เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 15 กรกฎาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพต้องขอออกจากวัดโดยสัตตาหากรณียะ ซึ่งสัตตาหากรณียะนี้ มีไว้ให้สำหรับพระภิกษุที่มีความจำเป็น จะต้องออกจากวัดในช่วงเข้าพรรษา สามารถที่จะไปได้ แต่ไปได้นานที่สุดไม่เกิน ๗ วัน

    โดยที่สิ่งที่ให้ไปได้นั้นก็ประกอบไปด้วย
    ๑) พ่อป่วย
    ๒) แม่ป่วย
    ๓) พระอุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย
    ไปเพื่อช่วยดูแลรักษาพยาบาลได้
    ๔) เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดกระสันจะสึก สามารถที่จะไปเพื่อห้ามปรามได้
    ๕) วัดพัง ไปหาทัพพสัมภาระมาเพื่อซ่อมสร้างวัด สามารถที่จะไปได้
    ๖) ได้รับกิจนิมนต์ ไปเจริญศรัทธา สามารถที่จะไปได้

    แต่ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น เมื่อมาถึงยุคนี้สมัยนี้ ส่วนใหญ่แล้วถ้าหากว่าเป็นในเรื่องของวัดพัง แค่เรายกหูโทรศัพท์หน่อยเดียว ก็สามารถโทรสั่งวัสดุอุปกรณ์สำหรับการก่อสร้างได้แล้ว จึงไม่จำเป็นที่จะต้องลาไปโดยสัตตาหากรณียะ

    ในส่วนของเพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดกระสันจะสึก พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านวินิจฉัยไว้ว่า "ถ้าอยากจะสึกก็ปล่อยให้เขาสึกไป"

    เหตุที่ในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุญาตให้ไปเพื่อห้ามปรามพระรูปนั้นไม่ให้สึก ก็เพราะว่าถ้าท่านอยู่ต่อไปแล้วจะสำเร็จอรหัตผล เมื่อเพื่อนสหธรรมิกไปห้ามปรามแล้วท่านไม่สึก สามารถปฏิบัติธรรมต่อแล้วก็บรรลุมรรคผลได้จริง ๆ แต่สำหรับยุคนี้สมัยนี้ จะหวังในเรื่องของการบรรลุมรรคผลก็เป็นเรื่องยาก ดังนั้น...จึงไม่สมควรที่จะใช้สิทธิ์ในการลาเพื่อไปห้ามเพื่อนสหธรรมิกต่างวัดไม่ให้สึก

    อีกประการหนึ่งก็คือ การไปเพื่อเจริญศรัทธานั้น ต้องได้รับกิจนิมนต์จากทางเจ้าภาพจริง ๆ ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังบวชอยู่ที่วัดท่าซุง มีรุ่นน้องใช้วิธีเขียนจดหมายไปบอกทางบ้านให้นิมนต์ เพื่อที่จะได้ขออนุญาตลาไปโดยสัตตาหกรณียะ เมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านทราบเข้า ก็ทำการตำหนิในท่ามกลางสงฆ์เลย ว่าลักษณะอย่างนั้นไม่ใช่นิมนต์ด้วยศรัทธา ถ้าหากว่าไปถือว่าขาดพรรษา..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    ในส่วนอื่น ๆ นั้น ต้องพิจารณาดูโดยหลักมหาปเทส ๔ อย่างเช่นว่า พระภิกษุสามเณรป่วยไข้ อาการหนัก ต้องอยู่โรงพยาบาลข้ามวันข้ามคืน ถ้าอย่างนั้นก็สามารถลาไปโดยสัตตาหกรณียะ การพิจารณาก็คือเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะว่าไม่มีพระบรมพุทธานุญาตไว้ แต่ว่าเมื่อพิจารณาแล้วว่าสมควร เนื่องจากว่าถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจจะถึงแก่มรณภาพ เสียชีวิตได้ ดังนั้น..จึงอนุญาตให้ไปเพื่อรักษาตัวได้

    หรืออย่างที่วัดท่าขนุน มีพระภิกษุสามเณรศึกษาในส่วนของประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก ตรงนี้ถ้าหากว่าพิจารณาแล้วก็เป็นเรื่องที่ไม่สมควร เพราะว่าไม่มีพระบรมพุทธานุญาตไว้ แต่ว่าการศึกษานั้นก็เพื่อให้เราได้มีความรู้ที่ชัดเจน เป็นระบบ ช่วยส่งเสริมในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้น..จึงควรที่จะอนุญาตให้ไปได้ เป็นต้น

    เมื่อกระผม/อาตมภาพออกจากวัดมา สถานที่แรกที่ไปก็คือวัดหัวรัง ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี ไปร่วมถวายมุทิตาในงานฉลองตราตั้งเจ้าอาวาส และฉลองตราตั้งตราตั้งฐานานุกรมที่พระครูปลัด ของพระครูปลัดสุพรรณ สุภทฺโท เจ้าอาวาสวัดหัวรัง ซึ่งท่านเป็นลูกศิษย์ เรียนอยู่ที่วิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์

    เมื่อร่วมงาน ฉันเพลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เดินทางต่อมายังวัดห้วยเจริญ ตำบลวังน้ำซับ อำเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อเข้าร่วมงานปลุกเสกวัตถุมงคลให้กับพระครูสมุห์สุทัศน์ ทตฺตมโน เจ้าอาวาสวัดห้วยเจริญ เลขานุการเจ้าคณะตำบลวังน้ำซับ ซึ่งท่านเป็นพระวิปัสสนาจารย์ที่ได้รับการแต่งตั้งรุ่นเดียวกัน คือแต่งตั้งให้เป็นพระวิปัสสนาจารย์ประจำกองการวิปัสสนาธุระแห่งประเทศไทย โดยเฉพาะท่านพระครูสมุห์สุทัศน์นั้น มีความเลื่อมใสในพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงมาก ถึงขนาดสร้างหุ่นขึ้ผึ้งของพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเอาไว้ในโบสถ์ เพื่อกราบไหว้บูชา

    เมื่อกระผม/อาตมภาพเข้าที่ภาวนา ก็เห็นหลวงปู่เนียม วัดน้อย ครูบาอาจารย์ใหญ่ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่โหน่ง วัดคลองมะดัน หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่อิ่ม วัดหัวเขา และหลวงปู่สังวาลย์ วัดเขาสารพัดดี ตลอดจนกระทั่งหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง แห่กันมาให้การสงเคราะห์ จึงได้มั่นใจว่าการปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งนี้ ท่านเจ้าอาวาสน่าจะกระทำได้ถูกต้องตามแบบของสายกรรมฐานวัดท่าซุง โดยเฉพาะก่อนที่กระผม/อาตมภาพจะเดินเข้าโบสถ์ เห็นมีการตั้งเครื่องบวงสรวงชุดใหญ่เต็มชุดอยู่แล้ว และท่านแจ้งว่า ได้บวงสรวงไปตั้งแต่ตอนช่วงเช้า ๙ โมง ๙ นาทีแล้ว
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เมื่อกระผม/อาตมภาพทำการปลุกเสกจนครบตามที่พระท่านสั่ง ก็คือ ให้ภาวนาอิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๑๐ จบ พระคาถาชินบัญชร ๓ จบ และพระคาถาเงินล้านสูตรพิเศษ ๓ จบ เมื่อลืมตาขึ้นมา ทำน้ำมนต์เสร็จเรียบร้อย ท่านพระครูสมุห์สุทัศน์บอกว่า "เมื่อหลวงพ่อหลับตาเริ่มทำพิธี ก็มีฝนปรอยลงมาตลอดเวลา พอหลวงพ่อลืมตาขึ้นทำน้ำมนต์ ฝนก็หยุดตกและแดดออกทันที เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากครับ"

    กระผม/อาตมภาพก็บอกไปว่า "เรื่องเหล่านี้แล้วแต่ครูบาอาจารย์ท่านจะสงเคราะห์ แสดงว่าคุณนั้นปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สมควรแก่การสงเคราะห์ได้ ขอให้ตั้งใจรักษาการปฏิบัติของเราในลักษณะนี้ต่อไป เพื่อที่ครูบาอาจารย์ท่านจะได้สงเคราะห์ต่อไปในกาลข้างหน้า"

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องที่น่ากลัว เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า การที่พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตเจ้าก็ดี พรหม เทวดา นางฟ้า ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านให้การสงเคราะห์ต่าง ๆ นั้น ถ้าหากว่าเราเผลอสติเมื่อไร เราก็จะไปคิดว่าตัวเราเก่ง ถ้าหากว่าเป็นไปในลักษณะอย่างนี้ ครั้งต่อไป ครูบาอาจารย์ท่านไม่ให้การสงเคราะห์ เราไม่สามารถที่จะทำได้เหมือนเดิม บางท่านก็จะออกอาการในลักษณะเริ่มหลอกลวงชาวบ้านเขา ซึ่งที่กระผม/อาตมภาพเจอมาบางท่านนั้น ต้องบอกว่าเป็นการหลอกลวงของมารที่น่ากลัวมาก ๆ

    เพราะว่าพระเดชพระคุณท่านผู้ที่โดนหลอกลวงนี้ เป็นพระภิกษุอยู่ในระดับครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านพระครูปลัดสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตฺโตให้ความเคารพนับถือมาตั้งแต่ก่อนจะบวช ซึ่งท่านพระครูปลัดสมปอง หรือมาภายหลังก็คือพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ ฐานานุกรมของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระธรรมสิทธิเวที หรือหลวงพ่อถมยา ที่กระผม/อาตมภาพเรียกด้วยความเคารพนั้น

    เมื่อท่านบวชเข้ามาแล้ว ก็ปรากฏว่าได้รับคำแนะนำบางอย่างที่ท่านนำมาปรึกษาว่า "หลวงพี่ครับ ผมว่าหลวงพ่อของผมน่าจะเพี้ยนแล้ว" เมื่อกระผม/อาตมภาพพิจารณาดูแล้ว ก็เห็นว่าออกนอกลู่นอกทางจริง ๆ

    แต่ด้วยความที่ว่าครูบาอาจารย์ท่านนั้น ในตอนแรกท่านได้ปวารณาเอาไว้กับกระผม/อาตมภาพ โดยบอกว่า "พระน้อง..ถ้าหากว่าพี่มีอะไรที่ควรจะได้รับการบอกกล่าวตักเตือน เพื่อให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างแท้จริง พี่ขอปวารณาไว้ ให้พระน้องตักเตือนได้ทุกเวลา" กระผม/อาตมภาพจึงใช้สิทธิ์ในการตักเตือนท่านไป โดยบอกกล่าวอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่ท่านทำนั้นของจริงควรจะเป็นอย่างนี้ แต่ที่ท่านทำอย่างนี้นั้น จุดที่ผิดพลาดอยู่ที่ตรงไหน

    นี่คือสิ่งที่กิเลสให้เรามา โดยเฉพาะในส่วนของอภิญญาสมาบัติ ท่านไม่ได้ฝึกฝนมาด้วยตัวเอง แต่ว่าผลทั้งหลายเหล่านี้เกิดจากกิเลสมารมอบให้ ถ้าเขาถอนกำลังกลับไปเมื่อไร กำลังส่วนนี้ของท่านจะหายไปทันที
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,555
    ค่าพลัง:
    +26,395
    เมื่อท่านอาจารย์รูปนั้นได้ฟังแล้ว ท่านก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติมาในแนวทางวิสุทธิมรรค ปรากฏว่าอภิญญาสมาบัติต่าง ๆ ที่ท่านได้รับนั้นสูญหายไปหมด เนื่องจากว่าเมื่อมารเห็นว่าท่านตั้งใจเดินในทางที่ถูกต้อง ไม่สามารถที่จะหลอกลวงได้อีก จึงถอนกำลังที่ท่านเคยทำโน่นทำนี่เป็นที่อัศจรรย์กลับไปจนหมด

    กระผม/อาตมภาพคิดว่าหมดปัญหาไปแล้ว..แต่ก็ไม่ใช่ เพราะว่าหลังจากนั้นไม่นาน พระเดชพระคุณท่านอาจารย์รูปนี้ก็กลับไปเหมือนเดิม แต่คราวนี้ท่านไม่อนุญาตให้กระผม/อาตมภาพตักเตือนท่านอีกแล้ว

    กระผม/อาตมภาพพิจารณาดูว่า ท่านเองรับไม่ได้ที่ความสามารถพิเศษต่าง ๆ หายไปหมด ต้องการจะใช้ความสามารถพิเศษเหล่านั้นต่อไป จึงยอมกลับไปปฏิบัติผิด ปฏิบัติพลาดเหมือนเดิม จนกระทั่งท้ายสุดก็อาการหนัก ถึงขนาดเข้าทรงพระพุทธเจ้า แล้วท้ายที่สุดก็เข้าทรงสมเด็จองค์ปฐม..!


    ครั้งล่าสุดที่ได้ยินก็คือ ถึงขนาดบวชลูกศิษย์ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา นับว่าเป็นเรื่องที่ออกนอกลู่นอกทางจนน่ากลัวมาก แต่ว่าต้องขาดการติดต่อไป เพราะว่าท่านไม่อนุญาตให้ตักเตือน และถึงตักเตือนไป ท่านก็คงจะไม่ฟังอีกแล้ว เป็นต้น


    ดังนั้น...ในส่วนของพระครูสมุห์สุทัศน์ ทตฺตมโนนั้น ตอนนี้ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ครูบาอาจารย์มาให้การสงเคราะห์ แต่ด้วยความที่ท่านอายุน้อยมาก ตอนนี้เพิ่งจะอายุ ๓๔ พรรษา ๑๔ แล้วหน้าที่การงานของท่านก็มากขึ้น

    โดยเฉพาะตำแหน่งเลขานุการเจ้าคณะตำบลนั้น ก็ต้องเป็นผู้ที่แบกงานทั้งตำบลเอาไว้แทนตัวเจ้าคณะตำบล อาจจะทำให้ท่านมีเวลาในการปฏิบัติรักษากำลังใจน้อยลง ถ้าหากว่าท่านพลาด อาจจะออกนอกลู่นอกทางได้ จึงได้แต่เอาใจช่วยอยู่ห่าง ๆ อย่างห่วง ๆ แต่ว่ายังดีใจที่ว่า ท่านขออนุญาตแอดฯ ไลน์เอาไว้ โดยบอกว่า "ถ้ามีอะไร กระผมจะเรียนสอบถามจากหลวงพ่อเป็นระยะไป" เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยังอุ่นใจขึ้นมาบ้าง


    ดังนั้น...เรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ส่วนที่ต้องระมัดระวังที่สุดก็คือ อย่าคิดว่าตัวเราดีเป็นอันขาด โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้ตักเตือนเอาไว้ว่า "ตราบใดที่ยังไม่ตายเข้าสู่พระนิพพาน ตราบนั้นเรื่องดีที่แท้จริงสำหรับเรายังไม่มี" ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านได้ตักเตือนเอาไว้อย่างนี้ กระผม/อาตมภาพก็เทิดคำเตือนนี้ไว้เหนือเศียรเหนือเกล้า และพยายามที่จะปฏิบัติตามตลอดมา


    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...