เสกจนเหรียญแตกรุ่นแรกหลวงพ่อไวย์๑ใน๑๖เกจิพิธีจตุรพิธพรขัยเหรียญและพระผงลพ.คลี่ประชาโฆษิตาราม

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    หลวงพ่อบัวเผื่อนท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อพรหมวัดช่องแคหลวงพ่อโอดวัดจันเสนเมื่อมรณภาพแล้ว สังขารไม่เน่าเปื่อย
    ไปตามกาลเวลา ลองหาอ่านประวัติหลวงพ่อก่อนครับ
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    1704298325606-jpg.jpg

    ปัจจุบันสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย เหมือน คนนอนหลับในโลงแก้ว ผิดจาก เกจิอาจารย์ท่านอื่นๆ วัตถุมงคลท่านยังราคาเบาๆ 30 กว่าปี แล้ว ครับ
    พระสมเด็จยุคแรกหลวงพ่อบัวเผื่อนและรูปหล่อนั่งเสือให้บูชาชุดละ 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับมี 2 ชุด


    ชุดที่ ๑

    IMG_20240116_145508.jpg IMG_20240116_145526.jpg

    ชุดที่ ๒

    IMG_20240116_145554.jpg IMG_20240116_145619.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    วัดชลอ ตั้งอยู่ที่ตำบลวัดชลอ ถ.บางกรวย-ไทยน้อย อ.บางกรวย จ.นนทุบรี วัดนี้มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้เสด็จทางชลมารคมาตามลำเจ้าพระยา ผ่านเมืองนนทบุรีเรื่อยมาทางคลอง "ลัด" ในปัจจุบันเรียกว่า "คลองบางกรวย" พระองค์ทรงเห็นว่า ที่ตรงนี้น่าจะมีการสร้างวัดขึ้นมาสักวัดหนึ่ง แต่เนื่องจากบริเวณนั้นในอดีตเคยมีเรือสำเภาจากเมืองจีนล่มและจมลง มีลูกเรือล้มตายมาก มีความเชื่อว่าเป็นที่อาถรรพ์ ในระหว่างการก่อสร้างก็มีอุปสรรคนานัปการ จึงทรงเสี่ยงสัตยาธิษฐานกับเทพยดาและมีพระสุบินนิมิตไปว่า ชายจีนชรามากราบทูลว่า ต้องสร้างโบสถ์เป็นรูปเรือสำเภาเพื่อการแก้เคล็ด จึงทรงสร้างโบสถ์เป็นรูปเรือสำเภา
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ได้พระราชทานนามวัดดังกล่าวว่า "วัดชลอ" วัดชลอถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่ามาโดยตลอด เพิ่งจะมีพระภิกษุมาจำพรรษาในรัชกาลที่ 3 หรือรัชกาลที่ 4 นี้เอง
    ประวัติพระครูนนทปัญญาวิมล (หลวงพ่อสุเทพ)
    หลวงพ่อสุเทพ เกิดที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดใกล้บาน เมื่อจบ ป.4 ท่านก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะโยมแม่เสีย โยมบิดาเกรงว่าท่านจะลำบาก จึงนำท่านไปฝากเป็นศิษย์หลวงปู่เมือง สุวัณโณ เจ้าอาวาสวัดศรีสุวรรณาราม ท่านได้รับอบรมสั่งสอนศีลธรรม ฝึกให้นั่งกรรมฐานจนหลวงพ่อซาบซึ้งในรสพระธรรม และได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปี พ.ศ.2489 ซึ่งในขณะนั้นหลวงพ่อมีอายุเพียง 15 ปี
    ในปี พ.ศ.2491 หลวงพ่อได้ไปศึกษาธรรมะกับหลวงพ่อเชย วัดสันติวราราม ที่เกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี ครั้นถึงปี พ.ศ.2403 หลวงปู่เมือง พระอาจารย์ของท่านก็มรณภาพในท่านั่งสมาธิ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ท่านตัดสินใจอยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ต่อไป จากนั้นท่านก็เริ่มศึกษาหาความรู้ทางด้านเวทย์มนต์คาถา ตำรายาแผนโบราณ ตำรายาสมุนไพรต่างๆ พระอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาต่างๆ ให้ท่านก็คือ หลวงปู่ชนก (โยมบิดา) หลวงพ่อเชย, หลวงปู่สุวัจ และพระอาจารย์ศรีนวล
    ท่านได้บรรพชาโดยมีท่านพระอาจารย์พระครูสุขุมจริยคุณ วัดสุขุม อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้อุปสมบทเป็นภิกษุ โดยมีท่านพระอาจารย์พระครูประภาสภูมิสถิต วัดคงคาสวัสดิ์ อ.ปากพนักง จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากนั้นท่านก็ออกเดินธุดงค์ไปตามจังหวัดต่างๆ ในทางภาคใต้โดยเฉพาะจังหวัดสงขลา ท่านเข้าไปนั่งกรรมฐานภายในป่าช้าทุกวัน
    ในปี พ.ศ.2497 ท่านก็ได้มาจำพรรษาที่วัดพิกุลทอง ไปเรียนนักธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ครั้นถึงปี พ.ศ.2509 หลวงพ่อก็ได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดชลอ ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก หลวงพ่อได้อาศัยความพยายามและความอดทนในการพัฒนาวัด จนเริญรุ่งเรืองตามลำดับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ.

    พระสมเด็จวัดชลอรุ่นพิเศษ ให้บูชา 999 บาทครับ หายากนะครับ รุ่นนี้ สภาพเดิมๆ ใบฝอยเดิมครับ

    IMG_20240116_154453.jpg IMG_20240116_154516.jpg IMG_20240116_154536.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1607774998987-jpg-jpg.jpg

    หลวงปู่สำลี ปภาโส พระอริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน เทพเจ้าแห่งผืนป่าดงพญาเย็นในตำนาน.ปฐมบท 1 ชาติภูมิกำเนิด หลวงปู่สำลี ปภาโส เกิดวันพฤหัสบดี เดือน 6 ขึ้น 7 ค่ำ ปี ชวด พ.ศ. 2417โยมบิดาชื่อรงค์ พื้นเพเดิมเป็นคนเมืองปราจีนบุรี เดินทางเข้าๆออกๆระหว่างไทยกับกัมพูชา สมัยก่อนนั้นประเทศกัมพูชายังมิได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์ คนไทนคนกัมพูชาเข้าออกได้ ติดต่อทำมาค้าขายเพราะถือเสมือนเมืองพี่เมืองน้อง หลวงปู่เล่าว่า โยมบิดาเดินทางไปเที่ยวถึงเมืองพนมเปญ ได้พบกับโยมมารดารักไคร่และสู่ขอกัน ส่วนประเพณีก็เหมือนกับคนลาวมีการเซ่นไก่ไหว้ผี เมื่อเสร็จพิธีเซ่นไก่ไหว้ผีแล้วโยมบิดาของหลวงปู่ก็พาโยมมารดากลับมาเมืองไทยอยู่ที่เมืองปราจีนบุรี หลวงปู่เกิดมาอายุได้ 4-5 ขวบ โยมบิดาก็ถึงแก่กรรม โยมมารดาของท่านจึงได้พาหลวงปู่กลับเมืองพนมเปญ ประเทศกัมพูชา หลวงปู่เป็นกำพร้าบิดามาแต่เล็กแต่น้อย โยมมารดาก็พยายามกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมาด้วยความทนุถนอม จนหลวงปู่อายุได้ 7-8 ขวบ โยมมารดาก็นำไปฝากกับเจ้าอาวาสวัดดาลาวัณ เพื่อให้ศึกษาหาความรู้ พอหลวงปู่อายุได้ 11 ขวบก็บวชเป็นสามเณร พอเรียนภาษาขอมได้คล่องแคล่วแล้วหลวงปู่ก็หันเข้าร่ำเรียนทางไสยเวทย์ ไสยศาสตร์ เมตตา มหา นิยม คงกระพันชาตรี เป่าเสกคาถาอาคม ผูกหุ่น กำบังกายหายตัว หมอยารักษาโรค และหมอดู พออายุของหลวงปู่ 16 ปีก็ขออนุญาตโยมมารดากลับเข้ามาเมืองไทย เพื่อสืบเสาะหาญาติข้างโยมบิดา ทางฝ่ายโยมมารดาก็อนุญาต ตอนที่ 2 เดิมทีนั้น หลวงปู่ชื่อกล่ำ ต่อมาผิวของท่านขาวผิดพ่อผิดแม่ โยมมารดาจึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า สำลี เมื่อสามเณรสำลีได้รับอนุญาตจากโยมมารดาแล้ว ก็ออกเดินทางจากกรุงพนมเปญเป็นครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2433 ท่านเล่าว่าในสมัยนั้นการคมนาคมของกัมพูชายังไม่เจริญ จากกรุงพนมเปญมายังจังหวัดพระตะบองอำเถอปอยเปต ไม่มีรถยนต์ ต้องเดินบุกป่าฝ่าดง ถ้าหน้าฝนก็มีไข้ป่าชุกชุม การเดินทางลำบากมาก หลวงปู่เล่าว่า จากวัดดาลาวัณในนครพนมเปญ กว่าจะถึงอำเภอปอยเปตเขตแดนระหว่างไทยกัมพูชา นับเป็นเวลาเดือนเศษ เมื่อมาถึงปอยเปต ก็แจ้งกับเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าด่าน ผ่านข้ามสะพานคลองลึกเข้ามาด่านไทยอรัญประเทศ สมัยนั้นเข้าออกง่าย ยิ่งมาในลักษณะของชาว กัมพูชา เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยก็ไม่พิถีพิถันอะไรมากนัก สำคัญอยู่ที่ว่าภาษาพูดทำให้ลำบากใจมาก เพราะหลวงปู่ไปกับโยมมารดาตั้งแต่อายุ 4-5 ขวบ จนถึงอายุ 16 ปี มีชีวิตเติบโตอยู่ในกัมพูชา แต่ท่านก็โชคดีมากได้พบกับสามเณรเชื้อชาติกัมพูขาสัญชาติไทย จึงได้ชวนมาเป็นเพื่อนเดินทางขึ้นรถไฟจากอรัญประเทศมาลงที่สถานีรถไฟปราจีนบุรี สองสามเณรหันเหไม่รู้จะไปถามใคร จึงพากันไปที่วัดแห่งหนึ่งใกล้ๆกับสถานีรถไฟ ขอพักอาศัยกับหลวงตาแก่ๆองค์หนึ่ง อยู่ที่วัดนั้นหลายวันภาษาก็ชักจะคุ้นหู หัดพูดกับเพื่อนสามเณรจากภาษากัมพูชาแปลเป็นไทย ในที่สุดหลวงปู่ก็พูดได้ สามเณรเพื่อนลากลับอรัญประเทศ หลวงปู่ยังคงอยู่ที่วัดนั้นต่อไป อาศัยว่าสามเณรสำลีมีวิชาทางพยากรณ์อยู่บ้างจึงมีญาติโยมเอื้อเอ็นดู มีประชาชนมาให้สามเณรสำลีดูโฉลกโชคชะตา สามเณรน้อยก็ทายได้อย่างแม่นยำ ในการต่อมาทำให้สามเณรสำลีรู้จักกับญาติโยมอย่างกว้างขวาง สามเณรน้อยก็พยายามสืบเสาะจนพบปู่ย่า เมื่อปู่ย่าได้ พบหลานในใส้ ต่างก็พากันร้องห่มร้องไห้ ได้ถามถึงโยมมารดา สามเณรได้เล่าให้ปู่ย่าฟังโดยตลอด ยิ่งเห็นสามเณรน้อยผู้เป็นหลานก็ทำให้ปู่ย่าคิดถึงลูกชายของแกเอง เพราะสามเณรหลานรูปร่างถอดแบบพ่อไว้ไม่มีผิด ระยะที่ท่านมาอยู่ประเทศไทยก็ไปๆมาๆอยู่เสมอ ทำให้ท่านพูดภาษาไทยได้คล่อง เมื่อพูดภาษาได้แล้ว ท่านก็เริ่มเรียนหนังสือไทย ประกอบกับหลวงปู่ท่านมีพรสวรรค์อยู่ในตัว ท่านจึงเขียนหนังสือไทยได้คล่องในระยะต่อมา ในขณะที่หลวงปู่เป็นสามเณรอยู่ในเมืองไทย ท่านได้ไปเที่ยวยังจังหวัดต่างๆ เช่น กรุงเทพฯ ชลบุรี อยุธยา สระบุรี และท่าน คิดจะไปอีกหลายจังหวัด แต่ขณะนั้นอายุท่านใกล้จะครบบวช ท่านจึงได้ลาปู่ย่า เดินทางกลับไปบวชในกรุงพนมเปญ อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของโยมมารดา ท่านกลับไปอยู่กรุงพนมเปญได้หนึ่งปีอายุท่านก็ครบบวชพอดี โยมมารดา-ยาย ญาติพี่น้องทางฝ่ายโยมมารดาก็พากันอนุโมทนา หลวงปู่บวชเมื่ออายุครบ 21 ปี ตรงกับ พ.ศ. 2438 บวชที่วัดดาลาวัณ อยู่ที่ชานกรุงพนมเปญ ผู้เขียนเคยถามถึง พระอุปัชฌาย์ และคู่สวด หลวงปู่บอกว่า ลืมหมดแล้วมันเกือบร้อยปีมาแล้ว มีฉายาว่า “ปภาโส”
    ตอนที่ 3 ครั้นเมื่อหลวงปู่อุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้ว หลวงปู่ก็ศึกษาธรรมวินัย อันเป็นธรรมปฏิบัติของพุทธวจนะ หลวงปู่จำพรรษาอยู่ที่วัดดาลาวัณได้ 3 พรรษา ท่านก็คิดจะออกแสวงหาธรรม จึงได้ชวนสงฆ์กัมพูชาด้วยกันอีก 5 รูปด้วยกันเดินธุดงค์ จากวัดดาลาวัณ ณ เดือน 11 ขึ้น 1 ค่ำ พ.ศ. 2438 โดยเดินทางจากวัดดาลาวัณกรุงพนมเปญมาข้ามเข้าเขตประเทศไทย ทางด้านเขาพระวิหาร จังหวัดสุรินทร์ พอเข้าเขตประเทศไทย หลวงปู่กับพระสงฆ์ไทยอีก 5 รูป เลยชวนกันร่วมเดินทางไปด้วยกัน รวมเป็น 11 รูป ตกลงกันว่าจะไปไหนไปกัน โดยมีหลวงปู่สำลี ปภาโส เป็นหัวหน้าเป็นผู้นำจากเขาพระวิหารชายแดนที่พากันบุกป่าเขาลำเนาไพร ใกล้ค่ำที่ไหนก็ปักกลดที่นั่น หลวงปู่เล่าว่าเดินธุดงค์ในเมืองไทย เรายังดีในป่าในดงก็ยังมีบ้านมีช่อง เป็นระยะๆ เดินธุดงค์ในประเทศพม่าบางที 7 วันไม่เคยฉันข้าวเลยสักคำ หลวงปู่กับพระที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ท่านอยู่ได้อย่างไร อดใจอ่านต่อไป ให้หลวงปู่ข้ามเข้าเมืองพม่าเสียก่อน แล้วท่านผู้อ่านจะทราบว่าหลวงปู่กับพระทั้ง 10 รุป ท่านมีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร จากจังหวัดสุรินทร์ผ่านเข้าจังหวัดกาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น มาตามลำดับ ผู้เขียนถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่ไม่พบกับพระอาจารย์ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ดุลย์ หลวงพ่อผางบ้างหรือขอรับ พบทั้งนั้นแหละถามทำไม หลวงปู่ท่านย้อนถาม กระผมคิดว่าหลวงปู่จะไปขอเรียนวิชาจากพระเกจิอาจารย์ดังที่กล่าวบ้าง เขาเกิดทีหลังตั้งเยอะ กำลังบวชเป็นเณรบ้าง เพิ่งบวชพระใหม่ๆบ้าง มีแต่อาจารย์เหล่านั้นจะมาขอเรียนวิชาจากเรา เขาเห็นเราเป็นพระกัมพูชา แต่เราไม่มีเวลาสอนให้เขา เราจะต้องเดินให้ถึงประเทศพม่า ผู้เขียนถามต่อไปอีกว่า ในการเดินธุดงค์ของหลวงปู่ ผ่านอุปสรรคอะไรบ้างที่แปลกและมหัศจรรย์มาก อ้าว… ไม่ยักถามเมื่อก่อนเดินธุดงค์อยู่ในกัมพูชา (หลวงปู่พูด) ตอนนั้นธุดงองค์เดียว ได้ไปพบอาจารย์อายุ 100 กว่าปี อยู่ในถ้ำแขวงเมืองกำปงธบ อาจารย์ผู้เฒ่าองค์นั้นแนะนำว่า ท่านอยากจะมีอายุยืนและก็ โน่นไปบิณฑบาตทางโน้น พร้อมกับอาจารย์ผู้เฒ่าขี้มือ ไปทางทิศเหนือของประเทศ พอรุ่งขึ้นเช้าหลวงปู่สำลี ปภาโส ก็ออกไปบิณฑบาตตามทิศทางที่พระอาจารย์เฒ่าบอก หลวงปู่บอกว่า ได้พบหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีผู้คนมากพอสมควร แต่ละคนล้วนมีรูปร่างหน้าตาสวยงามทั้งนั้น แต่ไม่ยักเห็นผู้ชาย หรือเขาจะออกไปทำงานกันหมด มีผู้หญิงออกมาใส่บาตร ข้าวที่นำมาใส่บาตรเมล็ดสวยมีกลิ่นหอม กับข้าวมีเป็นของแห้งจำไม่ได้ว่าเป็นอะไร เมื่อบิณฑบาตเสร็จก็กลับไปที่ปักกลด ลงมือฉันข้าวทั้งหอมทั้งอร่อย พอรุ่งขึ้นอีกวันก็ไปบิณฑบาตร ที่เก่า แต่ปรากฏว่า หมู่บ้านที่ไปบิณฑบาตรเมื่อวันวาน ไม่มีบ้านสักหลัง ทั้งๆที่หมายตาไว้ไม่ผิดแน่นอน กลับมาหาพระอาจารย์ผู้เฒ่า เล่าเรื่องราวให้ท่านฟัง พระอาจารย์เฒ่าองค์นั้นบอกว่า นั่นแหละหมู่บ้านลับแล ใครมีบุญจริงๆ ๆจึงจะได้พบเห็น อาตมาก็ได้ฉันข้าทิพย์ของคนเมืองลับแล จึงได้มีอายุยืนมาถึงร้อยกว่าปี นี่คือข้อความที่หลวงปู่สำลี ปภาโส ได้กรุณาเล่าย้อนให้ผู้เขียนฟัง ตอนที่ 4 เรื่องราวของหลวงปู่สำลีอายุ 115 ปี ยังมีความเร้นลับน่าศึกษา และติดตามรอยเท้าของท่านต่อไป ณ ที่เขตบ้านแห่งหนึ่งท้องที่อำเภอเมืองมหาสารคาม หลวงปู่ปักกลดอยู่ 2-3 วัน ในฐานะหลวงปู่เป็นพระกัมพูชาผู้เรืองวิชา ก็ชอบที่ผู้ เรืองวิชาด้วยกันจะทดลองว่าวิชาใครจะเหนือกว่าใคร ในเช้าวันหนึ่ง เมื่อหลวงปู่กลับจากบิณฑบาตในหมู่บ้านแล้ว ได้มีผู้ที่เลื่อมใสในการบุญการกุศลได้นำเอาข้าวปลาอาหารมาถวายท่าน พระนั่งฉันวงละ 5 องค์ 1 วง วงละ 6 องค์อีก 1 วง ที่มี 6 องค์มีหลวงปู่ร่วมอยู่ด้วย ก่อนจะฉันส่งทุกองค์จะต้องถวายข้าวพระ พอถวายแล้ว มีพระองค์หนึ่งที่นั่งร่วมวง จะลงมือตักแกงเนื้อก่อน หลวงปู่ปัดมือห้ามไว้ พระร่วมวงฉันต่างก็มองหลวงปู่ หลวงปู่นั่งภาวนาคาถาอยู่ครู่หนึ่ง เอามือจับถ้วยแกงเนื้อ แกงเนื้อที่อยู่ในถ้วยก็เดือดพล่านขึ้น นายคนที่ลองวิชาของหลวงปู่ถึงกับตะลึง หลวงปู่พูดขึ้นว่า “เรามันเสือเหมือนกัน กินกันไม่ลงหรอก” นายคนที่ลองวิชาคลานเข้าไปกราบหลวงปู่ขอขมาอภัย แล้วก็พากันกลับไป ผู้เขียนถามหลวงปู่อีกว่า ในถ้วยแกงเนื้อมีอะไรขอรับ หลวงปู่บอกจะมีอะไรเสียอีกล่ะ ก็มีหนังควายทั้งแผ่นนะสิ เพราะเขาก็มีวิชาเหมือนกัน หนังควายขนาดเท่าฝ่ามือ เขามีวิชานั่งบริกรรมเป่าเสกให้หดเหลือเท่าชิ้นเนื้อแกง ถ้าใครไม่มีวิชาแก้ กินเข้าไปหนังควายก็จะคลายออกเท่าฝ่ามือเหมือนเดิม แล้วอะไรจะเกิดขึ้น ตายลูกเดียว
    จากนั้นหลวงปู่ก็ได้เล่าถึงการเดินธุดงค์ของท่านต่อไป ออกจากจังหวัดมหาสารคาม เดินต่อไปทางจังหวัดขอนแก่น บางครั้งก็มีญาติโยมออกค่ารถให้บ้าง บางครั้งก็ต้องเดินป่าไปตลอด ผ่านเพชรบูรณ์ พิษณุโลก แวะเข้านมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์ ต่อไปจังหวัดลำปาง เชียงใหม่ จุดหมายจะออกไปประเทศพม่า ด้านอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย เมื่อหลวงปู่สำลีกับพระที่ร่วมเดินธุดงค์อีก 10 องค์ ข้ามเข้าเขตประเทศพม่าแล้ว ก็เดินทางล่องไปทางใต้ หลวงปู่ หยุดปักกลดในเขตอำเภอเมียววดี หลวงปู่บอกว่า คนพม่าเขาก็ใจบุญ เห็นพระผ่านไปเขาก็ยกมือไหว้ พระธุดงค์ออกบิณฑบาตตามตลาดหรือตามบ้านเรือน เช้าก็จัดข้าวจะแกงมาใส่บาตร หลวงปู่ปักกลดอยู่ที่อำเภอเมียววดี 2-3 วัน ก็ออกเดินทางต่อไปยังเมืองทวาย ก่อนจะเข้าถึงเมืองทวาย ต้องผ่านภูเขาตะนาวศรี ทางข้ามเขาตะนาวศรี ลำบากมากเพราะเป็นดงหิน เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด ก่อนที่หลวงปู่จะเดินทางข้ามเขตตะนาวศรี มีชาวพม่าบอกกับหลวงปู่ว่า มีทางเดียวที่จะข้ามเขาได้แต่ก็ต้องผ่านดงเสือดงช้าง ซึ่งเป็นสัตว์ที่ดุร้ายมาก หลวงปู่ไม่ควรจะไป แต่หลวงปู่ก็ไม่ละความตั้งใจ คงพาพระที่ร่วมเดินทางทั้ง 10 องค์ เดินทางต่อไป และเย็นวันนั้นเอง หลวงปู่ก็ต้องปักกลดในกลางดงหิน เป็นที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับประชาชนคนธรรมดา แต่หลวงปู่เป็นพระสงฆ์ที่เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม มีศิลาจารวัตรอันงดงาม ถ้าท่านผู้อ่านจะถามผู้เขียนว่า ศิลาจารวัตร และเมตตาธรรมจะหยุดยั้งความดุร้ายของเสือช้างได้ลงหรือ ท่านผู้อ่านครับ ถ้าท่านจะถามผู้เขียนอย่างนั้นก็ถามได้ตามสิทธิของท่าน แต่ท่านผู้อ่านอย่าลืมว่า หลวงปู่สำลี ปภาโส สัญชาติไทยแต่เชื้อสายกัมพูชาคงจะต้องมีวิชาพอตัว ไม่แค่นั้นคงไม่อาจหาญ บุกบั้นเข้าสู่ดงเสือดงช้างเป็นแน่ พอตะวันตกดินได้สักครู่ หลวงปู่ก็เสกก้อนดินเข้า 8 ก้อน พอเสกแล้วหลวงปู่ก็โยนไปทิศละก้อน แล้วก็บอกกับพระทั้งหมดว่า ถ้าท่านได้ยินเสียงอะไรก็ตาม อย่าได้ตกอกตกใจ และอย่าออกจากกลดโดยเด็ดขาด พระสงฆ์ทั้งหมดเข้ากลดสวดมนต์ แต่ก็ไม่วายที่จะระแวงภัย บางองค์ก็ผล็อยหลับไปเพราะความเพลีย บางองค์ก็ไม่ยอมหลับนั่งอยู่แต่ในกลด หูก็คอยสดับรับรู้ว่าจะมีอะไรผิดปกติ เวลาสาม ล่วงเข้ายามสองเห็นจะได้ สิ่งที่พม่าชาวป่าเตือนหลวงปู่ไม่ให้ผ่านเข้าไปปักกลด ก็ได้ปรากฏขึ้นทั้ง 4 ด้าน ได้ส่งเสียงร้องคำรณคำรามอย่างกึกก้อง มันเป็นเสียงของเจ้าป่า ทำให้พระที่อยู่ในกลดตลกตกใจแทบจะเผ่นไปหาหลวงปู่ แต่ก็ยังทำจำคำของหลวงปู่ได้ว่า ถ้ามีเสียงอะไรเกิดขึ้นก็ให้อยู่แต่ในกลด ส่วนหลวงปู่สำลีนั้น ท่านก็นั่งบริกรรมพระคาถาอยู่ในกลด เจ้าเสือโคร่ง 3-4 ตัว ก็เดินวนเวียนอยู่นอกเขตที่หลวงปู่โยนก้อนดินเสกทั้ง 8 ทิศ เจ้าเสือบางตัวก็ทำท่าจะกระโจนเข้า แต่ก็ต้องผงะออกไปเหมือนมีอะไรขวางกั้น เจ้าเสือร้าย 3-4 ตัว เดินวนเวียนอยู่ช่วงหุงข้าวหม้อสุก แล้วมันก็กระโจนเข้าป่าหายตัวไป ตอนที่ 5 พอรุ่งเช้า หลวงปู่ก็สั่งพระทั้งหมดเก็บกลดออกเดินทางต่อไป โดยไม่พูดจาอะไรทั้งสิ้น มุ่งหน้าเดินทางเข้าสู่เมืองทวาย จากเทือกเขาตะนาวศรีเดินบุกป่า ผ่านถ้ำผ่านเหว ครบ 7 วันจึงบรรลุถึงเมืองทวาย มีเจ้าหน้าที่ของเมืองพม่าเข้ามาไต่ถาม หลวงปู่ก็แจ้งความประสงค์กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
    ขอขอบคุณบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระสมเด็จหลวงพ่อโตหลังหลวงพ่อสำลีวัดซับบอนให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    img_20240108_153705-jpg.jpg img_20240108_153721-jpg.jpg
     
  4. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,146
    ค่าพลัง:
    +1,189
    โอนแล้วครับ 16/01/67 จำนวน 330 บ.เวลา 21.05 น.จัดส่งที่เดิมครับ
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341

    เหรียญหลวงพ่อทองพูล สิริกาโม เมตตาบารมีปี 2546 ออก วัดป่าแสนสำราญวัฒนา
    ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240117_142439.jpg IMG_20240117_142513.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341

    เหรียญหลวงปู่สามอกิญจโนปี 2531 วัดป่าไตรวิเวก
    ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    (ปิดรายการ)
    IMG_20240117_142631.jpg IMG_20240117_142654.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2024
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341


    เหรียญพระอาจารย์วันอุตตโม ธนาคารกรุงไทยสร้าง
    ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240117_142537.jpg IMG_20240117_142607.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2024
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341


    เหรียญหลวงพ่อสังวาลย์เขมโกวัดทุ่งสามัคคีธรรมหลังหลวงพ่อเกลื่อนวัดสองเขต ให้บูชา 120 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240117_142715.jpg IMG_20240117_142739.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    49fc4d3905845c73ea8e8aeb8973e831-1.jpg
    https://plustimeday.blogspot.com/p/blog-page_69.html?m=1

    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อขันตีวัดป่าม่วงไข่หลังปู่ศรีสุทโธติดจีวร ให้บูชา 170 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240117_142816.jpg IMG_20240117_142840.jpg IMG_20240117_142754.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341




    พระสมเด็จทำบุญอายุ 80 ปีหลวงปู่ท่อน สภาพเดิมๆในซองเดิมปี 2551 ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ
    IMG_20240117_152036.jpg IMG_20240117_142909.jpg IMG_20240117_142927.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    พระครูศรีฉฬังคสังวร-หลวงปู่เริ่ม-ปรโม-วัดจุกกะเฌอ (1).jpg

    เมื่ออุปสมบทแล้วท่านก็จำพรรษาอยู่ที่วัดจุกกะเฌอ ซึ่งมีพระอาจารย์ขันธ์เป็นเจ้าอาวาส หลวงพ่อเริ่มท่านได้ศึกษาพระธรรมวินัย และปฏิบัติโดยเคร่งครัด จริยาวัตรงดงาม จนชาวบ้านเคารพเลื่อมใสศรัทธาในตัวท่าน หลวงปู่เริ่มท่านเคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟังว่า ท่านได้เคยเรียนวิชากับ หลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก

    แต่ก่อนที่หลวงพ่ออ่ำจะสอนวิชาให้นั้นท่านจะมัดมือไพล่หลังไว้กับตอไม้ที่ริมป่าช้า วัดหนองกระบอก โดยให้คาถา 4 ตัว ให้ภาวนาจนเชือกหลุด หลวงปู่เริ่มท่านทำได้ หลวงพ่ออ่ำท่านจึงรับเป็นศิษย์ โดยได้เรียนวิชาฝนแสนห่า และสีผึ้งเจ็ดจันทร์ ซึ่งเป็นวิชาเมตตามหานิยมชั้นสูง

    นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษากับพระอาจารย์เก่งๆ อีกหลายรูป เช่น เรียนวิชาทำปลัดขิกและหนังหน้าผากเสือ กับหลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ เรียนวิชาหนังหน้าผากเสือ กับหลวงพ่อสาย วัดหนองเกตุน้อย ชลบุรี เรียนวิชาทำผง ๑๒ นักษัตร จากหลวงปู่เทียน วัดโบสถ์ และได้ศึกษากับพระเกจิอาจารย์อีกหลายรูป เช่น หลวงพ่ออ๋อง วัดหนองรี จ.ชลบุรี, หลวงพ่อผุย วัดหน้าพระธาตุ พนัสนิคม, ท่านเจ้าคุณศรี วัดอ่างศิลา และได้เรียนวิปัสสนากรรมฐาน วิชาสร้างพระปิดตา วิชาโหราศาสตร์ กับสมเด็จพระสังฆราช (อยู่ ญาโณทัย) วัดสระเกศ ด้วย
    ในบันปลายชีวิต หลวงปู่เริ่ม มีอาการอาพาธด้วยโรคถุงลมโป่งพอง จึงกลับมาพักฟื้นอยู่ที่วัดจุกกะเฌอ จนปี พ.ศ.๒๕๓๖ ท่านมีสุขภาพดีขึ้นสามารถออกปฏิบัติศาสนกิจ และรับนิมนต์ไปในงานพุทธาภิเษกต่างๆ ได้

    ในวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๓๘ หลวงปู่เริ่ม ปรโม ได้มรณภาพลงด้วยอาการอันสงบ สิริอายุได้ ๙๐ ปี ๑๒ วัน พรรษาที่ ๗๐

    ◉ ด้านวัตถุมงคล
    พระครูศรีฉฬังคสังวร (หลวงปู่เริ่ม ปรโม) วัดจุกกะเฌอ พระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งเมืองชลบุรี มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุด ในหลังยุคปี ๒๕๐๐ ถือเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับ หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ จ.ระยอง

    ในห้วงที่ยังมีชีวิตอยู่ สร้างวัตถุมงคลและปลุกเสกไว้หลายรุ่นด้วยกัน บางรุ่นมีมูลค่าค่อนข้างสูง เนื่องจากมีประสบการณ์ จนกลายเป็นความเชื่อถือสืบต่อกันมา โดยเฉพาะเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ


    พระผงรูปเหมือนพิมพ์คะแนนจิ๋วหลวงปู่เริ่มปรโมให้บูชา
    100 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240117_143004.jpg IMG_20240117_143025.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2024
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1368452-5065f.jpg
    เหรียญพระแก้วมรกต รุ่นบุรณะฉัตร พ.ศ.2531 วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ประกอบพิธีพุทธาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่ โดยใช้มวลสาร ยอดฉัตร ณ วัดพระแก้วมา ผสมมวลสาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงพระมหากรุณาธิคุณเสด็จมาประกอบพิธีพุทธาภิเษกด้วยพระองค์เอง และมีพระเกจิอาจารย์เก่งๆในขณะนั้นร่วมปลุกเสกหลายองค์ อาทิ หลวงปู่ดู่(ปลุกเสกในครั้งนี้เเล้วท่านยังได้รับเชิญให้ปลุกเสกเหรียญกรมหลวงชุมพรฯ วัดราชบพิธฯ กรุงเทพฯ ปี 2531อีกด้วย ) หลวงพ่อแพ ฯลฯ เนื้อเหรียญการจัดสร้าง มีทั้งเนื้อทองคำ พร้อมกล่องกำมะหยี่ เครื่องหมาย สธ. หนัก 15.2 กรัม ตามจำนวนสั่งจอง เนื้อเงิน เเละเนื้อทองเหลือง
    1368452-1cece.jpg

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญพระแก้วมรกตให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)
    IMG_20240118_162425.jpg IMG_20240118_162508.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2024
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    FB_IMG_1705571444097.jpg
    ปู่โทน หลำแพร เป็นชาวบ้านโพธิ
    ไทร อำเภออินทร์บุรี จังหวัด
    สิงห์บุรี เมื่อสมัยยังเป็นหนุ่มน้อย
    ได้บวชเป็นสามเณรอยู่ 3 พรรษา
    และอุปสมบทเป็นพระภิกษุต่ออีก
    2 พรรษา ขณะที่บวชเรียนอยู่นั้น
    ปูโทนก็สนใจในวิชาวิปัสสนา
    กรรมฐาน ได้เคยศึกษาและปฏิบัติ
    จากูพระอาจารย์ผู้มีความรู้ทางด้
    านนี้หลายรูป
    ต่อมาแม้เมื่อได้ลาสิกขาออกมาคร
    องเพศฆราวาสแล้ว ปูโทนผู้นี้ก็ยัง
    สนใจในวิชาวิปัสสนากรรมฐานอยู่
    พยายามหาโอกาสออกแสวงหา
    สถานที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญธรรม อยู่
    ขณะที่ท่านมีอายุได้ประมาณ 30
    เสมอ
    ปี ครั้งหนึ่งก็ได้ออกไปแสวงหา
    สถานที่วิเวกเพื่อบำเพ็ญ และใน
    ที่สุดก็ได้พบกับสูถานที่ ที่ต้องการ
    แห่งหนึ่ง คือ ในถ้ำพระ ซึ่งอยู่หลัง
    เขาช่องแค อำเภอตาคลี จังหวัด
    นครสวรรค์
    พบพระครูโลกอุดร
    คืนหนึ่งขณะที่ท่านนั่งสมาธิอยู่ พอ
    จิตได้อารมณ์เป็นสมาธิแน่วนิ่งแล้วก็
    บังเกิดความประหลาดขึ้น โดยมีพระ
    ภิกษุรูปหนึ่งได้ปรากฏให้เห็นในนิมิต
    ตามคำบอกเล่าของปู่โทนบอกว่า
    พระภิกษุรูปนั้น มีลักษณะเหมือนคน
    โบราณ แต่ผิวพรรณผ่องใส มีสง่า
    ราศีน่าเคารพนับถือ ดูจากรูปร่างภาย
    นอกแล้วเห็นว่ายังหนุ่มแน่นแต่ศรีษะ
    มีหงอกขาวโพลน
    ครั้นได้เห็นพระภิกษุรูปนั้น ปู่โทนก็
    เข้าใจว่าคงจะเป็นพระอาจารย์ทางวิ
    ปัสสนากรรมฐานผู้มีญาณวิเศษ
    สามารถถอดจิ๊ตมาสนทนากันได้ใน
    นิมิต และการมาของท่านก็คงจะมา
    เพื่อสนทนาธรรมหรือช่วยชีแนะข้อ
    ธรรมกรรมฐานที่ท่านติดขัดอยู่ ปู่
    โทนจึงได้เรี้ยกถามท่านไป(ในนิ
    มิต)ว่า "พระคุณเจ้าเป็นใคร" พระ
    ภิกูษุหนุ่มผู้มีสง่าราศีน่าศรัทธายิ่งรู
    ปนั้น ก็ตอบให้ทราบว่า ท่านคือหลวง
    ปู่เทพโลกอุดร เป็นพระธุดงค์อาศัย
    อยู่ตามป่าเขาลำเนาถ้ำเป็นวัตร ที่มา
    นี่กี๊เพื่อต้องการจะมาชี้แนะธรรม
    ปฏิบัติบางอย่าง เพราะเห็นว่าอุบาสก
    โทนยังปฏิบัติไม่ถูกต้อง
    ปโทนได้ทราบอย่างนั้นก็ปลื้มปีติยิ่ง
    ปูโทนได้ทราบอย่างนั้นก็ปลื้มปีติยิ่ง
    น้ำก ที่จะได้มีพระอาจารย์ผู้มีความูร
    อบรู้มีคุณวิเศษเลิศล้ำ มาเมตตาชี้
    แนะข้อธรรมให้ ซึ่งบัดนั้นปู้โทนไม่ได้
    ทราบว่า หลวงปู่เทพโลกอุดร ที่ว่านั้น
    เป็นใครมาจากไหน เพราะว่า ท่านไม่
    เคยได้พบเจอ หรือได้ยินได้ทราบกิต
    ติศัพท์มาก่อนว่า ท่านผู้นี้อยู่ที่ไหนแต่
    ปโทนก็ยินดีที่จะน้อมรับคำแนะนำ
    เรื่องการวิปัสสนาจากพระภิกูษุผู้
    มาอย่างแปลกประหลาดรูปนี้
    หลังจากนั้นหลวงปู่เทพโลกอุดรก็
    เมตตาชี้แนะวิธีทำกรรมฐานให้กับปู่
    โทนอธิบายจนปูโทนเข้าใจดีแล้ว ก็
    หายวับไป ปูโทนกลับคีนอารมณ์ปกติ
    แต่ก็ยังจำเหตุการ์ณนั้นได้ติดูตา
    และยังปูลื้มปีติไม่หาย ปู่โทนได้คำ
    แนะนำนั้นมาปฏิบัติจนเห็นผลในเวลา
    ไม่นาน
    ครั้นบำเพ็ญธรรมกรรมฐานอยู่ที่นั่นพ
    อสมควรแล้วปโทนก็กลับมายังบ้าน
    เพื่อประกอบสั้มมาอาชีพเลี้ยงครอบ
    ครัวต่อไป แต่แม้ว่าปู่จะกลับมาอยู่
    บ้าน แต่ก็ไม่เลิกทำก้รรมฐานเสียเลย
    ยังคงบำเพ็ญอยู่อย่างสม่ำเสุมอ แต่ก็
    น้อยกว่าเวลาไปบำเพ็ญในที่วิเวก
    ตามป่าเขาลำเนาถ้ำเท่านั้นเอง และ
    หลังจากนั้นปูโทนก็ได้หาโอกาสไป
    บำเพ็ญธรรมที่ถ้ำพระนั้นอีก และก็ได้
    พบพระอาจารย์ในนิมิต ที่ท่านร้จักใน
    พบพระอาจารย์ในนิมิต ที่ท่านรู้จักใน
    นาม หลวงปู่เทพโลกอุดรมาคอยชี้
    แนะข้อธรรมะให้อีก และสอนใน
    ระดับสูงขึ้นๆ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่เทพโลกอุดรออกวัดคลองช่องแคปี 35 เนื้อผงอิทธิเจมวลสารอธิษฐานปลุกเสกโดยปู่โทน หลำแพร ศิษย์ ในหลวงปู่เทพโลกอุดรให้บูชา บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20240118_162321.jpg IMG_20240118_162345.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กุมภาพันธ์ 2024
  14. ทองทวี

    ทองทวี “นะโม วิมุตตานัง นะโม วิมุตติยา" สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    611
    ค่าพลัง:
    +1,771
    จอง
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1705575226885.jpg
    พระขุนแผนพิมพ์ใหญ่ รุ่นแรก ปี 2521 เนื้อผง หลวงพ่อตี๋ วัดบางฅณฑีใน อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม รุ่น 1 เมตตาที่สุดๆครับ อนาคตจะแพงมากและหายากมากครับ สร้างมากว่า30ปีเสกเรื่อยมาครับ ผสมผงเกจิยุคเก่ามากมาย พระหลวงปู่โต้ะเป็นสิบองค์บดผสมไปท่านกดพิมพ์ที่วัดทุกองค์ครับ


    ****ของดีราคาถูกชั่วโมงนี้ครับ ผสมผงพระหลวงปู่โต๊ะ พระปิดตาหลวงปู่โต๊ะ ตอนนี้องค์เป็นแสน แล้วครับ


    พระครูพินิจสมุทรคุณ(หลวงพ่อตี๋ สุจิณโณ) วัดบางคณฑี จ.สมุทรสงคราม หลวงพ่อตี๋ เป็นศิษย์หลายอาจารย์ โดยเฉพาะหลวงพ่อหลา อดีตเจ้าอาวาสวัดบางคณฑีใน ฯลฯ ท่านบอกว่า พระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆ จะต้องเก่งด้วยตัวเอง เพราะอาจารย์เป็นเพียงผู้สอนวิธีการเท่านั้น...การจะเก่งขลัง จะแน่ แค่ไหน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ การฝึกฝนจิต ความมุมานะ และความพากเพียรของตัวเอง มากกว่า

    ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อตี๋ จึงได้พยายามเล่าเรียนฝึกฝนด้วยตนเองมาโดยตลอด จนมั่นใจแล้วจึงได้สร้างพระเครื่องออกมาแจกแก่ลูกศิษย์ลูกหา และชาวบ้านทั่วๆ ไป

    หลวงพ่อตี๋ บอกว่า การสร้างพระทุกครั้งต้องมีเหตุมีผล ต้องมีที่มาที่ไป ไม่ใช่คิดจะสร้างก็สร้างกันทันที ที่สำคัญ การสร้างพระทุกครั้งจะสร้างกันเองที่วัด ตำผง ผสมผง กดพิมพ์กันเองที่วัดทุกขั้นตอน ไม่ได้จ้างโรงงานที่ไหนทำให้ จึงมั่นใจได้ในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระ และเพื่อให้ชาวบ้านได้รู้ว่า วัดบางคณฑีในไม่เคยสร้างพระแบบสุกเอาเผากิน ทุกอย่างล้วนกำเนิดขึ้นมาจากความตั้งใจจริงทั้งสิ้น

    การสร้างพระแต่ละครั้ง ท่านได้นำมวลสารศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ที่ได้สะสมไว้สำหรับการสร้างพระโดยเฉพาะ เช่น ผงวิเศษชนิดต่างๆ ที่ท่านได้เพียรลบผงด้วยตนเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการลบผงที่เขียนขึ้นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เช่น ในอุโบสถ หน้าโต๊ะบูชาครู ฯลฯ หรือการลบผงที่เขียนขึ้นตามฤกษ์ยาม เช่น ราชาฤกษ์ ที่เด่นทางความเจริญก้าวหน้า หรือ สมโณฤกษ์ ที่อำนวยผลทางด้านความร่มเย็น ฯลฯ

    หรือการลบผงแบบเฉพาะกิจ เช่น ขณะที่พระกำลังสวดพระปาฏิโมกข์ ก็ยังคงทำขึ้นอยู่เสมอๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการพร้อมที่จะสร้างพระได้ตลอดเวลา

    นอกจากนี้ ยังมี ดินขุยปู ที่มีความขลังในตัวของมันเอง เป็นดินที่กองอยู่บริเวณปากรูปู ซึ่งเกิดจากปูตัวผู้ได้ขุดดินในรู แล้วอมขึ้นนำมาคายไว้บริเวณปากรู เพื่อให้เป็นจุดสังเกตของปูตัวเมีย ในการเข้ามาวางไข่
    โดยเชื่อกันว่า ดินขุยปู เป็นของดีตามธรรมชาติ ในทางไสยศาสตร์ถือว่า ให้ผลทางด้านเมตตามหานิยม และถ้าต้องการให้ดินขุยปูนี้ครอบคลุมไปถึงด้านมหาอุด ครูบาอาจารย์จึงได้กำหนดไว้ว่า ให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้ากดอุดลงไปที่รูปู แล้วว่าคาถาก่อนพลีดินขุยปูนั้นมาใช้

    หลวงพ่อตี๋ ยังมี ดินกากยายักษ์ ดินที่มีสีดำสนิท จากป่าในท้องที่ อ.ยะหา จ.ยะลา เพียงแห่งเดียว ที่พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ จ.ปัตตานี นำมาใช้เป็นสวนผสมหลักอย่างหนึ่งของการสร้างพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน รุ่นแรก เมื่อปี ๒๔๙๗ โดยเชื่อว่า ดินกากยายักษ์มีเทวดาและยักษ์ คอยปกปักรักษาตลอดเวลา
    และมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว

    ดินจอมปลวก (ในป่าลึก) ผงรังต่อ (สื่อความหมายถึง ต่อลาภ ต่อเงิน ต่อทอง รวมไปถึงการต่อทุกสิ่งทุกอย่างในทางที่ดีงาม ว่าน ๑๐๘ ชนิด ดินหน้าตะโพน ดินเจ็ดท่า ฯลฯ

    มวลสารทั้งหมดนี้ คือ บางส่วนที่หลวงพ่อตี๋ ได้เพียรเสาะหาเพื่อนำมาผสมสร้างพระเครื่อง เพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง ก่อนที่จะมีพิธีการปลุกเสกเพิ่มพุทธคุณอีกครั้งหนึ่ง

    หลวงพ่อตี๋ ยังบอก ด้วย ว่า การปลุกเสกต้องทำตามฤกษ์ที่กำหนดไว้ โดยก่อนทำพิธีต้องตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีของพระพุทธเจ้าว่า....“ด้วยบุญกุศลที่ได้ทำมา และด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ ขอให้พระที่สมบูรณ์ไม่แตกหัก เป็นพระที่สามารถนำไปคุ้มครองชีวิตของผู้บูชาได้”

    หลวงพ่อตี๋ ได้ ที่ผ่านสร้างพระเครื่องไว้หลายรุ่น หลังจากแจกลูกศิษย์และชาวบ้านแล้ว ที่เหลือท่านจะนำไปบรรจุไว้ที่วัด เพื่อเป็นการสืบพระศาสนาต่อไป พอได้โอกาสฤกษ์งามยามดี ท่านจะสร้างพระรุ่นใหม่ออกมาแจกกันอีก เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดมา

    เมื่อปี ๒๕๒๑ ท่านได้สร้างพระตามแบบฉบับของท่าน ๔ พิมพ์ คือ ๑.พระปิดตาพิมพ์จัมโบ้ ๒.พระปิดตามหาเสน่ห์ (ใบโพธิ์) ๓.พระพิมพ์ขุนแผน ๔.พิมพ์ฤๅษีบรมครู

    พระทั้ง ๔ พิมพ์นี้ ใช้เนื้อหามวลสารตามที่ได้สะสมไว้เก่าก่อน รวมทั้งผงวิเศษที่ท่านทำขึ้นเฉพาะพิมพ์ผสมลงไปด้วย เพื่อให้พระพิมพ์นั้นๆ มีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น พระปิดตาพิมพ์จัมโบ้ ผสมผงเกี่ยวกับโชคลาภ พระปิดตาใบโพธิ์ ผสมผงด้านเมตตา พระพิมพ์ขุนแผน ผสมผงด้านมหาเสน่ห์ พิมพ์ฤษีผสมผงที่ให้ผลทางด้านคุ้มครอง และเจริญรุ่งเรือง

    สำหรับพระที่ท่านสร้างขึ้นทั้งหมด ไม่เคยนำไปตระเวนเสก หรือนำเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดอื่นใด ท่านจะเสกของท่านเพียงรูปเดียวเสมอ โดยให้เหตุผลว่า ๑.ชาติเสือไม่ขอเนื้อใครกิน ๒.ช้างเผือกอยู่ในป่า ใครไม่เห็นคุณค่าก็ช่างมัน

    เมื่อปลุกเสกเสร็จ ท่านได้แจกพระออกไป ต่อมาปรากฏว่า มีประสบการณ์ ในหลายด้าน มีผู้คนจำนวนมากพากันมาขอพระจากท่านไม่เว้นว่าง ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของท่าน ที่ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย และเรื่องมากกับท่าน ท่านจึงตัดสินใจ เก็บพระชุดนี้ไว้ในกุฏิหลังเก่า และไม่เคยนำออกมาแจกใครอีกเลย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ขุนแผนหลวงพ่อตี๋วัดบางคณฑีในให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ ตามสภาพที่เห็นเขียนทั้งภาษาไทยและลายมือ เนื้อหามวลสาร ดีมากครับรุ่นนี้ ปี๒๕๒๑ นะครับ
    (ปิดรายการ)
    IMG_20240118_173825.jpg IMG_20240118_173857.jpg IMG_20240118_173923.jpg IMG_20240118_173944.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2024
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    1705575226885.jpg


    พระทุกรุ่นสร้างกันเองที่วัด''หลวงพ่อตี๋'วัดบางคณฑีใน
    จ.สมุทรสงคราม เป็นแหล่งกำเนิดพระเกจิอาจารย์ผู้โด่งดัง และเข้มขลังในพุทธาคมมหาเวทย์มาแต่สมัยเก่าก่อน จนถึงทุกวันนี้ ที่รู้จักกันดีก็อย่างเช่น หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ ฯลฯ รวมทั้ง หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ก็เป็นลูกหลานของชาวบางคนทีโดยตรง
    และ ที่มองข้ามไม่ได้อีกท่านหนึ่ง คือ หลวงพ่อตี๋ หรือ พระครูพินิจสมุทรคุณ เจ้าอาวาสวัดบางคณฑีใน (ชื่อวัดสะกดตามนี้) ต.บางคนที อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม อดีต อาจารย์สักยันต์ ผู้โด่งดังแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง ที่ชาวบ้านแถวคลองบางนกแขวก คลองดำเนิน เรียกท่านว่า “อาจารย์ตี๋ จอมขมังเวทย์” (ปัจจุบันท่านได้เลิกสักยันต์แล้ว)
    หลวงพ่อตี๋ เป็นพระรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว มีเชื้อสายจีน พื้นเพต้นตระกูลของท่านเป็นชาวบางคนที มีคนร่ำลือกันว่า ท่านดุ แต่แท้จริงแล้ว ท่านเป็นพระที่พูดคุยเสียงดังฟังชัดเจนมากกว่า และค่อนข้างใจดี เป็นพระที่พูดจา “ตรงเป๊ะ” ไม่มีอ้อมค้อม ดีพูดดี ชั่วพูดชั่ว ไม่มีเสแสร้งแกล้งเอาใจใครทั้งสิ้น
    เคยมีนักการเมือง เข้ามาขอพรท่าน เพื่อให้มีชัยในการเลือกตั้ง ท่านพูดว่า “ขอพรเหรอ เออดี..เข้ามา..พวกมึงพนมมือตั้งใจนะ ถ้าพวกมึงเป็นคนดี ขอให้ความดีคุ้มครอง ขอให้ชาวบ้านเลือกพวกมึง ให้พวกมึงมีความเจริญยิ่งขึ้นไป... แต่ถ้าเลือกพวกมึงไปแล้ว พวกมึงไปทำชั่ว กินบ้านกินเมือง ขอให้พวกมึงฉิบหาย...เอาละไปได้”... นี่คือ "คำพร" จากหลวงพ่อตี๋ ที่มักมีผู้คนเข้าใจว่า ท่านเป็นพระนักเลง
    หลวงพ่อตี๋ เป็นศิษย์หลายอาจารย์ โดยเฉพาะหลวงพ่อหลา อดีตเจ้าอาวาสวัดบางคณฑีใน ฯลฯ ท่านบอกว่า พระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆ จะต้องเก่งด้วยตัวเอง เพราะอาจารย์เป็นเพียงผู้สอนวิธีการเท่านั้น...การจะเก่งขลัง จะแน่ แค่ไหน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ การฝึกฝนจิต ความมุมานะ และความพากเพียรของตัวเอง มากกว่า


    พระผงปิดตาจัมโบ้ ๑ หลวงพ่อตี๋ วัดบางคณฑีใน สมุทรสาคร
    รายละเอียด * พระผงปิดตาจัมโบ้ ๑ หลวงพ่อตี๋ วัดบางคณฑีใน สมุทรสาคร


    'พระทุกรุ่นสร้างกันเองที่วัด''หลวงพ่อตี๋'วัดบางคณฑีใน
    จ.สมุทรสงคราม เป็นแหล่งกำเนิดพระเกจิอาจารย์ผู้โด่งดัง และเข้มขลังในพุทธาคมมหาเวทย์มาแต่สมัยเก่าก่อน จนถึงทุกวันนี้ ที่รู้จักกันดีก็อย่างเช่น หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม หลวงปู่ใจ วัดเสด็จ หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี หลวงพ่อหยอด วัดแก้วเจริญ ฯลฯ รวมทั้ง หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ก็เป็นลูกหลานของชาวบางคนทีโดยตรง
    และ ที่มองข้ามไม่ได้อีกท่านหนึ่ง คือ หลวงพ่อตี๋ หรือ พระครูพินิจสมุทรคุณ เจ้าอาวาสวัดบางคณฑีใน (ชื่อวัดสะกดตามนี้) ต.บางคนที อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม อดีต อาจารย์สักยันต์ ผู้โด่งดังแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง ที่ชาวบ้านแถวคลองบางนกแขวก คลองดำเนิน เรียกท่านว่า “อาจารย์ตี๋ จอมขมังเวทย์” (ปัจจุบันท่านได้เลิกสักยันต์แล้ว)
    หลวงพ่อตี๋ เป็นพระรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว มีเชื้อสายจีน พื้นเพต้นตระกูลของท่านเป็นชาวบางคนที มีคนร่ำลือกันว่า ท่านดุ แต่แท้จริงแล้ว ท่านเป็นพระที่พูดคุยเสียงดังฟังชัดเจนมากกว่า และค่อนข้างใจดี เป็นพระที่พูดจา “ตรงเป๊ะ” ไม่มีอ้อมค้อม ดีพูดดี ชั่วพูดชั่ว ไม่มีเสแสร้งแกล้งเอาใจใครทั้งสิ้น
    เคยมีนักการเมือง เข้ามาขอพรท่าน เพื่อให้มีชัยในการเลือกตั้ง ท่านพูดว่า “ขอพรเหรอ เออดี..เข้ามา..พวกมึงพนมมือตั้งใจนะ ถ้าพวกมึงเป็นคนดี ขอให้ความดีคุ้มครอง ขอให้ชาวบ้านเลือกพวกมึง ให้พวกมึงมีความเจริญยิ่งขึ้นไป... แต่ถ้าเลือกพวกมึงไปแล้ว พวกมึงไปทำชั่ว กินบ้านกินเมือง ขอให้พวกมึงฉิบหาย...เอาละไปได้”... นี่คือ "คำพร" จากหลวงพ่อตี๋ ที่มักมีผู้คนเข้าใจว่า ท่านเป็นพระนักเลง
    หลวงพ่อตี๋ เป็นศิษย์หลายอาจารย์ โดยเฉพาะหลวงพ่อหลา อดีตเจ้าอาวาสวัดบางคณฑีใน ฯลฯ ท่านบอกว่า พระเกจิอาจารย์ที่เก่งๆ จะต้องเก่งด้วยตัวเอง เพราะอาจารย์เป็นเพียงผู้สอนวิธีการเท่านั้น...การจะเก่งขลัง จะแน่ แค่ไหน ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติ การฝึกฝนจิต ความมุมานะ และความพากเพียรของตัวเอง มากกว่า


    ด้วยเหตุนี้ หลวงพ่อตี๋ จึงได้พยายามเล่าเรียนฝึกฝนด้วยตนเองมาโดยตลอด จนมั่นใจแล้วจึงได้สร้างพระเครื่องออกมาแจกแก่ลูกศิษย์ลูกหา และชาวบ้านทั่วๆ ไป
    หลวงพ่อตี๋ บอกว่า การสร้างพระทุกครั้งต้องมีเหตุมีผล ต้องมีที่มาที่ไป ไม่ใช่คิดจะสร้างก็สร้างกันทันที ที่สำคัญ การสร้างพระทุกครั้งจะสร้างกันเองที่วัด ตำผง ผสมผง กดพิมพ์กันเองที่วัดทุกขั้นตอน ไม่ได้จ้างโรงงานที่ไหนทำให้ จึงมั่นใจได้ในความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระ และเพื่อให้ชาวบ้านได้รู้ว่า วัดบางคณฑีในไม่เคยสร้างพระแบบสุกเอาเผากิน ทุกอย่างล้วนกำเนิดขึ้นมาจากความตั้งใจจริงทั้งสิ้น
    การสร้างพระแต่ละครั้ง ท่านได้นำมวลสารศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ที่ได้สะสมไว้สำหรับการสร้างพระโดยเฉพาะ เช่น ผงวิเศษชนิดต่างๆ ที่ท่านได้เพียรลบผงด้วยตนเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นการลบผงที่เขียนขึ้นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เช่น ในอุโบสถ หน้าโต๊ะบูชาครู ฯลฯ หรือการลบผงที่เขียนขึ้นตามฤกษ์ยาม เช่น ราชาฤกษ์ ที่เด่นทางความเจริญก้าวหน้า หรือ สมโณฤกษ์ ที่อำนวยผลทางด้านความร่มเย็น ฯลฯ
    หรือการลบผงแบบเฉพาะกิจ เช่น ขณะที่พระกำลังสวดพระปาฏิโมกข์ ก็ยังคงทำขึ้นอยู่เสมอๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการพร้อมที่จะสร้างพระได้ตลอดเวลา
    นอกจากนี้ ยังมี ดินขุยปู ที่มีความขลังในตัวของมันเอง เป็นดินที่กองอยู่บริเวณปากรูปู ซึ่งเกิดจากปูตัวผู้ได้ขุดดินในรู แล้วอมขึ้นนำมาคายไว้บริเวณปากรู เพื่อให้เป็นจุดสังเกตของปูตัวเมีย ในการเข้ามาวางไข่
    โดยเชื่อกันว่า ดินขุยปู เป็นของดีตามธรรมชาติ ในทางไสยศาสตร์ถือว่า ให้ผลทางด้านเมตตามหานิยม และถ้าต้องการให้ดินขุยปูนี้ครอบคลุมไปถึงด้านมหาอุด ครูบาอาจารย์จึงได้กำหนดไว้ว่า ให้ใช้นิ้วหัวแม่เท้ากดอุดลงไปที่รูปู แล้วว่าคาถาก่อนพลีดินขุยปูนั้นมาใช้
    หลวงพ่อตี๋ ยังมี ดินกากยายักษ์ ดินที่มีสีดำสนิท จากป่าในท้องที่ อ.ยะหา จ.ยะลา เพียงแห่งเดียว ที่พระอาจารย์ทิม วัดช้างให้ จ.ปัตตานี นำมาใช้เป็นสวนผสมหลักอย่างหนึ่งของการสร้างพระหลวงพ่อทวด เนื้อว่าน รุ่นแรก เมื่อปี ๒๔๙๗ โดยเชื่อว่า ดินกากยายักษ์มีเทวดาและยักษ์ คอยปกปักรักษาตลอดเวลา
    และมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว
    ดินจอมปลวก (ในป่าลึก) ผงรังต่อ (สื่อความหมายถึง ต่อลาภ ต่อเงิน ต่อทอง รวมไปถึงการต่อทุกสิ่งทุกอย่างในทางที่ดีงาม ว่าน ๑๐๘ ชนิด ดินหน้าตะโพน ดินเจ็ดท่า ฯลฯ
    มวลสารทั้งหมดนี้ คือ บางส่วนที่หลวงพ่อตี๋ ได้เพียรเสาะหาเพื่อนำมาผสมสร้างพระเครื่อง เพื่อให้มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง ก่อนที่จะมีพิธีการปลุกเสกเพิ่มพุทธคุณอีกครั้งหนึ่ง
    หลวงพ่อตี๋ ยังบอก ด้วย ว่า การปลุกเสกต้องทำตามฤกษ์ที่กำหนดไว้ โดยก่อนทำพิธีต้องตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีของพระพุทธเจ้าว่า....“ด้วยบุญกุศลที่ได้ทำมา และด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ ขอให้พระที่สมบูรณ์ไม่แตกหัก เป็นพระที่สามารถนำไปคุ้มครองชีวิตของผู้บูชาได้”


    หลวงพ่อตี๋ ได้ ที่ผ่านสร้างพระเครื่องไว้หลายรุ่น หลังจากแจกลูกศิษย์และชาวบ้านแล้ว ที่เหลือท่านจะนำไปบรรจุไว้ที่วัด เพื่อเป็นการสืบพระศาสนาต่อไป พอได้โอกาสฤกษ์งามยามดี ท่านจะสร้างพระรุ่นใหม่ออกมาแจกกันอีก เป็นอยู่เช่นนี้ตลอดมา
    เมื่อปี ๒๕๒๑ ท่านได้สร้างพระตามแบบฉบับของท่าน ๔ พิมพ์ คือ ๑.พระปิดตาพิมพ์จัมโบ้ ๒.พระปิดตามหาเสน่ห์ (ใบโพธิ์) ๓.พระพิมพ์ขุนแผน ๔.พิมพ์ฤๅษีบรมครู
    พระทั้ง ๔ พิมพ์นี้ ใช้เนื้อหามวลสารตามที่ได้สะสมไว้เก่าก่อน รวมทั้งผงวิเศษที่ท่านทำขึ้นเฉพาะพิมพ์ผสมลงไปด้วย เพื่อให้พระพิมพ์นั้นๆ มีคุณสมบัติเฉพาะตัว เช่น พระปิดตาพิมพ์จัมโบ้ ผสมผงเกี่ยวกับโชคลาภ พระปิดตาใบโพธิ์ ผสมผงด้านเมตตา พระพิมพ์ขุนแผน ผสมผงด้านมหาเสน่ห์ พิมพ์ฤษีผสมผงที่ให้ผลทางด้านคุ้มครอง และเจริญรุ่งเรือง
    สำหรับพระที่ท่านสร้างขึ้นทั้งหมด ไม่เคยนำไปตระเวนเสก หรือนำเข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดอื่นใด ท่านจะเสกของท่านเพียงรูปเดียวเสมอ โดยให้เหตุผลว่า ๑.ชาติเสือไม่ขอเนื้อใครกิน ๒.ช้างเผือกอยู่ในป่า ใครไม่เห็นคุณค่าก็ช่างมัน
    เมื่อปลุกเสกเสร็จ ท่านได้แจกพระออกไป ต่อมาปรากฏว่า มีประสบการณ์ ในหลายด้าน มีผู้คนจำนวนมากพากันมาขอพระจากท่านไม่เว้นว่าง ด้วยอุปนิสัยส่วนตัวของท่าน ที่ไม่ชอบให้ใครมาวุ่นวาย และเรื่องมากกับท่าน ท่านจึงตัดสินใจ เก็บพระชุดนี้ไว้ในกุฏิหลังเก่า และไม่เคยนำออกมาแจกใครอีกเลย
    ปัจจุบัน พระรุ่นนี้จึงยังมีตกค้างอยู่กับท่านพอสมควร เพราะท่านไม่ได้นำออกให้บูชา หรือโฆษณาประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด ของดีเลยถูกเก็บเงียบ แบบเสกแล้วเสกอีกมาหลายสิบปี

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระปิดตาใบโพธิ์หลวงพ่อตี๋รุ่น 1 ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240118_174021.jpg IMG_20240118_174042.jpg
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    kv.jpg

    ตำนานเรื่องนี้ผมเคยได้ยินตอนเมื่อไป จ.ขอนแก่น ซึ่งเรื่องนี้ชาวบ้านแถวนั้นเล่าอย่างเป็นจริงเป็นจังมาก ซึ่งเล่าว่ามีคนทันอยู่ในเหตุการณ์ด้วย ผมฟังนั้นน่าจะเป็นเรื่องจริง มากกว่า เรื่องเล่ากันสนุกๆ แต่ที่สำคัญหลวงพ่อ้ป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ น่าศรัทธามากๆครับ ลองฟังเรื่องราวสั้นๆท่านจะศรัทธากับพระเกจิที่มีนามว่า
    หลวงปู่วรพรตวิธาน วัดจุมพล ต.ก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น
    ตามธรรมดาโดยทั่วไปแล้วพระเณรจะต้องนั่งด้านหน้าติดกับคนขับ เพื่อจะได้ไม่ปะปนกับผู้โดยสารคนอื่น แต่รถคันนี้มีผู้หญิงนั่งเต็มอยู่ด้านหน้าแล้ว ด้านหลังรถยังพอมีที่นั่งได้ คนขับรถจึงบอกให้หลวงปู่ขึ้นทางท้ายรถ หลวงปู่ก็ได้ปฏิบัติตามโดยดี แต่ก่อนจะขึ้นรถหลวงปู่ได้พูดกับคนขับรถว่า “รถจะไม่เดี่ยงหรือ”(เดี่ยงเป็นภาษาไทยอีสานแปลว่า “ กระดก”) คนขับก็บอกว่า “ไม่เดี่ยงแน่เพราะรถรับน้ำหนักได้หลายตัน” พอคนขับพูดจบ หลวงปู่ก็ก้าวเท้าขึ้นรถ ปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้นทันที ด้านหน้ารถลอยขึ้น เหมือนมีมือยักษ์มาจับยกขึ้น คนขับรถเห็นเช่นนั้นถึงกับตกตะลึงจึงกราบนิมนต์หลวงปู่มานั่งด้านหน้า โดยให้พวกผู้หญิงไปนั่งด้านหลัง ตั้งแต่นั้นมาสมญานาม “หลวงปู่วรพรตเหยียบรถเดี่ยง” จึงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในเขตขอนแก่น ชัยภูมิ นครราชสีมา ต่างก็รู้เรื่องกันดี
    ขอขอบพระคุณเจ้าของภาพมา ณ ที่นี้ด้วยครับ



    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    สร้อยเชือกไหมสี พร้อมรูปถ่ายหลังคดหอยหลวงปู่วรพรต สภาพเดิมๆ หายาก สมบูรณ์แบบนี้ ให้บูชา 500 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240118_182424.jpg IMG_20240118_182307.jpg
     
  18. kiati_sak

    kiati_sak เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7,380
    ค่าพลัง:
    +13,255
    พระขุนแผนพิมพ์ใหญ่ รุ่นแรก ปี 2521 เนื้อผง หลวงพ่อตี๋ วัดบางฅณฑีใน อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม รุ่น 1 เมตตาที่สุดๆครับ อนาคตจะแพงมากและหายากมากครับ สร้างมากว่า30ปีเสกเรื่อยมาครับ ผสมผงเกจิยุคเก่ามากมาย พระหลวงปู่โต้ะเป็นสิบองค์บดผสมไปท่านกดพิมพ์ที่วัดทุกองค์ครับ

    จองรายการนี้ครับท่านโบ้
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    555124_368356419896208_195711465_n.jpg


    ประวัติหลวงปู่คำบุ วัดกุดชมภู จ.อุบลราชธานี " หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต" เป็นพระสงฆ์ที่เล่าขานกันว่าทรงคุณพุทธาคมเข้มขลัง แห่งวัดกุดชมภู ต.กุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี ท่านเป็นศิษย์สายตรงของพระครูวิโรจน์รัตโนมล (หลวงปู่รอด นันตโร) แห่งวัดทุ่งศรีเมือง และอดีตเจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานี พระเกจิอาจารย์ผู้มีความเข้มขลังมีพลังจิตสูง

    ประวัติหลวงปู่คำบุ ชาติภูมิ หลวงปู่คำบุถือกำเนิดเกิด ณ บ้านกุดชมภู เมื่อวันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ 2465 ตรงกับวันจันทร์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ปีจอ เกิดในตระกูล คำงาม โยมบิดา-มารดา ชื่อนายสาและนางหอม คำงาม ครอบครัวทำนาทำสวน หลวงปู่คำบุ ปัจจุบันท่านอายุ 86 ปี มีชื่อ-นามสกุลเดิมว่า คำบุ คำงาม ท่านเป็นบุตรคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 6 คน กาลต่อมาท่านเจริญวัยขึ้น มีอายุอันสมควร บิดามารดาได้ให้บรรพชาในปี พ.ศ.2482 ณ วัดกุดชมภู โดยมี พระครูญาณวิสุทธิคุณ (กอง) วัดตากโพธิ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ ภายหลังบวชท่านได้มีโอกาสเดินทางไปกราบไหว้ พระครูวิโรจน์รัตโนมล (หลวงปู่รอด นันตโร) วัดทุ่งศรีเมือง เจ้าคณะจังหวัดอุบลราชธานีและได้รับความเมตตาโอบอ้อมอารีจากหลวงปู่รอดเป็นอย่างยิ่งอุปนิสัยของสามเณรคำบุ เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้จึงมีโอกาสได้พบกับพระอาจารย์รอด วัดบ้านม่วง ผู้เป็นศิษย์อุปัฏฐากหลวงปู่รอด นันตโร แห่งวัดทุ่งศรีเมือง ด้วยเหตุนี้พระอาจารย์รอดจึงได้อยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่รอดจวบจนท่านได้ มรณภาพลง พระอาจารย์รอดก็กลับมาพำนักพักที่วัดบ้านม่วงตามเดิม กล่าวสำหรับพระอาจารย์รอด วัดบ้านม่วง ท่านเป็นพระที่มีวิทยาคมแก่กล้า พระอาจารย์รอดเป็นคนบ้านเดียวกันกับสามเณรคำบุ (สมัยบวชเณร) จึงมีความคุ้นเคยกันมาก่อน ด้วยความที่สามเณรคำบุเป็นผู้มีนิสัยสงบเรียบร้อย ใจเย็นมีเหตุมีผล เหตุนี้เองพระอาจารย์รอด จึงได้ถ่ายทอดวิทยาคมคาถาต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียนมาแก่สามเณรคำบุตั้งแต่นั้นเรื่อยมา จวบจนถึงวัยอุปสมบทเป็นพระภิกษุ จึงอุปสมบท เมื่อปี พ.ศ.2486 ได้รับฉายาว่า "คุตตจิตโต" มีพระครูสาธุธรรมจารี (สา) วัดดอนจิก เป็นพระอุปัชฌาย์

    ครั้นบวชเป็นพระแล้ว หลวงปู่คำบุท่านยังคงแวะเวียนไปร่ำเรียนสรรพวิชาเวทมนตร์คาถาอาคมต่างๆ กับพระอาจารย์รอด ที่วัดบ้านม่วงอยู่เป็นประจำ ได้ศึกษาศาสตร์วิชาต่างๆ จากตำรา จนมีความชำนาญแตกฉานจึงออกเดินธุดงค์เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ หลวงปู่คำบุได้มีโอกาสร่ำเรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาคมจากพระอาจารย์ที่มีความ ชำนาญด้านพระคาถาต่างๆหลายรูปจนวิชาแกร่งกล้า จึงได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดกุดชมภูจนถึงปัจจุบัน มีเรื่องน่าสนใจอยู่ตอนหนึ่ง เนื่องจากพระอาจารย์รอดท่านเป็นพระที่ร้อนวิชาชอบลองวิชาอยู่เสมอ เมื่อร่ำเรียนวิชาอาคมแขนงใดได้ก็จะนำมาทดสอบหรือทดลองวิชานั้นอยู่เป็นประจำ มีอยู่ครั้งหนึ่งท่านได้สำเร็จวิชาหุงสีผึ้งมหาเสน่ห์ แล้วทำการทดลองปรากฏว่าบรรดาญาติโยมทั้งหญิงและชายแห่เข้ามาที่วัดเพื่อมาขอ สีผึ้งมหาเสน่ห์จากท่านอย่างมากมาย จนไม่มีเวลาประกอบกิจสงฆ์อันใดได้ ท่านจึงย้ายมาอยู่กับพระภิกษุคำบุ ที่วัดกุดชมภูและได้เขียนตำราเพื่อมอบให้กับพระภิกษุคำบุไว้ศึกษาเล่าเรียน สืบต่อไป

    พระภิกษุคำบุได้ศึกษาศาสตร์วิชาต่างๆ จากตำราจนมีความชำนาญแตกฉาน จึงออกเดินจารึกธุดงค์เพื่อแสวงหาครูบาอาจารย์ ได้มีโอกาสร่ำเรียนสายวิชาวิปัสสนากรรมฐานและวิทยาคมต่างๆ ในสายของท่านสำเร็จลุน แห่งวัดเวิ่นไชย เมืองปาเซ นครจำปาสัก พระผู้ทรงอภิญญา นอกจากการศึกษาวิชาทางด้านวิปัสสนากรรมฐานแล้ว สรรพวิชาอาคมทุกแขนง หลวงปู่คำบุท่านก็มีความชำนาญและได้หมั่นศึกษาฝึกฝนอยู่เป็นประจำ ตามคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ปัจจุบัน หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต วัดกุดชมภู มีอายุถึง 86 ปี แต่ยังคงให้ความเมตตาศิษยานุศิษย์อย่างสม่ำเสมอ ในทุกวันอังคาร เสาร์ และอาทิตย์ ท่านจะประกอบพิธีลงเหล็กจารอักขระธรรมอักษรลาว ลงบนแผ่นหลังของบรรดาลูกศิษย์ที่เดินทางมาจากสถานที่ต่างๆ ด้วยความเมตตา การจารอักขระธรรมลงแผ่นหลังของหลวงปู่คำบุ ถือเป็นกุศโลบายทางธรรมเพื่อบ่งบอกถึง "ความประมาทเป็นบ่อเกิดแห่งความตายหรือความหายนะ" ดังนั้นควรตั้งมั่นไม่ให้อยู่ในความประมาท ที่สำคัญถ้าท่านได้จารอักขระธรรมได้ครบถึง 7 ครั้ง ว่ากันว่าอักขระธรรมจะฝังลึกถึงกระดูกและถ้าประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งของครูบาอาจารย์อย่างเคร่งครัดแล้ว จะอยู่ยงคงทน ต่อศาสตราวุธทั้งปวง สำหรับพระเครื่อง-วัตถุมงคลของหลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต วัดกุดชมภู ที่สร้างขึ้นมานั้นมีมากมายหลายรุ่น ส่วนใหญ่มักได้รับความนิยมจากนักสะสม โดยรุ่นล่าสุด "เมตตา โภคทรัพย์ กลับดวง" ปัจจัยสมทบทุนหล่อเนื้อนาบุญหลวงปู่คำบุ ร่วมสร้างวิหารธรรมเจดีย์ศรีชมภู ฤกษ์มงคลผสมสูตรหล่อเม็ดนวโลหะ เมื่อวันอังคารขึ้น 1 ค่ำ เดือน 11 วันที่ 30 กันยายน 2551 เททองเบ้าทุบ ตั้งแต่วันอาทิตย์ขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 ที่ 9 พ.ย.2551 เวลา 11.59 น. อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวครั้งที่ 1 เมื่อวันพุธขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 วันที่ 12 พ.ย.2551 เวลา 19.19 น. " หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต"อธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยว ครั้งที่ 2 วันอาทิตย์แรม 11 ค่ำ เดือน 12 วันที่ 23 พ.ย.2551 เวลา 19.19 น. ข่าวพระเครื่อง

    พระครูพิบูลนวกิจ หลวงปู่คำบุ คุตตจิตโต วัดกุดชมภู มรภาพด้วยอาการสงบ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา14:51 นาที ณ.โรงพยาบาลศิริราช สิริอายุได้91ปี คณะศิษยานุศิษย์จะเคลื่อนสรีระสังขารหลวงปู่ออกจากโรงพยาบาลศิริราชในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2557 เวลา 09.00 น. ไปยังวัดวิหารเจดีย์ศรีชมพู (วัดกุดชมภู) อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี

    คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6
    อนุชา ทรงศิริหน้า 31 ที่มาหนังสือพิมพ์ข่าวสด


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่น 4 หลวงปู่คำบุให้บูชา
    300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ รุ่นนี้ เป็นรุ่นนิยมและมีประสพการณ์สูงของหลวงปู่ ในอดีต ได้รับความนิยม อย่างมาดในสาวศิษย์ผู้ศรัทธราหลวงปู่

    IMG_20240119_125851.jpg IMG_20240119_125916.jpg
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,735
    ค่าพลัง:
    +21,341
    FB_IMG_1705647681611.jpg

    พระเกจิอาจารย์มีอาคมสุดลึกล้ำแห่งอำเภอประจันตคาม ท่านเป็นพระที่เรียกได้ว่าเก่งแบบ"คมในฝัก" ของพื้นที่มานาน ซึ่งน้อยคนนักจะได้ทราบประวัติของท่าน ซึ่งนับวันยิ่งลางเลือนไปตามกาลเวลา วันนี้ขอเสนอประวัติ ปฏิปทา ปาฎิหาริย์ ของท่าน นามท่านคือ "พระครูพรหมจริยาธิมุต" หรือที่ชาวบ้านมักเรียกท่านว่าหลวงพ่อสมบุญ พรหมสโร วัดจันทรังษี(บ้านตม) ต.ดงบัง อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี ศิษย์ก้นกุฏิและลูกบุญธรรมของท่าน"พระครูพิพัฒน์ปัจจันตเขตต์" (หลวงปู่สิงห์ พรหมสโร) วัดบ้านโนน ปฐมเถราจารย์ยุคต้นๆก่อนสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพาของจังหวัดปราจีนบุรี จากการสืบเสาะค้นหาประวัติท่านจากคำบอกเล่าของชาวบ้าน ทำให้ทราบว่า ท่านเกิดเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พุทธศักราช 2460 แต่เกิดมาได้ไม่นานก็เสียชีวิต พ่อแม่ท่านจึงนำมาฝังไว้ หลวงพ่อสิงห์ได้ทราบด้วยญานวิถีว่ายังไม่ได้เสียชีวิต จึงรับมาอุปถัมภ์อุปการะเป็นลูกบุตรธรรมเหตุที่รอดมาได้นี้หลวงปู่สิงห์จึงตั้งชื่อให้ว่า ''สมบุญ ''แต่ก็เป็นช่วงบั้นปลายชีวิตหลวงปู่สิงห์แล้ว อายุครบบวช ก็มีหลวงปู่สิงห์เป็นอุปัชฌาย์ ได้ร่ำเรียนสรรพวิชาอาคมต่างๆจากหลวงปู่สิงห์ หลังจากที่สิ้นหลวงปู่สิงห์แล้ว จึงร่ำเรียนกับหลวงพ่อจ้อย ศิษย์ของหลวงปู่สิงห์ซึ่งเป็นศิษย์ผู้พี่พอสมควร จากนั้นดั้นด้นเดินทางไปเรียนวิชากับ "พระครูสิทธิสารคุณ" หลวงพ่อจาด คังคสโรวัดบางกระเบา สุดยอดพระเกจิยุคสงครามอินโดจีน โดยหลวงพ่อจาดมีวิชาหนังเหนียว อยู่ยงคงกะพัน เรียกได้ว่าทหารที่นำเครื่องรางพระเครื่องของท่านไปใช้ต่างพบประสบการณ์อย่างโชกโชน หลังจากศึกษาวิทยาคมจนเป็นที่พอใจแล้วจึงกลับมาเป็นเจ้าอาวาสวัดจันทรังษี(บ้านตม) จนเมื่อปี พ.ศ.2513 ได้รับสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวน ที่ "พระครูสมบุญ พรหมสโร" และต่อมาได้รับพระครูสัญญาบัตร ที่ "พระครูพรหมจริยาธิมุต"
    ดังนั้นแล้วหลวงพ่อสมบุญ จึงเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เต็มเปี่ยมด้วยวิชาอาคม ไม่เป็นสองรองใคร สหธรรมิกรูปสำคัญของหลวงพ่อสมบุญ มีมากมายอาทิ
    "พระครูพรหมาภิรัต" หลวงพ่อบุญ วัดตะเคียนทอง(สุดสายเหนียวเมืองประจันตคาม)
    "พระครูวิมลศีลาจารย์" หลวงพ่อเส็ง วัดศรีประจันตคาม(พุทธคุณเด่นทุกอย่างครอบจักรวาลนางกวักท่านราคาหลักแสน)
    หลวงพ่อปลั่ง วัดอรัญไพรศรี(ยันต์หมูทองแดงท่านเด็ดขาดนักเรื่องแคล้วคลาดคงกะพัน) เป็นต้น เท่ากับว่าท่านเป็นศิษย์สายหลวงปู่สิงห์ อย่างแท้จริง เหรียญที่ท่านปลุกเสกนั้น มีอิทธิคุณเด่นมากในด้านคงกะพันชาตรีเป็นอย่างยิ่ง พระเครื่องที่ท่านสร้างมีมากมายหลายสิบรุ่น พระหลักร้อยแต่พุทธคุณหลายล้าน ท่านละสังขารเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ.2537 ยังความโศกเศร้าให้กับบรรดาศิษย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นอัศจรรย์เมื่อร่างของท่านมิได้เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาแต่ปัจจุบันแห้งสนิทดุจหิน ลักษณะเด่นของท่านคือช่วงท่านมีอายุมากหัวท่านจะปูดบริเวณหน้าผากครับ ปล.หากข้อมูลผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้ครับ -- ภาพจาก ร้านพรพุทธปาลิโต --

    Cr.คุณตูนมหาลาภ
    ตามประวัติว่าท่านเสียชีวิตตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา พอคลอดออกมาบิดาท่านกำลังเอาไปฝังหลวงพ่อสิงห์ วัดบ้านโนนผ่านมาจึงทักว่าเด็กคนนี้ยังไม่สิ้นบุญจึงขอบิณฑบาตรเอาใว้ แล้วนำร่างของเด็กน้อยใส่พานตั้งใว้ที่หน้าพระประธานในโบสถ์วัดบ้านโนน หลวงพ่อสิงห์นั่งสมาธิจนถึงรุ่งเช้า ปรากฏว่าเด็กน้อยฟื้นขึ้นมาหลวงพ่อสิงห์จึงขอใว้เป็นบุตรบุญธรรมและตั้งชื่อว่า"สมบุญ" และได้สอนสัพวิชาอาคมต่างๆให้จนหมดใส้หมดพุง และยังได้ศึกษาวิชาต่างๆจากยอดพระเกจิอีกหลายท่านเช่นหลวงพ่อพุก วัดพระยาทำ หลวงพ่อมา วัดกาดสูง หลวงพ่อแก้ว วัดหนองตำลึง ชลบุรี เป็นต้น

    รู้ไหมครับ ทำไมเหรียญรุ่น 3 ของหลวงพ่อสมบุญ จึงเป็นเหรียญที่น่าใช้มากๆ สำหรับข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ครู วันนี้ผมจะมาบอกครับ เหรียญรุ่นนี้จัดสร้างในคราวที่หลวงพ่อได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ "พระครูชั้นประทวน" ที่พระครูสมบุญ พรหฺฺมสโร ถือเป็นเรื่องที่พิเศษมากสำหรับชาวบ้านศิษยานุศิษย์ที่เคารพรักท่านต่างยินดี ที่หลวงพ่อได้รับพัดยศเลื่อนสมณศักดิ์ในครั้งนั้น จึงได้จัดสร้างเหรียญรุ่นนี้ขึ้น (เท่าที่พบเห็นมีเนื้อทองแดง เพียงเนื้อเดียวหรืออาจจะมีเนื้ออื่นแต่ยังไม่เคยพบเห็น) ในเหรียญเขียนว่า "ที่ระลึกในงานฉลองสมณศักดิ์หลวงพ่อพระครูสมบุญ วัดจันทรังษี ต.ดงยัง อ.ประจันตคาม จ.ปราจีนบุรี 25-26 เมษายน 2513 พร้อมกันนี้ทางวัดยังได้ออกรูปถ่ายขนาดโปสการ์ด ถ่ายที่ร้านสวัสดิ์การพิมพ์ ที่เคยทำภาพให้หลวงพ่อเส็ง อุปมาเหมือนหลวงพ่อได้เลื่อนยศ เลื่อนสมณศักดิ์ในครั้งนั้น จึงเป็นเหมือนนัยยะว่าผู้ที่ห้อยบูชาเหรียญนี้ก็จะได้เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งด้วย จึงเป็นเหรียญที่น่าใช้มากอีกเหรียญหนึ่ง แล้วความลับของเหรียญนี้คืออะไรทราบมั้ยครับ เหรียญนี้ออกแบบตามแบบฉบับของอาจารย์ท่าน คือหลวงพ่อสิงห์ วัดบ้านโนน ทั้งการจัดวางตำแหน่งหลวงพ่อ ทั้งการวางอักขระยันต์ การแกะบล็อกหนังสือต่างๆ หากไม่มีเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อสิงห์ อาจารย์ใหญ่ของท่าน แนะนำเหรียญนี้ครับ เรียบง่าย แต่มีมนต์ขลัง ปล.ผมก็ใช้เหรียญรุ่นนี้ครับ ท่านใดมีสวยๆ มาร่วมโชว์ได้ครับ

    #เผยแผ่บารมีพรหฺมสโร
    #หลวงพ่อสมบุญวัดบ้านตม
    #สุดยอดพระเกจิแห่งเมืองประจันตคาม


    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรุ่น ๓ ปี 2513 หลวงพ่อสมบุญวัดจันทรังษีให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20240119_125941.jpg IMG_20240119_130007.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2024

แชร์หน้านี้

Loading...