เรื่องเด่น กิเลส 16 ชนิดที่แฝงมากับการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค....

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 มกราคม 2017.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    keles16-485x300.png

    กิเลส 16 ชนิดที่แฝงมากับการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค....


    1. อภิชฌาวิสมโลภะ

    เห็นใครโพสภาพบ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูๆ อาหารดีๆ ภาพการพักผ่อนในโรงแรมสวยๆ ภาพชีวิตหรูหรา ก็เกิดความรู้สึกอยากได้เหมือนอย่างเขา เกิดความไม่พอใจชีวิตของตนเอง เกิดความโลภ เกิดความทุกข์ หดหูใจว่าทำไมหนอ ชีวิตคนอื่นจึงดีกว่าชีวิตของตนเอง นานวันเข้าก็พัฒนาไปสู่ความโลภ อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัว รู้สึกอยากจะโพส อยากจะอวดเหมือนอย่างเขาบ้าง

    2. พยาบาท
    เปิดเฟสส่องดู เห็นคนที่ตนเกลียดมีความสุข ก็คิดหมั่นไส้อยู่ในที แต่เมื่อเปิดดูแล้ว เห็นคนที่ตนเกลียดมีความทุกข์ หรือมีปัญหาก็รู้สึกยินดีพอใจ

    3. โกธะ
    ใครโพสสิ่งใดไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความคิดของตัว ก็นึกโกรธ จับโยงความคิดผู้อื่นมาปะทะกับความคิดของตนเอง จนกลายเป็นความทุกข์ใจ

    4. อุปนาหะ
    เมื่อโกรธ เพราะคิดเห็นต่างกัน ก็ผูกใจเกลียดคนๆ นั้น โดยไร้เหตุผล

    5. มักขะ
    เห็นใครทำความดีก็นึกหมั่นไส้เขา เห็นคำสอนปราชญ์ คำสอนพระ คำสอนศาสดา คำสอนผู้รู้ใดๆ ที่ไม่เข้ากับความคิดของตน ก็นึกดูแคลน พยามใช้ความคิดของตนหักล้าง ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เขานำเสนอนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์

    6. ปลาสะ
    ไม่เคยชื่นชมใคร เห็นใครโพสอะไรก็ไม่พอใจไปหมด ฟาดงวงฟาดงาไปหมด เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด

    7. อิสสา
    จิตเกิดความอิจฉาจนทนไม่ได้ ต้องพิมพ์ ต้องแสดงออกด้วยการเสียดสีประชดประชัน โพส เม้น วิจารณ์ด้วยความไม่สุภาพ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ใดๆ

    8. มัจฉริยะ
    เมื่อนำเสนอใดไปแล้ว วันหนึ่งมีผู้อื่นนำความคิดของตนไปดัดแปลง ก็นึกเสียดาย เกิดความทุกข์ นึกหวงความรู้ของตนขึ้นมาในที

    9. มายา
    ยึดติดอยู่กับโลกมายา ตั้งใจโอ้อวดให้ผู้อื่นเกิดความอิจฉา
    ฝังตัวอยู่หน้าคอม ไปไหนมาไหน เปิดดูโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา
    ยึดติดกับยอดไลค์ ยอดเม้น ยอดแชร์
    หลงอยู่ในมายาของโลกโซเชียล
    ไม่สามารถหยุดติดต่อกับโลกโซเชียลได้นานๆ
    พึ่งพาโลกโซเชียลสร้างความสุขแบบปลอมๆ ให้กับตนเอง

    10. สาเถยยะ
    โพสสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง สร้างภาพว่าตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย นำไปสู่การยึดติดกับภาพลักษณ์ที่ตนสร้างขึ้น ต้องฉลาดอยู่ตลอดเวลา ต้องแสนดีอยู่ตลอดเวลา ต้องสวยต้องหล่ออยู่ตลอดเวลา ภาพลักษณ์ต้องดูดีอยู่ตลอดเวลา ที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็นำมาซึ่งความทุกข์ในชีวิตจริงของตนเอง

    11. ถัมภะ
    เมื่อมีใครแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง รีบโต้เถียงในทันที จ้องแต่จะเถียง โดยไม่ได้นำความคิดนั้นมาตรึกตรองจนเกิดปัญญา โพสระบายความในใจอย่างไร้เหตุผล ไหลไปตามอารมณ์ของตนเป็นใหญ่ บ่นตลอดเวลา ระบายอารมณ์อยู่ตลอดเวลา

    12. สารัมภะ
    คอยแต่จะเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น แข่งดีแข่งเด่นกับเขา เขามีคนกดไลค์กี่คนแล้ว เรามีกี่คนแล้ว เขามีเพื่อนกี่คนแล้ว มีคนเม้น คนแชร์กี่คนแล้ว ทำไมของเขามีเยอะ ทำไมของเราจึงมีเท่านี้ ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะกันในเรื่องไร้สาระ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ

    13. มานะ
    เมื่อมีคนกดไลค์มากๆ มีคนชื่นชมมากๆ ก็หลงว่าตนเก่ง ตนดีกว่าเขา ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกคนย่อมมีทั้งด้านดีและไม่ดี มีสิ่งที่เชี่ยวชาญและสิ่งที่โง่เขลา มีสิ่งที่พิเศษ และสิ่งที่ธรรมดา เมื่อหลงตนมากเข้า อัตตาตัวตนก็ขยายตัวใหญ่ขึ้น เกิดเป็นมานะทิฐิว่า ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคือคนสำคัญ

    14. อติมานะ
    เมื่อคิดว่าตนดีกว่าใคร ก็เริ่มดูถูกผู้อื่น เริ่มพูด เริ่มเม้น เริ่มแสดงความคิดเห็นประชดประชันว่าตนดีกว่าเขา

    15. มทะ
    เสพติดคำชื่นชม ปล่อยให้ใจฟูไปกับคำชมทั้งวัน คุยแต่ว่าวันนี้มีใครมาชมบ้าง พัฒนาไปสู่ความมัวเมาต่อคำสรรเสริญเยินยอ

    16. ปมาทะ
    ใช้เวลาอยู่ในโลกโซเชียลนานเกินไป จนไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในชีวิตจริง ละเลยการงาน ครอบครัว สุขภาพ หมดเวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจอโทรศัพท์ ทำให้ชีวิตจริงตกต่ำลงเรื่อย



    =======================================

    ข้อคิด!!!
    การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นมีประโยชน์ก็จริง แต่ต้องใช้อย่างมีสติ ใช้อย่างรู้เท่าทัน ควรมีการบริหารจัดการเวลาในการใช้ และใช้ให้ถูกกาลเทศะ หากเราหลงอยู่กับมันมาก หรือยึดติดกับมันมากเกินไป สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็อาจกลับมาสร้างความทุกข์ให้เราได้ในภายหลัง

    ทุกวันนี้มีคนจำนวนมากที่ตกเป็นทาสของโลกโซเชียล
    ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนที่มีการศึกษา คนไร้การศึกษา
    ทั้งคนเก่ง และคนไม่เก่ง
    ทั้งคนธรรมดาและคนดังต่างๆ
    ตราบที่เราไม่ได้ใช้มันอย่างมีสติ
    มันย่อมกลืนกินชีวิตของเราไปสู่โลกเสมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
    คนทุกวันนี้ไม่มองหน้ากันแล้ว
    เพราะเรามองหน้าจอกันตลอดเวลา
    ในหนึ่งปี เราแทบนับครั้งได้ว่ามองท้องฟ้ากี่ครั้ง
    แม่อยู่กับลูก นั่งมองจอ
    ลูกอยู่กับแม่ ก็นั่งมองจอ
    อ่านคำชมบนจอเสร็จ มานั่งเถียงกับคนครอบครัวต่อ
    ทุกวันนี้โลกเป็นอย่างนี้
    ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว.

    ป.ล. กิเลสทั้ง 16 ข้อนี้
    นำมาจากหลักธรรมอุปกิเลส 16 ของพระพุทธเจ้า
    แสดงให้เห็นว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้า
    เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล เป็นสัจจะ
    เป็นของจริงที่นำมาสอนใจตน
    และสอดส่องความเป็นไปของสังคมได้ทุกยุคทุกสมัย
    ในบทความนี้ แม้ไม่ได้ถอดมาเหมือนซะทีเดียว
    แต่ยังคงใช้กรอบหลักธรรมเดิม
    โดยดัดแปลง ให้เข้ากับสิ่งที่เห็นๆ กันอยู่ในโลกโซเชียล
    กิเลสทั้ง 16 ตัวนี้ เมื่อเกิดกับใครแล้ว
    พระพุทธเจ้าท่านเตือนไว้ว่า
    จะนำไปสู่ความขุ่นมัวในเบื้องต้น
    หากไม่พยายามสะสาง จะนำไปสู่ความทุกข์
    และพัฒนาไปเป็นความชั่วในรูปแบบอื่นๆ
    ถ้าเราไม่หลอกตัวเองจนเกินไปนัก
    เห็นได้ว่า ทุกวันนี้กิเลสทั้ง 16 ตัวนี้
    ได้ยึดพื้นที่ทั้งหมดในโลกโซเชียลไปเรียบร้อยแล้ว
    !!!

    ที่มา...พศิน อินทรวงค์

    https://www.facebook.com/talktopasin2013/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มกราคม 2018
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    คนตาบอด และ โคมไฟ


    ตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

    คืนวันหนึ่ง พระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิด กระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมองเห็นได้ เมื่อเดิน
    ไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก

    ตอนนั้นเอง คนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า "คนตาบอดผู้นั้นช่าง
    แปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย"

    เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั่งคนตาบอดถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่านมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?"

    คนผู้นั้นตอบว่า "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะยามเช้าสายบ่ายเย็นล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร"

    พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?"

    คนตาบอดตอบว่า "เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้า คือมองไม่เห็นสิ่งใด เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนตาบอด
    แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่าน คือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง
    แต่เมื่อข้าถือโคมไฟทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้น ข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า


    ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย"

    พระได้ยินความดังนั้นก็บรรลุปัญญา...

    การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้





    12345.jpg
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    กระแสรู้ ในรูปวิญญาณขันธ์ ถูกมัดติดร้อยรัดด้วยตัณหา หลังจากมีการกระทบระหว่างอายตนะภายนอกกับอายตนะภายใน แล้วเกิดความพอใจ-ไม่พอใจ ฯลฯและ
    เกิดการปรุงต่อไปเป็นลูกโซ่
    เกิดขันธ์ห้าต่อไปอีกเรื่อยๆ

    สัมปชัญญะ อ่อนแอเกินกว่าที่จะทำให้สติย้อนมารำลึกได้ทันในกาย เวทนา จิตและธรรม ณ ภายใน

    ...แล้วกระทำกรรมใหม่ด้วย กาย วาจา ใจ ....ภายใต้เจตนาอันเปํนอกุศล ถึงแม้จะใช้ถ้อยคำภาษาธรรมะ แต่เจตนาหากกระทำด้วยอกุศลแล้ว ก็รอรับวิบากอกุศลนั้นต่อไป...
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    วัวหาย 16 ตัว..คนเลี้ยงโค ตามหาจนพบเข้ากับพระพุทธเจ้าในป่า จึงถามพระพุทธเจ้าว่า “ท่านเป็นใคร”
    %B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%84-1200x628.jpg


    ณ ครั้งพุทธกาล… พระพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่กลางป่า ช่วงปลายฝน ต้นหนาว มีชายคนหนึ่ง ซึ่งมีอาชีพ เป็นคนเลี้ยงโค (นายโคบาล) ได้มาพบเข้ากับพระพุทธเจ้า ซึ่งไม่ทราบว่าเป็น พระพุทธองค์ จึงเข้าไปถามว่า

    • นายโคบาล : “ขอโทษขอรับ ท่านเป็นใคร ?”
    • พระพุทธเจ้า ทรงตรัสตอบว่า : “เรา ตถาคต”
    • นายโคบาล ตกใจ บอกว่า : “พระองค์มานั่งอยู่กลางป่าได้อย่างไร พระองค์มีความสุขไหม ?”
    • พระพุทธองค์ จึงทรงตรัสตอบว่า : “เธอรู้ไหม ในบรรดาคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ฉันเป็นหนึ่งในนั้น”
    นายโคบาลได้ยินพระดำรัสเช่นนั้น ถึงกับตัวชาและมีความปิติ ด้วยอำนาจของพระพุทธองค์
    • พระพุทธองค์ ตรัสถามต่อว่า : “เธอกำลัง ทำอะไร”
    • นายโคบาล ตอบกลับไปว่า : “กระหม่อมฉัน ตามหาวัว 16 ตัว ขอรับ”
    • พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า : “แล้วตอนนี้ วัว อยู่ไหน”
    • นายโคบาล ตอบกลับไปว่า : “วัวหาย ทั้งหมดเลยขอรับ”
    • พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า : “เธอ คิดว่าฉันมีวัวไหม?”
    • นายโคบาล ตอบกลับไปว่า : “ไม่มี ขอรับ”
    • พระพุทธองค์ ตรัสถามต่อว่า : “คน ไม่มีวัวอย่างฉัน มีโอกาสทุกข์เพราะไม่มีวัวไหม ?”
    • นายโคบาล ตอบว่า : “ไม่มี ขอรับ”
    • พระพุทธองค์ ตรัสว่า : “เห็นไหมว่า คนมีวัว ทุกข์เพราะวัว คนไม่มีวัว ก็ไม่ทุกข์”
    • พระพุทธเจ้า ตรัสถามต่อ : “ในเมืองนี้ ใครมีอำนาจ มีเงินทองมากที่สุด ?”
    • นายโคบาล ตอบว่า : “พระเจ้าพิมพิสาร ขอรับ”
    • พระพุทธเจ้า ตรัสถามต่อ : “พระเจ้าพิมพิสาร มีอำนาจเงินทองที่สุดในเมือง มานั่งเล่นกลางป่าอย่างฉัน ได้ไหม”
    • นายโคบาล ตอบว่า : “ไม่ได้ ขอรับ”
    • พระพุทธเจ้า ตรัสถามต่อ : “ก็มีอำนาจ เงินทองขนาดนั้น ทำไมมานั่งเล่นอย่างฉันไม่ได้ ?”
    • นายโคบาล ตอบว่า : “ถ้าพระเจ้าพิมพิสาร ออกมานั่งเล่นชายป่า อย่างพระองค์ ก็จะถูกปฏิวัติได้ขอรับ”
    • พระพุทธเจ้า ตรัสส่งท้ายว่า : “เห็นไหม ระหว่างฉันกับพระเจ้าพิมพิสาร ใครมีความสุขกว่ากัน”
    • นายโคบาล ตอบกลับอย่างแจ้งในปัญญา : “พระพุทธองค์ ขอรับ”


    พระพุทธศาสนา สอนว่า วิถีแห่งความสุขไม่ได้อยู่ที่ความมี หรือ ความจน อยู่ที่เรา ยินดีในสิ่งที่มี รู้จักพอดีในสิ่งที่ได้ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว

    โค 16 ตัว ที่ทุกคนเลี้ยงไว้ มีตั้งแต่ พระราชา เศรษฐี ประชาราษฎร์ทั่วไป พ่อค้า ฯลฯ พระพุทธเจ้าไม่มี พระปัจเจกพุทธเจ้าไม่มี พระอรหันต์ไม่มี
    พระอนาคา พระสกิทาคา พระโสดาบัน มีน้อย ปุถุชนทั่วไปมีมากหนาแน่น … เรียกว่า # อุปกิเลส 16

    อุปกิเลส (อ่านว่า อุปะกิเหลด) แปลว่า ธรรมชาติที่ทำให้ใจเศร้าหมอง, เครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง หมายถึง ‎สิ่งที่ทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัวไม่แจ่มใส‬ ทำให้ใจหม่นไหม้ ทำให้ใจเสื่อมทราม กล่าวโดยรวมก็คือสิ่งที่ทำให้ใจสกปรก ไม่สะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง

    4245-0-fca810f68fc02b908952563f6dd7257b.jpg

    อุปกิเลส แสดงไว้ 16 ประการ คือ
    1. ความเพ่งเล็งอยากได้ไม่เลือกที่
    2. ความพยาบาท
    3. ความโกรธ
    4. ความผูกเจ็บใจ
    5. ความลบหลู่บุญคุณ
    6. ความตีเสมอ
    7. ความริษยา
    8. ความตระหนี่
    9. ความเจ้าเล่ห์
    10. ความโอ้อวด
    11. ความหัวดื้อถือรั้น
    12. ความแข่งดี
    13. ความถือตัว
    14. ความดูหมิ่น
    15. ความมัวเมา
    16. ความประมาทเลินเล่อ ดังนี้แล


    ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก : winnews
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,363
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,120
    ค่าพลัง:
    +70,465
    มักขะ
    เห็นใครทำความดีก็นึกหมั่นไส้เขา เห็นคำสอนปราชญ์ คำสอนพระ คำสอนศาสดา คำสอนผู้รู้ใดๆ ที่ไม่เข้ากับความคิดของตน ก็นึกดูแคลน พยามใช้ความคิดของตนหักล้าง ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เขานำเสนอนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...