เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 มิถุนายน 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,692
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๖๖


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,692
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๗ แต่เป็นวันวิสาขบูชา เนื่องเพราะว่าปีนี้เป็นปีอธิกมาส คือมีเดือนเกินมาหนึ่งเดือน ได้แก่ เดือน ๘ หลัง และยังเป็นวาระมหามงคล เพราะว่าตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี เมื่อวาระที่เป็นมงคลทั้งสองประการมาบรรจบกัน จึงทำให้เป็นวาระที่เราทั้งหลายได้สร้างสมบุญกุศล เพื่อความดีความงามเฉพาะของตนเอง

    เราท่านทั้งหลายต้องไม่ลืมว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ประสูติมาใต้เศวตฉัตร ทันทีที่ประสูติมาก็ได้รับคำทำนายว่าจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก เนื่องเพราะว่ากาฬเทวิลดาบส ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ที่ศากยะตระกูลเคารพนับถือ แปลกใจที่เห็นเทวดานางฟ้าแสดงความรื่นเริงสาธุการกันผิดปกติ เมื่อสอบถามดู จึงได้ทราบว่าพระมหาโพธิสัตว์ได้ประสูติแล้ว ณ กรุงกบิลพัสดุ์

    กาฬเทวิลดาบสซึ่งไปนอนเล่นอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จึงรีบลงมา เมื่อพิจารณาแล้วเห็นอย่างชัดเจนว่า มหาปุริสลักษณะแบบนี้จะต้องเป็นศาสดาเอกของโลกแน่นอน แต่น้อยใจว่าตนเองอายุขัยจะมาถึงเสียก่อน ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ร้องไห้และหัวเราะ คือหัวเราะที่โลกจะได้มีพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้น ร้องไห้ที่ตนเองไม่มีโอกาสได้ฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    หลังจากประสูติแล้ว ๕ วันก็มีการเชิญพราหมณ์ ๑๐๘ รูปมาทำนายลักษณะ พราหมณ์ทั้ง ๑๐๗ รูปทำนายเหมือนกันว่าราชกุมารนี้ ถ้าครองราชย์จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่ถ้าออกบวชจะได้เป็นศาสดาเอกของโลก ยกเว้นพราหมณ์รูปเดียวที่อายุน้อยที่สุด คือโกณฑัญญพราหมณ์ ที่ทำนายไปในทางเดียวว่า "ราชกุมารนี้จักออกบวช และเป็นศาสดาเอกของโลก"

    คราวนี้ถ้าหากว่าพวกเราเกิดอยู่ในที่สมบูรณ์บริบูรณ์ด้วย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ถึงขนาดมีปราสาท ๓ ฤดูเป็นของตนเอง คาดว่าก็คงจะลืมไปหมดว่าเราต้องการมาเพื่อปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ แต่ว่ามหาโพธิสัตว์ราชกุมารท่านไม่เคยลืม
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,692
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    ถึงแม้พระเจ้าพระเจ้าสุทโธทนมหาราชพระราชบิดา จะสั่งให้บรรดาข้าราชบริพารกำจัดสิ่งอันเป็นข้าศึกต่อสายตาของราชกุมารไปจนหมด ก็คือไม่ให้มีคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ปรากฏอยู่ตรงหน้าเลย แต่ปรากฏว่าเมื่อพระองค์พระชนมายุได้ ๒๙ ชันษา เสด็จออกประพาสอุทยาน เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว เทวดาจึงแสดงเทวทูตทั้ง ๔ คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และนักบวช ให้ปรากฏแก่ราชกุมาร เมื่อพระองค์ท่านทอดพระเนตรแล้วก็เกิดสลดสังเวชใจ มีวิสัยน้อมไปทางบรรพชา และได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ตั้งแต่บัดนั้น

    พวกเราลองเทียบน้ำใจขององค์มหาโพธิสัตว์ ว่าพระองค์ท่านจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก แต่สลัดตัดทิ้งโดยไม่ไยดีในราชสมบัติทั้งปวง เพราะต้องการจะออกแสวงหาธรรม แม้กระทั่งพระชายาที่งดงามที่สุดและเพิ่งจะให้พระประสูติกาลราหุลกุมาร ซึ่งเป็นลูกคนแรกก็ว่าได้ และไม่ใช่คนแรกอย่างเดียว เป็นลูกคนเดียวเสียด้วย

    แต่พระองค์ท่านเห็นว่า ความรักความอาลัยในครอบครัวและทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ไม่สำคัญเท่ากับการแสวงหาธรรมเพื่อความหลุดพ้น แล้วจะได้มาขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร จึงได้สละประโยชน์สุขส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย

    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมองไปทางด้านหลัง จะเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของ สมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งมีพระบรมราโชวาทเอาไว้ข้อหนึ่งว่า ให้พวกเราสละประโยชน์สุขส่วนน้อยของตน เพื่อประโยชน์สุขส่วนใหญ่ของบ้านเมือง นี่คือน้ำพระทัยเดียวกัน ดังนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงเป็นข้อคิด และขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องวัดกำลังใจของเราว่า ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ท่านจะสามารถตัดขาดได้เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ ?

    พระองค์ท่านอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต เสด็จออกบิณฑบาต อาหารที่ได้รับมา บาลีใช้คำว่า "เมื่อมองดูอาหารนั้นแล้ว รู้สึกเหมือนลำไส้จะปลิ้นออกมาทางปาก" ก็คือจะอ้วก..!

    เนื่องเพราะว่าทรงเสวยแต่พระกระยาหารที่ประณีตที่สุด แล้วมาเจออาหารของชาวบ้านทั่วไป บุคคลที่ไปอินเดียกับกระผม/อาตมภาพจะรู้ดี หลายท่านกินอาหารของเขาไม่ได้เลย แต่พระองค์ท่านก็ตัดพระทัยว่า ถ้าความลำบากแค่นี้เราทนไม่ได้ แล้วเราจะเอากำลังที่ไหนไปแสวงหาโมกขธรรม เมื่อตัดพระทัยได้ ก็สู้ทนเสวยกระยาหารหยาบที่สุดในชีวิตที่พระองค์ท่านเคยพบมา
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,692
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    ถ้าท่านทั้งหลายฝึกในกรรมฐาน ๔๐ กอง จะมีอยู่กองหนึ่ง คืออาหาเรปฏิกูลสัญญา การพิจารณาอาหาร ว่ามีธรรมชาติมาจากความสกปรก ต่อให้ประณีตเอร็ดอร่อยสักเท่าไรก็ตาม เมื่อมองไปถึงต้นกำเนิดก็จะเห็นว่า ไม่มาจากพืช ก็มาจากสัตว์ มาจากสัตว์ก็เต็มไปด้วยเลือดด้วยเนื้อ มาจากพืชก็เกิดจากการดึงดูดเอาซากพืช ซากสัตว์ หรือว่าสิ่งสกปรกไปเป็นอาหาร จนกระทั่งเลี้ยงต้นให้เติบใหญ่ขึ้นมาได้

    แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงทรมานพระวรกายแบบที่สมัยนั้นนิยม อดทนอยู่ถึง ๖ ปีเต็ม ๆ โดยที่ไม่มีผลตอบแทนอะไรเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาเลย พวกเราทั้งหลายมีความอดทนขนาดนั้นหรือไม่ ? ไม่ต้อง ๖ ปีหรอก เอาแค่ ๖ วัน หรือว่า ๓ วันก็เกือบขาดใจตายแล้ว..!

    ดังนั้น..วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่เราควรจะพินิจพิจารณา เห็นน้ำพระทัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สละความสุขส่วนพระองค์ สละลาภ ยศ สรรเสริญ สุข อันจะพึงเกิดขึ้น ออกไปตกระกำลำบากแสวงหาโมกขธรรม จนกระทั่งเกือบจะสิ้นพระชนม์ สภาพร่างกายเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ถ้าเป็นบุคคลทั่ว ๆ ไปที่ไม่ใช่กำลังสมาธิรักษากายได้ คาดว่าคงจะอวัยวะภายในล้มเหลว ตายไปหลายรอบแล้ว..!

    เนื่องเพราะว่าพระองค์ท่านอดพระกระยาหาร จนกระทั่งในบาลีกล่าวว่า เอามือลูบท้องก็ติดกระดูกสันหลัง ก็คือไม่มีอะไรเหลือไว้ให้แล้ว นอกจากโครงกระดูกที่มีหนังหุ้มอยู่ เอามือลูบผิวกาย เส้นขนก็หลุดติดมือมา เพราะไม่มีอาหารหล่อเลี้ยง แม้แต่เสด็จพระราชดำเนินก็ซวนเซล้มลง เพราะไม่มีกำลังจะพยุงพระวรกาย
    พวกเราเคยทุ่มเทให้กับการปฏิบัติธรรมขนาดนั้นบ้างหรือไม่ ?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,692
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    คราวนี้เราจะเห็นว่าทำไมพระองค์ท่านประสบความสำเร็จ ขณะที่เราไม่ประสบความสำเร็จ ก็เพราะว่าพระองค์ท่านมีสัจจะ มุ่งมั่นต่อเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง มีวิริยะ พากเพียรเต็มกำลัง ชนิดที่ว่าเลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไปก็ดี ชีวิตินทรีย์นี้จะตักษัยลงไปก็ตาม ถ้าไม่บรรลุมรรคผลตามที่ต้องการ ก็จะไม่ลุกขึ้น พระองค์ท่านมีขันติบารมี อดทนต่อความยากลำบากยิ่งกว่าบุคคลทั่วไปในยุคนั้น การทรมานพระวรกายของพระองค์ท่าน มากกว่าบรรดาโยคีบุคคลต่าง ๆ ในยุคนั้นได้กระทำมา

    ดังนั้น..ในวาระสำคัญ คือวันวิสาขบูชา พวกเราทั้งหลายจึงควรพินิจพิจารณาว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่างแก่เรามา ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว เราที่กล่าวได้ว่าเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เพราะว่าปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน เราทำตัวสมควรแก่ธรรมแล้วหรือยัง ? หรือว่ากิเลสจูงหน่อย เราก็ไหลตามกิเลสไป ลำบากนิดก็ท้อ ลำบากหน่อยก็ถอย ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราเป็นอย่างนั้น ก็จะไม่มีพระพุทธศาสนาปรากฏแก่พวกเราในวันนี้

    องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องถือว่าสร้างบุญสร้างบารมีมาเพื่อมรรคเพื่อผล เราทั้งหลายที่เกิดทันสมัยขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องบอกว่าเป็นบุคคลที่คู่ควรกับมรรคผลเช่นกัน เพียงแต่ว่าเมื่อไรจะทำจริงกันสักที หรือว่ายังทำเล่น ๆ แก้บนไปเรื่อย ใครว่านิดก็เลิก ใคร "บูลลี่" หน่อยก็ถอย ทั้ง ๆ ที่มรรคผลของเราเองแท้ ๆ ไม่ใช่ของไอ้คนพูดสักหน่อย..!

    ในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนานี้ จึงขอฝากไว้เป็นข้อคิดสำหรับพวกเรา ว่า
    เราดำเนินตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราทำตัวสมกับเป็นพุทธสาวกหรือยัง ?

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๓ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...