สารพันปัญหา ตอบโดยคุณ nopphakan

ถ้าสนใจจัดกระดูกและรักษาโรคฟรีโดยพลังจิตว่าง ขอแนะนำ อ.กิตติ อุปถัมภ์ จากแผนกแพทย์แผนไทย รพ.พุทธชินราช จ.พิษณุโลก ปกติเสาร์-อาทิตย์ท่านจะสัญจรไปตามจังหวัดต่างๆแล้วแต่จะมีผู้เชิญไป ถ้าใกล้ร้อยเอ็ดก็คงจะเป็นทางโคราช อาจารย์เดินทางมารักษาคนทางนี้บ่อย
ที่ได้รู้จักท่านก็เพราะป๋านบแนะนำนี่หล่ะค่ะ เด๋วไปหากำหนดการมาแปะให้ อาจารย์เพิ่งอับเดท ส่วนใหญ่ผู้จัดสถานที่จะจัดที่วัดเพื่อให้ผู้เข้ารับการรักษาสะดวกทำบุญให้เจ้ากรรมนายเวรทันทีหลังรักษาแล้ว

 

ไปก็อปปี้มาจาก Line ห้องรวมที่อาจารย์จัดขึ้นส่งพลังจิตว่างรักษาผู้ป่วยทางไลน์ด้วย
กำหนดการ อ.กิตติ อุปถัมภ์
พลังจิตว่าง บำบัดโรค(สัญจร)

28 - 29 เม.ย.61
ศาลาประชาคม (รั้วเดียวกับ ศาลากลางจังหวัด) นครสวรรค์
แผนที่ : https://goo.gl/maps/mwptqpofBho

5 - 6 พ.ค.61
บุหงาส่าหรี รีสอร์ท
เขาแผงม้า วังน้ำเขียว นครราชสีมา
https://goo.gl/maps/TGjztzif73z

12 - 13 พ.ค.61
สวนอาหารนาทอง ซอยพร้อมศิริ
ถนนประชาอุทิศ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ
(ใกล้แยกประชาอุทิศ 'เหม่งจ๋าย ่)
https://goo.gl/maps/p1p4DxHhJcU2

26 - 27 พ.ค.61
วัดระฆังพรหมรังสี ซอยเพชรเกษม 77 กรุงเทพฯ
แผนที่ วัดระฆังพรหมรังสี
https://goo.gl/maps/mbhXv9mNAzN2

 

พระครูปลัด สุริยัญ
วัดป่าฉัพพรรณรังสี
อ.จตุรัส ชัยภูมิ
ถามได้ทุกเรื่อง
เท่าที่จะนึกได้

ถามเรื่องข้าพเจ้าก็ได้
ว่าไอ้นี่มันขี้โม้ เก่งแต่ปาก
หรือชอบสร้างภาพหรือเปล่า
ถามได้หมด
ถ้าอยากรู้อะไรครับ

 

ขอบคุณ..คุณTanya R กับ คุณนพ มากครับ....

 

สวัสดีครับท่านนพ ไม่ได้อ่านนานหายไปหน้า 2 เลย
ก็มีเรื่องเล่าให้ฟังนิดหน่อยครับ ช่วงนี้ผมก็นั่งสมาธิและอุทิศเป็นประจำทุกวันครับแล้วก็พยายามระลึกลมหายใจให้ได้ที่รู้สึกตัวครับ เมื่อ2 วันที่แล้วครับผมก็นั่งสมาธิตามปกติ ก็รู้สึกเหมือนมีแสงลำใหญ่จากด้านบนส่องมาที่ตัวซักระยะหนึ่งครับ รู้สึกว่าแสงนั้นน่าจะมาจากที่ไกลมาก ผมก็ขอบคุณไปตามปกติไม่ได้สนใจอะไรมากมาย จนมาตอนสายๆผมออกกำลังกาย ก็พยายามรู้ตัวไปตามปกติ แต่สักพักมันไม่ใช่แบบที่ผมรู้สึก มันเหมือนสภาวะรู้มากกว่าครับ (มันจะละเอียดอ่อนกว่ามาก)มันไม่มีเจตนาที่จะรู้อะไร ไม่มีสติหรืออะไรในสภาวะนั้นครับ แค่รู้นิ่งๆแต่ก็ออกกำลังกายไปตามปกติครับ แต่สภวาวะนั้นอยู่ได้ไม่นานมากประมาณ15นาทีครับ
อ้อแล้วผมไปงานศพญาติครับ ผมก็นั่งสมาธิอุทิศบุญให้ส่วนนึงไปให้เขาก่อนไปงาน ผมก็นั่งเก้าอี้ แล้วก็รู้สึกว่าข้างๆโลงเขายืนอยู่ครับใส่ชุดขาวเหมือนเทวดาชั้นจาตุม ตามความรู้สึกที่มันบอกครับ แล้วพอพระสวด กรวดน้ำเสร็จ ก็รู้สึกเลยครับว่า ชุดเขาเปลี่ยนดูสวยงามขึ้น มีสายสังวาลแบบเทวดาอีกแบบ แต่ผมไม่ได้มองเห็นนะครับและก็ไม่ได้อยากเห็ฯหรืออะไรด้วยมัน รู้ของงมันเองครับ
มีคำถามนิดหน่อยครับตามย่อหน้าแรกครับท่านนพ คืออะไร ซึงถ้าท่านนพมองว่าไม่สมควรตอบก็ไม่ต้องครับเพราะผมไม่ได้ติดใจอะไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจคือเม็ดทรายอย่างผมเดินมาถูกทางแล้วก็ต้องทำต่อไปครับ ซึ่งสภาวะรู้นั้นถ้าให้ผมเดาน่าจะเป็นสภาวะสติที่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีการปรุ่งแต่งของสิ่งใด ดวงจิตสามารถรับรู้ รูปนามได้ตามความเป็นจริง นั่นก็คือตัววิญญานน่าจะบริสุทธิ์ขึ้นครับ

 

คุณคนโง่เคยคุ้นๆกับคำพูดที่
ผมชอบพูดว่าพันธมิตร
ทางภพภูมิไหมครับ

เหตุที่คุณสร้างมาทำให้เกิดผลตรงนี้
คือเป็นภูมิที่มีความสร้างสามารถ
บารมีค่อนข้างสูง แสดงว่าท่าน
เห็นเราเป็นมิตรนั่นหละครับ
ส่วนเวลาคือระยะเวลาที่ร่างกายปรับตัว
เพื่อรองรับ

สิ่งที่ตามมาคือจะช่วยหนุน
กะแสที่เชื่อมกับครูบาร์อาจารย์ข้างบน
แต่กะแสมันจะวนระหว่างลิ้นปี่และศรีษะ
ในมุมขนานกันตัวเราหรือตั้งฉากกับพื้น
แต่ว่ามันยังอยูาในกายนะครับ
ไอ้ตัวกะแสแบบนี้หละ ที่มันเกี่ยวกับ
สัมผัสการรับรู้ทางด้านนามธรรมต่างๆ

พอมันหมุนมาตรงลิ้นปี่ มันจะไปผลักตัวจิต
ให้ไปเกี่ยวกับกะแสสัมผัสภายใน
ที่อยู่ปกติหมุนอยู่บริเวณท้องของเรา

ถ้าเรารับรู้อะไร ทางนามธรรม
มันจึงว่าคล้ายๆเป็นความรู้สึกหมด
เช่น รู้สึกว่าเป็นภาพโน้นนี่นั้น
เพราะเหตุนี้ครับ ถ้าแบบเดียวกัน
แต่มีกะแสหมุนนอกกาย
ภาพที่เห็นก็จะกลายเป็น
เหมือนเรายืนมองดูภาพภายนอก
ไม่ใช่แค่รู้สึก
สามารถพัฒนาต่อได้ถ้า
พลิกกะแสเมตตาจากภายใน
ไปภายนอกได้ครับ

ไม่ยึดไม่ติดดีแล้ว
เพราะมันเป็นวิถีของจิต
อย่างหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ปกติครับ

เล่าให้ฟังพอได้ครับ
ขำๆ

 

ขอบคุณมากครับท่านนพ
ก็เล่าเพิ่มเติมในอดีตอีกนิดครับ เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้วผมก็ปฏิบัติอานาปานะนี่ละครับ แต่สมัยนั้นผมทำได้เกือบตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน ไปทำงาน เลยครับ แต่ในนั้นมันมีเจตนาอยู่เยอะมากที่ทำก็เพราะรู้ว่ามีจิตตกค้างอยู่มากในธรรมชาติเลยมีเจตนาที่จะแบกและช่วยเขาเหล่านั้นเท่าที่จะทำได้ก็เลยเดินอานาปานะตลอดเวลาเพื่อสร้างพลังงานให้เขาเกาะครับก็ทำแบบนี้มาหลายปีครับจนมีกัลยาณมิตร เขามาบอกว่าจะแบกเอาไว้ทำไมมันไม่ดีทั้งกับตัวเราและตัวเขาเพราะตัวเราก็เดินหน้าไม่ได้ ตัวเขาก็ไม่ได้ไปไหนเกาะกันอยู่แบบนี้ เพราะตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะทำไปจนตายละครับ พอเข้าใจก็เลยส่งพวกเขาไปจุดคัดสรรครับ หลังจากนั้นผมก็หยุดไม่ได้เดินอานาปานะต่อเนื่อง เพิ่งจะเริ่มกลับมาทำนี่ละครับ แต่มันก็เปลี่ยนจากเจตนา มาเป็นรู้สึกมากกว่า ส่วนสภาวะรู้อย่างเดียวนั้นยังมามั่งไม่มามั่งครับก็ต้องทำต่อไปครับ
แต่เจตนาจากอดีตซึ่งยังอยู่มันก็คอยดึงสิ่งเหล่านี้มาเรื่อยๆมั้งครับ พอเริ่มเข้าใจก็เลยส่งทุกวัน ผ่านน้ำไม่ผ่านน้ำมั่งตามความเหมาะสมครับก็โชคดีได้อ่านข้อมูลของท่านนพนำมาปฏิบัติครับ
ตอนนี้ผมก็มีอาการ ที่ศรีษะกับลิ้นปี่ครับ ซึ่งเมื่อก่อนจะเสียดหัวมากที่ศรีษะตลอดเวลา ผ่านมาหลายปีอาการก็เบาบางลงมากแล้วครับ อาการที่ลิ้นปี่ก็จะมีแปร้บๆบ่อยๆครับอาการเหมือนกรดไหลย้อนมั้งครับ (สรุปว่าตอนนี้เรายังดีไม่พอบริสุทธิ์ไม่พอ ก็ต้องปรับธาตุขันธ์ให้เหมาะกว่านี้นะครับ)
ส่วนเรื่องการมองเห็นก็เป็นเหมือนที่ท่านนนพกล่าวครับ
และจากที่เห็น เรายังเด็กอยู่มากนะครับมีโอกาสพัฒนาได้อีกเยอะ เมื่อเป็นเด็กนอบน้อมอ่อนน้อมไว้สบายใจกว่านะครับ
ขอบคุณท่านนนพที่เมตตาตอบนะครับ

 

กะแสเมตตาเราดูกันตรงหน้าอกครับ
ในประเทศไทยหรือในโลก
ที่ว่าดังๆส่วนตัวยังไม่พบว่า
มีใครหนาแน่นเท่า
กับพ่อหลวงของเราองค์ก่อนครับ
รวมทั้งความสามารถพิเศษทางตาด้วยครับ
ไม่เป็นสองรองใครแม้แต่
ระดับเกจิอาจารย์ครับ

ถ้ากะแสนี้มันออกไปหมุนที่นอกกายได้
มันจะทำให้กะแสที่เล่าให้ฟังก่อนหน้า
ไหลลื่นขยายออกมาข้างนอกได้เองครับ

เมื่อก่อนส่วนตัวก็ลุยแบบลูกทุ่งคล้าย
คุณนั่นหละครับ ทำจนเกือบตายโน้นครับ
ดีว่าได้ภพภูมิมาช่วยดึงพลังงาน
ตกค้างออกให้ ป่านหนังจีน ๕๕๕
อาจเหมือนโม้

สมัยที่ใช้งานหนักไปทางกรรมฐานบางกอง
คุณเคยเห็นควันไฟสีดำๆไหมครับ
นั่นหละคือสีของพลังงานตกค้างที่อยู่
ในร่างกายสมัยลุยแบบลูกทุ่ง เห็นด้วย
ตาเปล่าๆนี่หละครับ ก่อนจะมาเจอท่านโน้นท่านนี้แนะนำ วิธีที่ครอบคลุมขึ้น
ในลำดับต่อมาครับ
ส่วนตัวสไตล์ลุยก่อน
แล้วท่านๆค่อยมาแนะครับ
ไม่เคยมีบอกก่อนแล้วไปลุยครับ ๕๕

ที่มาของคำว่า ลูกทุ่ง ๕๕๕

เรื่องที่คุณถามมาก่อนหน้า
พอกะแสหน้าอกออกไปข้างนอกได้
เด่วคุณจะรู้และเข้าใจได้ด้วยตัวคุณเองทั้งหมด
พอมีคนถามคุณๆจะตอบประมานที่ผม
เล่าให้ฟังนี่หละครับ (^_^)

 

ต้องขอขอบคุณคุณนพที่โพสอธิบายเรื่องระบบการหายใจครับ คือเมื่อก่อนผมลองปฏิบัติตามหนังสือบ้าง
ตามยูทูปบ้างเรื่องการกำหนดลมหายใจเข้าออก ไม่รู้ว่าทำถูกวิธีหรือเปล่า คือลมเข้ารู้ลมออกรู้ และตามลมไปว่าไปกระทบที่ไหนบ้างแต่ผลที่ออกมาคือ
รู้สึกอึดอัดและแน่นท้องมาก ทรมานมากครับหายใจไม่เต็มอิ่มเหมือนเป็นกรดไหลย้อน
ท้องอืดท้องเฟ้อ ตลอดเวลา ไม่สบายตัวรู้สึกหงุดหงิด ไปหาหมอก็หาสาเหตุไม่ได้ จนได้มาอ่านที่คุณนพอธิบายไว้ ว่าให้แค่รู้ว่ามีลมเข้าออกที่ปลายจมูกไม่ต้องไปตามลม
หรือไปบังคับ ก็เลยลองทำดู ผลปรากฏว่าอาการที่เป็นมาข้างต้นหายเป็นปลิดทิ้งเลยครับ
เหมือนเส้นผมบังภูเขา ตอนนี้โล่งแล้วครับ ต้องขอขอบคุณ คุณนพมากเลยคับ

 

เป็นอย่างที่ท่านนพกล่าวละครับ ไม่มีคนช่วยอาจะแย่หลายครั้งแล้วครับ เล่าเป็นเรื่องขำๆละกันครับซึ่งผมก็ไม่เห็นแต่คนที่เห็นเขาเล่าให้ฟังครับเพราะตอนที่ผมให้พวกเขาเข้ามาแฝงมีพวกไม่ดีมาด้วยผมให้เข้ามาอยู่ในกายเลย มีทั้ง ปิศาจ อสูรกาย ซึ่งพวกนี้เขาบอกว่าชอบพวกปฏิบัติธรรมนี่ละครับ ตอนจะชำระจากฟ้าปกตินี่มืดครึ้มเป็นบริเวณกว้าง แถมหม้อแปลงระเบิดไฟดับกันหมดเลย พวกปิศาจมีฤิทธิ์มากครับ เขาบอกว่ามากันเยอะมากล้อมจับพวกนี้ละครับซึ่งเราก็ไม่เห็นนะถ้าเห็นคงจะแปลกดี มีเรื่องเยอะแยะมากกมายครับคิดแล้วยังอายอยู่เลยครับ ไปก่อเรื่องไว้มากมายกว่าจะรู้สึกตัวต้องไปขออภัยโทษเยอะมาก ดีที่เบื้องบนเขาไม่ได้ถือมาก แล้วผมก็ไม่ทราบด้วยว่าแค่ผมคิดจะทำอะไร ก็จะมีอีกภาคมาทำให้เสร็จสรรพแบบนี้
ส่วนเรื่องจะเห็นหรือจะรู้แบบท่าน นพผมก็ไม่แน่ใจเพราะผมไม่ได้มาทางสายฤิทธิ์เลย มาทางสายสุขมากกว่าครับ ถ้ามีคนถามเรื่องธรรมผมก็ตอบได้แต่เรื่องทั่วๆไป ไม่ได้ลึกแบบท่านนนพครับ และผมเองก็ไม่เคยฝึกอะไรเลยนอกจากอานาปานะครับ จึงไม่เคยเห็นอย่างที่ท่านนพกล่าวครับ ก็อย่างทีเคยบอกท่านนนพ ช่วงกลางหน้าอกผมจะแน่นๆ แปร้บๆกับที่หัวจะเสียดๆอยู่ตลอดซึ่งผมก็มองว่าอาจจะเป็ฯพลังงานตกค้างอย่างที่ท่านนนพกล่าวครับ
ส่วนเรื่องพระองค์ท่าน ร.๙ ทุกครั้งที่ระลึกถึงท่านเหมือนมีกระแสอบอุ่นอยู่รอบๆตัวทุกครั้งครับ

 

ขอบพระคุณพี่นพที่ให้คำแนะนำในหลายเรื่องโดยเฉพาะสุขภาพ ซึ่งก็พยายามทำตามที่แนะนำ แต่คงต้องใช้เวลากว่าจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเรื่องปฏิบัติก็ใช้วิธีเจริญสติตามคำแนะนำเช่นกันครับ และดู youtubeและปฏิบัติตามแนวของพระอาจารย์”ดูจิต” ร่วมด้วย สำหรับครั้งนี้จะขอถามเกี่ยวกับพระสยามเทวธิราชครับ คือที่ทำงานกำลังจะหล่อพระสยามฯจำลองให้พนักงานทำการบูชาเพิ่มจากเดิมที่มีอยู่แล้ว 1 องค์ โดยจะเชิญพระเกจิอาจารย์มาทำการพุทธาภิเษก และมีพราหมณ์มาทำพิธีไม่ทราบว่ามีเคล็ดหรือวิธีการที่จะช่วยให้เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์หรือขลังให้กับองค์พระสยามฯจำลองนี้มั้ยครับ และมีความเข้าใจว่าพระสยามเทวาธิราชที่ดูแลรักษาประเทศไทยเป็นตำแหน่งและทำหน้าที่หมุนเวียนกันไป ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกรึเปล่าครับ (เกือบลืมบอกไปว่าที่ทำงานมีรูปพระสยามฯเป็นตราสัญญลักษณ์ครับ)

 

โอ้โห้...ค่อยๆอ่านก่อนนะ....
สมมุตินะครับ ความสามารถระดับพระฯที่อ้างถึง
ถ้าเทียบกับฆารวาส ก็เหมือนฆารวาสที่สำเร็จ
ระดับจิตธาตุครับ พูดง่ายๆ หยิบของในอากาศ
เล่นแร่แปรธาตุ เหาะเหินเดินอากาศหายตัวได้แบบสิวๆ
ถ้าเป็นในระดับนามธรรม ก็เรียกได้ว่า
ระดับโปรซีรีย์สุดๆแล้วครับ ความสามารถป้องกัน
คลอบคลุมได้ทั้งระดับวิญญานรากหญ้า วิญญานมีฤิทธิ์
หรือแม้กระทั้งระดับสูงๆที่มีฤิทธิ์ก็ยังเหนือกว่าอีกครับ
อีกทั้งยังมีอาวุธทิยพ์เฉพาะตนอีก นี่ยังไม่นับรวมบารมี
เฉพาะดวงจิตอีกนะครับ.....

เอาง่ายๆนะ คือ สมมุตินะว่าคุณหรือข้าพเจ้า
ดันได้เกิดเป็นระดับพรหมมีฤิทธิ์หรือเทพมีฤิทธิ์
ถ้าสมมุติว่าเจอท่านเสด็จมาหา ทั้งคุณและข้าพเจ้า
ก็คงจะต้องรีบนั่งรอนิ่งๆ ด้วยกิริยาหงิมๆติ๋มๆ
เลยละครับ พูดพอเปรียบเทียบให้เห็นภาพนะครับ....

ดังนั้นประเด็นมันจะไม่ใช่การจะไปเพิ่มความเข้มขลังหรือ
ความศักดิ์สิทธิ์อะไรให้ท่านครับ อย่าไปเน้นประเด็นนี้ครับ
นี่ถ้าด้วยบารมีระดับท่าน ถ้าไม่ติดว่ามีเมตตาและเคยให้สัจจะวาจาไว้ป่านนี้ คงนิพพานไปแล้วหละครับ พอนึกภาพออกนะครับ

ให้เปลี่ยนเป็นการวางใจเราให้เป็นกลาง
ให้ความเคารพนับถือท่าน แต่อย่ายึดถือ
จะทำให้ตัวจิตเรา สามารถส่งกระแสเข้าไป
รับรู้เข้าถึง ระดับกระแสบารมีของท่านได้ครับ
เมื่อเราเข้าถึงได้แล้ว...เพียงแค่เราระลึกถึงท่าน
ในเวลาที่มีภัย. หรืออะไรก็ตามในเวลาปกติ
ประกันได้ว่า ระดับความเร็ว
ในการที่เข้าถึงท่าน จะเร็วยิ่งกว่าวินาทีของวินาทีอีกครับ...
ความเร็วแสงหรือเสียงยังช้าไปพูดง่ายๆ...

เข้าใจเนาะ.....

 

ขอบพระคุณพี่นพมากครับ ผมเข้าใจผิดตลอดมา คิดว่าท่านเป็นเทวดาระดับสูงแต่ไม่ถึงกับมีบารมีขั้นโปรซีรีย์สุดๆแบบที่พี่นพว่ามา คงต้องปรับทัศนะคติตัวเองตามคำแนะนำที่พี่ว่ามาครับ

 

กรณีที่มีอาการคล้ายกรดไหลย้อนบริเวณลิ้นปี่
ทางด้านธาตุ คือ ธาตุไฟกับธาตุลมมันพร่อง...
ให้แก้ด้วยการเพิ่มธาตุน้ำเข้าไป...

วิธีแก้ทั่วๆไปคือ เวลาทางอาหารอย่ารีบเคี้ยว
ให้เคี้ยวให้ละเอียดก่อน และทานแล้วอย่านอนเลย
และก็ให้ทานแค่พออิ่ม อย่าเสียดายอาหาร แค่อิ่มพอ...

การรักษา ปกติคนที่มีอาการนี้ เวลาตื่นนอนตอนเช้า
จะพบว่า บริเวณลิ้นปี่หรือแถวหน้าอกจะร้อน หรืออุ่นๆ
ในตอนเช้า ให้เดินออกไปนั่งเก๊กหล่อย เหยียบหญ้าเล่นๆ
ด้วยเท้าเปล่าหรือเหยียบดินก็ได้
ไม่กี่นาทีก็จะเย็นขึ้นได้เอง...

และกรณีที่เริ่มมีอาการ คือหิวจัด ลืมเคี้ยวให้ละเอียด
หรือทานมากไป แล้วนอนเลย
ให้กำหนดภาวนา คำว่า อาโปกสินัง
ไม่ว่าจะท่านั่งหรือท่านอนได้หมด
ตรงบริเวณลิ้นปี่ ภาวนาไปเรื่อยๆ
อาการก็จะดีขึ้นได้เอง
โดยไม่ต้องทานยาใดๆ จบ

กรณีที่ระลึกถึงท่านที่กล่าว แล้วรู้สึกอุ่นๆ
อุ่นๆนั่นคือ กระแสที่ค้างในตัวเราเอง
ที่กำลังถูกเคลียร์ออกไป ไม่ใช่ต้นกระแสนะ...
กรณีการเข้าถึงกระแสท่านต่างๆ
จะไม่มีคำว่า ร้อน อุ่น

มีแต่ เบา เย็น เร็ว นิ่ง ละเอียด หมุนได้ หรือขึ้นตรง
หมุนได้มีทั้งหมุนภายใน หมุนภายนอก
ขึ้นตรงมีทั้งขึ้นเลยศรีษะ และขาดช่วง
และก็จะมีหลักสังเกตุ อิงตามแนวจักระ
และแนวกระดูกสันหลัง ดูการเชื่อมต่อ
หรือการหมุนแยกเดี่ยว ซึ่งตรงนี้จะทำให้เราทราบ
ได้ถึงความสามารถต่างๆของท่านๆนั้นๆ
ว่าทำอะไรได้บ้าง... ซึ่งตรงนี้จะไม่สามารถ
ปิดบังกันได้ หรือว่าต่อให้สร้างภาพก็รู้ได้
เช่น เหวี่ยงที่ปาก ผูกกับที่ท้อง
หมายถึงท่านนี้วาจาสิทธิ์ หมุนที่ท้องหนาแน่น
หมายถึงท่านนี้เด่นด้านภายใน. ผูกที่ท้องทั้งด้านหน้า
ด้านหลังหมายถึงรักษาโรคได้(แนวลูกศิษย์ท่าน ปู่ ท่านหนึ่ง
ในอดีตกาล จะเป็นแบบนี้ปกติ ) และถ้าเป็นหมอแต่ไม่รู้เรื่อง
อะไร ไม่ได้ฝึกสมาธิอะไร แต่ถ้ามีแบบนี้
ส่วนใหญ่คนไข้จะเยอะเพราะไปเจอหมอท่านนี้
แล้วมักจะหายขาดได้ บางทีแค่เดินมาใกล้ๆก็รู้สึกว่าหายแล้ว
หรือเอามือจับๆก็ดีขึ้นเป็นต้น ฯลฯ พวกนี้ก็ต้องอาศัยการสังเกตุ
เอาเอง ซึ่งไม่ยากอะไรหรอก อนาคตจะเล่าให้ฟัง
หรืออาจจะนึกเงี้ยนเขียนเป็นตำราขึ้นมาก็ได้...๕๕๕

กระแสพลังงานถ้ามี
หนาแน่น พุงขึ้นตรงข้างบน
ตามแนวกระดูกสันหลัง(กรณีพระโพธิ)
เร็วแรงพุงขึ้นตรง เบากระดูกสันหลัง(คือแนวพระพุทธฯ)
หนาแน่นตรงบริเวณหน้าอกแต่ขยายออกภายนอก
หรือเบาเร็วบริเวณหน้าอกแต่ขยายออกภายนอก
(ขึ้นอยู่กับระดับเมตตาของท่านนั้นๆ)

ซึ่งสามารถใช้ตรวจสอบพลังงานในวัตถุได้
ว่าต้นกระแสเหมือนท่านที่ได้บรรจะพลังไว้หรือไม่
ถ้าเหมือนแป๊ะๆก็คือ ท่านทำ ถ้าเหมือนแต่ว่าอ่อน
แสดงว่ามีการเอามวลสารมาผสม อะไรทำนองนี้
เล่าพอให้เห็นภาพ. เรื่องพวกนี้จริงๆไม่มีอะไร
มากมายหรอก รู้จากได้กำลังสติทางธรรมล้วนๆ
การรู้จักสังเกตุจะทำให้เราเข้าถึงเรื่องแบบนี้ได้เอง
ไม่ได้ว่า รู้แล้วจะวิเศษวิโสอะไรหรอก
แค่พอขำๆไม่มีอะไร..

 

ผมเคยท่องคาถา จักรพรรดิ ลป ดู่ ปรากฏว่า กระดูกสันหลัง เหมือนมี คลื่นแม่ไฟฟ้าพุ่งทะลุหัวครับ

 

เรื่องปกติ...ถ้าไม่เคยเกิดนะแปลก
และเรื่องที่แสนปกติสุดแสนธรรมดา
สำหรับคนใช้งานทางจิต ด้านพลังงาน
จะรู้และเข้าใจเป็นปกติ

เค้าเรียกเส้นพลังงาน เส้นสายพลังงาน (แล้วแต่จะเรียก)
ส่วนด้านหน้าตามแนวจักระเส้นขึ้นเหมือนกัน
ส่วนตัวเรียกเส้นครูบาร์อาจารย์
ปกติใครก็ตามที่จะใช้งานทางจิตได้
จะต้องมีกระแสที่ออกจากตัวจิตแบบนี้ปกติ
พวกที่มีเส้นวิ่งด้านหน้าขึ้นบน เราเรียกว่าพวกภายใน
(รู้เองเห็นเอง ไม่ว่าความสามารถอะไร แต่ทำให้เกิดกับคนอื่นๆไม่ได้)
พวกที่มีเส้นวิ่งทั้งด้านหน้าด้านหลังขึ้นบน เรียกว่าพวกภายนอก
(ตรงข้ามกับข้างบน)

เมื่อก่อน สองเส้นนี้จะแยกใคร แยกมัน
หลังจากแกนโลกเอียงเมื่อสองปีก่อนได้
ปรากฏว่าสองเส้นนี้จะมาร่วมกัน
เป็นเหตุอย่างหนึ่ง ที่ทำให้พวกใช้งานทางจิตได้
สามารถใช้งานทางจิตได้ง่ายขึ้นนั่นเอง...


ในระดับพระเกจิ บางท่าน กระดูกสันหลังเปรียบได้กับทองแดง
เพียงแต่บางท่านเป็นเกจิไปเลย บางท่านเอามาทางวิปัสสนา
และก็จะยังต้องมีการจัดเรียงเส้นสายพลังงานเหล่านี้อีก
กำลังจิตใช้งาน เค้าจะดูที่ความหนาแน่นของเส้นพลังงาน
ตามแนวกระดูกสันหลังนั่นหละ ซึ่งไม่สามารถหลอกกันได้


ที่เล่ามาแค่หยาบๆ เพียงบางส่วน พอขำๆ

ปล. สองเส้นพลังงานขึ้นบนมานี้ ด้านหน้าไม่มีในพวก
เล่นคุณไสย์ ร่างทรง สายดำ รับขันธ์ พวกรับพลังงานวิเศษ
ทางลัดและหลงตัวเอง หรือพวกหลงตัวเอง
ว่าตนบรรลุโน้นนี่นั้นทั้งหลาย และในสายจักระแม้มีด้านหลัง
แต่กำลังสนับสนุน จะไม่ใช่ระดับพลังงานที่สูง
เหมือน ลป.ต้นคาถา แต่จะชอบอ้างท่านโน้นนั่นนี่เรื่อยๆไป
ตามวิสัยปกติ เล่าให้ฟังเล่นๆ

 

ผมสวดพระคาถามหาจักรพรรดิวันละหลายสิบจบต่อเนื่องทุกวันไม่เคยขาดมาเกือบ 6 เดือนแล้ว เนื่องจากนับถือหลวงปู่ผู้แต่งคาถานี้เป็นครูบาอาจารย์ แต่ยังไม่รู้สึกอะไรครับ แต่ก็จะสวดต่อไปครับ ไม่ทราบว่าวางจิตถูกหรือเปล่า นั่งสมาธิมาก็ไม่เคยมีเห็นนิมิตอะไร ช่วงหลังเลยมาเน้นเรื่องสติรู้สึกว่ามีความก้าวหน้าขึ้นบ้าง พี่นพพอมีคำแนะนำเพิ่มเติมบ้างมั้ยครับ หรือว่ามีวิบากเฉพาะตัวที่ต้องแก้ก่อนครับ

 

ขอบคุณมากครับท่านนพที่สละเวลามาตอบ
ตอนนี้อาการหลายๆอย่างเริ่มดีขึ้นครับไม่ค่อยมีอาการแล้วเพราะพยายามเคี้ยวอาหารละเอียดขึ้นครับท่านนนพ
เมื่อก่อนผมจะแน่นหน้าอกอยู่นานมากซึ่งปัจจุบันไม่ค่อยเป็นแล้วแต่กระแสนี้ก็ออกมาจากหน้าอกละครับเวลาจะใช้ก็ส่งออกไปครับ แต่รู้สึกว่าจะส่งออกทางไหนก็ได้ หรือถึงใครก็ได้ครับ
อย่างตอนถวายดอกจำปีซึ่งเก็๋บมาจากหน้าบ้าน ให้พระแก้วมรกต ร.๕ ร.๙ ก็บอกท่านว่าดอกจำปีหน้าบ้านส่งกลิ่นหอมจึงเก็บมาถวายท่านพอถวายเสร็จ ก็เหมือนมีกระแสตอบกลับมาแบบนี้ครับท่านนนพ
ส่วนกระแสผมมันจะวิ่งจากหลังขึ้นถึงบริเวณต้นคอและทางปีกด้านหลัง 2ข้างครับทั้งแนวเลยขึ้นบน
ตอนนี้ก็พยายามเดินอานาปานะต่อไปละครับท่านนนพ ตอนนี้ก็ไม่ได้พิจารณาอะไรเป็นพิเศษละครับ พยายามเคลียร์ของเก่าๆที่ยังส่งคลื่นความรู้สึกด้านลบออกมาเป็นระยะ ๆครับทำไปเรื่อยๆจะว่าทำก็ไม่ใช่นะครับก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่บอกว่าขอบคุณนะที่ออกมา

 

มีเด่วจัดให้ เอ้าว่าในอดีตเป็นไงลืมไปเลยนะ
ไม่ต้องพูดถึง...เอาปัจจุบัน ทำตามที่จะบอกข้างล่าง....
๑.ให้เปลี่ยนการสวดมนต์เป็นแบบในใจและลืมตา
โดยที่ไม่ต้องสนใจเรื่องวรรคตอนของพระคาถา......
๒.ท่องไปเรื่อยๆ..ผิดบ้างถูกบ้างไม่เป็นไร ขาดบางลืมบ้างช่างมัน
แต่ที่สำคัญเวลาท่องให้หายใจเข้าให้ลึกจนท้องพองแต่
ให้ทำความรู้สึกว่า ลมหายใจเข้าหยุดที่ปลายจมูกด้านนอก
และขณะหายใจออกก็ให้หายใจออกจนท้องยุบ
และให้ทำความรู้สึกว่า ลมหายใจออกหยุดที่ปลายจมูกข้างใน
๓. ทำ ข้อ ๑ และ ๒ ไปเรื่อยๆ แต่ให้พนมมือไว้ระดับหน้าอก
ห่างจากตัวเล็กน้อย และให้ใช้สายตาที่ลืม มองผ่านเหนื้อนิ้วชี้
ประมาณ ๑ นิ้ว ให้ทำตานิ่งๆ ห้ามขยับ ซ้ายและขวาเป็นอันขาด
ถ้าล้าสายตา สามารถหลับตาได้.......

ย้ำว่า ไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามด้วยตาเปล่าๆ
ห้ามสนใจทุกๆกรณี ห้ามสงสัย จนกว่า สิ่งที่ปรากฏนั้นจะใส...
ย้ำว่าใส...
ถ้าทำได้ ให้รอติดตามตอนต่อไป ในฝันของเราเอง...จบ...^_^

 

คุณ คนโง่ๆ ทำแบบที่แนะนำน้อง MATHS ได้นะครับ
แต่ให้เปลี่ยนเป็นบท นะโมฯ และ พุทธังฯ แล้ว
สวดวนไปเรื่อยๆ แรกๆพนมมือก่อน
หลังๆไม่ต้อง ครั้งละ นาทีสองนาทีพอ
แต่หาจังหวะทำบ่อยๆ จะช่วยให้
กระแสคลี่คลายเร็วขึ้นครับ
หรือ ถ้าไม่รู้จะทำนานเท่าไร
เอาว่า ให้บริเวณขารู้สึกว่า เบาๆ
มีกระแสขึ้นตรงพอ...จบ