เรื่องเด่น วันอาสาฬหบูชา

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 5 กรกฎาคม 2020.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,540
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,538
    ค่าพลัง:
    +26,373
    2AD5A5C3-62BB-43A4-BC73-3198C40FEBD5.jpeg

    วันอาสาฬหบูชา

    "ญาติโยมทั้งหลาย วันอาสาฬหบูชานั้น เป็นวันที่สำคัญยิ่งวันหนึ่งในพระพุทธ ศาสนา เพราะว่าเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา คือการแสดงธรรมครั้งแรกในพระพุทธศาสนา และทำให้บังเกิดพระสงฆ์ขึ้นครั้งแรกในโลก ก็แปลว่าในวันอาสาฬหบูชาเมื่อ ๒,๖๐๗ ปีล่วงมาแล้วนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา ทรงยังให้พระรัตนตรัยเกิดขึ้นโดยครบถ้วนสมบูรณ์ในวันอาสาฬหบูชา

    เพราะว่าเมื่อองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ อุรุเวลาเสนานิคม แขวงเมืองพาราณสีนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ยังให้เกิดพระพุทธรัตนะกับพระธรรมรัตนะ คือเกิดดวงแก้วแห่งพระพุทธและพระธรรมขึ้น

    จนกระทั่งระยะเวลาล่วงเลยไป ๒ เดือนเต็ม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้เสด็จไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เพื่อแสดงปฐมเทศนา หรือที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าธัมมจักกัปปวัตนสูตร ทำให้โกณฑัญญพราหมณ์ หรือว่าท่านโกณฑัญญะ หนึ่งในปัญจวัคคีย์นั้น เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา ได้รับประทานการบวชแบบเอหิภิกขุฯ จากพระบรมศาสดา จึงได้กลายเป็นพระสงฆ์รูปแรกในพระพุทธศาสนา ทำให้มีพระรัตนตรัยมีครบถ้วนสมบูรณ์ในวันเพ็ญกลางเดือน ๘ ของปีนั้นนั่นเอง

    ญาติโยมทั้งหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั้น พระองค์เมื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในวันเพ็ญกลางเดือน ๖ คือวิสาขบูชาแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ได้เสวยวิมุติสุขอยู่ตลอด ๔๙ วัน หลังจากนั้นจึงได้ดำริว่า เราจักแสดงธรรมนี้แก่ผู้ใดดีหนอ เพราะว่าหลักธรรมที่เรารู้นั้นลึกซึ้งคัมภีรภาพเหลือเกิน บุคคลทั่วไปยากที่จะเข้าถึงได้

    พระองค์ท่านระลึกถึงอาฬารดาบส กาลามโคตร และอุทกดาบส รามบุตร ผู้เป็นครูของตน ก็ทรงทราบด้วยพระญาณว่า อาฬารดาบส กาลามโคตรนั้น ได้สิ้นชีวิตลงไปเมื่อ ๗ วันล่วงมาแล้ว ส่วนอุทกดาบส รามบุตรนั้นยิ่งเป็นที่น่าสงสารเข้าไปใหญ่ เพราะว่าเสียชีวิตลงไปในวันนี้เอง

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นเราควรจะไปเทศน์โปรดใคร ถึงจะทำให้หลักธรรมนี้ปรากฏชัดขึ้นมา โดยมีบุคคลเป็นพยานหลักฐานว่า เราได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างแท้จริง

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้วก็เห็นว่า ปัญจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ ที่เคยให้การอุปัฏฐากรับใช้พระองค์ท่านมาก่อนนั้น เป็นบุคคลที่ควรจะได้เข้าถึงธรรมนี้ เพราะว่าการที่คนเราจะยอมรับฟังกันนั้น ก็ต้องมีศรัทธาก็คือความเชื่อ มีปสาทะคือความเลื่อมใสกันมาก่อน ถ้าหากว่าไม่มีความเชื่อความเลื่อมใสกันมาก่อน บอกกล่าวไปก็ไม่มีใครรับฟัง

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาด้วยข่ายคือพระญาณแล้ว ก็ทราบว่า ปัญจวัคคีย์ฤๅษีทั้ง ๕ นั้น เมื่อหลีกจากพระองค์ไป ก็ไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสีในที่ไม่ไกล แต่ถ้าหากบอกว่าไม่ไกล ในปัจจุบันนี้ถ้าใช้รถยนต์วิ่งไป ก็เป็นระยะทางได้ ๒๓๐ กิโลเมตร ประมาณจากทองผาภูมิไปอยู่กรุงเทพฯ โน่นเลย

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเสด็จไป ใช้ระยะเวลา ๑๑ วันเต็ม ๆ เสด็จไปถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ถ้าหากว่าเราเฉลี่ยว่า ๑๑ วันเดิน ๒๓๐ กิโลเมตร ก็ไม่ใช่ระยะทางที่ไกลเลย เพราะว่าอาตมาเองช่วงธุดงค์นั้น เดินแบบสบาย ๆ วันหนึ่งประมาณ ๔๐ กิโลเมตร ถ้าหากว่า ๑๐ วัน ก็ ๔๐๐ กิโลเมตร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแข็งแรงกว่าจนนับไม่ได้ ทำไมใช้เวลาเดินทางถึง ๑๑ วัน ?

    เพราะว่าองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ทรงแบกภาระติดพระองค์ไว้ตั้งแต่ประสูติขึ้นมา ก็คือทันทีที่เกิดก็มีการทำนายว่า พระองค์ท่านจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก บรรดาเจ้าพระยามหากษัตริย์ทั้งหลายที่อยู่ในราชสมบัติทุกองค์ก็ต้องเห็นพระองค์ท่านเป็นศัตรูตั้งแต่เกิด เพราะว่าพระเจ้าจักรพรรดิจะปกครองโลกได้ ก็ต้องยึดสมบัติของพระราชาอื่นทั้งหมด องค์สมเด็จพระบรมสุคตก็เลยกลายเป็นมีศัตรู เพราะความดีของพระองค์ท่านมาตั้งแต่เกิด

    เมื่อพระองค์ท่านเสด็จจากอุรุเวลาเสนานิคม ไปยังป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จึงต้องไปในลักษณะที่ไม่ให้คนทั่วไปเห็น เพราะถ้าหากว่าพบเห็นเมื่อไหร่ เหล่าจารบุรุษก็จะรายงานไป โดยเฉพาะเมืองพาราณสีนั้นขึ้นอยู่ในแคว้นกาสี ซึ่งแคว้นกาสีนั้นก็มักจะโดนแคว้นโกศลผนวกกลืนเข้าไปอยู่เสมอ เมื่อแคว้นโกศลซึ่งเป็นแคว้นใหญ่ นอกจากกลืนแคว้นกาสีไปแล้ว ก็ยังกลืนเมืองกบิลพัสดุ์และเทวทหะของทั้งศากยวงศ์และโกลิยวงศ์เข้าไปอีกด้วย

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าหากมีข่าวว่าพระองค์ท่านปรากฏองค์ขึ้นมา โดยปราศจากจตุรงคเสนาคือกองทัพห้อมล้อม ก็คงจะมีรายการตามจับตัวกัน แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วไม่มีใครสามารถที่จะทำให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์ลงได้ แต่ก็จะสร้างเวรสร้างกรรมให้กับผู้อื่นอย่างสาหัส เพราะว่าไปล่วงละเมิดบุคคลที่บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงแล้ว กลายเป็นโทษใหญ่โดยไม่รู้ตัว

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คงเสด็จได้เฉพาะเวลาค่ำคืนที่ไม่มีคนเห็น เมื่อถึงเวลาจวนสว่างก็ต้องหาที่หลบ เพราะว่าพระองค์ท่านไม่เหมือนใคร มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการและอนุพยัญชนะอีก ๘๐ ประการ เป็นผู้ชายที่หล่อที่สุดในโลก ใครเห็นก็ต้องจำได้ เมื่อจำเป็นก็ต้องหลบไม่ให้คนเห็น ถึงเวลาเดินไปถ้าหากว่าเจอใครไกล ๆ ก็ต้องหลบ ทำให้เสียเวลาไปถึง ๑๑ วันกว่าจะเดินทางไปถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

    ในส่วนนี้ถ้าญาติโยมอ่านพระไตรปิฎกแล้วไม่ได้คิดก็จะมองข้ามไป เดินทางได้วันหนึ่ง ๑๒๐ โยชน์ ตีเป็นระยะทางของเราว่า ๙๖๐ กิโลเมตรต่อวัน สมัยนี้ Lamborghini วิ่งถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? แต่พระองค์ท่านใช้เวลาไปถึง ๑๑ วันค่อยไปถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

    ปรากฏว่าปัญจวัคคีย์ไม่ต้อนรับอีกต่างหาก เห็นพระองค์ท่านเดินมาแต่ไกลก็กล่าวว่า นั่นสิทธัตถราชกุมารเดินทางมาหาเราแล้ว คงจะทนความลำบากไม่ได้ ต้องการให้เราอุปัฏฐากรับใช้ ขอเราทั้งหลายอย่าได้จงอย่าได้ลุกรับ อย่าได้ปูอาสนะ อย่าได้ถวายน้ำใช้น้ำฉัน

    เนื่องเพราะว่าสมัยนั้นเชื่อว่า การจะบรรลุมรรคบรรลุผลได้มีวิธีเดียว ก็คือต้องทรมานตัวเอง แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าค้นพบทางสายกลาง ไม่ย่อหย่อนเกินไปและไม่ตึงเกินไปจนบรรลุมรรคผลได้ แต่ยังไม่มีใครเชื่อเพราะไม่มีพยานหลักฐาน

    แต่เมื่อองค์สมเด็จพระภควันต์เสด็จเข้าไปใกล้ ด้วยความเคยชินและพุทธบารมี ทำให้ปัญจวัคคีย์ลืมข้อสัญญาที่ตกลงกันไว้ คนที่เคยลุกรับก็ลุกรับ คนที่เคยปูอาสนะก็ปูอาสนะ คนที่เคยถวายน้ำใช้น้ำฉันก็ถวาย

    แต่ก็ยังประกอบไปด้วยทิฐิมานะ โดยเรียกพระองค์ท่านว่า “อาวุโส” แปลว่า ผู้มีอายุ ซึ่งเป็นคำเรียกของคนแก่ที่เรียกเด็ก เหมือนอย่างกับสมัยนี้ที่เราอาจจะเรียกเด็ก ๆ ว่า “ไอ้หนุ่ม” เป็นต้น แต่ถ้าเรียกว่า “ภันเต” แปลว่า "ผู้เจริญ" นี่ใช้เรียกว่าผู้ที่มีความเหนือกว่าด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ ก็คืออายุมากกว่า ความรู้มากกว่า

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวว่า “อย่าเลย..เธอจงอย่าได้กล่าวเช่นนั้น บัดนี้เราได้บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว” ปัญจวัคคีย์ก็ยังไม่เชื่อ เพราะว่าเขาทรมานตนต่อเนื่องกันมาเป็นพัน ๆ ปี ล้มหายตายจากกันไปกี่ชั่วคนก็ไม่มีใครบรรลุได้ แล้วพระองค์ท่านเปลี่ยนวิธี ไม่ยอมทรมานตัวเอง แล้วบอกว่าบรรลุได้ ใครจะเชื่อ ?

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า “ดูกร..ท่านทั้งหลาย ตั้งแต่เราอยู่ร่วมกันมาตลอดระยะเวลา ๖ ปี เราเคยกล่าวสิ่งที่ไม่เป็นความจริงหรือไม่ ?” ปัญจวัคคีย์จึงระลึกขึ้นมาได้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ไม่เคยตรัสอะไรที่เป็นเรื่องโกหกแม้แต่น้อย ในเมื่อพระองค์ท่านกล่าวว่าบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอกอัครบุรุษของโลกแล้ว ก็น่าจะเป็นจริงตามนั้น จึงยอมนั่งลงฟังธรรม

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้แสดงปฐมเทศนา คือการเทศน์ครั้งแรก ในธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่ได้กล่าวถึงส่วนสุด ๒ อย่าง คือ การทรมานตัวเองเกินไป กับการย่อหย่อนเกินไป ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกี่ยวข้องด้วย แต่ให้ปฏิบัติในทางสายกลาง ซึ่งประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิไปจนถึงสัมมาสมาธิ ย่อลงมาแล้วคือ ศีล สมาธิ และปัญญานั่นเอง

    ปรากฏว่าโกณฑัญญพราหมณ์ซึ่งเป็นผู้ที่อายุมากที่สุด ถ้าหากว่าทุกท่านสงสัยว่าโกณฑัญญพราหมณ์อายุเท่าไร เขาว่าโกณฑัญญพราหมณ์จบไตรเภท ถ้าสมัยนี้ก็ประมาณจบด็อกเตอร์ ตอนอายุ ๑๖ เป็นพราหมณ์ที่หนุ่มที่สุดในจำนวน ๑๐๘ รูปที่เข้าไปทำนายลักษณะของสิทธัตถราชกุมารตอนเกิด

    ถ้าหากว่าท่านเข้าไปตอนอายุ ๑๖ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบรรลุมรรคผลตอนอายุ ๓๕ เพราะว่าเสด็จออกบวชตอนอายุ ๒๙ แสวงมหาภิเนษกรมณ์อยู่ ๖ ปี อายุ ๓๕ บรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑๖ บวก ๓๕ ได้ ๕๑ ปีเป็นอย่างน้อย บรรดาพราหมณ์ที่เข้าทำนายลักษณะอีก ๑๐๗ รูปตายไปหมดแล้ว

    ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ ที่มาร่วมอยู่ในกลุ่มปัญจวัคคีย์นั้น ล้วนแล้วเป็นลูกหลานของพราหมณ์ทั้ง ๑๐๘ ทั้งสิ้น มีตัวจริงเสียงจริงอยู่รูปเดียว คือ ท่านโกณฑัญญพราหมณ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีปัญญามาก และเป็นคนเดียวที่ฟันธงไปในด้านเดียวว่า สิทธัตถราชกุมารจะออกบวช และเป็นศาสดาเอกของโลก จึงได้ตามมาถวายการรับใช้ โดยชวนลูกหลานของพราหมณ์ที่ทำนายลักษณะอีก ๔ ท่าน มารวมกันเป็นคณะ ๕ เรียกว่า ปัญจวัคคีย์

    เมื่อได้ฟังองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม บอกส่วนสุด ๒ อย่างที่ต้องละ และทางสายกลางที่ต้องประพฤติ แล้วยังกล่าวถึง ทุกข์ ก็คือเรื่องของความลำบาก สมุทัย คือสาเหตุของการเกิดทุกข์ นิโรธ คือการดับทุกข์ และมรรค คือปฏิปทาการเข้าถึงความดับทุกข์

    ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าญาติโยมฟังดูก็จะสงสัย ว่าทำไมไม่กล่าวถึงทางดับทุกข์แล้วก็ถึงความดับ ก็คือกล่าวถึง มรรค นิโรธ สมุทัย แล้วก็ทุกข์ แต่ไปกล่าวถึงทุกข์ ความลำบากขึ้นก่อน

    ก็เพราะว่าองค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงกล่าวตามความรู้สึกของคนทั่ว ๆ ไป เวลาเราลำบากขึ้นมาเราไม่ได้หาว่าลำบากเพราะอะไร แต่ส่วนใหญ่ญาติโยมจะเกิดความรู้สึกในใจว่า “ทุกข์จริงโว้ย..!” บางคนดุเดือดหน่อยก็ ”ทุกข์ฉิบหายเลยโว้ย..!” แต่ไม่ได้คิดว่าทุกข์เพราะอะไร

    จนกระทั่งหาทางออกไม่ได้จริง ๆ ท้ายสุดก็จะนึกว่า ไอ้นี่มันเกิดจากอะไร ? แล้วก็จะไปหาเจอว่า สาเหตุเป็นเพราะดังนี้ ก็คือสมุทัย ไอ้นี่เองตัวทำให้ทุกข์ เพราะฉะนั้น..องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้กล่าวอริยสัจตามกำลังใจคนว่า ทุกข์ สมุทัย

    พอถึงเวลาทุกข์หายไป เราก็ไม่ได้คิดว่าหายไปเพราะอะไร ? แต่กลับไปคิดว่า สบายจริง ๆ เลย ไม่ทุกข์แล้ว ซึ่งก็คือนิโรธ เข้าถึงความดับทุกข์ก่อน ความรู้สึกสบายใจปรากฎขึ้นแล้ว ทุกข์หายไปหมดแล้ว เมื่อถึงเวลาเกิดบ่อย ๆ ค่อยฉลาดขึ้น ไปนึกว่าความทุกข์นี่หายไปได้เพราะอะไร ? ก็พิจารณาจนไปเจอมรรค ก็คือหนทางเข้าถึงความดับทุกข์

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อตรัสถึงส่วนสุด ๒ ทางที่ต้องละ ทางสายกลางที่ต้องประพฤติ และอริยสัจที่พระองค์ท่านค้นพบความจริงแท้ทั้ง ๔ อย่างขึ้นมา ท่านโกณฑัญญะก็เกิดดวงตาเห็นธรรมว่า "ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมัง” แปลเป็นใจความว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับลงด้วย ก็คือถ้าหากว่าทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นก็ต้องมีเหตุ ถ้าหากว่าไม่สร้างเหตุของทุกข์ก็เข้าถึงความดับนั่นเอง

    ถ้าใครที่สามารถสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรได้ขอให้ทราบว่า นี่เป็นผลการสรุปเนื้อหาใจความของปฐมเทศนาโดยพระอัญญาโกณฑัญญเถระ เป็นการสรุปเนื้อความที่ได้ใจความสุด ๆ โดยที่พระพุทธเจ้าไม่ได้กล่าวถึงแบบนี้แม้แต่ประโยคเดียว แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญสามารถที่จะสรุปได้ว่า "ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมัง” สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดแต่เหตุ ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับ

    ในเมื่อท่านสรุปได้ดังนี้ จึงเข้าถึงหลักธรรมที่สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ทำให้กลายเป็นผู้รู้ธรรมองค์แรกถัดจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา กลายเป็นสักขีสาวก คือพระสาวกที่ยืนยันการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าได้ เพราะว่าหลักธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก ไม่สามารถที่จะอธิบายเป็นตัวหนังสือหรือคำพูดได้ละเอียดเท่ากับอารมณ์ทางใจ อย่างที่สมัยนี้นิยมใช้คำว่า “สภาวธรรม”

    “สภาวธรรม” นั้น เราจะบรรยายเป็นตัวหนังสือหรือว่าเป็นภาษาพูดไม่ได้ เพราะว่าตัวหนังสือหรือภาษาพูดหยาบจนเกินไป เข้าถึงได้ด้วยกำลังใจที่เป็นของละเอียดเท่านั้น องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ตรัสว่าเป็น “ปัจจัตตัง” คือรู้เฉพาะตน บอกคนอื่นได้ยาก

    เมื่อพระอัญญาโกณฑัญญมีดวงตาเข้าถึงธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดีใจ ไม่ได้ดีใจว่าได้สาวก แต่ดีใจว่ามีผู้เข้าถึงธรรมได้จริง ๆ สามารถเป็นพยานได้ว่าพระองค์ท่านตรัสรู้มรรคผลจริง ๆ จึงทรงอุทานขึ้นมาว่า “อญฺญาสิ วต โภ โกญฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกญฺฑญฺโญ” ดังที่ได้ยกขึ้นเป็นนิกเขปบทในเบื้องต้น ซึ่งแปลเป็นใจความว่า โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านโกณฑัญญะก็เลยมีฉายาว่า “อัญญา” ก็คือ ผู้รู้ เพราะว่าสมัยนั้นไม่มีนามสกุล ถ้าหากว่าชื่อซ้ำกันก็ต้องมีฉายาต่อไปด้วย อย่างเช่นว่า อัญญาโกณฑัญญะ แปลว่า โกณฑัญญะผู้รู้แล้ว

    ถ้ามีโกณฑัญญะอื่นจะได้รู้ว่าเป็นใคร อย่างเช่น ท่านภัททิยะ ก็มี ภัททิยศากยราชา คือท่านภัททิยะผู้เป็นพระราชาของชาวศากยะมาบวช มีท่านลกุณฏกภัททิยะ ท่านภัททิยะผู้หลังค่อม เป็นต้น ในเมื่อชื่อซ้ำกันก็ต้องมีฉายา ถึงจะได้รู้ว่ากล่าวถึงผู้ใด

    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ประทานเอหิภิกขุ ก็คือการบวชครั้งแรกในพระพุทธศาสนา เป็นการบวชด้วยการกล่าววาจาว่า “เอหิภิกขุ ขอเธอจงเป็นภิกษุเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว ขอเธอจงประพฤติถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” เป็นการบวชที่ง่ายมาก แต่ว่าในสมัยนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่า ถ้าหากว่าเคารพนับถือศาสดาใดแล้ว พระองค์ท่านตรัสอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น หรือว่าศาสดาว่าอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น การบวชจึงไม่ได้มีพิธีกรรมที่มากมายอย่างในปัจจุบันนี้

    เมื่อปัญจวัคคีย์ได้รับการบวชแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็เทศน์อนัตตลักขณสูตรต่อ ในแต่ละวันทรงเทศน์อนุปุพพิกถา พร้อมด้วยปกิณกธรรม และอนัตตลักขณสูตร จนกระทั่งท่านโกณฑัญญะ ท่านวัปปะ ท่านภัททิยะ ท่านมหานามะ และท่านอัสสชิ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ๕ รูปแรกในพระพุทธศาสนา

    ก็แปลว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงจำพรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พร้อมกับปัญจวัคคีย์ เพราะว่าทรงเทศน์จนกระทั่งบรรลุในวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ ก็คืออีก ๗ วันข้างหน้าถัดจากนี้ไป พระองค์ท่านก็เลยต้องอยู่พรรษาแรกที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

    ในส่วนที่ญาติโยมทั้งหลายได้มาร่วมกันบำเพ็ญกุศล เพราะเห็นความสำคัญของวันอาสาฬหบูชา ว่าเป็นวันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา และเป็นวันที่มีพระรัตนตรัยเกิดขึ้นครบถ้วนสมบูรณ์ในโลก ก็ได้มาปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในมรรค ๘ ซึ่งย่อลงมาเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา

    เมื่อท่านทั้งหลายมาสมาทานศีล ก็สมาทานศีล ๘ อีกด้วย ตั้งใจฟังธรรมที่ได้แสดงอยู่นี้ ด้วยความปักใจลงกับเสียงธรรมก็เป็นสมาธิ เห็นว่าส่วนใดที่เหมาะสมแก่ตนเองก็เก็บเอาหลักนั้นไปใช้เป็นส่วนของปัญญา แปลว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติครบถ้วนสมบูรณ์ในมรรค ๘ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวเอาไว้แล้ว

    องค์พระประทีปแก้วที่แสดงธรรมมาเมื่อ ๒,๖๐๐ ปีเศษ ก็คือ ๒,๖๐๗ ปี องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อแสดงหลักธรรมแล้ว ก็สืบทอดกันมาจนถึงรุ่นของเรา ที่ยังคงนำมาประพฤติปฏิบัติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ก็แปลว่าท่านทั้งหลายนั้นสมกับที่เป็นสาวก คือผู้ฟังและเชื่อตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวเอาไว้ตั้งแต่ต้นด้วยประการทั้งปวง"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เทศน์วันอาสาฬหบูชา ณ วัดท่าขนุน
    วันอังคารที่ ๑๖ กรกฏาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมฯวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...