว่าเค้าทำบาปใหม่มาเรื่อยๆ ก็เลยต้องไปแก้ใหม่เรื่อยๆ

    อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครพูดถึงกันก็คือ ก่อนที่จะแก้บาปนั้น ผู้ที่จะแก้บาปจะต้องพิจารณาบาป เป็นทุกข์ถึงบาป คือคิดพิจารณาว่าการกระทำไหนของเราที่มันไม่ดีบ้าง เมื่อคิดได้ดังนี้เราก็จะรู้สึกว่า เออ การกระทำอย่างนี้มันบาปนะ ทำอย่างนี้มันไม่ดีนะ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นบางทีอาจจะไม่ได้รู้สึกอย่างนี้เลยก็ได้ หรือรู้สึกก็ไม่แรงมาก ทำให้ความรู้สึกผิดชอบดียิ่งขึ้น เกิดความละอายต่อบาปมากยิ่งขึ้น

    ส่วนนี้ก็อาจจะเป็นข้อดีข้อนึงของการไปแก้บาป ถึงแม้ว่าบาปจะแก้ได้หรือไม่ได้ก็ตาม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  10. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    เมื่อลองอ่าน คำถาม-คำตอบ ของเพื่อนๆ เดรด รู้สึกเหมือนกัน ว่า วงจรของชาติภพ แต่ละวงจร เป็นไปเพื่อเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ในเส้นทางที่เป็นไปได้แบบอนันต์ และเมื่อสิ้นสุดชาติภพ ของชาติกำเหนิด ของร่างกายเนื้อหนัง เมื่อถึงความตายจากโลกแห่งความเป็นจริง คือร่างกายเนื้อหนัง ในหนังสือ กล่าวถึงภาวะหลังความตาย ไม่ได้เป็นจุดจบของวงจรทั้งหมด เพียงสิ้นสุดเฉพาะ แค่ชาติภพที่เราเลือกเกิดเป็นร่างกายเนื้อหนังเท่านั้น

    จากภาวะนี้ จะมีช่วงหนึ่ง ถ้าพิจารณา จาก ช่องว่าง กาลเวลา ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการระลึกถึง เหมือนกับว่า ก่อนตายรู้สึกนึกคิด อย่างใดก็จะเกิดอารมณ์ และจินตนาการนั้นๆ เช่น ถ้าระลึกถึงสิ่งที่ไม่ดี ที่รู้สึกผิด จิตก็จะสร้างภาพของบรรยากาศ ทุกข์ทรมานขึ้นมา เปรียบเหมือนนรก แต่ถ้า ระลึกได้ถึงความดีงาม จิตก็จะจินตนาการถึง ความสุขสงบ เปรียบได้กับ สภาวะสวรรค์

    ถ้าเช่นนั้น กรณีที่ ทางพุทธสอนให้คิดดีๆ ระลึกถึงแต่เรื่องดีๆ ก่อนตาย ก็อาจมีความหมายไปในแนวนี้ ได้มั๊ยค่ะ

    ส่วนหลังจากระลึกได้แล้ว ประสบกับอารมณ์ และความรู้สึกดังกล่าวแล้ว อ.อนาลัยได้กล่าวถึง การเลือกของจิตวิญญาณ ที่จะเลือกไปทางไหนต่อ โดยในขั้นตอนนี้ เราจะมีจิตวิญญาณพี่เลี้ยงที่จะคอยแนะนำ เหมือนเป็นผู้ชี้แนะให้ โดยจิตวิญญาณ จะเลือก ที่จะกลับมาถือกำเหนิด เป็นร่างกายเนื้อหนังใหม่ ในเส้นทางเดิมๆ เพื่อแก้ไขปัญหาของชาติภพที่ผ่านมา ยังแก้ไม่ได้ (ตรงนี้ คล้ายๆ การเข้าคอร์สฝึกอบรม ได้มั๊ยค่ะ) หรือจะเลือกเส้นทางอื่นๆ ที่จิตวิญญาณต้องการเรียนรู้ หรือจะเลือกเส้นทางที่ไม่เกิด ซึ่ง ในที่นี้ จะเปรียบได้กับนิพพาน ได้มั๊ยค่ะ

    ซึ่งขั้นตอนนี้ เปรียบเหมือนการล้างไพ่รึเปล่า คือ ไม่มีเรื่องกรรมเก่า กรรมใหม่ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เหมือนเป็นการเลือกโจทย์ สำหรับที่จะแก้มากกว่า
    ...แสดงว่า การตายไม่ไช่การจบของวรจร แต่อาจจะเรียกได้ว่า กลับไปจุดสตาร์ท เพื่อเริ่มตั้งต้น ที่จะเรียนรู้มากกว่า ใช่หรือไม่ค่ะ และจิตวิญญาณก็มีสิทธิ์ที่จะเลือก เส้นทางที่เป็นไปได้ด้วยตัวเองด้วย

    แล้วการที่เราถูกทำให้ลืม อดีตชาติ อืมม์...ใช้คำว่าอดีตชาติ อาจไม่ถูกต้องนัก เพราะ ทุกอย่างดำเนินไปพร้อมกันหมด คือ...เอาเป็นว่า ชาติภพที่เราสามารถจะเรียนรู้ได้จริง คือชาติภพ ที่มาถือกำเหนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง แต่ ชาติภพอื่นๆ ที่มีการเรียนรู้ในด้านอื่นๆ ที่กำลังดำเนินไป เป็นไปอยู่ ถ้าเราไม่ทราบกับปัญหาเก่าๆ จะไม่ทำให้เราซ้ำอยู่กับบทเรียนเดิมๆ หรือค่ะ เราจะมีวิธีนำประสบการณ์ ที่เราเคยเรียนรู้มา กลับมาพัฒนาจิตวิญญาณเราให้พัฒนาไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ได้อย่างไร ไม่ต้องสู่ความเป็นเลิศ แต่ให้พัฒนาเรียนรู้ และแก้ไข ได้บ้างก็ได้ค่ะ

    ต้องขอประทานโทษ พี่นักเขียนนะค่ะ ทีถามเยอะไปหน่อย แบบว่า มันจะติดอยู่นิดหน่อยๆ เพื่อจะไปต่อนะค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ (i)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  11. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    อ่านข้อมูลบนหน้าบอร์ดวันนี้แล้วเหมือน get บางอย่างได้ลึกลงไปอีก
    คุณซิปฯถามดีครับ อ่านแล้วต้องค่อยๆเรียบเรียงข้อมูลใส่แฟ้มให้ดีหน่อย

    ชอบเรื่องตัวตนรวมที่ขยายออกไปเหมือนฟองอากาศ (ที่คุณซิปเปรียบเทียบ) ก่อให้เกิดตัวตนบนเส้นทางใหม่ๆ บนเส้นทางของความเป็นอนันต์อันไม่มีที่สิ้นสุดพี่นักเขียนกล่าวไว้ ทำให้รู้สึกเหมือนว่า ถึงจิตวิญญาณจะเติบโตจนถึงที่สุด และก็ยังมีทางเลือกเพื่อตัดสินใจอีกหากเป็นภพชาติสุดท้ายของวงจรชาติภพ แต่ก็จะมีความซับซ้อนขึ้นไปอีก..ทำให้นึกถึงคุณสมบัติของ"พระโพธิสัตว์"ที่แม้ท่านจะเข้าใจสภาวะความจริงแท้ของความรู้ทั้งมวลอย่างหมดจดก็ตาม..ก็ยังปรารถนาและเลือกเส้นทางในการโปรดมนุษย์โลกด้วยความเมตตาต่อไป หรืออาจจะเลือกไปจุติในมิติภพภูมิอื่นๆไม่ใช่โลกใบนี้ เพื่อขยายประสบการณ์และการสร้างสรรค์ของตัวตนรวมในเส้นทางใหม่ๆต่อไป โดยที่คุณสมบัติของจิตวิญญาณจะซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ..

    เราคงไม่ต้องคิดไปไกลถึงขั้นนั้นในตอนนี้เอาหลักความเข้าใจไว้ก่อนก็พอ แค่เครื่องพรางบนโลกนี้ก็ซับซ้อนมากพออยู่แล้ว..ในจักรวาลเองก็มีทั้งพลังขาว-พลังดำ-เพื่อใช้เพื่อการสร้างสรรค์ (และอาจมีพลังสีเทาด้วยรึเปล่า?) เชื่อว่าความรักของจักรวาลที่เป็นผู้ให้กำเนิด..จะดึงดูดเราเหมือนแม่เหล็กยักษ์ ให้เราพบความจริงแท้เหล่านี้ได้ในที่สุดครับ ตอนนี้หัวสมองกำลังประมวลผลด้วยความสนุกและสร้างสรรค์อยู่ ขอบคุณทุกคำถามและทุกคำตอบครับ

    [​IMG]

    เวลานึกถึงคำว่า "ตัวตนรวม" ผมจะนึกถึงดวงดาวบนท้องฟ้าเหมือนเฉลยบอกใบ้เอาไว้ครับ...?
    บางดวงสุกสว่าง บางดวงก็ริบหรี่ บางดวงกระพริบแสงพร้อมกันแต่ก็มีคุณสมบัติเฉพาะตัว
    มีการสร้างใหม่-ดำรงอยู่-เปลื่ยนแปลง-เสื่อมสลาย-ขยายตัวออกไป หมุนเวียนกันไปทุกขณะ
    พอจะเห็นภาพได้เลยว่าอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต ปรากฎอยู่พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันเป็นยังไง?
    เราอาจทำความเข้าใจเรื่อง"เครื่องพราง" (ระยะทาง-ช่องว่าง-กาลเวลา) ง่ายๆก็บนท้องฟ้านี่เองครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  12. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    คำถาม และคำตอบ ในห้องวิทย์ เป็นสิ่งที่ดีมากๆเลยครับ
    จากการถาม และตอบ ต่างช่วยเติมเต็มช่องว่าง และประสบการณ์ได้มากเลยครับ
    เรายังไม่ทราบหรอกว่า เราติดกับความเชื่อใดอยู่ จะรู้ก็ต่อเมื่อข้อมูลที่เรารับรู้นั้นส่งผลสะเทือนต่อจุดยืนเราเป็นอย่างมาก
    คำถาม คำตอบ เหล่านี้ จะช่วยเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจ เป็นความเข้าใจได้ในที่สุด
    เมื่อเราเข้าใจแล้ว สิ่งเหล่านี้เราจะไม่มีทางลืมเลือน และคงไม่มีความเชื่อใดๆที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราเข้าใจได้
    สิ่งที่เราเรียนรู้ทั้งหลาย มีแต่ตัวเรา(จิตวิญญาณรวม)ต่างหากที่เป็นผู้ตั้งโจทย์เหล่านั้นขึ้นมาเอง เพื่อหาคำตอบกับสิ่งเหล่านั้นให้ได้อย่างถ่องแท้ หากยังไม่เข้าใจ โดยธรรมชาติของจิตวิญญาณก็ต้องหาคำตอบให้กับตนเองเพื่อเติมเต็มความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
    ความเชื่อในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่อง กฎแห่งกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี สิ่งที่เรายึดถือทั้งหลาย คือ สิ่งที่ท้าทายต่อการหาคำตอบ จนให้หมดข้อข้องใจในสิ่งนั้นๆ เมื่อเข้าใจแล้วย่อมไม่มีคำว่าดี หรือ ชั่ว
    จิตวิญญาณไม่มีกาลเวลา มีแต่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้เท่านั้น ที่คือความสมบูรณ์แบบ
    การทำความเข้าใจไม่มีขั้นตอนว่าต้องใช้เวลาเท่าไร มีแต่ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในทุกขณะจิตผ่านสติสัมปชัญญะที่พ้นจากความเชื่อเท่านั้น ที่เป็นความจริง
    (จากความเข้าใจของผมครับ-เพื่อแลกเปลี่ยนให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นครับ)
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    คนที่ทำชั่ว คิดผิด หลงผิด ก็เผชิญกับความเป็นจริงทั้งหลายได้ในความฝัน ซึ่งทำให้คิดใหม่แก้ตัวใหม่ได้ยามตื่น โดยไม่ต้องรอให้ตายค่อยเรียนรู้ แต่เมื่อตื่นแล้วหลายคนก็สลัดความฝันทิ้งและยอมจมอยู่กับอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกที่คล้อยตามความเชื่อที่ผิดต่อไป หากเราถามเขาว่าเขารู้สึกอย่างไร คำตอบที่ซื่อสัตย์คงจะเป็นไปไม่ได้ว่า เขาสุขใจดีอยู่เสมอทั้งยามตื่นยามฝัน เพราะจิตวิญญาณจะส่งสัญญาณให้เขารู้ได้เสมอด้วยการมีความรู้สึกไม่ดี หากหาความรู้สึกดังกล่าวไม่พบยามตื่นด้วยเหตุใดก็ตาม ก็ย่อมจะหาพบได้ในความฝัน ไม่ว่าจะอยากฝันหรือไม่ก็ตาม และความฝันร้ายที่ทำให้ผู้ที่ทำชั่วยามตื่นและแยกแยะไม่ได้ มักเป็นฝันร้ายที่ทำให้จดจำได้ดีอย่างเหลือเชื่อเสมอ

    การแก้บาปนั้น พี่นักเขียนได้เคยคุยกับเพื่อนชาวคริสต์หลายคนที่บอกว่า มันทำให้รู้สึกสบายใจได้ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แต่ส่วนลึกแล้วมันแก้ไม่ได้อย่างหมดเปลือก หากแก้ได้จริงก็คงไม่ต้องไปแก้บาปกันอยู่เรื่อยๆตลอดชีวิต แก้หนเดียวก็คงจะจบ

    ในแง่ของชาวพุทธ พี่นักเขียนก็พบกับผู้ที่ไปทำบุญเพื่อพยายามแก้บาปหรือกรรมชั่ว ซึ่งบุคคลเหล่่านั้นก็ไม่ต่างไปจากคนที่แก้บาปตลอดชีวิต คือพยายามทุ่มทำบุญมากมาย เพราะในส่วนลึกนั้นคงจะทำให้รู้สึกสบายใจได้ชั่วครู่ชั่วยามเช่นกัน หยุดทำบุญเมื่อไรก็รู้สึกว่าบาปหรือกรรมจะตามทัน จึงเร่งทำบุญให้รุดหน้าไปไกล บาปหรือกรรมจะได้ตามไม่ทัน เป็นต้น แต่ความรู้ดีรู้ชั่ว หรือรู้ผิดรู้ชอบนั้น คงแก้ไม่ได้ด้วยการทำตามพิธีกรรมเพียงแค่นั้น แต่แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่ออย่างถอนรากถอนโคน(rose)




    <HR>
    คนเราเกิดมาก็มีโอกาสทำผิดพลาดกันได้เสมอนะครับ..เพราะกว่าจะรู้กว่าจะเข้าใจ หรือบางคนรู้แล้วก็ยังทำผิดได้..ก็ถือเป็นบทเรียนสำคัญ จนกว่าความเชื่อจะเปลื่ยนไปอย่างสมบูรณ์จากจิตสำนึกแท้จริงของเราได้นะครับ

    การแก้ไขหรือการสร้างบุญกุศลทดแทนนี่ หากคิดว่าทำกุศลหลายครั้งหลายหน เพียงเพราะว่าจะหนีผลการกระทำนั้น หรือสร้างวิมานในสวรรค์ไว้รอภพชาติหน้า คงเป็นเพียงการปลอบใจตัวเองหรือเพื่อหวังผลตอบแทนมากกว่า..แต่ถ้าเปลื่ยนความคิดและความเชื่อได้อยางหมดจดในปัจจุบันทันด่วน หรือหลุดพ้นจากความเชื่อเดิมได้ด้วยสติปัญญา..เป็นทางออกที่สมบูรณ์แบบกว่านะครับ..เวลาจะเป็นจิตวิญญาณเปล่าเปลือยคงจะคิดได้อย่างมีสติและรู้เท่าทันว่าเรามีเป้าหมายอย่างไร..คงไม่สร้างนรก-สวรรค์ขึ้นมาแล้ว..แต่จะไปสู่..(...???....)..สักแห่งที่มีอยู่เพื่อการ Format และสร้างสรรค์จิตวิญญาณต่อๆไปตามรหัสที่สร้างสมไว้..คล้ายถูกดึงดูดไปรวมกับจิตวิญญาณรวมของเราในสถานที่ที่ไม่กินเนื้อที่ใดๆในมิติคู่ขนาน..(คงไม่เค้งคว้างหรือไร้เป้าหมายแน่ๆ..) ความตายจึงไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป ถ้าเราเปลื่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้ได้ทัน (คงจะดีกว่าครับถ้าให้พี่นักเขียนอธิบายเรื่อง"ชิวิตนอกเหนือชาติภพ" เพิ่มเติมให้อีก?)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG]


    ***ข้อความจากคุณเซลล์ครับ เห็นว่ามีสาระดี เลยขอมาโพสหน้าบ้าน***

    สารจากอาจารย์อนาลัย เปลี่ยนมุมมองเรื่องกฎแห่งกรรมได้มากเลยครับ
    ท่านอธิบายถึงสิ่งเดียวกันนี้ ในมุมมองที่เต็มไปด้วยความรักแห่งจักรวาล
    คำว่ารับโทษ หรือใช้กรรม เป็นกฎเกณฑ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อควบคุม
    อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการของมนุษย์ด้วยกันเอง

    สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริงในทัศนะของจักรวาล
    มีแต่คำว่าเรียนรู้ เพื่อเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ ตามสัจจะที่เราให้ไว้กับตัวเราเอง
    จิตวิญญาณรวม หรือ จิตจักรวาล
    เพราะเหตุนี้ เราจึงผิดสัจจะที่เราให้ไว้กับตัวเราเองไม่ได้

    คำพูดผมอาจจะดู extreme ไปนิดนึง ในการให้ปฎิวัติความคิด ความเชื่อของเราเอง บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่ามีงูรัดคอเราอยู่
    เราจะตระหนักรู้ได้ก่อต่อเมื่อเราเห็นงูที่รัดคอเราไว้อยู่จริงๆ และวางมันลง

    รูปข้างบนนี้ในความคิดผม สะท้อนให้เห็นอะไรบางอย่าง ระหว่างมุมมองของมนุษย์ กับมุมมองของจักรวาล อิอิ
    เพื่อนๆเห็นอะไรในภาพบ้างครับ (||)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กรกฎาคม 2008
  15. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG]
    วันนี้ 07:02 PM
    เซลล์

    ผมว่ารูปๆนึง แทนความหมายได้มากมาย
    ซึ่งถูกต้องทั้งหมดครับ
    แต่จากเส้นทางความเป็นไปได้ทั้งหลายในการมอง เป็นตัวช่วยเติมเต็มให้สมบูรณ์ได้มากขึ้นครับ
    การปีนเขาที่เป็นขนมนั้น ในขณะปีนเขาอาจจะไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำ ว่าขณะที่ปีนอยู่นั้น เขากำลังปีนขนมเค๊กก้อนนึง จนเมื่อปีนขึ้นปีนลง ปีนไปซ้ายขวา มองจากมุมมองด้านบน จากที่ฐานขนมเค๊ก จากด้านซ้าย ด้านขวา และจากภายในขนมเค๊ก จนเห็นภาพรวมทั้งหมดว่า สิ่งที่กำลังปีนอยู่คืออะไร ก็คือ ขนมเค๊ก 1 ก้อนนั่นเอง สิ่งที่ได้จากการปีนขึ้นปีนลง ดูแล้วดูอีก พิจารณาแล้วพิจารณาอีก ก็คือ ความเข้าใจที่ได้จากการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ ตามเส้นทางของกาลเวลา
    แต่หากมองจากมุมมองของจักรวาลแล้ว จะมองทะลุเครื่องพรางทั้งหมด และเห็นว่าสิ่งที่นักปีนเขากำลังพยายามค้นหานั้น คือ ขนมเค๊กทั้งก้อน ดังนั้นในสายตาของจักรวาลแล้ว จึงเห็นทั้งคนที่กำลังอยู่ที่ฐานขนมเค๊ก คนที่กำลังปีนขนมเค๊ก คนที่อยู่บนยอดขนมเค๊ก คนที่อยู่ทุกๆตำแหน่งของขนมเค๊ก ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกันหมดในปัจจุบัน
    มุมมองของจักรวาล กับ มุมมองของมนุษย์ จึงแตกต่างกัน ด้วยช่องว่าง ระยะทาง และกาลเวลา
     
  16. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    เมื่อคืนผมไม่สบายแล้วหลับไปแล้วผมก็เปลี่ยนวิถีการจดจ่อแบบแฝง เห็นตัวเองเป็นงูสักพักนึงแล้วก็กลายร่างเป็นคนกำลังหลับตาส่งกระแสจิตให้ใครสักคน
    ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งฝันเห็นตัวเองเป็นสัตว์ก็ครั้งนี้แหละ ครั้งแรกในชีวิต เท่าที่จำความได้น่ะ
    อิอิ
     
  17. เด็กโชว์พาว

    เด็กโชว์พาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,081
    ค่าพลัง:
    +470
    ขอเรียนถามคุณพี่นักเขียนหน่อยอ่ะครับ เห็นอ่านในหนังสืออาจารย์โนวาอนาลัยบอกว่าคุณพี่นักเขียนบันทึกความฝันหลายแบบ ทั้งตัวหนังสือบ้าง ภาษาเสียงบ้าง รูปภาพบ้าง (ถ้าจำที่อ่านมาไม่ผิดนะครับ) เลยอยากให้คุณพี่ช่วยแนะนำวิธีบันทึกความฝันให้หน่อยครับว่ามีหลักการอย่างไรบ้างถึงจะดี
     
  18. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ขอขอบคุณ คุณน้องขจรวรรณ และสมาชิกชาวห้องวิทย์ฯ และผู้อ่านทุกท่าน สำหรับการสนับสนุนค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีหนังสืออยู่ในครอบครองแล้ว และร่วมสนับสนุนในการเผยแพร่ eBook เพื่อช่วยให้ผู้อ่านที่ไม่มีโอาสได้ครอบครองหนังสือได้อ่านทาง web ค่ะ

    พี่นักเขียนกำลังพยายามศึกษาทางด้าน technical อยู่เพื่อที่จะทำให้เกิดความสะดวกกับผู้อ่านมากที่สุดที่จะเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการ print หรือการ download และกำลังเร่งมือทำ eBook อยู่ค่ะ ต้องขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่อดทนรอ และให้การสนับสนุนเสมอมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_4914.jpg
      IMG_4914.jpg
      ขนาดไฟล์:
      182.2 KB
      เปิดดู:
      28
  19. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489


    ไม่ว่าเราจะพยายามใช้อุปมาอุปมัยใดกับวงจรชีวิตของชาติภพ เราล้วนแต่นำสิ่งที่เป็นไปตามเส้นทางแห่งกาลเวลามาใช้ เพราะเราแทบจะจินตนาการถึงการมีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ของสิ่งที่อยู่ในระบบที่เรียกว่าพัฒนาการไม่ได้ เพราะเมื่อใดที่เราใช้คำว่า พัฒนาการ เรามักพิจารณาถึงความเป็นไปอันเป็นไปได้ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาได้เพียงทางเดียว

    มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะยอมรับได้ว่า การพัฒนาของจิตวิญญาณกำลังเป็นไปแล้วอย่างสมบูรณ์ทั้งระบบ โดยส่วนที่ยังไม่พัฒนากำลังมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมๆกันกับส่วนที่เรียกได้ว่า ได้พัฒนาไปจนถึงที่สุดแล้ว และในขณะเดียวกันเราก็จินตนาการไม่ออกว่า ระบบดังกล่าวจะเป็นระบบเปิดที่่มีการแตกแขนงต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุดได้อย่างไร

    พี่นักเขียนขอให้พวกเราลองจินตนาการว่า เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายของเรา เปรียบเสมือนหน่วยย่อยของจิตวิญญาณ ที่มาถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนหนึ่งๆ ซึ่งเปรียบได้กับจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยบุคลิกภาพที่อยู่ในรูปกายหนึ่งๆ เช่น เราแต่ละคน

    เซลล์หลายเซลล์รวมตัวกันเป็นโมเลกุล แต่ละโมเลกุลเปรียบเสมือนการรวมตัวของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณ ปริมาณมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเปรียบได้กับจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยหลายบุคลิกภาพที่อยู่ในหลายรูปกาย(หลายเซลล์)รวมกัน เราแต่ละคนรู้เห็นและร่วมกันพัฒนาจากความเป็นเซลล์-เซลล์เดียว กลายเป็นโมเลกุลได้ด้วยการติดต่อสื่อสารและถ่ายทอด ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพกับบุคลิกภาพอิื่นๆ ทั้งในยามฝันและยามตื่น

    โมเลกุลหลายโมเลกุลรวมตัวกันเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่ละอวัยวะเปรียบเสมือนการรวมตัวของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณ ปริมาณมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเปรียบได้กับ จิตวิญญาณเสมือนร่วมร่างแต่ต่างมิติ ซึ่งประกอบด้วยหลายบุคลิกภาพที่ซ้อนกันอยู่ในหลายรูปกาย(หลายโมเลกุล)รวมกัน เราแต่ละคนรู้เห็นและร่วมกันพัฒนาจากความเป็นโมเลกุล-เพียงโมเลกุลเดียว กลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย ได้ด้วยการติดต่อสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพกับบุคลิกภาพอิื่นๆ ทั้งในยามฝันและยามตื่น

    อวัยวะทั้งหลายรวมตัวกันเป็นระบบอวัยวะ แต่ละระบบของอวัยวะเปรียบเสมือนการรวมตัวกันของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณ ปริมาณมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเปรียบได้กับจิตวิญญาณรวม-ระดับหนึ่งๆ ซึ่งประกอบด้วยหลายบุคลิกภาพที่ซ้อนกันอยู่ในหลายรูปกาย(หลายอวัยวะ)รวมกัน เราแต่ละคนรู้เห็นและร่วมกันพัฒนาจากความเป็นอวัยวะ-เพียงอวัยวะเดียว กลายเป็นระบบอวัยวะ ได้ด้วยการติดต่อสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพกับบุคลิกภาพอิื่นๆ ทั้งในยามฝันและยามตื่น

    ระบบอวัยวะทั้งหลายรวมตัวกันเป็นรูปกายตัวตน แต่ละรูปกายตัวตนเปรียบเสมือนการรวมตัวกันของจิตวิญญาณรวม ปริมาณมากยิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งเปรียบได้กับจิตวิญญาณรวม-อีกระดับหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยหลายบุคลิกภาพที่ซ้อนกันอยู่ในหลายรูปกาย(หลายระบบอวัยวะ)รวมกัน เราแต่ละคนรู้เห็นและร่วมกันพัฒนาจากความเป็นระบบอวัยวะ-เพียงระบบเดียว กลายเป็นระบบทั้งหมดของร่างกาย ได้ด้วยการติดต่อสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพกับบุคลิกภาพอิื่นๆ ทั้งในยามฝันและยามตื่น

    เมื่อร่างกายตัวตนทางกายภาพถึงแก่ความตาย ร่างกาย ระบบอวัยวะ โมเลกุล ทั้งหลายเน่าเปื่อยผุพังและสลายตัวไป แต่สสารของมันก็ไม่ได้สูญหายไปจากโลก มันแปลงสภาวะไป บางส่วนของมันถูกดูดซึมผ่านรากไม้พืชพันธุ์ หรือเป็นอาหารของสัตว์อื่นๆ และแปลงสภาวะไปเป็นเซลล์อื่นๆในพืชพันธุ์และสัตว์เหล่านั้น ซึ่งในที่สุดพืชพันธุ์และสัตว์เหล่านั้นก็กลับคืนมาเป็นอาหารของมนุษย์ และแปลงสภาวะเป็นเซลล์ใหม่ๆในร่างมนุษย์ต่อไป - เป็นวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุด

    หากเปรียบเทียบรูปกายตัวตนอันสมบูรณ์กับภาวะของจิตวิญญาณรวม พัฒนาการของเซลล์ จากการเป็นเซลล์เล็กๆเพียงเซลล์เดียว รวมตัวกันขึ้นมาจนเป็นโมเลกุล อวัยวะ ระบบอวัยวะ และรูปกายตัวตนอันสมบูรณ์ ทุกส่วนไม่ว่าจะเล็กจิบจ้อยหรือด้อยการพัฒนาเพียงใด ก็ล้วนเป็นสิ่งที่มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน เช่นเดียวกันบุคคลตัวตนที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ในชาติภพทั้งหลาย กำลังมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน พร้อมกันกับภาวะของจิตวิญญาณที่ดำเนินไปถึงจุดที่ครบวงจรและแปลงสภาวะไปเป็นจิตวิญญาณที่ปราศจากร่างกาย

    เซลล์เล็กๆเพียงเซลล์เดียว ยังคงมีชีวิตอยู่ มันพัฒนาเป็นโมเลกุล โดยที่การเป็นเซลล์ดั้งเดิมไม่ได้สูญหายไปไหน แต่ในขณะเดียวกันก็กล่าวได้ว่า หากปราศจากการพัฒนาอันได้แก่การรวมตัวของเซลล์ทั้งหลาย โมเลกุลจะเกิดขึ้นไม่ได้ ในนัยเดียวกันนี้ระบบการพัฒนาทั้งระบบ หรือการรวมตัวอันเป็นเสมือนระดับชั้นทั้งหลายก็เป็นไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันเช่นเดียวกัน

    เราไม่อาจระบุได้อย่างแท้จริงว่า ชาติภพสุดท้ายก่อนที่จิตวิญญาณจะดำเนินชีวิตต่อไปโดยปราศจากรูปกายนั้น คือชาติภพใด เช่นเดียวกับที่เราระบุไม่ได้ว่า เซลล์ใดคือเซลล์สุดท้ายที่ก่อให้เกิดโมเลกุล แต่เราก็กล่าวได้ว่า การที่จะเกิดเป็นโมเลกุลได้นั้น จะต้องประกอบด้วยเซลล์จำนวนเท่าใด แต่ในนัยของจิตวิญญาณ มันปราศจากหน่วยนับ เพราะจิตวิญญาณคือ ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพ ที่ถ่ายทอดได้ด้วยอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด ท่านอาจารย์อนาลัยจำเป็นต้องอธิบายถึงระบบพัฒนาการให้เราเห็นภาพเป็นลำดับตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก เช่นเดียวกับที่พี่นักเขียนกล่าวถึงการเริ่มต้นจากเซลล์ ไปสู่การเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ มิฉะนั้นแล้วท่านจะสื่อสารกับเราไม่ได้

    ต่อคำถามของคุณ zipที่ว่า "ชาติภพล่าสุด คือชาติภพสุดท้ายของวงจรชาติภพที่เขาไปถือกำเนิดมาแล้วอย่างสมบูรณ์" จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เป็นคำถามที่ต้องนำเอาเส้นทางแห่งกาลเวลาทิ้งไปจากความคิดให้หมด เพราะมิฉะนั้นแล้ว เราจะยึดติดกับความเป็นไปจากต้นเหตุและผลสืบเนื่อง และมองเห็นไม่ได้ว่า พัฒนาการของจิตวิญญาณเป็นระบบซ้อนระบบที่ปราศจากจุดเริ่มต้น ปราศจากจุดจบที่แท้จริง และเป็นไปอย่างเป็นอนันต์-ไม่มีวันสิ้นสุดได้อย่างไร และในขณะเดียวกัน ก็มีส่วนที่เรียกได้ว่า ยังไม่พัฒนา ซึ่งมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบันกับส่วนที่อาจเรียกได้ว่า-พัฒนาแล้วจนถึงที่สุดได้อย่างไร

    พี่นักเขียนหวังว่าอุปมาอุปมัยของ เซลล์ และการพัฒนาหรือขยายตัวไปสู่การเป็นโมเลกุล อวัยวะ ระบบอวัยวะ และร่างกายตัวตน คงจะพอทำให้เข้าใจได้ดีขึ้นบ้าง

    เรายึดติดกับช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเสมอตามธรรมชาติของการเป็นร่างกายเนื้อหนังที่เป็นกายภาพ แต่หากเราพิจารณาถึงเวลาได้บ่อยขึ้นกว่าที่เคย เราจะพบว่า เราไม่เคยรู้เห็นเวลาอื่นๆใดได้นอกเหนือไปจาก ณ ขณะจิตนี้เท่านั้น มันไม่ได้เป็นเพราะว่าเวลาได้ผ่านพ้นเราไป หากแต่ว่าตามธรรมชาติความเป็นจริงแล้ว เวลาที่แท้จริงมีอยู่แต่เพียงปัจจุบันเท่านั้น สิ่งอื่นๆที่ดูเสมือนจะผ่านไปพร้อมกับเวลา แท้จริงแล้วคือ ความทรงจำที่พาเราก้าวไปสู่อดึต หรือ ความคิดที่พาเราก้าวไปสู่อนาคต ซึ่งไม่ได้มีอยู่จริง

    ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้เสมอๆว่า
    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป เป็นภาวะนั้นๆ
    พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้นๆ


    หากเปรียบเทียบแต่ละชาติภพที่ยังไม่พัฒนาจิตวิญญาณได้ก้าวไกล คือยังไม่ได้เติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ และยังไม่ได้เปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ ซึ่งทำให้การรู้เห็นด้วยสติสัมปชัญญะยังคงจำกัด และไม่ขยายตัวในวงกว้าง กับการเป็นเซลล์เล็กๆเพียงเซลล์เดียว การเป็นบุคคลตัวตนอย่างโดดเดี่ยว เหมือนเซลล์เพียงเซลล์เดียวที่ไม่รู้ไม่เห็นว่า มันจะขยายประสบการณ์ของมันด้วยการแปลงสภาวะเป็นโมเลกุลได้อย่างไรนั้น การไม่พัฒนา ไม่ขยายตัว ไม่แปลงสภาวะ เกิดจากการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยข้อมูลความรู้และประสบการณ์อันจำกัด

    แต่ตามธรรมชาติแล้ว เซลล์นั้นๆก็เป็นส่วนหนึ่งของโมเลกุล อวัยวะ ระบบอวัยวะ และร่างกายตัวตนอันสมบูรณ์อยู่เสมอ เพียงแต่ว่า เมื่อมันจดจ่อได้เพียงแค่การเป็นเซลล์เดียวอย่างโดดเดี่ยว มันก็มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป เป็นภาวะนั้นๆ พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้นๆ คือเป็นเซลล์เดียวอย่างโดดเดี่ยวต่อไป



    คุณเซลล์ได้กล่าวถึงสาระสำคัญที่สุด อันได้แก่ การฝึกสติสัมปชัญญะให้คมชัด
    เพราะจิตวิญญาณจะพัฒนาได้นั้น มันจะต้องขยายการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะครอบคลุมรู้เห็นได้กว้างไกลกว่าเดิม มิฉะนั้นแล้ว เราก็จะรู้เห็นได้เพียงการเป็นบุคคลตัวตนอย่างโดดเดี่ยว เช่นเดียวกับเซลล์เพียงเซลล์เดียวที่ไม่อาจตระหนักได้ว่า มันสามารถแปลงสภาวะเป็นโมเลกุล อวัยวะ ระบบอวัยวะ และร่างกายตัวตนอันสมบูรณ์ได้

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้บทฝึกฝนไว้มากมายในหนังสือแทบจะทุกเล่ม และได้กล่าวไว้ว่า การฝึกฝนที่จะรู้เห็นด้วยประสาทสัมผัสภายใน เป็นวิธีการเดียวที่จะทำให้สติสัมปชัญญะขยายตัว และสามารถครอบคลุมการรู้เห็นได้กว้างไกลขึ้นกว่าเดิม

    ในนัยนี้อาจกล่าวได้ว่า ทุกชาติภพ และระบบของชาติภพ พร้อมด้วยการแตกแขนงทั้งหลาย กำลังเป็นไปอย่างพร้อมมูลอยู่แล้ว แต่เราจะกำลังดำเนินชีวิตอยู่ในชาติภพใด เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นใด หรือมิติใด ที่เรียกตามกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาว่า ใกล้หรือห่างไกลจากการแปลงสภาวะไปสู่การดำเนินชีวิตที่ปราศจากรูปกายตัวตน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาเลย แต่ขึ้นอยู่กับการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัดแต่เพียงอย่างเดียว

    การเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะ ที่ทำให้เซลล์เดิมนั้นสามารถครอบคลุมรู้เห็นถึงภาวะ และตำแหน่งที่แท้จริงของมันได้ว่า มันไม่ได้แปลกแยกไปจากโมเลกุล อวัยวะ ระบบอวัยวะ และมันคือส่วนหนึ่งของร่างกายตัวตนอันสมบูรณ์ ที่ยิ่งใหญ่หรือแตกต่างไปจากความเป็นเซลล์ที่จิบจ้อย

    จิตวิญญาณของเซลล์เล็กๆ ซึ่งเคยจดจ่อรู้เห็นเพียงแค่การเป็นเซลล์ หรือการเป็นบุคคลตัวตนอันโดดเดี่ยวเมื่อเปลี่ยนวิถีการจดจ่อ ครอบคลุมได้กว้างไกลไพศาลขึ้น ในที่สุด เซลล์นั้นก็แปลงสภาวะทางจินตภาพ และตระหนักได้ในการเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายตัวตนอันยิ่งใหญ่กว่าเดิม สุดที่จะประมาณได้ ฉันใดก็ฉันนั้น การเป็นบุคคลตัวตนของเราในชาติภพใดๆ สามารถแปลงสภาวะไปสู่การตระหนักได้ในการเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณรวมอันปราศจากรูปกาย เพราะ

    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป เป็นภาวะนั้นๆ พร้อมด้วยรูปกายที่คล้องจองกับภาวะนั้นๆ(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2008
  20. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนได้เคยแนะนำวิธีการบันทึกความฝันไว้ในรายละเอียดแล้วค่ะ รบกวนหัวหน้าและพวกเราช่วยกรุณาค้นให้คุณเด็กโชว์พาวด้วยค่ะว่า อยู่ในกระทู้ # ใด หน้าใด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2008

แชร์หน้านี้

Loading...