พระสมเด็จรุ่นแรกลป.จื่อ เขาตาเงาะ สมเด็จอุณาโลมทรงจิตรลดา ลป.โต๊ะเสก ๗ วันเหรียญพระแม่ธรณี

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,896
    ค่าพลัง:
    +21,459
    1766416529399.jpg 1766416535462.jpg 1766416538378.jpg 1766416465840.jpg 1766416469060.jpg 1766416474655.jpg 1766416477523.jpg 1766416480490.jpg 1766416484620.jpg 1766416498306.jpg 1766416509806.jpg 1766416515723.jpg 1766416518703.jpg 1766416521215.jpg 1766416526697.jpg 1766416532408.jpg


    ประวัติหลวงพ่อเวก

    หลวงพ่อเวกวุฑฒิปัญโญ "วัดลาดศรัทธาราม"เพชรบุรี
    พระครูสุภาณีวิทยาคุณ หรือ หลวงพ่อเวก วุฑฒิปัญโญ อดีตเจ้าอาวาส วัดลาดศรัทธาราม ต.บ้านลาด อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี และอดีตพระเกจิอาจารย์อีกรูปหนึ่งของจังหวัดเพชรบุรี ที่มีผู้เลื่อมใสศรัทธาจำนวนมาก วัตถุมงคลของท่านเป็นหนึ่งในตำนานพระเครื่องเมืองเพชรบุรี ที่มีประสบการณ์มากมาย

    มีนามเดิมว่า เวก คุ้มจินดา พื้นเพเดิมเป็นคนท่ายาง จ.เพชรบุรี เกิดเมื่อวันพุธ ที่ 13 ต.ค.ศ.2452

    ต่อมาครอบครัวย้ายถิ่นฐานไปประกอบอาชีพที่คลองจินดา อ.สามพราน จ.นครปฐม

    เข้าพิธีอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2472 ณ วัดจินดาราม อ.สามพราน จ.นครปฐม โดยมีพระราชธรรมาภรณ์ หรือ หลวงพ่อเงิน จันทสุวัณโณ วัดดอนยายหอม เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนนามพระอนุสาวนาจารย์ และพระกรรมวาจาจารย์นั้น ไม่มีการบันทึกไว้

    หลังอุปสมบท ตั้งใจใฝ่รู้ขยันหมั่นเพียรศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยวิปัสสนากัมมัฏฐาน และศาสตร์ต่างๆ จากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ผู้เป็นอาจารย์อย่างเคร่งครัด กระทั่งมีความรอบรู้ชำนาญแตกฉานในศาสตร์ต่างๆ ตามแบบอย่างของผู้เป็นอาจารย์

    นอกจากความแตกฉานด้านพระธรรมวินัย ในช่วงราวปี พ.ศ.2480 หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ได้จัดสร้างวัตถุมงคลบารมีสิบทัศ เป็นจุดเริ่มต้นที่หลวงพ่อเวกได้ศึกษาวิชาจัดสร้างพระบารมีสิบทัศ จากหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จนแตกฉาน

    ต่อมาพระเวกได้ย้ายมาจำพรรษา ณ วัดเกาะแก้วสุทธาราม

    เมื่อเจ้าอาวาสวัดลาดศรัทธารามได้ว่างลง ชาวบ้านจึงนิมนต์พระเวกไปเป็นเจ้าอาวาส

    เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.2499 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ "พระครูสุภาณีวิทยาคุณ"

    หลวงพ่อเวก ประพฤติตนตั้งมั่นอยู่ในธรรมวินัย ท่านได้สร้างคุณูปการมากมาย ตลอดจนก่อสร้างบูรณปฏิสังขรณ์พัฒนาถาวรวัตถุศาสนสถาน เพื่อสืบต่อพระศาสนา เป็นประโยชน์ต่อพระสงฆ์ สามเณรและ พุทธบริษัทต่างๆ มากมาย จนเป็นที่เลื่อมใสได้รับความเคารพ

    พ.ศ.2512 จัดสร้างพระพุทธรูปประจำวัดลาดศรัทธาราม นามว่า พระพุทธหิรัญราช เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธศิลป์งดงาม องค์พระนั่งขัดสมาธิอย่างปางสมาธิ พระหัตถ์เบื้องขวาห้อยพาดบนพระชานุ (เข่า) หันฝ่าพระหัตถ์ไปข้างหน้า พระหัตถ์ซ้ายพาดแบอยู่บนพระเพลา (หน้าตัก) บนพระหัตถ์วางไว้ด้วยโถน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์ โดยมีหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เป็นองค์ประธานเททองหล่อ

    ด้านวัตถุมงคลมีมากมาย อาทิ พระผงรุ่นต่างๆ แต่ที่ได้รับความนิยมสูง คือ พระบารมีสิบทัศพระพุทธหิรัญราช

    ได้รับความเมตตาแนะนำจากหลวง พ่อเงิน วัดดอนยายหอม ผู้เป็นอาจารย์ ให้จัดสร้างพระพุทธหิรัญราช พิมพ์บารมีสิบทัศขึ้น หลวงพ่อเวกจึงเสาะหา รวบรวมมวลสารเพื่อจะนำสร้างพระซึ่งท่านสามารถหามวลสารมาได้ครบถ้วนตามตำราโบราณ

    พระพุทธหิรัญราช พิมพ์บารมีสิบทัศ วัดลาดศรัทธาราม หลวงพ่อเวก จัดสร้างขึ้นระหว่าง พ.ศ.2490-2500 โดยมีหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ผู้เป็นอาจารย์เป็นประธานในพิธีและร่วมปลุกเสก

    มีสัณฐานองค์ขนาดใหญ่เป็นทรงคล้ายห้าเหลี่ยม มี 2 พิมพ์ คือ พิมพ์ป้อม และพิมพ์ชะลูด พุทธลักษณะด้านบนมีพระพุทธรูปประทับยืน 5 องค์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง

    หลวงพ่อเวก ดำรงตนอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์แห่งพระธรรม เป็นศูนย์กลางแห่งความเคารพศรัทธาให้กับพุทธ ศาสนิกชนนานกว่า 50 ปี

    มรณภาพอย่างสงบ เมื่อวันอังคารที่ 6 พ.ค.2523 สิริอายุ 72 พรรษา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญพระหิรัญญาราชปี ๒๕๑๒

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ


    IMG_20251222_220716.jpg IMG_20251222_220742.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,896
    ค่าพลัง:
    +21,459
    FB_IMG_1766417742407.jpg


    พระสมเด็จ รุ่นมหาอุดพิมพ์ใหญ่-หลวงปู่วรพรตวิธาน (พันธ์ ติสฺโส) หลวงปู่เหยียบรถกระดก (เดี่ยง) วัดจุมพล อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น
    วิชามหาอุตม์ เป็นศาสตร์วิชาที่ให้คุณวิเศษทางความอุดมสมบูรณ์ ทำมาหากินคล่อง มีกินไม่มีหมดผู้ใช้ต้องหมั่นสวดภาวนา วิชามหาอุตม์เป็นอักขระพระคาถามหายันต์ที่นำไปลงวัตถุมงคลต่างๆหรือปลุกเสกสิ่งของนำมาบูชา จนกระทั่งนำอักขระมหายันต์มาสักยันต์ลงบนร่างกาย แต่ถ้าจะให้เกิดคุณโดยเร็ว ต้องหมั่นภาวนาพระคาถากำกับไว้ ถือว่าเป็นมนต์มหาเสน่ห์ มหานิยมเมตตาเป็นเลิศ ศาสตร์วิชามหาอุตม์นี้หลายท่านคิดว่าเป็นมหาอุด ที่หมายถึง อุดลูกปืน อุดสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้าตัวอะไรประมาณนี้ซึ่งความจริงแล้ว วิชาที่อุดลูกปืนหรือป้องกันสิ่งชั่วร้ายนั้น อยู่ในหมวดวิชาอยู่ยงคงกระพัน วิชานี้ป้องกันอาวุธต่างๆ ได้ ป้องกันสิ่งเลวร้ายได้ อย่างเช่น ผู้ที่มีวิชาอยู่ยงคงกระพันถูกยิงด้วยปืน ถึงแม้ลูกปืนจะยิงออกและถูกเข้าตามร่างกาย แต่ก็ไม่สามารถทะลุผ่านผิวหนังเข้าไปได้ อย่างนี้เป็นต้น ส่วนปืนยิงไม่ออกอยู่หมวดวิชาชาตรี ทำให้ลูกปืนมีน้ำหนักมากกว่าแรงลั่นไกและถ้ายังลั่นไกหลายครั้งลำท่อปืนอาจจะแตกหรือระเบิดได้ หรือปืนที่ยิงออกแต่ไม่ถูกเป้าหมายนั้น อยู่ในหมวดวิชาแคล้วคลาด ถ้าท่านมีวิชาแคล้วคลาดต่อให้ยิงปืนจนหมดแม็กก็ไม่ถูก ด้วยเหตุนี้บูรพาจารย์จึงได้คิดค้นวิชาที่ให้คุณทางด้านอุดมโภคทรัพย์ขึ้นมาเนื่องจากสมัยก่อนผู้คนมีอาชีพทางการเกษตรเสียส่วนมาก จึงต้องเน้นวิชาเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ วิชามหาอุตม์นี้ได้แยกวิชาย่อยอีกหลายสายวิชา อาทิ วิชาปลุกเสกหรือลงนะหน้าทองเป็นเมตตามหาเสน่ห์ วิชาปลุกเสกหรือลงสาลิกาลิ้นทองเมตตามหานิยม วิชาหุงสีผึ้งทาปากเด่นทางเมตตาค้าขายดี เป็นต้น
    พุทธคุณ: ยันต์ตะกร้อ ที่อยู่ด้านนอกตะกรุด เป็นยันต์มหาอุตม์ คำว่ามหาอุตม์ แปลว่า ยิ่งใหญ่ครบถ้วนสมบูรณ์ มีพุทธคุณทุกด้าน คุ้มครองป้องกัน แคล้วคลาดปลอดภัย คงกระพัน เมตตามหานิยม และมีมวลสารโลหะผสมมวลสารเหล็กไหล อยู่ด้านใน เหล็กไหลนั้น เป็นแร่กายสิทธิ์ มีฤทธิ์ในตัว ครบทุกด้านเช่นกัน คงกระพันชาตรี โชคลาภค้าขาย คุ้มครองป้องกัน แคล้วคลาด

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    หลวงปู่วรพรต เหยียบรถกระดก” จ.ขอนแก่น

    ผู้มีธาตุขันธ์ กาย สังขาร เป็น มรกต หนึ่งเดียวใน โลก

    ประวัติ หลวงปู่วรพรตวิธาน.. นามเดิม ท่านชื่อ “พันธ์ ทับงาม” เกิดวันพุธที่ 1 ธันวาคม 2444 ที่บ้านน้ำอ้อม อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด

    (ที่จริงแล้วท่านเกิดในปี พ.ศ 2437 แต่แจ้ง วันเกิดช้ากว่ากำหนดโดยวันเดือนเกิดไม่ทราบแน่ชัด) บิดาชื่อ พ่อศิลา มารดาชื่อ แม่ทอง ทับงาม ชีวิตเยาว์วัยท่านเป็นคนเรียนหนังสือเก่งมาก จนขุนเกษตรวิสัยเจ้าเมืองร้อยเอ็ดเอาไปรับราชการเป็นเสมียนประจำตัวท่าน รับราชการจนอายุได้ 16 ปี จึงลาบวชเป็นสามเณร ณ.วัดบ้านน้ำอ้อม จนอายุได้ 21 ปี จึงได้อุปสมบทเป็นพระต่อโดยมีพระครูธรรมสังฆบาลเป็นพระอุปัชณาย์มีฉายาว่า “ติสโส” ท่านเป็นพระหนุ่มที่เรียนหนังสือเก่งมากท่องปฏิโมกข์ได้ตั้งแต่พรรษาแรก และปี พ.ศ 2472 หลวงปู่ ท่านสอบนักธรรมชั้นเอกได้ ในปีนั้นหลวงปู่สอบนักธรรมเอกได้เพียงองรูปเดียวเท่านั้นทั่วมณฑลร้อยเอ็ด
    (รวมกาฬสินและมหาสารคามด้วย) จนได้รับรูปท่านเจ้าคุณพระโพธิวาศจารย์แม่กองธรรมอุบลเป็นรางวัล

    หลวงปู่ได้มาเรียนเทศนากับท่านเจ้าคุณกัณหา ณ วัด หนองทุ่ม อ.พล จ.ขอนแก่น (เจ้าคุณกัณหาเจ้าคณะ จังหวัดขอนแก่น ในสมัยนั้น พ.ศ 2473) ปี พ.ศ 2475 บ้านเมืองได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเจ้าคุณกัณหาจึงได้ส่งหลวงปู่วรพรตมาเป็นเจ้าอาวาสวัดจุมพล บ้านก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น อายุการสร้างวัดจุมพล ประมาณ 150 ปี ในสมัยรัชกาลที่ 5

    พ.ศ 2480 หลวงปู่ได้สร้าง อุโบสถขึ้นมาใหม่ เสร็จเอาปี พ.ศ 2483 ค่าก่อสร้างเป็นเงิน 2,500 บาท ปูนชีเมนต์สมัยนั้นถุงละ 1.50 บาท ปี พ.ศ. 2482 หลวงปู่ได้ขอพระราชทาน พระปรมาภิไธย์ย่อ
    ของรัชการที่ 8 แต่พระองค์ท่านได้พระราชทานเหรียญพระฉายาลักษณ์ของท่านให้หลวงปู่วรพรต หลวงปู่ท่านเอาเหรียญนั้นติดไว้หน้าพระอุโบสถต่อจากนั้นมาหลวงปู่ก็ได้พัฒนาวัดจุมพลมาเรื่อยๆ ตลอดจนวัดต่างๆ ในอำเภอแวงน้อย และอำเภอพล (แต่ก่อนอำเภอแวงน้อยเป็นตำบล ขึ้นอยู่กับอำเภอพล) ในการสร้างพระอุโบสถและกุฎิ รวมทั้งศาลาการเปรียญ รวมทั้งสิ้น ประมาณ 30 หลัง ต่อมาในปี พ.ศ. 2518 ได้มีการขยายการปกครองออกไปอีก ทางการจึงตั้งตำบลแวงน้อยขึ้นเป็นอำเภอแวงน้อย หลวงปู่วรพรตวิธานจึงได้เป็นเจ้าคณะอำเภอแวงน้อยรูปแรก

    หลวงปู่ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมขลังมาก ได้เรียนวิชาอาคมมาจาก 5 อาจารย์ด้วยกัน เช่น หลวงศรีธรรมศาสตร์ อ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม หลวงปู่ศึกษาวิชาไสยศาสตร์ จากอาจารย์ครีธรรมศาสตร์ จนเรียนจบเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางไปศึกษาวิชาอาคมจาก พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบง ต.มะบ้า อ.ธวัชบุรี จ. ร้อยเอ็ด พระอาจารย์ขันวัดท่าสะแบงนี้ท่านเป็นผู้มีวิชาอาคมรูปหนึ่งในภาคอีสานในสมัยนั้น ไม่ว่าจะเป็นวิชาอาคมทางด้านเมตตามหานิยม, คงกระพันชาตรี, แคล้วคลาด, มหาอุต ป้องกันขับไล่ คุณไสย คุณผี คุณคน หลวงปู่วรพรตท่าน ก็ได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมจากพระอาจารย์ขันจนหมดสิ้น แล้วหลวงปู่ก็ได้ไปศึกษากับ
    พระอาจารย์ โส วัดบ้านฟ้าเหลี่ยม อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด เกจิอาจารย์ดังองค์หนึ่ง ในสมัยนั้น ขนาดท่านปัสสาวะรดต้นไม้ เอาปืนยิงต้นไม้ ยังยิงไม่ออกแต่ก็ยังไม่พอความต้องการของหลวงปู่ หลังจากนั้นท่านก็ได้มุ่งหน้าไปศึกษากับ
    หลวงปู่ชม ฐานธัมโม แห่งวัดกู่ พระโกนา อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่าน หลวงปู่ชมรูปนี้ท่านมีวิชาอาคมแก่กล้าสามารถ
    มาก มีอิทธิปาฏิหาริย์นานัปการ ท่านสามารถ ล่องหนหายตัวได้ หลวงปู่ชมท่านได้สร้าง วัดขึ้นบริเวณใกล้กับกู่โกนา อยู่ทางจะไป อ. ท่าตูม จ.สุรินทร์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่จะมุ้งไปเขมรต่ำ
    (ประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน) หลวงปู่ท่านได้ศึกษาวิชาอาคมและวิปัสนากัมมัฏฐาน อยู่ 2 ปี เมื่อ พ.ศ. 2479 ท่านได้กราบลาหลวงปู่ชม ออกมุ่งหน้ามายัง จ. ขอนแก่น เพื่อกับวัดจุมพล ของท่าน

    หลังจากที่ท่านได้เล่าเรียนวิชาอาคมจากพระอาจารย์ ต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ได้ออกเดินธุดงค์ไปกับหลวงพ่อผาง จิตฺตคุตฺโต และได้แยกทางกันที่ อ. มัญจาคีรี จากนั้นหลวงปู่วรพรตท่านก็ได้เดินผ่านดงพญาเย็น-พญาไฟ ผ่านไปประเทศลาว พม่า เขมร เรื่องราวตอนที่ท่านเดินธุดงค์ ไปนั้นมีมากมาย ผจญทั้งสัตว์ร้ายและภูตผีปีศาจ แต่ท่านก็ผ่านอุปสรรคนั้นมาได้

    หลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ในสมัยรัชการที่ 8 มีพระราชทินนามว่า “พระครูวรพรตวิธาน” เราจึงเรียกติดปากว่า “หลวงปู่วรพรต” ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ได้แสดงปาฏิหาริย์ให้ปรากฏแก่สายตาของผู้คนเป็นครั้งแรก ก็คือ

    เรื่องหลวงปู่เหยีบรถกระดก (ลอยขึ้น) เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ 2503 หลวงปู่จะออกเดินทางจาก อ. พล จ. ขอนแก่น ด้วยรถโดยสารเพื่อจะไป จ.ร้อยเอ็ด รถคันที่หลวงปู่จะขึ้นเป็นรถสองแถวขนาดใหญ่ ตามธรรมดาโดยทั่วไปแล้วพระเณรจะต้องนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับผู้โดยสารคนอื่น แต่รถคันนี้มีผู้หญิงนั่งเต็มอยู่ด้านหน้าแล้ว ด้านหลังรถยังพอมีที่นั่งได้ คนขับรถจึงบอกให้หลวงปู่ขึ้นทางท้ายรถ หลวงปู่ก็ได้ปฏิบัติตามโดยดี แต่ก่อนจะขึ้นรถหลวงปู่ได้พูดกับคนขับรถว่า “รถจะไม่เดี่ยง หรือ
    ”(เดี่ยงเป็นภาษาไทยอีสานแปลว่า “ กระดก”) คนขับก็บอกว่า “ไม่เดี่ยงแน่เพราะรถรับน้ำหนักได้หลายตัน” พอคนขับพูดจบ หลวงปู่ก็ก้าวเท้าขึ้นรถ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นทันที ด้านหน้ารถลอยขึ้น เหมือนมีมือยักษ์มาจับยกขึ้น คนขับรถเห็นเช่นนั้น ถึงกับตกตะลึงจึงกราบนิมนต์หลวงปู่มานั่ง ด้านหน้า โดยให้พวกผู้หญิงไปนั่งด้านหลัง ตั้งแต่นั้นมา สมญานาม
    “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง”
    จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในเขตขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา ต่างก็รู้เรื่องกันดี เคยมีญาติโยมที่อยู่ไกลถึง จ. กระบี่ เดินทาง มากราบขอคาถาเหยียบรถกระดกจากท่าน ท่านก็มอบคาถานะโมพุทธายะให้ไป แต่จะทำได้เหมือนหลวงปู่ หรือ เปล่าไม่ทราบ

    FB_IMG_1766417739758.jpg

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของระบบทางข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จมหาอุดพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก ๒ องค์ หลวงปู่วรพรต ปี๒๕๓๕

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251219_191623.jpg IMG_20251219_191656.jpg IMG_20251222_220819.jpg IMG_20251222_220838.jpg
     
  3. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,155
    ค่าพลัง:
    +5,844
    จองครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,896
    ค่าพลัง:
    +21,459
    Aad_Asabho.jpg
    พระผงสมเด็จพุฒาจารย์โตฯ สร้างโดย สมเด็จพุฒาจารย์อาจ อาสโภ วัดมหาธาตุ กรุงเทพ เนื้อผงเก่า ยุคแรก เนื้อจัด หายาก

    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ ป.ธ.8) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นบุคคลแรกที่นำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ (หรือแบบยุบหนอ-พองหนอ) จากพม่ามาเผยแพร่ในประเทศไทยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในสมัย 25 พุทธศตวรรษ เนื่องเพราะท่านดำรงตำแหน่งสำคัญทางการคณะสงฆ์ นั่นคือ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ซึ่งเทียบได้กับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น นอกจากนั้นท่านยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระอารามหลวงอันดับที่ 1 ในเมืองไทย ดำรงตำแหน่งสภานายกมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์อันดับที่ 1 ของเมืองไทย ที่สำคัญก็คือ ทรงสมณศักดิ์เป็นที่ "พระพิมลธรรม" ตำแหน่งรองสมเด็จพระราชาคณะ หรือที่เรียกกันว่า พระราชาคณะชั้นหิรัญบัฎ
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ ป.ธ.8) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช เป็นบุคคลแรกที่นำการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานตามแนวสติปัฏฐานสี่ (หรือแบบยุบหนอ-พองหนอ) จากพม่ามาเผยแพร่ในประเทศไทยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกในสมัย 25 พุทธศตวรรษ เนื่องเพราะท่านดำรงตำแหน่งสำคัญทางการคณะสงฆ์ นั่นคือ สังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง ซึ่งเทียบได้กับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น นอกจากนั้นท่านยังดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระอารามหลวงอันดับที่ 1 ในเมืองไทย ดำรงตำแหน่งสภานายกมหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์อันดับที่ 1 ของเมืองไทย ที่สำคัญก็คือ ทรงสมณศักดิ์เป็นที่ "พระพิมลธรรม" ตำแหน่งรองสมเด็จพระราชาคณะ หรือที่เรียกกันว่า พระราชาคณะชั้นหิรัญบัฎ ขอนำประวัติของท่านเป็นพิเศษ

    ชาติกำเนิด
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ มีนามเดิมว่า คำตา ดวงมาลา เป็นบุตรคนโตของนายพิมพ์ และนางแจ้ ดวงมาลา เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2446 แรม 4 ค่ำเดือน 12 ณ บ้านโต้น ต.บ้านโต้น อ.เมือง จังหวัดขอนแก่น เป็นบุตรนายพิมพ์ และ นางแจ้ ดวงมาลา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งสิ้น 4 คนท่านเป็นบุตรคนโต น้องอีกสามคนคือ นางบี้ นายเพิ่ม และนางเชื้อ ตามลำดับ เมื่อย้ายมาอยู่วัดมหาธาตุฯ พระธรรมไตรโลกาจารย์ (เจ้าอาวาสขณะนั้น) ได้เปลี่ยนชื่อท่านจาก คำตา เป็น อาจ เพื่อให้เหมาะกับบุคลิก องอาจ แกล้วกล้า ของท่าน
    ได้รับการศึกษาเบื้องต้นในสำนักพระอาจารย์หนู และพระอาจารย์ใส ที่วัดศรีจันทร์ ซึ่งเป็นวัดประจำหมู่บ้านโต้น พ.ศ.๒๔๕๙ อายุ ๑๔ ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ที่วัดศรีจันทร์ พระอาจารย์หนูเจ้าอาวาสวัดศรีจันทร์เป็นพระอุปัชฌาย์ จากนั้นได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือธรรม แบบอักษรภาคอีสานซึ่งจารึกอยู่ในใบลาน จนมีความรู้ความสามารถพอที่จะสอนคนอื่นได้ อายุ ๑๖ ปี ได้สมัครเข้ารับการอบรมวิชาครูพิเศษ ๖ เดือน ที่โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคาร (ขอนแก่นวิทยายน) ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดขอนแก่น จนสามารถสอบไล่ได้วิชาครูเทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ และได้บรรจุเป็นครูที่โรงเรียนประชาบาลวัดกลาง ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองขอนแก่น
    ต่อมา พ.ศ. ๒๔๖๓ ขณะมีอายุ ๑๘ ปี ได้ลาออกจากครูประชาบาล แล้วมุ่งสู่กรุงเทพฯ เพื่อศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและวิชาการด้านอื่นๆ โดยการเดินทางด้วยเท้าจากขอนแก่นเป็นเวลาถึง ๙ วันจึงถึงจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นต้นทางรถไฟเข้ากรุงเทพฯในสมัยนั้น ร่วมกับคณะอีก ๔ รูป เมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯแล้ว ปีแรกได้เข้าพำนักอยู่วัดชนะสงคราม และได้เข้าไปรับการศึกษาพระปริยัติธรรม ณ สำนักเรียนวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎ์ ปีที่ ๒ จึงย้ายเข้ามาอยู่ในวัดมหาธาตุฯ

    การบรรพชาอุปสมบท
    เมื่ออายุ 14 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรที่วัดศรีจันทร์ จ.ขอนแก่น โดยมีอาจารย์พระหน่อ วัดศรีจันทร์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาท่านย้ายมาอยู่กรุงเทพฯเพื่อศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
    จนอายุครบ 20 ปี ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ในวันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2466 ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 8 ณ พัทธสีมาวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ โดยมีสมเด็จพระวันรัต (เฮง เขมจารี) ขณะยังดำรงสมณศักดิ์ที่พระธรรมไตรโลกาจารย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระญาณสมโพธิ (สวัสดิ์ กิตฺติสาโร) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระพิมลธรรม (ช้อย ฐานทตฺโต) ขณะยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระศรีสมโพธิ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า อาสโภ

    การศึกษา
    ท่านได้ศึกษาอักษรลาวตั้งแต่บวชเป็นเณรที่ขอนแก่น

    พ.ศ. 2461 สอบได้วิชาครู เทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนขอนแก่นวิทยาคาร (ปัจจุบันคือโรงเรียนขอนแก่นวิทยายน)
    พ.ศ. 2464 สอบได้นักธรรมตรี สำนักเรียนวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์
    พ.ศ. 2465 สอบได้นักธรรมโท
    พ.ศ. 2466 สอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค
    พ.ศ. 2467 สอบได้เปรียญธรรม 4 ประโยค
    พ.ศ. 2468 สอบได้เปรียญธรรม 5 ประโยค
    พ.ศ. 2469 สอบได้เปรียญธรรม 6 ประโยค
    พ.ศ. 2471 สอบได้นักธรรมเอก และสอบได้เปรียญธรรม 7 ประโยค
    พ.ศ. 2472 สอบได้เปรียญธรรม 8 ประโยค
    สมณศักดิ์

    พ.ศ. 2477 เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระศรีสุธรรมมุนี
    พ.ศ. 2482 เป็นพระราชาคณะชั้นราชในราชทินนามเดิม
    พ.ศ. 2489 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพเวที
    พ.ศ. 2490 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมไตรโลกาจารย์
    พ.ศ. 2492 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัณยบัฏที่ พระพิมลธรรม
    พ.ศ. 2503 ถูกถอดจากสมณศักดิ์
    พ.ศ. 2518 ได้รับสมณศักดิ์คืน
    พ.ศ. 2528 เป็นสมเด็จพระราชาคณะที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์
    ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่พระศรีสุธรรมมุนี และเลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นราช ชั้นเทพ ชั้นธรรม ชั้นหิรัญบัฏ ที่พระพิมลธรรม ได้รับสมณศักดิ์ ตำแหน่งอัครมหาบัณฑิต จากรัฐบาลพม่า และเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่สมเด็จพระพุฒาจารย์

    งานการปกครองคณะสงฆ์

    พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นเจ้าอาวาสวัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธนา
    พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นสมาชิกสังฆสภา
    พ.ศ. ๒๔๘๖ เป็นเจ้าคณะตรวจการภาค ๔
    พ.ศ. ๒๔๘๘ เป็นสังฆมนตรีช่วยว่าการองค์การศึกษา
    พ.ศ. ๒๔๙๑ เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุฯ และสังฆมนตรีว่าการองค์การปกครอง
    พ.ศ. ๒๕๒๘ เป็นสังฆปาโมกข์ ฝ่ายพระอภิธรรมปิฎก สังคายนาพระธรรมวินัย ตรวจชำระพระไตรปิฎกฉบับหลวง เฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบนักษัตร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙
    งานด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

    เป็นพระเถระผู้ใฝ่ในความเจริญงอกงามของพระพุทธศาสนาทั้งฝ่ายปริยัติและปฏิบัติ ผลงานของพระเดชพระคุณได้ขจรกระจายไปทั่วโลก และได้สร้างความสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ เช่นประเทศพม่า อินเดีย ศรีลังกา อังกฤษ และอเมริกา เป็นต้น อันเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ไปทั่วทุกมุมโลก
    สมเด็จพระพุฒาจารย์ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ เวลา ๑๑.๑๕ นาฬิกา ณ โรงพยาบาลสยาม กรุงเทพมหานคร รวมอายุได้ ๘๖ ปี กับ ๑ เดือน

    ประวัติและผลงานเกี่ยวกับการจัดตั้งสำนักวิปัสสนากัมมัฎฐาน เป็นครั้งแรกในประเทศไทย

    หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาสภมหาเถร) ได้ย้ายจากวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ไปอยู่ประจำ ณ วัดสุวรรณดาราราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อันเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ เพื่อช่วยปฏิบัติศาสนกิจด้านพระพุทธศาสนา ตั้งแต่พ.ศ.๒๔๗๕ ในฐานะ พระมหาอาจ อาสโภ เปรียญธรรม ๘ ประโยค และได้ย้ายกลับคืนมาอยู่วัดมหาธาตุอีก ในฐานะตำแหน่งเจ้าอาวาส ที่พระธรรมไตรโลกจารย์ เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๑

    วิปัสสนากรรมฐานแบบยุบหนอ-พองหนอ

    ในปี ๒๔๙๑ นั่นเอง หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้ไปในงานกิจนิมนต์ในรัฐพิธีที่ท้องสนามหลวง วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๑ ฯพณฯ อูละหม่อง เอกอัครราชทูตสหภาพพม่าประจำประเทศไทยคนแรกได้ไปร่วมงานนั้นด้วย ภายหลังจากการประกอบศาสนพิธีเสร็จแล้ว หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้ถือโอกาสสนทนากับ ฯพณฯอูละหม่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพระศาสนาทั้งในประเทศไทยและประเทศพม่า หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้สนทนาถึงสิ่งที่เป็นสาระ ๒ ประการ คือ
    ประการที่ ๑ หลวงพ่อสมเด็จฯ ให้ทรรศนะว่า พระภิกษุพม่าที่อยู่ในประเทศไทยปัจจุบันมีแต่พระแก่ๆ หย่อนสมรรถภาพเข้ากับคนไทยไม่ได้สนิท ทำให้คนไทยเข้าใจไปว่า พระภิกษุในประเทศพม่าก็เหมือนกันนี้ ความจริงพระภิกษุพม่าที่อยู่ในประเทศพม่าที่มีความเชี่ยวชาญแตกฉานพระไตรปิฎกมีจำนวนมาก ควรจะจัดส่งพระประเภทนี้มาอยู่ประเทศไทยบ้าง หลวงพ่อสมเด็จฯ มีความยินดีที่จะสนับสนุนให้ได้โอกาสเผยแพร่พระพุทธศาสนาร่วมกัน
    ประการที่ ๒ พระไตรปิฎกภาษาบาลีพร้อมทั้งอรรถกถาและฎีกา ฉบับอักษรพม่าได้อ่านมาบริสุทธิ์ บริบูรณ์ดีมาก ใคร่ขอให้ทางประเทศพม่าได้ส่งมาให้ประเทศไทยบ้าง จะเป็นมหากุศลอย่างมาก
    ปี พ.ศ. 2495 พระพิมลธรรม (อาจ อาสโภ) ได้ส่งพระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิ) ขณะเป็นพระมหาโชดกไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานสายของมหาสีสย่าด่อที่สำนักศาสนยิสสา ประเทศพม่า เป็นเวลา 1 ปี แล้วนำกลับมาสอน พร้อมทั้งพระพม่าสองรูป คือพระภัททันตะ อาสภเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ และพระอินทวังสเถระ กัมมัฏฐานาจริยะ โดยเปิดสอนครั้งแรกที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ในปี พ.ศ. 2496 จากนั้นจึงขยายไปเปิดสอนที่สาขาอื่นทั่วราชอาณาจักร มีการตั้งกองการวิปัสสนาธุระที่วัดมหาธาตุฯ ต่อมาถูกยกสถานะเป็นสถาบันวิปัสสนาธุระ สังกัดมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 และได้เผยแพร่การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแบบยุบหนอ-พองหนอจนแพร่หลายดังปัจจุบัน
    ด้วยเหตุที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้สนิทสนมกับ ฯพณฯ เอกอัครราชทูตครั้งนั้น เป็นปัจจัยต่อมา คือเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๒ สภาการพุทธศาสนาแห่งสหภาพพม่า ได้จัดส่งพระภิกษุระดับบัณฑิต ขั้นธรรมาจริยะ มายังประเทศไทยตามคำแนะนำของหลวงพ่อสมเด็จฯ ๒ รูป คือท่านสัทธัมมโชติกะ ธรรมาจริยะ ๑ ท่านเตชินทะ ธรรมาจริยะ ธัมมกถิกะ ๑ ครั้งแรกเมื่อยังไม่รู้ภาษาไทย ได้จัดให้พักอยู่ที่วัดปรกพม่า ต่อมาได้จัดให้ท่านสัทธัมมโชติกะ ธัมมาจริยะ ไปตั้งสำนักสอนพระอภิธรรมปิฎกอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม และทำการสอนประจำจนเป็นหลักฐานอยู่ ณ วัดระฆังนั้น จนกระทั่งถึงแก่มรณภาพ เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๙ ส่วนท่านเตชินทะ ธัมมกถิกะ ได้จัดให้มาสอนอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์จนกระทั่งคืนสู่ประเทศพม่า เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๔
    ถึงแม้ว่าท่านพระอาจารย์สอนพระอภิธรรมปิฎก ได้ถึงมรณภาพและกลับคืนสู่ประเทศของตนแล้ว แต่ก็ได้ฝังรากฐานวิชาความรู้พระอภิธรรมปิฎกไว้อย่างดีเป็นระเบียบเป็นหลักฐาน คือเขียนและแปลเป็นหลักสูตรไว้ จนได้ใช้ศึกษาเล่าเรียนสืบต่อกันมาจนทุกวันนี้ ปัจจุบันสำนักใหญ่ส่วนกลางตั้งอยู่ที่วัดมหาธาตุยุวราษฎร์รังสฤษฎิ์ มีสำนักสาขาอยู่ทั่วไปทั้งภายในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดประมาณ ๗๐ สำนักเรียน
    เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ สภาการศึกษาพุทธศาสนาแห่งสหภาพพม่า ได้ส่งสมณทูตทั้งอัญเชิญพระไตรปิฎกภาษาบาลีอักษรพม่าพร้อมอรรถกถาและฎีกา ตามที่หลวงพ่อสมเด็จฯ ขอไว้ มายังประเทศไทย โดยมีท่านยานิกเถร เจ้าอาวาสวัดอัมพวนารามพระนครย่างกุ้ง เป็นหัวหน้า มีมหาเศรษฐีเซอรอูต่วนเป็นไวยาวัจกร ได้ถวายพระไตรปิฎกอักษรพม่าแก่มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ๑ ชุด ถวายแก่มหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ ชุด ถวายแก่สำนักเรียนพระอภิธรรมปิฎกวัดระฆังโฆสิตาราม จำนวน ๑ ชุด
    เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๔ ทางการคณะสงฆ์แห่งประเทศไทย ได้จัดส่งพระสมณทูต พร้อมทั้งพระไตรปิฎกฉบับอักษรไทย ไปเยี่ยมตอบและมอบให้แก่ประเทศพม่า โดยมีเจ้าคุณพระศาสนโสภณ อุฏฐายีเถร เป็นหัวหน้า เจ้าคุณพระพิมลธรรม อาสภเถร วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เป็นรองหัวหน้า เจ้าคุณพระศรีวิสุทธิญาณ วัดกันมาตุยาราม เป็นคณะปูรกะ และมีนายสัญญา ธรรมศักดิ์เป็นไวยาวัจกร
    เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๕ หลวงพ่อสมเด็จฯ ได้ส่งพระเปรียญวัดมหาธาตุ ไปดูการศึกษาวิชาพระพุทธศาสนา ทั้งด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระที่ประเทศพม่า โดยนำไปฝากด้วยตนเอง ๓ รูป คือ ๑. พระมหาโชดก ญาณสิทธิ ป.ธ.๙ เรียนฝ่ายวิปัสสนาธุระ ๒. พระมหาบเพ็ญ ป.ธ.๕ และ ๓. สามเณรไสว ป.ธ.๕ เรียนฝ่ายคันถธุระ โดยให้พระมหาโชดก อยู่สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานศาสนายิสสา ภายใต้การปกครองของท่านมหาสีสยาดอ โสภณเถร พระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระมหาบำเพ็ญและสามเณรไสว อยู่วัดอัมพวนาราม ภายใต้การปกครองของท่านยานิกเถร เจ้าอาวาส ซึ่งเป็นประธานเชิญพระไตรปิฎกฉบับอักษรพม่ามามอบให้ประเทศไทย

    พระมหาโชดก ญานสิทธิ ได้ศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่เป็นเวลา ๑ ปี แล้วกลับคืนสู่ประเทศไทย พ.ศ.๒๔๙๖ ในขณะเดียวกัน หลวงพ่อสมเด็จได้แสดงความจำนงไปยังสภาการพุทธศาสนาสหภาพพม่า ขอให้จัดส่งพระวิปัสสนาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมายังประเทศไทย ๒ รูป พร้อมกับการคืนสู่ประเทศไทยของพระมหาโชดก ญาณสิทธิ สภาการพุทธศาสนามีความเห็นอกเห็นใจและเชื่อถือหลวงพ่อสมเด็จฯ สนิทชิดชอบอย่างมาก ดังนั้น จึงจัดส่งพระวิปัสสนาจารย์ผู้เชี่ยวชาญมายังประเทศไทย ๒ รูป คือ ๑.ท่านอาสภเถร ปธานกัมมัฎฐานาจริยะ ๒. ท่านอินทวังสะ ธัมมาจริยะ กัมมัฏฐานาจริยะ ทั้งสองรูปจัดให้พำนักอยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ช่วยเป็นอาจารย์สอนวิปัสสนากัมมัฏฐานร่วมกับพระมหาโชดก ป.ธ.๙ ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๖ เป็นต้นมา นับว่าได้เป็นกำลังเสริมสร้างพระปฏิบัติศาสนาให้เจริญขึ้นในประเทศไทย และยังดำรงคงอยู่ในปัจจุบันนี้

    ที่มาหอพุทธศิลป์..
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251224_194720.jpg IMG_20251224_194740.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,896
    ค่าพลัง:
    +21,459
    1347042-50041.jpg



    หลวงพ่อสวัสดิ์ อริยสงฆ์ ในยุคปลาย สุดยอดมหามงคลในการระลึกบูชา ปฏิบัติ ในวิถีพุทธธรรม
    ตามประวัติ หลวงพ่อสวัสดิ์ ก่อนบวชเรียน ท่านผ่านชีวิตในวิถีนักเลงคนสู้ชีวิต ศึกษาเวทย์มนต์คาถาอาคม เมื่อท่านบวชแล้วท่านเคร่งครัดปฏิบัติ ถือวิเวกเดินธุดงค์ แล้วกลับมาศึกษาด้านปริยัติธรรม เพื่อศึกษาแนวทางที่ถูกต้องอันจะไปกำกับในวิถีปฏิเวธ คือ แนวทางการปฏิบัติ สมาธิภาวนา แล้ว ละจากทางโลก มุ่งหาโมกขธรรม ต่อไป ด้วยการออกธุดงค์ ยาวนานหลายสิบปี จนบั้นปลายของชีวิต ในช่วง เกือบ20ปีก่อนละสังขาร ในอายุ 96 ปี นั่นหมายถึง ระยะเวลาราว50ปีที่หลวงพ่อสวัสดิ์ ฝึกฝนปฏิบัติในสมาธิในป่าในเขา ต่อเนื่องยาวนาน



    พระครูพิศาลพรหมจารย์ (หลวงพ่อสวัสดิ์ ปุณณสีโล) สำนักสงฆ์เม้าสุขา อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

    นามเดิม สวัสดิ์ นามสกุล เฉลิมพงษ์ เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๘ มีนาคม พ.ศ.๒๔๕๑ เป็นบุตรของ นายอิฐ นางบุญรอด เฉลิมพงษ์

    เด็กชายสวัสดิ์ เป็นเด็กที่ขยันแข็ง ใฝ่หาความรู้ทั้งหางโลกทางและทางธรรม

    อุปสมบทเมื่ออายุได้ ๒๕ ปี ณ วัดดอกไม้ ต.คลองโค อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๖ พระครูญาณมุรนี (กล่อม) เป็นพระอุปัชฌาย์

    หลวงพ่อสวัสดิ์ ปุณณสีโล อดีตท่านเป็นเจ้าคณะอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ท่านจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์เม้าสุขา มาสร้างขึ้นตามที่นางเม้า นามสกุลสุขาได้ถวายที่ดินให้นอกจากนี้ในด้านภินิหารของท่านยังมีมากมาย

    ท่านเคยรับใช้อยู่กับกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นศิษย์ของหลวงพ่อกล่อม วัดวังกะพี้ หลวงพ่อเนียง วัดวังพะเนียด หลวงปู่บาผู้สำเร็จวัดท่าข้ามบางปะกง ที่หลวงพ่อปานวัดบางเหี้ยให้ความเคารพนับถือหลวงปู่บาอย่างมาก

    หลวงพ่อมหาสวัสดิ์ เป็นพระสมถะ ความเป็นอยู่เรียบง่าย มีเมตตาสูง ให้ความช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยมมาโดยตลอด เป็นพระนักพัฒนาของชาวชลบุรีรูปหนึ่ง คุณูปการของท่านมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโรงเรียน สำนักสงฆ์สำนักปฏิบัติธรรม เป็นผู้นำเหล่าภิกษุทั้งอำเภอออกธุดงศ์ทุกปีนำสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้ ประสบภัยพิบัติต่างๆ ทั่วประเทศอยู่เสมอ

    ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ ๑ เมษายน พ.ศ.๕๔๖ สิริอายุ รวม ๙๖ ปี พรรษา ๗๐

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญนั่งพานเนื้อทองแดงผิวไฟรุ่น ๑และพระนาคปรกใบมะขาม รุ่นเจ้าสัว พร้อมซองเดิมติดสติ๊กเกอร์รูปหลวงปู่

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ



    IMG_20251224_215825.jpg IMG_20251224_215851.jpg IMG_20251224_215912.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,896
    ค่าพลัง:
    +21,459
    1766592251633.jpg

    การงานติดขัดการเงินขัดสน ความรักเหี่ยวเฉา คนรอบข้างไม่ดี ต้องบูชาพระพรหมรุ่นนี้ครับกับพระพรหมพันมือซึ่งถือเป็นพระพรหมที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งวัดถ้ำตะเพียนทองที่สร้างขึ้นตามนิมิตของพระเกจิอาจารย์ชื่อดังอย่างหลวงพ่อทองดำ สหายธรรมของหลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลีโดยพระแม่กวนอิมปางพันมือบอกให้สร้างขึ้นด้านหลังมีอักขระ "โอม" อันศักดิ์สิทธิ์

    มวลสารที่ใช้สร้างนั้นได้แก่ผงธูปจากที่บูชาพระพรหมอันศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศซึ่งก็รวมถึงศาลพระพรหมเอราวัณแยกราชประสงค์องค์เก่า ผงธูปบูชสพระพรหมพันมืออันศักดิ์สิทธิ์ ผงไม้งิ้วดำที่หลวงปู่โต๊ะท่านอธิษฐานทำพิธีบวงสรวงที่ศาลพระพรหมเอราวัณก่อนที่จะนำไปให้หลวงพ่อทองดำอธิษฐานจิตในถ้ำตะเพียนทองถ้ำที่มีเทวดาอารักษ์ปกปักษ์รักษา
    พระพรหมรุ่นนี้หายากมากแม้แต่ที่พื้นที่เองยังพบได้น้อยส่วนใหญ่ไปฮ่องกง สิงคโปร์หมดครับเพราะลูกศิษย์ท่านที่นั่นเยอะและยังศรัทธาพระพรหม

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ตำนานชีวิต92ปี"หลวงปู่ทองดำ อินทวังโส" อดีตเกจิดังวัดถ้ำตะเพียนทอง จ.ลพบุรี ศิษย์ลพ.มุม ศรีสะเกษ-ลป.โต๊ะ วัดประดู่ฯ
    รูปภาพนักเขียน: อ.อนุชา ทรงศิริ
    อ.อนุชา ทรงศิริ
    17 ม.ค. 2567
    ยาว 1 นาที

    ตำนานชีวิต92ปี"หลวงปู่ทองดำ อินทวังโส"

    อดีตเกจิดังวัดถ้ำตะเพียนทอง จ.ลพบุรี

    ศิษย์ลพ.มุม ศรีสะเกษ-ลป.โต๊ะ วัดประดู่ฯ

    ทีมข่าวกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์"คัมภีร์นิวส์" ร่วมย้อนตำนานชีวิต น้อมถวายความอาลัยในการจากไปของ"หลวงปู่ทองดำ อินฺทวํโส" อดีตเจ้าอาวาสวัดถ้ำตะเพียนทอง อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี ซึ่งมรณภาพลงเมื่อเวลา 17.12 น. วันที่ 17 ม.ค.2567 สิริอายุ 92 ปี

    ท่านเป็นศิษย์เอกสายตรงหลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์ จ.ศรีสะเกษ นอกจากนี้ ยังเคยไปร่วมพิธีกรรมพุทธาภิเษกหลายครั้ง และได้พบกับหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม. ด้วยความนับถือจึงฝากตัวเป็นศิษย์และได้รับการถ่ายทอดความรู้ต่างๆจากหลวงปู่โต๊ะ จคงนับเป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมของหลวงปู่โต๊ะอีกองค์ ท่านมีความเชี่ยวชาญวิทยาคมเป็นที่เลื่องลือไปทั่วสารทิศ จนได้รับการยกย่องว่าเป็น"เทพเจ้าแห่งทุ่งทานตะวัน"

    ท่านมีนามเดิมว่า "ทองดำ ปุยอบ" เกิดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2475 ที่บ้านปรางค์กู่ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ โยมบิดาชื่อ นายศิลา โยมมารดาชื่อนางนวล มีพี่น้องด้วยกัน 4 คน ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา วัยเยาว์เข้าเรียนหนังสือที่วัดบ้านปราสาท เรียนจบชั้นประถมที่ 4 หลังจากนั้นออกมาช่วยครอบครัวทำนา ช่วงหน้าแล้งบางคราวก็ไปรับจ้างทำงานต่างถิ่น

    เมื่ออายุ 22 ปีเข้าอุปสมบทที่วัดสมอ อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ โดยมีพระครูวิรุฬหธรรมกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์เง้า เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์โพธิ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ หลังอุปสมบท ได้ศึกษาในพระปริยัติธรรมอย่างมุ่งมั่น สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรีและโท

    จากนั้นได้ไปศึกษาวิทยาคมกับหลวงพ่อมุม อินทปัญโญ วัดปราสาทเยอร์เหนือ จ.ศรีสะเกษ โดยช่วงแรกหลวงพ่อมุมไม่ค่อยสอนวิชาอาคมให้นัก เพราะต้องการดูอุปนิสัยศิษย์ว่าจะเป็นอย่างไร ตอนหลังหลวงพ่อมุมก็เมตตาสอนให้ และอยู่ศึกษาปฏิบัติอยู่กับท่านเป็นเวลาแรมปี

    ต่อมาได้ไปเรียนวิชากับพระอาจารย์ทองสุข วัดบ้านเพชร พระเกจิอาจารย์ที่แก่กล้าวิทยาคมอย่างมาก ทั้งยังเป็นพระอาจารย์สักยันต์ที่เลื่องลือยิ่งรูปหนึ่ง โดยพระอาจารย์ทองสุขได้มอบตำราไว้ให้ และยังสอนด้านการนั่งวิปัสสนากัมมัฏฐานอีกด้วย

    ต่อมาท่านได้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดปราสาทจันโง ปกครองอยู่เกือบ 12 ปี หลังจากพัฒนาสร้างวัดจนสำเร็จมั่นคงดีแล้ว ท่านก็เดินธุดงค์ไป จ.อุบลราชธานี และได้พบกับพระอาจารย์โฮม พระนักปฏิบัติรูปหนึ่งที่เก่งมาก จึงฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาอยู่ที่บนเขา ท่านสอนให้เดินจงกรม นั่งปฏิบัติภาวนาและสวดมนต์ต่างๆ อยู่เป็นเวลา 1 พรรษา

    ก่อนลากลับ พระอาจารย์โฮมมอบตำราพระธรรมเก้าโกฏิที่มีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ท่านได้นำมาอ่านท่องจนจำขึ้นใจได้ทุกหน้า จากนั้นได้เดินธุดงค์จากจ.อุบลราชธานี มาแถบอีสานผ่านหลายจังหวัด ตัดผ่านมาถึงนครราชสีมา สระบุรี และลพบุรี

    ท่านมาปักกลดอยู่ที่หน้าถ้ำพระนารายณ์เขาวง แต่แรกก็ไม่มีชาวบ้านให้ความสนใจ ท่านก็ปฏิบัติภาวนาตามปกติ อยู่มาวันหนึ่งมีชาวบ้านนำภัตตาหารมาถวาย รวมทั้งมีชาวบ้านคนหนึ่ง ฐานะยากจนมาคอยอุปัฏฐากดูแลความเป็นอยู่ ท่านได้เป่าลงกระหม่อมและมอบตะกรุดโทนให้ดอกหนึ่ง ปรากฏว่าชาวบ้านคนนั้นไปประสบเหตุถูกคนทำร้าย แต่ไม่ได้รับอันตรายอย่างใด ทำให้มีชาวบ้านมาหาท่านกันหลายคน เพื่อขอตะกรุด

    พ.ศ.2512 เครือญาติของนางพิสมัย แซ่บาง เห็นวัตรปฏิบัติของท่านเมื่อครั้งที่ยังอยู่บริเวณหน้าถ้ำพระนารายณ์เขาวง จ.ลพบุรี เกิดความเลื่อมใสศรัทธา จึงนิมนต์ให้มาอยู่ ด้วยสถานที่ดังกล่าวมีความเงียบสงบเหมาะสำหรับการเจริญภาวนากัมมัฏฐานอย่างยิ่ง

    เมื่อท่านเดินทางไปอยู่บริเวณดังกล่าว คณะชาวบ้านและเครือญาติของนางพิสมัย ก็ปลูกที่พักให้หลังหนึ่งเล็กๆ ที่หน้าถ้ำตะเพียนทอง ซึ่งแต่ก่อนนั้นชาวบ้านไม่รู้ว่ามีถ้ำ รู้แต่ว่ามีทรัพย์สมบัติและผีดุ เมื่อท่านมาอยู่แล้ว ท่านกับชาวบ้านก็ช่วยกันถากถางต้นไม้และมีพระติดตามท่านมาอีกรูปหนึ่ง

    คืนหนึ่ง ท่านเกิดนิมิตฝันไปว่าในบริเวณแห่งนี้มีทรัพย์สมบัติและมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำ ขณะกำลังเจริญภาวนาเดินจงกรมนั้นก็มีวิญญาณร้ายมารบกวนไม่เคยขาด ท่านจึงปรารภต่อวิญญาณนั้นว่า "อาตมามาที่นี่เพื่อสร้างวัดไม่ได้มาเอาทรัพย์สมบัติแต่ประการใดๆ" วิญญาณร้ายจึงยอมหนีไป

    ครั้นเมื่อก่อสร้างเสนาสนะในวัดได้ระยะหนึ่ง มีชาวบ้านมาขอวัตถุมงคลกับท่าน หลวงพ่อก็มีแต่ตะกรุดโทนให้ไป ต่อมาท่านได้ลงหมึกสักยันต์ให้ชาวบ้านและผู้คนที่ดั้นด้นกันมาจากที่ไกล

    ในจำนวนคนเหล่านั้น หลายคนเป็นโจรเสือร้ายที่มีหมายจับของทางราชการหลายคน ทำให้ผู้ว่าฯลพบุรีในสมัยนั้น ต้องมากราบขอร้องให้ท่านงดการลงหมึกสักยันต์ ด้วยมีหลายคนเป็นโจรปล้นฆ่า ยากแก่การปราบปราม ซึ่งท่านไม่เคยรู้เลยว่าเขาเป็นคนร้ายมีหมายจับของทางราชการ นับจากนั้นเป็นต้นมา ท่านงดสักยันต์โดยเด็ดขาด

    ต่อมา ท่านได้ทำเสื้อยันต์และผ้ายันต์มอบให้ทหารที่ไปรบตามชายแดน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ พวกทหารเหล่านั้นได้พากันมากราบหลวงปู่ทองดำ บอกว่ารอดพ้นปลอดภัยจากฝ่ายตรงข้ามด้วยเสื้อยันต์ของหลวงพ่อ

    ก่อนปีพ.ศ.2520 ท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กทม. ขอศึกษาความรู้กับท่านระยะหนึ่ง แล้วเดินทางไปเรียนด้านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่วิเวกอาศรม จังหวัดชลบุรีอยู่หลายเดือนจนสำเร็จญาณ 16 ชั้นฟ้า 16 ชั้นดิน แล้วออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ในแถบชายทะเลภาคตะวันออก อีสาน ภาคกลาง ภาคเหนือ

    ช่วงปี พ.ศ.2520-2524 หลวงปู่ทองดำรับนิมนต์ร่วมพิธีปลุกเสกพระเครื่องในกรุงเทพฯ หลายครั้งด้วยกัน

    วัตถุมงคลรุ่นแรกของหลวงปู่ทองดำ วัดถ้ำตะเพียนทอง จัดสร้าง พ.ศ.2520 ซึ่งมีเพียง 2แบบคือ พระสมเด็จงิ้วดำและนางพญางิ้วดำ เท่านั้น ส่วนเหรียญรุ่นแรกสร้างปี2523 สมัยยังเป็นสำนักสงฆ์ถ้ำตะเพียนทอง

    หลังจากนั้นได้หยุดไปนานจนถึงปี พ.ศ.2545 ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหารายได้ก่อสร้างอุโบสถ กุฏิ และเสนาสนะต่างๆ พระเครื่องรุ่นปี พ.ศ.2545 ที่ท่านสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการ คือ รุ่นมหาอำนาจ มหาเมตตา มหานิยม รุ่น 2 เรียกว่า รุ่นยอดขุนพลไตรมาส 45 รุ่น 3 คือ ขุนแผนจ้าวทรัพย์-จ้าวเสน่ห์ และอื่นๆ อีกหลายรุ่นจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

    วัตถุมงคลของท่านเป็นที่กล่าวขานร่ำลือว่ามีพุทธคุณรอบด้าน!
    ที่มา คัมภีร์นิวส์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระพรหมพันมือ ศิษย์สร้างถวาย ปี ๒๕๓๕

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    ปิดรายการ

    IMG_20251224_213226.jpg IMG_20251224_213250.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2025 at 14:45
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,896
    ค่าพลัง:
    +21,459
    1411418-38c60.jpg


    เหรียญพระแม่ธรณี
    ขนาด 3 ซ.ม.
    ข้อมูล ในกลุ่ม อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร โดยแอดมินกลุ่ม
    เหรียญนี้ สร้าง ในปี 2527 ตามวาระ ด้านหลัง เหรียญ
    ในปี 2535 กปน. ได้ทำพระแม่ธรณี องค์ใหญ่. เลยนำเหรียญพระแม่ธรณีที่. อ.เทพย์. เป็นผู้คำนวณฤกษ์.
    แถมฤกษ์ตั้งองค์ใหญ่ท่าน อ.เทพย์ คำนวณฤกษ์ให้. ได้หลวงพ่อมหาโพธิ์. เสกให้อีกรอบ

    พระอาจารย์มหาปลอด ติสสเทโว
    พยานแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า “พระแม่ธรณีบีบมวยผม”
    “พระแม่ธรณี หรือ พระแม่ธรณีบีบมวยผม” เป็นที่เคารพนับถือว่าเป็นเทพแห่งพื้นแผ่นดิน มีปรากฏในตำนานทั้งศาสนาพราหมณ์, ฮินดู และพุทธศาสนา โดยเชื่อว่า ‘แผ่นดิน’ เป็นจุดก่อเกิดสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก จึเปรียบเสมือน ‘มารดา’ ผู้หล่อเลี้ยงโลก และยกย่องเป็นเทพีผู้ค้ำจุนโลก และสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ จะเห็นได้จากการสร้าง “รูปเคารพพระแม่ธรณี” ตามสถานที่หรือหน่วยงานต่างๆ มากมาย
    พระแม่ธรณี ยังปรากฏความสำคัญในพุทธประวัติ กล่าวคือ … ในคืนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ พญามารวัสดีและกองทัพมารเข้ารบกวนโดยอ้างเอาบัลลังก์เป็นของตน พระพุทธองค์ทรงเปล่งวาจาอ้างเอา “ธรณี” เป็นพยาน จากนั้นมีเสียงดังกัมปนาท แผ่นดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น พระแม่ธรณีต้องปรากฏกายเป็นพยานเอก แสดงการบิดน้ำจากมวยผมเพื่อแสดงให้เห็นถึงกุศลที่พระพุทธองค์กระทำมาตั้งแต่อดีตชาติ จนน้ำที่กรวดลงบนพื้นแล้วแม่ธรณีรับไว้นั้นมากถึงขั้นเป็นมหาสมุทร พัดเอาเหล่าพญามารกระจัดกระจายหายไป… ต้นเหตุนี้ทำให้เกิด ‘พระพุทธรูปในปางมารวิชัย’ ขึ้นในกาลต่อมา
    คติความเชื่อเรื่องการบูชาพระแม่ธรณี ได้เผยแพร่มาจากอินเดียสู่ไทย เนื่องจากอิทธิพลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ อาจกล่าวได้ว่า ‘ก่อนที่จะทำอะไร ก็ให้บูชาบอกกล่าวต่อพระแม่ธรณีก่อน’ เพราะทุกอย่างในโลกล้วนกำเนิดขึ้นบนดินทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ก็ต้องบอกกล่าวขอขมา เพราะจะกระทบกระเทือนพื้นดินตั้งแต่เริ่มตอกเสาเข็มหรือขึ้นเสาเอก ฯลฯ หรือ เกษตรกรก่อนจะเพาะปลูก ก็มักจะทำพิธีบอกกล่าวแก่พระแม่ธรณี และขอพรให้ประสบความสำเร็จ พืชผลเจริญงอกงาม
    ประวัติของพระแม่ธรณี ปรากฏในพุทธประวัติ ตอนที่พระพุทธเจ้าชนะมาร โดยอาศัยพระแม่ธรณีมาเป็นประจักษ์พยาน ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๗ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผู้รจนา หนังสือปฐมสมโพธิกถา อยู่ในปริจเฉทที่ ๙ ตอนมารวิชัยปริวรรต กล่าวเชื่อมโยงถึง ตอนพระพุทธเจ้าชนะมาร โดยอาศัยพระแม่ธรณีมาเป็นประจักษ์พยาน ดังนี้
    ในครั้งนั้นพระพุทธเจ้า ทรงประทับนั่งบนบัลลังก์หญ้าคาใต้ต้นโพธิ์ แล้วทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า "ถ้ายังมิได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเพียงใด จักไม่เสด็จลุกขึ้นจากบัลลังก์เพียงนั้น ถึงแม้ว่าเนื้อและเลือดจักเหือดแห้ง
    ฝ่ายพญามารวสวัตตี (วะสะวัตตี แปลว่า ผู้ยังบุคคลอื่นให้ตกอยู่ในอำนาจ) พญามารนี้ครองสวรรค์ชั้นสูงสุด สวรรค์ชั้นนี้นามว่า ปรนิมมิตวสวัตตี แบ่งเป็นสองแดน แดนเทพกับแดนมาร แดนเทพมีนามว่า วสวัตตีเทพ ปกครอง อีกแดนหนึ่งเป็นแดนมารมีพญามารวสวัตตีตนนี้แหละเป็นผู้ปกครอง

    พญามารกลัวว่าพระพุทธเจ้านี้จะพ้นเงื้อมมือของตน จึงได้ยกพลทั้งกองทัพมาผจญกับพระพุทธเจ้า ฝ่ายพญามารก็เนรมิตแขนต้นเองพันมือถืออาวุธครบมือ พร้อมกับขี่พญาช้างชื่อว่า "ครีเมขละ" พร้อมกับบริวารเข้ามาตรงพระพักตร์ใบหน้าของพระพุทธเจ้า แล้วออกปากขับไล่พระพุทธเจ้าให้ออกไป พญามารบอกว่าที่นั่งที่นี่เป็นที่ของพญามาร ว่าอย่างนั้น
    ฝ่ายพระพุทธองค์ก็อ้าง บัลลังก์ที่นั่งนี้เป็นของพระองค์ ซึ่งโสตถิยะพราหมณ์เป็นผู้ถวายหญ้าคา (กุศะ) มา ๘ กำมือ แล้วพระพุทธองค์ก็ปูลาดเป็นอาสนะ นั่งอยู่ตรงนี้
    ฝ่ายพญามารก็บอกว่า “บัลลังก์นี้เป็นของข้า” พญามารกล่าวเสียงดัง พร้อมกับเหลียวหลังไปพูดกับบริวารของตนเองว่า "จริงไหมว่ะ"
    บริวารก็ตอบว่า “ใช่แล้ว พะย่ะค่ะ บัลลังก์นี้เป็นของท่าน”
    พญามารก็พูดว่า "ท่านลุกขึ้นเสียดีๆ ยกบัลลังก์ให้แก่ข้า อย่าให้ใช้กำลัง” พญามารขู่ และยังกล่าวตอบว่า แล้วท่านมีพยานมั้ย
    พระพุทธองค์จึงเอานิ้วดัชนี นิ้วชี้ลงไปยังพื้นปฐพี แล้วตรัสว่า "ขอพระแม่ธรณี จงเป็นสักขีพยาน เราได้บำเพ็ญบุญกุศล คุณงามความดีต่างๆ บารมี ๓๐ ทัศ ด้วยบารมีแห่งกุศลอันมหาศาลนี้ ขอพระแม่ธรณีจงเป็นประจักษ์พยาน
    (บารมี ๓๐ ทัศ ได้แก่ ๑) ทาน การให้ ๒) ศีล การรักษาศีลให้เป็นปกติ ๓) เนกขัมมะ การออกจากกาม ๔)ปัญญา ความรู้ ๕) วิริยะ ความเพียร ๖) ขันติ ความอดทนอดกลั้น ๗) สัจจะ ความตั้งใจจริง เอาจริง จริงใจ เต็มใจ ๘) อธิษฐาน ความตั้งใจมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง ๙) เมตตา ความรักด้วยความปรานี ๑๐) อุเบกขา ไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นไปตามวาระแห่งธรรม บารมีมี ๓ ขั้น อย่างปกติ อย่างกลาง และอย่างยิ่งยวด รวม ๓๐ ทัศ
    ต่อจากนั้นพระแม่ธรณีก็บีบมวยผมปล่อยกระแสน้ำให้ใหลท่วมกองทัพพญามารจนพ่ายแพ้หนีไปในที่สุด
    อุทกทาน (พระแม่ธรณีบีบมวยผม) ที่สยามหลวง
    อุทกทาน (พระแม่ธรณีบีบมวยผม) แห่งนี้ เป็นพระราชดำริของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เพื่อพระราชทานน้ำดื่มให้แก่คนที่ผ่านไปมาขณะที่กรุงเทพฯ เริ่มมีน้ำประปา โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชโอรสได้ถวายคำแนะนำให้สร้างเป็นรูปพระแม่ธรณีบีบมวยผม โดยมีน้ำสะอาดไหลออกมาจากปลายมวยผม สามารถใช้ดื่มกินได้
    อุทกทานนี้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงออกแบบรูปปั้นนางพระธรณี และพระยาจินดารังสรรค์ (พลับ) เป็นสถาปนิกผู้ออกแบบซุ้มเรือนแก้ว ดำเนินงานจัดสร้างด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เป็นเงิน 16,437 บาท
    ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2460 อันเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เสนาบดีกระทรวงนครบาล เป็นผู้แทนพระองค์ไปประกอบพิธีเปิด ทรงมีพระราชหัตถเลขาไปถึงเจ้าพระยายมราช มีความตอนหนึ่งว่า
    “พรุ่งนี้ฉันจะทำบุญวันเกิด ให้คุณจัดเปิดรูปนางพระธรณีท่ออุทกทาน ซึ่งฉันได้ออกทรัพย์ให้หล่อขึ้นสำเร็จ ตั้งไว้ ณ เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา และขออุทิศท่ออุทกทานนี้ให้เป็นสาธารณทานแก่ประชาชนผู้เป็นเพื่อนแผ่นดินใช้กินบำบัดร้อนและกระหาย เป็นความสบายตามปรารถนาทั่วกันเทอญ”
    คำว่าอุทกทานมีความหมายว่าการให้ทานด้วยน้ำ ศาลพระแม่ธรณีบีบมวยผมแห่งนี้จึงเป็นสิ่งที่แสดงถึงธรรมเนียมอันดีงามของสังคมไทย และความห่วงใยของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่มีต่อพสกนิกรของพระองค์

    อนึ่ง “อุทกทาน” นั้นเป็นสิ่งที่สังคมไทยในอดีตได้เคยประพฤติกันมา นั่นคือธรรมเนียมการตั้งตุ่มน้ำไว้ที่หน้าบ้าน มีกระบวยสำหรับตักดื่มวางไว้ด้วย เป็นที่รู้กันว่าตุ่มน้ำหน้าบ้านนี้ใครผ่านไปมาสามารถตักดื่มได้ เพราะเจ้าของบ้านตั้งไว้เป็น “อุทกทาน”
    ปัจจุบันอุทกทานหรือพระแม่ธรณีบีบมวยผมได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความเคารพบูชาจากประชาชน มีผู้นำทองคำเปลวไปปิด และนำดอกไม้ไปบูชาน้ำที่ไหลจากท่อลงมาถือว่าเป็นน้ำมนต์ สถานที่แห่งนี้จึงมีลักษณะเป็นเทวาลัยหรือสถานที่ประดิษฐานเทวรูปมากกว่าจะเป็นอนุสาวรีย์
    คำบวงสรวงพระแม่ธรณีบีบมวยผม
    (นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ)
    อิติปิโสภะคะวา สะวา อะระหัง สุคะโต สวาหะ ตัสสาเกษี สะโต ยะถาคงคา โสตัง ปะวัตตันติ มาระเสนา ปฏิฐาตุง อาสัก โภนโต ปะลายิงสุ ปาริมานานุภาเวนะ มาระเสนา ปะราชิตา ทิโสทิสัง ปะลายันติ วิทังเสนติ อะเสสะโต สังขาตัง โลตังกะวิทู ตันติพุดติง นะโมพุทธายะ นะมะ พะทะ นะโมเม มาตาธะระณา ชัยยะมาระเสนา ภูมิเทวานัง สักการะวันทะนัง สูปะพยัญชะนะ สัมปันโน โภชะนานัง สาลีนัง สะปะริวารัง อุทะกังวะรัง อาคัจฉันตุ ปะริพุนชันตุ สัพพาธาติ หิตายะ สันติอุเทวานัง เตปิตุมเห อะนุรักขันตุ อะโรคะเยนะ สุเขนะจะ
    ข้าพเจ้าขออัญเฃิญพระแม่ธรณีบีบมวยผม เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงผจญกับเหล่าพวกพญามารทั้งหลาย พญามารได้ออกอุบายต่างๆ นานา เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงเกิดกิเลสตัณหา แต่พระพุทธองค์ทรงไม่ยินดียินร้าย พระพุทธองค์จึงเอานิ้วดัชนีชี้ลงไปยังพื้นปฐพี แล้วตรัสว่า "ขอพระแม่ธรณี จงเป็นสักขีพยาน เราได้บำเพ็ญบุญกุศล คุณงามความดีต่างๆ บารมี ๓๐ ทัศ ด้วยบารมีแห่งกุศลอันมหาศาลนี้ ขอพระแม่ธรณีจงเป็นประจักษ์พยาน ในครั้งนั้นเองพระแม่ธรณีทรงแสดงปาฏิหาริย์ปราบเหล่าพญามาร โดยทรงบีบมวยผมให้น้ำไหลออกมาท่วมพวกพญามารทั้งหลายให้พ่ายแพ้ไป
    ขอพระแม่ธรณีบีบมวยผม จงเสด็จมารับเครื่องสังเวยบวงสรวงที่ข้าพเจ้าทั้งหลายนำมาบูชา โดยมีอาหารหวานคาว ผลไม้หลากชนิดอันอุดมเลิศ โดยข้าพเจ้าทั้งหลายจะทำการเททองหล่อพระแม่ธรณีบีบมวยผม เพื่อให้พุทธศาสนิกชนกลาบไหว้บูชา และให้มีกำลังใจในการต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆของชีวิต เหมือนครั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังต่อสู้กับพญามารจนชนะด้วยบารมี ๓๐ ทัศ เป็นต้น
    และขอให้คุณพระรัตนตรัย ขจัดช่วยขจัดปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยไข้เจ็บ และเคราะห์ร้ายของข้าพเจ้าทั้งหลายให้หมดสิ้นไป ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลายพบแต่ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความเป็นศิริมงคล ธุรกิจการงานเจริญรุ่งเรืองด้วยทรัพย์สินเงินทอง รอดพ้นอุปสรรคทั้งปวง คิดสิ่งใดในทางที่สุจริต ขอให้สิ่งนั้นจงสำเร็จสมความปรารถนา และขอให้ข้าพเจ้าทุกคนจงมีดวงตาเห็นธรรม ด้วยกันทุกท่านเทอญ

    ข้อมูลจากเฟสหลวงพ่อมหาปลอดวัดโพธิ์นิมิตร

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญพระแม่ธรณี กปน.กะไหล่ทอง ตอกโค๊ตพระแม่ธรณี อ.เทพย์
    สาริกบุตรคำนวนฤกษ์ ลพ.มหาโพธิ์ วัดคลองมอญ ปลุกเสก

    ให้บูชา 450 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251218_201251.jpg IMG_20251218_201333.jpg
     
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,896
    ค่าพลัง:
    +21,459
    1766669908891.jpg
    พระสมเด็จพญางิ้วดำ "รุ่นแรก" เนื้อผง สร้างปี 35 จำนวนสร้าง 1000 กว่าองค์ สร้างยุคต้นๆๆๆสมัยหลวงปู่ยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังขจรขจายเท่าทุกวันนี้ อธิฐานจิตปลุกเสกพิธีเสาร์ห้า ขออนุญาติจัดสร้างโดยครูบา (พระอาจารย์) วัดน้อย (วัดล่าง) โดยครูบาท่านเป็นผู้กดแม่พิมพ์เองใต้กุฏฏิวัดเขาตะเงาะนั้นเอง มีทั้งแบบเคลือบและไม่เคลือบ ส่วนองค์ที่เคลือบจะเคลือบด้วยยางรัก ส่วนผสมมีเนื้อผงพุทธคุณผสมว่านมงคลต่างๆๆๆผสมไม้พญางิ้วดำ , ไม้มะรุ้ม , ไม้รัก ถือว่ามวลสารทั้งหมดเป็นมงคลอย่างยิ่ง วรรณสีเนื้อพระจะออกขาวอมเหลืองและออกขาวอมเขียว จำนวนก็ถือว่าไม่มาก กดพิมพ์แบบโบราณด้วยมือ รูปแบบสวยงามนิ่มตาซึ่งใจมากๆๆๆ สวยมีเสน่ห์แบบกดมือโบราณ เนื้อพระก็จะไม่แน่นเหมือนพระปั๊ม อายุการสร้างประมาณ 20 กว่าปีแล้ว ถือว่าเก่าพอสมควร เป็นอีกรุ่นที่น่าสะสมมากๆ

    เรื่องนี้ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรมาก ลองอ่านดูเล่นๆ ลองพิจารณาดู ไม่ได้เกิดเรื่องราวใหณ่โตดังไปทั่วอะไรหรอ เรื่องเล็กๆแต่เกิดขึ้นจริง แต่ก็พอรู้อะไรได้หลายอย่าง ก็เช่นตอนเช้าของทุกๆวันการบิณฑบาตรถือเป็นกิจวัตรประจำวันของพระภิกษุสงฆ์ หลวงปู่ก็เช่นกัน วันนั้นหลวงปู่ได้ไปคลุมบาตร (ไปบิณฑบาตร) ที่หนองบัวระเหว เสร็จแล้วก็เดินย้อยกลับมาที่วัดตามปกติทุกวัน ส่วนญาติโยมอีกกลุ่มที่ศัทธาก็จะรอใส่บาตรหลวงปู่ที่วัดบริเวณเลยประตู้ทางเข้าไปหน่อยหนึ่ง หนึ่งในนั้นที่จะใส่บาตรด้วยท่านชื่อคุณแม่ใส จริงๆแม่ใสท่านก็ทำงานอยู่ในวัดนั้นละ ท่านสร้างพระอุโบสถกับสามีท่านและญาติๆ ท่านเป็นชาวขอนแก่น ข่าวล่าสุดตอนหลังไม่ได้ทำแล้วเพราะต้องดูแลสามีชึ่งป่วยอยู่ แต่ก็ยังพักอาศัยอยู่ทางทิศใต้ของวัดลงไปใกล้ติดข้างๆป่า พอหลวงปู่ท่านเดินมาถึงก็ห่างพอสมควร หลวงปู่ก็ทักขึ้นเลย ทั้งๆที่คุณแม่ใสก็นั่งรอใส่บาตรอย่างสงบเสงื่ยมอยู่ อยู่ๆท่านก็ทักเป็นภาษาอีสานขึ้น บ่ต้องเมมปากดอกโยมใส รู้อยู่ว่ากินเบียร์มาเดนิ (ไม่ต้องขมิบปากหรอโยมใส รู้อยู่ว่ากินเบียร์มา) คุณแม่ใสงงเลยครับแล้วก็อายหลวงปู่มากๆด้วย เป็นที่ตกตะลึงของบรรดาญาติโยมที่มาค่อยใส่บาตรด้วยกัน แกก็ทึ่งมากทั้งๆหลวงปู่ท่านก็อยู่ไกลท่านรู้ได้ไง เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะได้กลิ่นเบียร์เป็นแน่ ห่างร่วมๆสิบกว่าเมตรเลยทีเดียว แล้วหลวงปู่ก็ออกไปบิณฑบาตรตั้งแต่เช้าตรู ก็เป็นไปไม่ได้อีกที่ท่านจะรู้ หลังจากนั้นคุณแม่ใสก็เลิกกินเบียร์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากๆที่ท่านรู้วาระจิตรู้ย้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ กระแสจิตท่านต้องรวดเร็วมากๆ ถึงจะรู้เหตุการณ์ได้ทั่วถึงขนาดนั้นได้เพราะมีญาติโยมตั้งหลายคน นับว่าเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง

    ประวัติ หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต

    .."พระราชภาวนาวชิรคุณ สุนทรธรรมวิจิตร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี" (หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต) พระราชาคณะชั้นราช ฝ่ายวิปัสสนาธุระ สถิต ณ วัดเขาตาเงาะอุดมพร อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ

    ...นามเดิมคือพระครูวิมลภาวนาคุณ (จื่อ พันธมุตโต)
    เกิดเมื่อ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๖
    ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ ปีมะแม ที่ตำบลบ้านกอก อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ อุปสมบท เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๑๘ ที่ วัดศรีแก้งคร้อ ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ พระอุปัชฌาย์ คือ พระโพธิญาณมุนี ท่านกำเนิดเกิดมาในตระกูลคนยากจน บิดาเป็นคนเชื้อสายจีน ชื่อนายฮอ แซ่จึง มารดาเป็นคนไทย ชื่อนางพี เฉลียวดี ท่านได้รับการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ก็ต้องออกมาช่วยที่บ้านทำงาน เมื่อโตขึ้นมาก็มีฝีมือในทางเย็บผ้า จึงรับจ้างเย็บผ้าหาเลี้ยงชีพ ท่านเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร ก็ได้ทำงานในร้านก่อเกียรติ ซึ่งเป็นร้านตัดผ้าชั้นนำในเมืองหลวงในยุคสมัยนั้น หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่ผาง จิตตคุตโต พระอริยสงฆ์แห่งภาคอีสาน วัดอุดมคงคาคีรีเขต (วัดดูน) อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น หลวงปู่เป็นพระวิปัสสนากรรมฐาน ธุดงค์บำเพ็ญเพียรไปยังสถานที่ต่างๆ ที่มีความสงบร่มรื่นที่เป็นแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ทราบภูมิประเทศ แหล่งประกอบอาชีพและปัญหาการประกอบอาชีพของประชาชนอย่างมากมาย โดยเฉพาะภูมิประเทศอันเป็นแหล่งต้นกำเนิดแหล่งน้ำสำคัญของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ แม่น้ำชี ซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ที่เทือกเขาสูงจากอำเภอหนองบัวแดง ไหลผ่านอำเภอบ้านเขว้า หนองบัวระเหว อำเภอจัตุรัส และอำเภอเมืองชัยภูมิ เมื่อปี ๒๕๒๓ ขณะที่ท่านนั่งปฏิบัติธรรมอยู่ ณ วัดเขาตาเงาะอุดมพร ประชาชนชาวหนองบัวระเหว ได้รับความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค ท่านจึงคิดพัฒนาแหล่งน้ำ "ลำเชียงทา" เป็นแหล่งน้ำที่ไหลผ่านลงสู่แม่น้ำชี ว่าน่าจะได้มีแหล่งการเก็บกักน้ำไว้ใช้ เพื่อประโยชน์ของชาวชุมชนหนองบัวระเหวและชุมชนใกล้เคียง ท่านจึงได้นำพระภิกษุ ลูกศิษย์ และชาวบ้าน ร่วมกันก่อสร้างเขื่อนดินด้วยงบประมาณอันน้อยนิดของผู้มีจิตศรัทธาบริจาคและงบประมาณของทางราชการที่สนับสนุน ทำให้ประชาชนในอำเภอบ้านเขว้า อำเภอหนองบัวระเหว และอำเภอเมืองชัยภูมิ ทั้ง 3 อำเภอ ได้มีแหล่งน้ำใช้ทางการเกษตรกรรม หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต เป็นผู้เปี่ยมไปด้วยบารมี ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระนักสร้าง นักพัฒนา ได้สร้างคุณประโยชน์ให้ส่วนรวมมากมาย ทั้งถนนหนทาง และทำฝายเป็นแหล่งกักเก็บน้ำ วัดเขาตาเงาะอุดมพร ตั้งอยู่ที่ เลขที่ ๑๒ หมู่ ๔ บ้านหัวหนอง ตำบลหนองบัวระเหว อำเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ มีพื้นที่โดยประมาณ ๒๐๐ ไร่ จากจังหวัดชัยภูมิ ผ่านบ้านเขว้า ถึงหนองบัวระเหว ๒๗-๓๐ กิโลเมตร โดยประมาณ เส้นทางหลวงหมายเลข ๒๒๕ ชัยภูมิ-นครสวรรค์ โดยมี พระครูวิมลภาวนาคุณ (หลวงปู่จื่อ พันธมุตโต) เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาตาเงาะอุดมพร

    ....หลวงปู่จื่อ พันธมุโต ท่านเป็นพระวิปัสนาจารย์กรรมฐาน ที่มีความสามารถอย่างสูงในการแจกแจงแสดงธรรม หลวงปู่จื่อ ท่านเป็นพระเถราจารย์ ผู้เปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรม เมตตาธรรม เป็นเนื้อนาบุญ อันยิ่งใหญ่ ของพระพุทธศาสนา เป็นพระป่า พระกรรมฐาน ที่ศิษย์เคารพ ศรัทธา อย่างมหาศาล เป็นสมณะผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างสิ้นสงสัย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จงิ้วดำรุ่นแรก
    หลวงปู่จื่อเขาตาเงาะ ปี ๒๕๓๕

    ให้บูชา 850 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251225_204112.jpg IMG_20251225_204144.jpg IMG_20251225_204203.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,896
    ค่าพลัง:
    +21,459
    FB_IMG_1766672341596.jpg FB_IMG_1766672411860.jpg FB_IMG_1766672414186.jpg FB_IMG_1766672416636.jpg FB_IMG_1766672420678.jpg FB_IMG_1766672423412.jpg FB_IMG_1766672425953.jpg FB_IMG_1766672428912.jpg FB_IMG_1766672431098.jpg FB_IMG_1766672433896.jpg FB_IMG_1766672436614.jpg FB_IMG_1766672439848.jpg FB_IMG_1766672442720.jpg FB_IMG_1766672446061.jpg 1766672102857.jpg 1766672105744.jpg 1766672110718.jpg


    พระสมเด็จอุณาโลม ทรงจิตรลดา ปี ๒๕๑๙

    พระสมเด็จอุณาโลม ได้ถอดแบบมาจากพระสมเด็จจิตรลดา ด้านหน้าเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งสมาธิอยู่บนอาสนะบัวสองชั้นในทรงกรอบสามเหลี่ยมหน้าจั่วคล้ายพระสมเด็จจิตรลดาแต่เพิ่มรายละเอียดในองค์พระปฏิมากรให้ชัดเจนขึ้นและเพิ่มยันต์อุณาโลมที่ด้านหลังองค์พระ พร้อมกับมีอักขระจารึกว่าเอตังสะติง พะมะนะอะกะสะนะทะอะ สะ อะเป็น 3 บรรทัด อักษรจมลงไปในเนื้อพระ ด้านหลัง
    ขนาดพระมีสองพิมพ์ คือ พิมพ์ใหญ่ สูง 3 ซม. กว้าง 2 ซม. หนา 0.5 ซม. ส่วนพิมพ์เล็กสูง 2.5 ซม. กว้าง 1.7 ซม. หนา 0.4 ซม. พระเครื่องพิมพ์นี้เป็นพระเครื่องเนื้อผงพุทธคุณ สีแบบอิฐเผา จำนวนสร้าง 100,000 องค์.

    พิธีพุทธภิเษก
    เมื่อสร้างเสร็จเป็นองค์พระแล้ว ได้ประกอบพิธีพุทธาภิเษกขึ้นอีก 7 วัน ณ พระอุโบสถคณะรังษี วัดบวรนิเวศวิหารฯ เมื่อวันที่ 5-11 ก.ค. 2519
    รายนามพระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสกและเจริญพุทธมนต์พระสมเด็จพระอุณาโลมทรงจิตลดา - นางพญา สก. 2519
    1. วันจันทร์ 5 ก.ค. 2519 เวลา 17.00 น.
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรฯ
    2. พระสังวรวิมลเถระ(หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    3. หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่
    4. หลวงพ่อเมตตาหลวง วัดเทพพิทักษ์ฯ นครราชสีมา
    5. พระเทพวราลังการ(หลวงปู่ศรีจันทร์) วัดศรีสุทธาวาส จ.เลย
    6. พระสุทธิสารโสภณ วัดศรีโพแท่น จ.เลย
    7. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี
    พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ เจริญพุทธมนต์ ๑๐รูป
    1. สมเด็จพระวันรัต วัดสังเวชวิศยาราม
    2. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา
    3. สมเด็จพระพุทธิวงศมุนี วัดเบญจมบพิธ
    4. พระพรหมคุณากรณ์ วัดสระเกศ
    5. พระธรรมวราลังการ วัดบุปผาราม
    6. พระธรรมวิสุทธาจารย์ วัดพิชัยญาติการาม
    7. พระธรรมธีรราชมหามุนี วัดปากน้ำ
    8. พระราชสารมุนี วัดเขมาภิรตาราม
    9. พระปริยัติเมธี วัดมกุฎกษัตริย์
    10. พระอุดมศีลคุณ วัดบุรณศิริมาตยาราม
    2. วันอังคาร 6 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    2. หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี
    3. พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดอภัยดำรงธรรม สกลนคร
    4. หลวงพ่ออ่อนสี วัดพระงาม หนองคาย
    5. หลวงพ่อมา วัดวิเวกอาศรม ร้อยเอ็ด
    6. พระโพธิสังวรเถร (หลวงพ่อฑูรย์) วัดโพธินิมิต ธนบุรี
    7. พ่อหลวงเปลื้อง ปญญานโต วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
    3. วันพุธ 7 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    2. พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดอภัยดำรงธรรม สกลนคร
    3. พ่อหลวงเปลื้อง ปญญานโต วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
    4. หลวงพ่ออ่อนสี วัดพระงาม หนองคาย
    5. หลวงพ่ออ่อน วัดประชานิยม กาฬสินธุ์
    6. หลวงปู่สี มหาวีโร วัดประชาคมฯ ร้อยเอ็ด
    7. หลวงพ่อชา วัดศรีแก่งคร้อ ชัยภูมิ
    8. หลวงพ่อชม วัดป่าบ้านบัวค่อม อุดรธานี
    9. หลวงพ่อบุญมา วัดอุดมคงคาคีรีเขต
    10. หลวงพ่อมา วัดวิเวกฯ ร้อยเอ็ด
    4. วันพฤหัสบดี 8 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    2. พ่อหลวงเปลื้อง ปญญานโต วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
    3. หลวงปู่สี มหาวีโร วัดประชาคมฯ ร้อยเอ็ด
    4. หลวงพ่อบุญมา วัดอุดมคงคาคีรีเขต
    5. พระอาจารย์สาม วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์
    6. หลวงพ่อจ้อย วัดสุวรรณประดิษฐ์ สุราษฎร์ธานี
    7. หลวงพ่อบุญรักษ์ วัดคงคาวดี สิชล นครศรีธรรมราช
    8. หลวงพ่อเหรียญ วัดป่าอรัญญบรรพต หนองคาย
    9. พระอาจารย์บัวพา วัดป่าพระสถิต หนองคาย
    5. วันศุกร์ 9 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    2. พ่อหลวงเปลื้อง ปญญานโต วัดบางแก้วผดุงธรรม จ.พัทลุง
    3. หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาละวัน นครราชสีมา
    4. หลวงพ่อโชติ วัดภูเขาแก้ว อุบลฯ
    5. หลวงพ่อพั่ว วัดบ้านนาเจริญ อุบลฯ
    6. พระอาจารย์สมชาย วัดเขาสุกิม จันทบุรี
    7. หลวงพ่อจันทร์(อายุ ๑๐๒ปี) วัดนามะตูม ชลบุรี
    6. วันเสาร์ 10 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    1. สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรฯ
    2. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    3. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี สมุทรสงคราม
    4. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี
    5. หลวงพ่อเก็บ วัดดอนเจดีย์ สุพรรณบุรี
    6. หลวงพ่อสนิท วัดศีลขันธาราม อ่างทอง
    7. หลวงพ่อซ้วน วัดลาดใต้ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
    7. วันอาทิตย์ 11 ก.ค. 2519
    พระเกจิคณาจารย์ที่นั่งปรกปลุกเสก
    ตอนกลางวัน (เวลา 13.00 - 1600 น.) หลวงปู่ธูป วัดสุทรธรรมทาน(วัดแค) กทม. นั่งปรกบริกรรมภาวนาเดี่ยว 4 ชั่วโมงเต็ม
    ตอนค่ำ 1. สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรฯ
    2. พระสังวรวิมลเถระ (หลวงปู่โต๊ะ) วัดประดู่ฉิมพลี
    3. หลวงพ่อซ้วน วัดลาดใต้ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
    4. พระอาจารย์ผ่อง วัดสามปลื้ม กทม.
    5. หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาฯ ธนบุรี
    6. หลวงพ่อสา วัดราชนัดดา กทม.
    7. พระครูสงัด วัดพระเชตุพนฯ กท
    ในวันที่ 12 ก.ค. 2519 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เสด็จพระราชดำเนิน ทรงเจิมและสุหร่าย สมเด็จนางพญา ส.ก.และพระสมเด็จอุณาโลม ในเวลา 16.00 น. ณ พระอุโบสถคณะรังษี วัดบวรฯ
    รายนามพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์เจริญชัยมงคลคาถา ๑๐ รูป
    1. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผติการาม
    2. พระสาสนโสภณ วัดเทพศิรินทราวาส
    3. พระพุทธพจน์วราภรณ์ วัดราชบพิธ
    4. พระญาณวโรดม วัดบวรราชนิเวศ
    5. พระธรรมปาโมกข์ วัดราชประดิษฐ์
    6. พระธรรมเสนานี วัดพระเชตุพนฯ
    7. พระธรรมวราภรณ์ วัดนรนาทสุนทริการาม
    8. พระเทพวราภรณ์ วัดบุรณศิริมาตยาราม
    9. พระเทพปัญญากวี วัดราชาธิวาส
    10 พระเทพกวี วัดบวรฯ
    พระสมเด็จทรงจิตรลดา และ พระนางพญา ส.ก. นั้น เป็นพระที่มีเนื้อหามวลสารดีเยี่ยมที่สุดเท่าที่คณะบุคคลจะพึงทำได้ โดยมีมวลสารหลักคือกระเบื้องพระอุโบสถของทั้งสองหลังและยังแสวงหาผงพุทธคุณต่าง ๆ จากพระเถราจารย์ทั่วประเทศ ซึ่งมีทั้งพระสายกรรมฐานและพระสายวิชา ว่าน-ยา ที่รวมแล้วมีกว่าพันชนิดมิใช่ 108 ดังที่นิยมทั่วไป แร่ธาตุศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศจากสถานที่ต่าง ๆ ทุกมุมเมืองเกือบสองร้อยรายการ เส้นเกศาของพระสุปฏิปันโนซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปของพุทธศาสนิกชน องค์หลักก็คือ เส้นพระเกศาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ย้อนยุคขึ้นไปหลายพระองค์ เส้นเกศาของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ชอบ ฐานสโม สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวัฑฒโน) หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ เป็นต้น

    แม้ผงอิทธิเจอันลือลั่นว่าขลังนักของพระเดชพระคุณพระราชสังวราภิมณฑ์ (โต๊ะ อินทวัณโณ) วัดประดู่ฉิมพลี บางกอกใหญ่ ธนบุรี ท่านก็เมตตามอบให้มาผสมเนื้อตั้งชามใหญ่ และยังมีผงวิเศษต่าง ๆ ที่ไม่สามารถกล่าวได้หมด แต่เป็นมวลสารที่ไม่อาจหาได้ในพิธีกรรมไหน ๆ อีกแล้วโดยง่าย เช่น ผงฉัตรจากพระธาตุช่อแฮ จ.แพร่ ผงหินน้ำมันจากใต้ทะเลลึก 10,000 ฟุต ผงแร่ไมก้าและข้าวตอกฤาษีที่อ่างกา ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ผงธนบัตรมูลค่า 2,000 ล้านบาท ผงดินใจกลางเมืองหงสาวดี ผงหินจากบรมเจดีย์บุโรพุทโธ ประเทศอินโดนีเซีย ผงพระสมเด็จของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แท้ ๆ ผงจากสัตตัปปดลมหามงคลเศวตฉัตร ซึ่งลอยอยู่เหนือองค์พระพุทธชินสีห์ ที่สำคัญคือ ผงพระราชทานหลากชนิดจากพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีผงจิตรลดาอันลือลั่น

    ผงที่กล่าวมาก็เป็นแค่ 1 ใน 100 ของผงทั้งหมด ไม่สามารถหยิบยกมาเล่าให้ฟังได้หมด เพราะเนื้อที่จำกัดจริง ๆ จำได้ว่าคุณเนาว์ นรญาณ เคยนำประวัติพระทั้งสองพิมพ์นี้เขียนลงในศักดิ์สิทธิ์เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งผู้เขียนอยากได้พระเครื่องของหลวงปู่โต๊ะ แต่ปัจจัยน้อย ต้องรุ่นนี้เลย เสกพิธีแรก 7 วัน 7 คืน หลวงปู่โต๊ะมาทุกวันเสกเต็มที่ทุกวัน เห็นว่าท่านเมตตานั่งปรกให้วันละประมาณ 4 ชั่วโมง 4 ชม. ดังว่านั้นท่านนั่งรวดเดียว

    ใครเคารพครูบาอาจารย์รูปใดองค์ใด โดยเฉพาะสายกัมมัฏฐาน รุ่นนี้เก็บพลังจากท่านไว้มากโขทีเดียว ทั้งพระป่าพระเมือง พระวิปัสสนาและพระวิชา ร่วมกันอธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องสองพิมพ์นี้ไว้อย่างเต็มเหนี่ยว

    พระ 25 ศตวรรษ ก็ดีเลิศ แต่ถ้าดูประวัติให้ดีจะมีพระที่อัฐิเป็นพระธาตุมาร่วมพิธีน้อยมาก เป็นพระวิชาเสียเยอะ ใครชื่นชอบพระสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์ เดินตามรอยบาทพระพุทธเจ้าโดยแท้จริง ควรหาพระเครื่องรุ่นนี้มาบูชาเพื่อเป็นสิริมงคล

    ด้วยรายละเอียดดังกล่าวมานี้ จึงเชื่อได้แน่ว่า "พระสมเด็จพระอุณาโลมทรงจิตรลดา" และ "พระสมเด็จนางพญา สก."อันเป็นที่พระเครื่องที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริ, พระราชปรารภ, พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้าง, ทรงพระสุหร่าย, ทรงจุณเจิมด้วยพระองค์เองโดยตรง ตั้งแต่เบื้องต้นจนจบตลอดสายดุจนี้ จะเป็น "พระเครื่องแห่งกษัตริย์" ที่ทรงไว้ซึ่ง "พระราชบารมี" และ "พระบรมเดชานุภาพ" แห่งพระบรมมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดอย่างล้นพ้น แท้จริง และ "ของจริง" อย่างหาที่สุดมิได้

    และยิ่งการสร้างพระสมเด็จพระอุณาโลมฯและพระสมเด็จนางพญาสก.ในครั้งนี้ อยู่ภายใต้การควบคุมและกำกับดูแลของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช วัดบวรนิเวศวิหาร สมัยที่ยังเป็นที่สมเด็จพระญาณ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251225_211314.jpg IMG_20251225_211335.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,896
    ค่าพลัง:
    +21,459
    FB_IMG_1766675029106.jpg

    หลวงพ่อตั๋งวัดโพธิ์เอนเป็นเกจิร่วมยุคกับ หลวงพ่อตาบ วัดมะขามเรียง หลวงพ่อตั๋งเป็น ศิษย์หลวงพ่อโป๋ วัดวังแดงเหนือ หลวงพ่อตั๋งเป็นศิษย์ร่วมรุ่นครูบาอาจารย์เดียวกับ หลวงพ่อย้อย วัดอัมพวัน สระบุรี และ หลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ
    "เจ้าตำหรับมีดสะกดวิญญานอันลือลั่นครับ"
    คนพื้นที่อ.ท่าเรือจะเล่าสู่กัน "ตาบตาย ตั๋งติดคุก"
    ณ วงสุรา ต่างคนมั่นใจว่า มีของดี สุดท้ายเกิดการดวลมีดกันขึ้นมา สรุปคนห้อยหลวงพ่อตาบ ตาย ส่วนคนห้อยหลวงพ่อตั๋ง ไม่เป็นอะไร เลยต้องติดคุก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนอยู่ที่บุญและกรรมของแต่ล่ะคนด้วยครับ..ต่อให้มีพระดีแค่ไหนประพฤติปฎิบัติไม่ดีไม่มีศีลมีธรรมพระที่ไหนก็ไม่คุ้มครองครับ..วัตถุมงคลทั้ง2อาจารย์สุดยอดด้วยกันทั้ง2ท่านครับลูกศิษย์ท่านมากมายทั่วประเทศครับ

    เหรียญ.."รุ่นแรก"..หลวงพ่อตั๋ง วัดโพธิ์เอน ปี 2522 เหรียญประสบการณ์สูง

    สุดยอดเหรียญประสบการณ์สูงแห่งเมืองอยุธยาครับเหรียญนี้ คนพื้นที่รู้จักกันดี
    หลวงพ่อตั๋งท่านนี้พระเวทวิทยาคมสูงมาก เหรียญท่านขึ้นชื่อมากในเรื่องมหาอุด
    คงกระพันตามแบบฉบับพระเกจิเก่าแก่เมืองอยุธยาโดยแท้ ..เหรียญรุ่นเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้อุบัติขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ.2525 ผู้ประสบการณ์ไม่ประสงค์ออกนาม เมื่อประมาณปีพ.ศ.2525 มีอยู่วันหนึ่งท่านโดนยิงด้วยปืนลูกซองระยะประมาณ5วาเศษเรียกว่าระยะเผาขน ลูกปืนถูกบริเวณหน้าอกและลำคอ ความแรงของลูกปืนทำให้หงายหลังลงไปนอนแผ่หลา ด้วยอานุภาพของ.เหรียญรุ่น.แรก.......ปีพ.ศ.2522........คุ้มครองแค่ผิวหนังไหม้เกรียมเป็นจุดลูกปืนเท่านั้น ท่านบอกว่าเหรียญรุ่นนี้มีคุณวิเศษในทางอยู่คงกระพัน อย่างยอดเยี่ยม ถ้าวันนั้นเหรียญหลวงพ่อตั๋งไม่คุ้มครอง ร่างคงพรุนเป็นแน่ ท่านใดที่ได้มีได้บูชาเก็บไว้ดีๆๆนะครับประวัติและเกียรติคุณของหลวงพ่อตั๋ง ที่ลำดับความมาตั้งแต่ต้นจนถึงบทสุดท้ายนี้ หวังว่าคงสร้างศรัทธาต่อท่านผู้อ่านตามสมควรโดยเฉพาะวัตถุมงคลของหลวงพ่อ เคยก่ออภินิหารทุกรุ่น แต่ไม่มีผู้ใดนำความศักดิ์สิทธิ์มาเผยแพร่ให้เลื่องลือชื่อเสียง ท่านจึงเป็นเสมือนเพชรน้ำหนึ่งที่ซ่อนแสงอยู่ในเงามืดมาโดยตลอด
    หรือแม้กระทั่งห้อยพระหลวงพ่อตั๋ง โดนพยาบาลฉีดยาเข็มแทงไม่เข้าก็เป็นที่เลื่องลือครับ

    พุทธคุณดีเยี่ยมเรื่องคงกระพัน มหาอุดเป็นที่ยอมรับของคนในพื้นที่มากครับแถมพระของท่านหลักร้อยไม่มีเก๊อีกด้วยครับ

    ประวัติ หลวงพ่อตั๋ง ปิยคุโณ
    หลวงพ่อตั๋ง ปิยคุโณ
    เดิม
    ชื่อตั๋ง เต้่าสุวรรณ เกิดวันพุธที่11 ธันวาคม พ.ศ.2455 ปีชวด ที่บ้านโพธิ์เอน ต.โพธิ์เอน อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นบุตรคุณพ่ออยู่ คุณแม่ใย เต้าสุวรรณ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา7คน
    1 นายพรหม เต้าสุวรรณ
    2น.ส.ลำยวง เต้าสุวรรณ
    3นางชิด อารมย์สุข
    4นายบุญช่วย เต้าสุวรรณ
    5นายตั๋ง เต้าสุวรรณ
    6น.ส.ติ้ง เต้าสุวรรณ
    7นายเชื้อ เต้าสุวรรณ(ถึงแก่กรรมทั้งหมด)
    อุปสมบท
    เมื่ออายุครบ20ปีได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์เอน ต.โพธิ์เอน อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 12พฤาภาคม 2475 มีพระอธิการโป๋ เจ้าอาวาสวัดวังแดงเหนือ เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระอธิการก๋งเจ้าอาวาสวัดโพธิ์เอน เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และอาจารย์โกยเป็นอนุสาวนาจารย์(พระตั๋งได้รับฉายาปิยคุโณ)
    หลวงพ่อตั๋ง มีความเป็นอยู่อย่างสมถะ พูดน้อยแต่แฝงด้วยความปราณี เป็นศิษย์ร่วมครูอาจารย์กับหลวงพ่อย้อย วัดอัมพวัน สระบุรีและหลวงพ่อแจ่ม วัดวังแดงเหนือ อยุธยา มีความขลังทางพุทธาคมคาถาเป็นอมตะ สร้างวัตถุมงคลเพื่อการสร้างพระศาสนาไม่หลายรุ่นนัก ปัจจุบันเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง หลวงพ่อตั๋ง นับเป็นพระเถราจารย์บริสุทธิ์ด้วยศิลและมีกฤษฏาอภินิหารอีกรูปหนึ่งแห่งลุ่มน้ำป่าสักตอนใต้ หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้จำพรรษาที่วัดโพธิ์เอนได้ศึกษาพระธรรมวินัยอันเป็นพระปริยัติกับหลวงพ่อก๋ง แต่ไม่ได้เข้าสอบธรรมสนามหลวง ท่านได้หันมาเอาดีทางสมถกรรมฐานและเวทมนต์คาถาโดยมีอาจารย์พ่อก๋งเป็นผู้ประสิทธิ์วิทยาคุณต่างๆ มาถึงตอนนี้ขออ้างอิงสิ่งที่น่าเชื่อถือได้สักนิด ผู้เขียนเคยกราบเรียนถามถึงความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อก๋ง ว่ามีมากน้อยเพียงไร หลวงพ่อตั๋งเล่าว่า หลวงพ่อก๋งบรรลุฌานกสิณแก่กล้า สามารถลงไปในน้ำจับปลาเป็นๆขึันมาได้ และยังเดินบนผิวน้ำได้อีกด้วย โดยเฉพาะความขลังในการเสกเป่าน้ำ พระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาก หลวงพ่อตั๋งได้รับการถ่ายทอดวิทยาตุณต่างๆ จากหลวงพ่อก๋งอย่างไม่ปิดบังอำพรางโดยเฉพาะทางสมถกรรมฐานท่านกรุณาแนะนำหลักปฏิบัติจนมีความเชี่ยวชาญ ในการเจริญภาวนา มีสมาธิจิตกล้าแข็งและว่องไว สามารถปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ ให้เกิดอานุภาพนานาประการทั้งปวง เมตตามหานิยม มหาอำนาจและคงกระพันชาตรี คุณวิเศษที่กล่าวมานี้ คือผลการเจริญกรรมฐาน จนจิตเป็นสมาธิชั้นสูง ซึ่งหลวงพ่อก๋งเป็นผู้บอกพระกรรมฐาน และชี้แนะหลักปฏิบัติแต่เริ่มแรก ต่อมาได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ กับหลวงพ่อโป๋ วัดวังแดงเหนือ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ เพื่อเพิ่มวิทยาคุณเวทมนต์คาถา ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น หลวงพ่อโป๋ท่านกรุณาถ่ายทอดวิทยาคุณต่างๆ จนหมดสิ้นเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น....รออ่านตอนต่อไปพักสายตาก่อนครับ..ยังไม่ถึงตอนดุเดือด ...มาอ่านต่อ..ยิ่งกว่านั้นท่านยังแนะนำหลักปฎิบัติการเจริญภาวนา ในบทคาถาต่างๆให้เกิดความขลังยิ่งยวดขึ้นไปอีก โดยเฉพาะวิชาทำน้ำมนต์เดือด ท่านปฎิบัติได้เข้มขลังยิ่งนัก ตอนผมบวชอยู่ เมื่อปี2521 ผมเห็นกับตา ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก จากนั้นหลวงพ่อลงมาจำพรรษาที่วัดลอดช่องเมืองกรุงเก่า ขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแข่ม เพื่อขอเรียนวิชาเรียกสูตรสนธิการทำผงพุทธคุณต่างๆ ซึ่งหลวงพ่อแช่มท่านกรุณารับไว้เป็นศิษย์ด้วยความเต็มใจ หลวงพ่อตั๋งมีความชำนาญอ่านเขียนหนังสือขอมอย่างดีเยี่ยม อักขระคาถาเลขยันต์ต่างๆ ท่านมีความรู้อยู่ในขั้นพระเถราจารย์ชั้นแนวหน้าเลยทีเดียว โดยเฉพาะผงพุทธคุณที่ท่านลบและปลุกเสกมีความศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่ว่าทรงคุณวิเศษนานัปการ หลวงพ่อตั๋งคร่ำเคร่งอยู่กับวิชาไสยศาสตร์เป็นเวลานานหลายปี หลังจากนั้น ท่านจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ทางภาคเหนือหลายแห่ง มีโอกาสเข้ากราบคารวะพระเดชพระคุณหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ พระผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองนครสวรรค์อีกด้วย มาถึงปีพ.ศ.2489 เมื่อครูอาจารย์ของหลวงพ่อถึงกาลมรณภาพลงหมด
    ต่อมาได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์ กับหลวงพ่อโป๋ วัดวังแดงเหนือ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ เพื่อเพิ่มวิทยาคุณเวทมนต์คาถา ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น หลวงพ่อโป๋ท่านกรุณาถ่ายทอดวิทยาคุณต่างๆ จนหมดสิ้นเช่นกัน ยิ่งกว่านั้น....รออ่านตอนต่อไปพักสายตาก่อนครับ..ยังไม่ถึงตอนดุเดือด ...มาอ่านต่อ..ยิ่งกว่านั้นท่านยังแนะนำหลักปฎิบัติการเจริญภาวนา ในบทคาถาต่างๆให้เกิดความขลังยิ่งยวดขึ้นไปอีก โดยเฉพาะวิชาทำน้ำมนต์เดือด ท่านปฎิบัติได้เข้มขลังยิ่งนัก ตอนผมบวชอยู่ เมื่อปี2521 ผมเห็นกับตา ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก จากนั้นหลวงพ่อลงมาจำพรรษาที่วัดลอดช่องเมืองกรุงเก่า ขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแข่ม เพื่อขอเรียนวิชาเรียกสูตรสนธิการทำผงพุทธคุณต่างๆ ซึ่งหลวงพ่อแช่มท่านกรุณารับไว้เป็นศิษย์ด้วยความเต็มใจ หลวงพ่อตั๋งมีความชำนาญอ่านเขียนหนังสือขอมอย่างดีเยี่ยม อักขระคาถาเลขยันต์ต่างๆ ท่านมีความรู้อยู่ในขั้นพระเถราจารย์ชั้นแนวหน้าเลยทีเดียว โดยเฉพาะผงพุทธคุณที่ท่านลบและปลุกเสกมีความศักดิ์สิทธิ์ชนิดที่ว่าทรงคุณวิเศษนานัปการ หลวงพ่อตั๋งคร่ำเคร่งอยู่กับวิชาไสยศาสตร์เป็นเวลานานหลายปี หลังจากนั้น ท่านจาริกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ ทางภาคเหนือหลายแห่ง มีโอกาสเข้ากราบคารวะพระเดชพระคุณหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ พระผู้ทรงความศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองนครสวรรค์อีกด้วย มาถึงปีพ.ศ.2489 เมื่อครูอาจารย์ของหลวงพ่อถึงกาลมรณภาพลงหมด
    ช่วงนั้นวัดโพธิ์เอนว่างเจ้าอาวาสคณะสงฆ์จึแต่งตั้งให้ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดโพธิ์เอนสืบต่อมาจนถึง พ.ศ.2538 หลังจากเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์เอนแล้ว หลวงพ่อได้ปฎิสังขรณ์และก่อสร้างอาคารเสนาสนะต่างๆ ที่ชำรุดทรุดโทรมอย่างเต็มสติกำลัง ตามความสามารรถ ท่านทุ่มเทกำลังกายกำลังความคิดและมีอุตสาหะวิริยะอย่างยอดเยี่ยม
    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้อุบัติขึ้นเมื่อประมาณปีพ.ศ.2525 ผู้ประสบการณ์ไม่ประสงค์ออกนาม ปัจจุบันท่านอยู่ในเพศบรรชิต กรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อประมาณปีพ.ศ.2525 มีอยู่วันหนึ่งท่านโดนยิงด้วยปืนลูกซองระยะประมาณ5วาเศษเรียกว่าระยะเผาขน ลูกปืนถูกบริเวณหน้าอกและลำคอ ความแรงของลูกปืนทำให้หงายหลังลงไปนอนแผ่หลา ด้วยอานุภาพของ........เหรียญรุ่นแรก.......ปีพ.ศ.2522........คุ้มครองแค่ผิวหนังไหม้เกรียมเป็นจุดลูกปืนเท่านั้น ท่านบอกว่าเหรียญรุ่นนี้มีคุณวิเศษในทางอยู่คงกระพัน อย่างยอดเยี่ยม ถ้าวันนั้นเหรียญหลวงพ่อตั๋งไม่คุ้มครอง ร่างคงพรุนเป็นแน่ ท่านใดที่ได้บูชาไปจากรายการช็อคโลก เก็บรักษาไว้ให้ดีนะครับ ประวัติและเกียรติคุณของหลวงพ่อตั๋ง ที่ลำดับความมาตั้งแต่ต้นจนถึงบทสุดท้ายนี้ หวังว่าคงสร้างศรัทธาต่อท่านผู้อ่านตามสมควรโดยเฉพาะวัตถุมงคลของหลวงพ่อ เคยก่ออภินิหารทุกรุ่น แต่ไม่มีผู้ใดนำความศักดิ์สิทธิ์มาเผยแพร่ให้เลื่องลือชื่อเสียง ท่านจึงเป็นเสมือนเพชรน้ำหนึ่งที่ซ่อนแสงอยู่ในเงามืดมาโดยตลอด
    วัตถุมงคลของหลวงพ่อมีประสบการณ์ทุกรุ่น

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ชุด ๓ องค์
    ๑.พระสมเด็จหลังยันต์นูน ทันยุคหลวงพ่อ
    ๒.เหรียญหยดน้ำกะไหล่ทอง
    ๓.เหรียญเสมาปี๒๕๓๔

    ให้บูชา 270 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20251225_220239.jpg IMG_20251225_220300.jpg
     
  11. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,389
    ค่าพลัง:
    +7,550

แชร์หน้านี้

Loading...