พบพระองค์ที่ ๑๐

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย phataravudh, 20 เมษายน 2013.

  1. five304

    five304 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +1,274
    ใช่รูปนี้มั้ยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • image.jpg
      image.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.2 KB
      เปิดดู:
      1,386
  2. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814

    :cool:0ib'q จริงๆท่านก็มีดีอยู่แล้ว คนถึงไปหาครับ คุณก็เข้าใจถูก อยู่แล้ว พระองค์ที่ในวันงานนั้น คล้ายหลวงปู่พุทธอิสระมากครับ และผมไม่ได้ติดตามผล อ่านของหลวงพี่ อ.เล็ก ผมยังงงๆอยู่ครับ เมื่อมันผ่านไปแล้ว ผมมารู้ ทีหลัง ว่าคล้าย หลวงปู่พุทธอิสระ มีผู้รู้ อยู่ ๒ องค์ คือ อ.พี่เล็ก กับหลวงปู่เท่านั้นครับ ผมยังไม่รู้จริง แต่ผมก็รู้แบบที่คุณเข้าใจนี่แหละครับ



    ขอต่อท้ายรายการไว้ประดับความรู้ครับ บางครั้ง เวลาหลวงพ่อท่านเทศ ท่านกล่าวว่า พระพุทธกัสปะ มาให้เทศแบบนี้ แบบโน้น บางครั้ง เป็นสมเด็จองค์ปัจุบัน ส่วนใหญ่ เป็นสมเด็จองค์ปฐม มาให้หลวงพ่อสอน บางครั้ง ท่านกล่าวกะว่าจะเทศแบบนี้ กลายเป็นไม่ได้เทศ ไปเทศอีกแบบ หนึ่ง และหลวงพ่อท่านเคยเกิดเป็นลูก สมเด็จองค์ปฐม มาช้านาน และพระพุทธเจ้าอีกหลายพระองค์ องค์หลวงพ่อหรือ ลูกหลาน บริวารของท่าน ติดตามกันมา บำเพ็ญ บารมีมากัน ด้วยกัน อย่างน้อย ๑๐ อสงไขย กำไลยแสนมหากัป แล้วท่านหยุดนิดหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่ ติดตามกันมา ๑๖ อสงไขย กำไลยแสนมหากัป เมื่อหัวหน้าลา บริวาร ลูกหลาน จะลาตามหลวงพ่อเสียส่วนใหญ่ ที่ไม่ลาพุทธภูมิมีกำลังใจเข้นข้นอยู่ ยังมีอยู่

    ท่านเทศ ปี ๒๘ ผมนั่งฟังอยู่ที่สาลาพระพินิจอักษรทองดี จนมาเป็นเทป และหนังสือจนทุกวันนี้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2013
  3. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    ที่ผมกราบ และได้ฟังธรรมในวันนั้นไม่ใช่ครับ ในรูปนี้ ๒๐ เศษๆ แต่ที่มาในงานวันนั้นหน้าตาคล้าย หลวงปู่พุทธอิสระมากๆเลยครับ อายุประมาณ ๓๐ เห็นจะได้ครับ ท่านพูด เทศไพรเราะมาก จริงๆ เสียงใส ดังกังวาล :cool:ครั้งแรก อยู่บนศาลาวัดเก่า ข้างหอฉันอาหารพระ และแท๊กน้ำ ตอนที่ ๒ ตอนบ่ายท่านอยู่ พระองค์ที่ ๑๐ ปัจจุบัน ที่โคนต้นโพธิ์ครับ หลวงพ่อมาสร้างครอบทีหลัง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2013
  4. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    พระองค์นั้นส่งหนังสือสุทธิให้ดู ปรากฏว่า ท่านบวชมากว่า ๓๐๐ ปีแล้ว...! 


    อายุ 300 กว่าปี มาจากหลักฐานคือ
    "หนังสือสุทธิ" เอ? สมัยนั้นมีหนังสือ
    สุทธิไหมหนอ?


    หนังสือสุทธิ์ เริ่มทำตั้งแต่เมื่อไรเอ่ย?


    ไม่เท่านั้น พระองค์ที่สิบ ก็กลายร่าง
    เป็น "พระพุทธเจ้า" ผู้ถือหนังสือสุทธิ
    ที่มีหลักฐานแสดงพรรษาไว้ ๓๐๐ ปี!
    (พระพุทธเจ้าเรา ถึงวันนี้ ก็ ๒๕๐๐ กว่า
    ปีไปแล้ว อั๊ยย่ะ มีพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒
    อายุ ๓๐๐ กว่าปี มาอีกองค์อ่าาาา)


    ไม่เท่านั้น เรื่องยังสนุกต่อไป เมื่อท่าน
    ได้กลายร่างเป็น "หลวงปู่พุทธอิสระ"
    น่าสนใจมากเรย ทำไมไม่ทำเป็นซีรี่ย์อ่ะ


    ออกฉายทา่งทีวีอ่ะ จะได้ดูกันทั่วประเทศ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 เมษายน 2013
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    กราบขออภัยด้วยครับหากสิ่งที่กระผมพบในนิมิตมานั้นอาจจะไม่ตรงกับป้ายที่ระบุชื่อครับ เพราะกระผมไม่เชื่อว่าพระสมณโคดมพุทธเจ้าท่านจะมาโปรดสรรพสัตว์ในลักษณะเช่นนี้

    ซึ่งก็ได้ความจริงว่า
    ในการเจริญสมาธิ หลังจากสวดมนต์เสร็จ จิตข้าพเจ้าขอน้อมสื่อถึงท่านพระอริยะสงฆ์ท่านนี้ ขอท่านโปรดเมตตาด้วยเถิด การเจริญสมาธิจะไม่มีการปรุงแต่งใดๆขอความสงบเป็นที่ตั้ง จนกระผมสงบนิ่งไปนานพอสมควร
    กระผมได้นิมิต มีเสียงหนึ่งก้องกังวาลเข้ามาในโสตประสาท ว่า รวมจิตให้ละเอียดกว่านี้อีก แล้วเจ้าจะพบเรา สิ้นเสียงนี้กระผมไม่ทราบว่าเป็นเสียงของใคร แต่ก็รวบรวมกำลังสมาธิตัดละอารมณ์ทั้งหลาย ตั้งอยู่ในอุเบกขาอารมณ์ จิตดิ่งลงสู่ความเงียบสงบ จนภายในนิมิตเห็นเป็นดวงแก้วลูกใหญ่สว่างใส ภายในมีพระสงฆ์รูปหนึ่ง สีจีวรไม่เข้มและไม่อ่อน รูปปร่างสูงพอสมควรแต่ไม่อ้วน ใบหน้ายาวลงมา คางมนเล็กน้อย ผมสั้นดำสนิท ใบหูตั้ง ท่านยิ้ม เห็นลักยิ้มตรงแก้มด้านซ้ายชัดเจน
    ขณะนั้นในจิตก็นิมิตถามว่าท่านเป็นใครลูกขอกราบสักการะท่าน
    ท่าตอบว่า อาตมาก็คือพระองค์ที่เจ้าปราถนาที่จะพบ อาตมา คือพระที่ท่านฤาษีลิงดำเคยกล่าวไว้ว่าเป็นพระองค์ที่10 และอาตมาก็เคยไปร่วมงานตอนที่มีการทำบุญมีการสร้างศาลาหรือวิหารที่วัดท่าซุง

    กระผมถามท่านว่า ท่านเป็นใคร แต่ในจิตกระผมระลึกว่า พระสงฆ์รูปนี้ เป็นผู้คงแก่เรียนมีปัญญารอบรู้มากนัก แต่จากนิมิตบารมีที่สื่อถึงจิตนั้นมั่นใจว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้าเพราะพุทธานุภาพที่สื่อมากระทบจิตจะมีสภาวะต่างกัน

    ท่านกล่าวว่า อาตมาปราถนาพุทธภูมิ เจ้าเข้าใจถูกต้องแล้วอาตมามิใช่พระพุทธเจ้า อาตมาในอดีตเคยร่วมวาสนาบารมีกับท่านฤาษีลิงดำ
    อาตมาเกิดในนครปฐม และได้อุปสมบทเมื่อ พศ 2231 อาตมาได้เดินธุดงไปหลายที่และได้พำนักอยู่แถวเพชรบุรีและสุดท้ายคือราชบุรี สมัยก่อนวัดนั้นมีชื่อว่าวัดนิโครธาราม และก็รกร้างไปและในปัจจุบันมีพระสงฆ์มาปฏิสังขรใหม่แล้ว

    อาตมามีชื่อว่า พระครูชัยยะวงศา หรือจะเรียกสั้นๆว่า หลวงพ่อชัยยะ ก็ได้

    กระผมถามท่านว่า หากกระผมนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าว จะมีคนเชื่อกระผมหรือครับ

    ท่านกล่าวว่า เขาจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะยังไงอาตมาก็เป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธองค์ มีใจเคารพบูชาต่อพระพุทธเจ้า เรื่องอื่นๆเป็นเรื่องเล็กน้อยเรื่องการปฏิบัติ เจริญสมาธิภาวนาเป็นเรื่องใหญ่ การสืบทอดพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องใหญ่ ควรทำตรงนี้ให้ดีที่สุด

    สาธุ สาธุ สาธุ ครับ


    [ลูกศิษย์ท่านฤาษีลิงท่าน คนหนึ่ง เป็นคนฉลาด ตอนนั้นพบอาตมาแต่ก็ไม่เชื่อในความเป็นพระสุปฏิปันโนของอาตมา ตอนนั้นอาตามากำลังสนธนาธรรมอยู่กับอุบาสกอุบาสิกาอยู่ ก็เห็นว่าเคยมีวาสนาร่วมกันมาจึงกล่าวสนธนาและได้แจกเม็ดประคำให้
    ชายคนดังกล่าว รูปร่างเล็กผอม ผิวดำ ผมเกรียน สวมใส่ชุดขาว
    จิตอาตมาพร้อมที่จะไปสงเคราะห์ หากจิตพวกเจ้าทั้งหลายพร้อมเช่นกัน เรื่องราวในนิมิตก็มีเพียงเท่านี้ครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2013
  6. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    ตั้งธงเอาไว้เช่นนี้แล้วก่อนการนั่งสมาธิ
    ระวังนิมิตที่เกิดขึ้นจะเป็นอุปทานจากจิตใจของตนเองนะคะ
    ด้วยความปรารถนาดีจากใจจริงเจ้าค่ะ :boo:


     
  7. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    พระองค์ที่ ๑๐ คือใคร ?

    พระองค์ที่ ๑๐ เป็นใคร...? มาจากไหน...? มีความสำคัญอย่างไร...? หลวงพ่อท่านเล่าให้พวกเราฟังว่า...

    ครั้งหนึ่ง...มีโยมนิมนต์ท่านไปงานทำบุญบ้านที่จังหวัดราชบุรี พระที่ได้รับนิมนต์มีอยู่ดัวยกัน ๙ องค์ มีท่านเจ้าคณะจังหวัดเป็นประธาน แต่พอไปถึงบ้านงาน ปรากฏว่ามีพระอีก ๑ องค์ ไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว...

    พระองค์นั้นเป็นพระหนุ่ม ดูแล้วอายุคงจะไม่เกิน ๓๐ ปี รูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวขาวอมเหลือง ดูผ่องใสอย่างประหลาด ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน แม้พระองค์อื่นมากันครบแล้ว ท่านก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกจากที่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดจึงนั่งถัดมาเป็นองค์ที่สอง ตามลำดับไป จนถึงหลวงพ่อที่นั่งปิดท้ายอยู่....

    พอพระองค์นั้นให้ศีล หลวงพ่อเล่าว่า ได้ยินแล้วทึ่งมาก เสียงท่านแจ่มใสกังวาน ฟังไพเราะรื่นหู ชื่นอกชื่นใจจนบอกไม่ถูก อักขระทุกตัวถูกต้องชัดเจน เสียงอย่างนี้ในตำราเรียกว่า “ โฆสัปปมาณิกา” คือมีเสียงไพเราะเป็นที่ชอบใจ ของบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย....

    เมื่อกำลังฉันอยู่ ท่านเจ้าคณะจังหวัดถามว่า บวชมากี่พรรษาแล้ว...? พระองค์นั้นส่งหนังสือสุทธิให้ดู ปรากฏว่า ท่านบวชมากว่า ๓๐๐ ปีแล้ว... ท่านเจ้าคณะจังหวัดราชบุรีถึงกับพูดไม่ออก เรื่องอื่นที่คิดจะถามเลยไม่กล้าถามต่อ...

    พอให้พรญาติโยมเสร็จท่านก็ลากลับ หลวงพ่อถามเจ้าของบ้านว่านิมนต์พระองค์นี้มาจากไหน..? เจ้าของบ้านตอบว่า ผมคิดว่ามาด้วยกันกับท่านซะอีก... เอาล่ะซี...มีเรื่องจนได้แล้วไหมล่ะ... หลวงพ่อบอกให้เจ้าของบ้าน วิ่งลงไปดูซิว่าท่านไปทางไหน...?

    เพิ่งคล้อยหลังลงบันไดไปแท้ๆ บ้านก็กลางทุ่งโล่ง ไม่มีที่ให้หลบมุมซักหน่อย แต่พระองค์นั้นหายไปทางไหนไม่มีใครรู้ อย่างกับท่านเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าดำดินได้อย่างนั้นแหละ เนื่องจากเจ้าของบ้านนิมนต์พระ ๙ องค์ แล้วท่านมาเพิ่มเป็นองค์ที่ ๑๐ หลวงพ่อจึงเรียกท่านว่า พระองค์ที่ ๑๐ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา...


    หลวงพ่อเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังนานมากแล้ว จนชักจะลืมๆ กันหมด อยู่ๆ ก่อนงานประจำปีของวัดท่าซุง ปี ๒๕๒๘ หลวงพ่อก็บอกกับลูกๆ ทั้งหลายว่า งานนี้พระองค์ที่ ๑๐ จะมาโปรด พร้อมกับบรรยายรูปร่างลักษณะให้พวกเราได้ทราบเอาไว้ อาตมาตื่นเต้นมาก ที่จะได้พบกับพระพิเศษอย่างนี้ ชวนพรรคพวกไปวัดก่อนงานตั้ง ๓ วันแน่ะ...

    หลวงพ่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า จะมีพระดีมาเป็นจำนวนมาก “หลวงตาลา” กับ”หลวงตาบุตร” ก็มาด้วย หลวงตาลารูปร่างสูงใหญ่ ผมหงอกประปราย หลวงตาบุตรผอมเล็ก ผิวดำ อาตมากับพรรคพวกยิ่งตื่นเต้นกันใหญ่...

    วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๒๘ เวลาเช้ามืด... อาตมาตื่นตั้งแต่ตีสามอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตั้งใจเจริญกรรมฐานตามปกติ แต่วันนี้อารมณ์มันแกว่งๆ พิกล นั่งกรรมฐานไม่ได้เอาเลย จึงนั่งแกล้งพรรคพวกจนตื่นนอนไปตามๆ กัน พร้อมกับร้องเพลงงึมงำอยู่คนเดียว

    ธรรมนูญ (อาจารย์ธรรมนูญ นาคส่องแสง) ร้องว่า “ โอ้โฮ้พี่ร้องเพลงเชียวหรือ?” แมมมี (ร.ท. หญิงรมณีย์ พยุงเวช) ที่นอนอยู่ใกล้ๆ หัวเราะคิก เพราะอาตมาถือศีล ๘ จนผอมกะหร่อง อยู่ๆ ยอมศีลขาดร้องเพลงเล่น นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก...

    ทำอย่างไรใจก็ไม่ยอมสงบ อาตมาจึงทิ้งเพื่อนๆ ให้นอนต่อ เปิดประตูออกไปเพื่อเดินเล่น ก็พบกับ สามเณรบุญชุ่ม ทาแกง ยืนจ้องเป๋งอยู่หน้าห้อง...อาตมาถามว่า “หลวงพี่เณรมีธุระอะไรกับผมหรือครับ...?” ท่านไม่ตอบ หันหลังเดินจากไปเฉยๆ ...

    สำหรับเณรองค์นี้ (ปัจจุบันคือ ครูบาบุญชุ่ม ญาณสังวโร วัดพระธาตุดอนเรือง) อาตมาเลื่อมใสท่านมานานแล้ว ทราบว่าท่านเก่งแน่ แต่มาจ้องอยู่ที่หน้าห้องแต่เช้ามืดแบบนี้ ท่านมีอะไรจะบอกใบ้หรือเปล่าหนอ...? อาตมาคิดว่า “วันนี้ต้องมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน” มันรู้สึกสังหรณ์ใจผิดปกติ ตั้งแต่ตอนที่นั่งกรรมฐานไม่ได้แล้ว...

    ประมาณ ๑๗.๓๐ น. เลิกจากการงานของวัดแล้ว พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยอาตมาก็ชวนพรรคพวก ประกอบด้วย ธรรมนูญ แมมมี ติ๋ว (ร.ท หญิงสิริพร จอมผา ยศในขณะนั้น) ตุ้ม (จำชื่อจริงไม่ได้) นัน (นันฑิญา เหลืองถาวรกุล) แข (ดวงแข คชภูมิ) นิพพา (นิพพา สืบสิงห์) คิ้ม (จงกล แจ่มแจ้ง) ออกลาดตระเวนกัน...

    จุดมุ่งหมายคือ ตามหาพระที่หลวงพ่อบอกไว้ ตอนนี้พระอาคันตุกะมาเป็นร้อยองค์แล้ว ลองสำรวจดูเผื่อจะโชคดี ได้พบองค์ที่เหมือนกับที่หลวงพ่อบอก จะได้ทำบุญกับท่านก่อนคนอื่น (ขนาดเรื่องทำความดีนะเนี่ย ยังไม่ยอมให้คนอื่นเกินหน้าเล้ย..ตูละหน่าย...)

    จากพระจุฬามณี เดินลัดเลาะเรื่อยมา พบพระหลายองค์แต่ไม่เข้าเค้า บางองค์โดนหมากัดซะเหวอะ ต้องเข้าไปช่วยทำแผลให้กับท่าน (ติ๋วกับแมมมี่เป็นพยาบาลทหารอากาศ) จนข้ามมาฝั่งวัดเก่าซึ่งตอนนั้นยังเป็นป่าอยู่ (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้งตึกรับแขกทั้งหมด)

    ขึ้นไปปฏิสันถารกับพระหลายองค์ ที่กางกลดอยู่บนศาลาไม้สัก (ปีถัดมาหลังนี้ถูกไฟเผาซะเรียบเลย) พอสมควรแก่เวลาก็กราบลาท่าน ลงจากศาลาเพื่อไปหาพระที่ตั้งใจไว้ พอเดินมาถึงหน้าโบสถ์เก่า อาตมาก็เห็น...

    พระหนุ่มองค์หนึ่ง ลักษณะท่าทางดีมาก อายุประมาณ ๓๐ ปี นั่งตัวตรงอยู่บนตอไม้ ที่ซึ่งท่านนั่งอยู่เป็นที่เด่นมาก อยู่ห่างจากศาลาไม้สักไม่ถึง ๑๐ เมตร อาตมาเป็นคนสายตาดีเป็นพิเศษ (พวกมือปืนต้องสายตาดีกันทุกคน) แต่เชื่อหรือไม่...? อาตมาเดินมาจนเกือบถึงองค์ท่านแล้ว ถึงได้มองเห็นท่านนั่งอยู่กับลูกศิษย์ ๓ คน...

    ในสายตาอาตมา พระที่จะขลังต้องแก่ๆ หน่อย (แบบนี้มีหวังถูกต้มทั้งชาติ) เมื่อเห็นเป็นพระหนุ่ม อาตมาก็เดินหลีกไป แต่เกิดเรื่องมหัศจรรย์ขึ้น...คือ เท้ามันไม่ยอมเชื่อฟัง สั่งให้มันเดินหนี แต่มันกลับพาเลี้ยวเข้าไปหาท่าน โดยที่อาตมาฝืนอย่างไรก็ฝืนไม่ได้...

    อาตมานั่งลงกราบท่านอย่างเสียไม่ได้ ท่านก็โอภาปราศรัยด้วยประโยคแรกซึ่งท่านถามอาตมาคือ “เธอมาจากไหน...?” พรรคพวกทุกคนฟังแล้ว สะดุ้งกันแปดตลบ เพราะไปเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสถามเปสการีธิดา เปี๊ยบเลย...

    อาตมาตอนนั้นทั้งมืดทั้งบอดอย่างสนิท ไพล่ไปตอบท่านว่า “หลวงพี่ต้องการแบบไหนล่ะครับ...?” ถ้าจากวัดผมมาจากจุฬามณี ถ้าจากบ้านผมมาจากพระโขนง..”ท่านยิ้มน้อยๆ พลางว่า “นี่เธอรวนฉันก่อนน่ะ ขอถามอีกที เธอจะไปไหน...?

    เพื่อนพ้องทุกคนเหงื่อแตกพลั่ก...แต่อาตมาไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้นตอบท่านว่า “ผมมาหาพระดีครับ” “แล้วเจอไหมเล่า...?” อาตมาตอบเป็นเชิงกระทบกลายๆ ว่า “ยังครับ” ความหมายคือ พระดีที่ตามหาไม่ใช่ท่านอย่างแน่นอน...

    เพราะอะไรจึงมั่นใจอย่างนั้น...? ก็ทันทีที่กราบท่าน อาตมาใช้วิธีดูใจแบบที่หลวงพ่อสอนเอาไว้แล้ว มืดสนิทอย่างนี้เป็นพระดีก็เกินไปล่ะ...(ภายหลังหลวงพ่อท่านชมว่าโง่ดีมาก คนที่เราจะดูใจได้ คือ คนที่เสมอกันหรือต่ำกว่าเท่านั้น คนที่มีคุณธรรมสูงกว่า ถ้าตั้งใจปกปิด เราจะไม่มีวันได้รู้กำลังใจที่แท้จริงของท่านเลย)

    เมื่ออาตมาประกาศสงคราม ท่านก็ลงสนามรบด้วย ลีลาของท่านแม้จะนุ่มนวล แต่ก็สง่างาม เหมือนราชันย์สู่สงคราม ถึงลูกถึงคน เปี่ยมไหวพริบปฏิภาณ มีทั้งลูกล่อลูกชน หากว่าอาตมาไม่มีไม้ตาย คือยามคับขันอ้างว่า “หลวงพ่อยังไม่ได้สอน” มีหวังจอดตั้งแต่ยกแรก ท่านต้อนจนฉิว บ่นว่า “ไอ้ลูกลิงนี่เหลือเกิน ติดมุมแล้วมุดดินหนีก็ยังเอา...

    ลูกเล่นลูกฮาของท่านก็เหลือกิน พรรคพวกส่งเสียงเฮชอบอกชอบใจ นานๆ จึงจะมีพระยอมเล่นด้วยซักที ความเกรงท่านแต่แรกหายไปหมด เหลือแต่ความปิติอิ่มเอิบใจ จึงนั่งเชียร์พระโต้ธรรมะกับฆารวาสอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน...

    จนเกือบสองทุ่ม ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะ ท่านก็ขอตัวไปพักผ่อน อาตมาพาพรรคพวกกลับที่พัก ทุกคนแจ่มใสเบิกบานโดยทั่วหน้ากัน อารมณ์ขุ่นมัวแต่เมื่อเช้า หายขาดเป็นปลิดทิ้ง ยังข้องใจกับคำพูดประหลาดๆ บางประโยคของท่านที่ว่า...

    “ฉันมาจากวัดที่มีพระ”“ฉันมาที่นี่บ่อย แต่เธอไม่ได้เห็นฉันหรอก ฉันมาหาฤๅษีเขา”“ฉันเป็นผู้ปรารถนาพระโพธิญาณทุกวันนี้ยังทำหน้าที่เป็นพระโพธิสัตว์อยู่”“ฉันคิดว่าฉันคงจะช่วยใครให้พ้นนรกไม่ได้ ฉันมีหน้าที่บอกทางให้เท่านั้น” .... ฯลฯ

    รุ่งเช้า...วันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๕๒๘ เป็นวันงานประจำปี พระเถรานุเถระทยอยกันมาตั้งแต่เมื่อคืน บางองค์ เช่น พระพรหมคุณาภรณ์ วัดสระเกศ ถึงกับลงไปฉันก๊วยเตี๋ยว ร่วมกับพระทุกองค์ในวัด อย่างไม่ถือองค์เลย...

    อาตมาทำหน้าที่ประเคนอาหารพระ พอครบถ้วนดีแล้ว นึกถึงหลวงพี่องค์เมื่อคืนขึ้นมา จึงบอกกับพี่ประทุม (แม่ครัวกองทุน) ว่ามีพระอาคันตุกะกับลูกศิษย์ อยู่ทางฝั่งวัดเก่า ไม่เห็นท่านมาฉันที่นี่ ขออาหารไปถวายท่าน และขอเผื่อลูกศิษย์ท่านด้วย...

    พี่ประทุม (เสียชีวิตไปประมาณ ๓-๔ ปีแล้ว) ก็แสนดี รีบจัดอาหารให้โดยเร็วเป็นเกาเหลาแห้ง ๘ ชาม อาตมาก็ไม่ทราบว่า ขนไปได้เรียบร้อยในเที่ยวเดียวได้อย่างไร? (แต่ก็เอาไปแล้วล่ะ) ไม่เห็นท่านบนศาลาจึงชะโงกไปดูข้างนอก แล้วก็ได้เห็น...

    ข้างศาลาที่อาตมาเพิ่งเดินผ่านมานั่นแหละ ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่...อะไรกันวะ? เมื่อกี้เดินมาเราไม่เห็นใครเลยนี่หว่า...รอบศาลาก็ว่างโล่งไม่มีอะไรบัง เราผ่านท่านมาโดยไม่เห็นเลยได้อย่างไรกัน ? ตาถั่วแล้วมั้งตู...??

    แต่ว่างานกำลังยุ่ง กระทั่งเวลาสงสัยยังไม่มี กราบเรียนท่านว่า “อาหารไว้บนอาสน์สงฆ์ จะฉันเมื่อไหร่หลวงพี่หาคนประเคนด้วยนะครับ” ท่านตอบยิ้มๆ ว่า “เดี๋ยวก็มีคนมาประเคนให้เองแหละ...” อาตมาจึงโกยแน่บไปช่วยงานที่ศาลา ๒ ไร่

    บนศาลานั้น หลวงปู่มหาอำพัน วัดเทพศิรินทราวาส หลวงปู่ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง หลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ วัดพระบาทห้วยต้ม หลวงพ่อบุญรัตน์ วัดโขงขาว กำลังช่วยหลวงพ่อรับแขกอยู่ อาตมากราบท่านทุกองค์ แล้วไปช่วยงานที่ข้างองค์หลวงพ่อ...

    หลวงพ่อกำลังคุยกับ พล.ท.พิจิตร กุลละวณิชย์ และพล.ท.เทียบ กรมสุริยศักดิ์ สองแม่ทัพภาคอยู่ อาตมาแจกหนังสือของขวัญวันรับสมณศักดิ์แก่ญาติโยมที่มาทำบุญกัน ผู้คนมากันแน่นขนัดไปทั้งวัด ศาลา ๒ ไร่เล็กเกินไปซ่ะแล้ว...

    พระเถรานุเถระมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา เป็นประธานกำลังจะเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ พี่สุนันท์ (คุณสุนันท์ เจียรกูล) มากระตุกแขนเสื้อกระซิบว่า “พระองค์ที่ ๑๐ มาถึงแล้ว อยู่ที่ฝั่งวัดเก่าแน่ะ...

    อาตมาขนลุกด้วยความดีใจ รีบถามว่าท่านมีลักษณะอย่างไร ? อยู่ตรงไหน ? พอได้รับคำอธิบาย อาตมาก็งงเป็นกำลัง ลักษณะที่บอกมา มันตรงกับหลวงพี่องค์นั้นนี่นา... ถามด้วยความไม่มั่นใจว่า “แน่ใจแล้วหรือพี่..?”

    แน่ซิน่า...เมื่อคืนหลวงพี่วัชรชัย (พระวัชรชัย อินทวังโส) เห็นท่านเดินจงกรม เท้าลอยพ้นพื้นตั้งสูง...แล้วตาใหญ่ (คุณอรรถวุฒิ ภานุพินทุ) ขอถ่ายรูปท่าน เห็นรัศมีออกมาเป็นประกายรุ้งเลย...” พี่สุนันท์ยืนยันขันแข็ง ขณะที่อาตมายังลังเลใจอยู่...

    เรื่องของเรื่องก็ต้องพิสูจน์กันหน่อย อาตมาลากพี่น้องฝาแฝดมาทำหน้าที่แทน เหลียวมองหาพรรคพวก เห็นแต่ติ๋วกับแมมมี่สองคนเท่านั้น คว้าแขนได้ก็ลากวิ่งลิ่วไปเลย อธิบายให้ทราบคร่าวๆ ว่า พระองค์ที่ ๑๐ มาแล้ว มีคนพบท่านที่ฝั่งวัดเก่า...

    ที่หอกลองข้างศาลาการเปรียญ ซึ่งอยู่ติดกับหอฉันหลังใหม่นั่นเอง “หลวงพี่” นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ มีญาติโยมเข้าแถวยาวเหยียด เพื่อเข้าไปทำบุญกับท่าน อาตมาขี้เกียจเข้าคิวจึงทิ้งเพื่อนทั้งสองเอาไว้ข้างล่างตัวเองปีนต้นมะม่วง ขึ้นไปนั่งแปะอยู่ข้างองค์ท่านเลย...

    ท่านเหลือบมาดูนิดเดียว แล้วกล่าวคำพูดที่อาตมาเข้าใจคนเดียวว่า “มาแล้วรึ...? ตอนนี้ไม่เล่นด้วยแล้วน่ะ...”“อาตมากราบท่านแล้วมองไปรอบข้าง เห็นท่านเจ้ากรมเสริม “ (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์) พี่ปี๊ด (คุณกัลยาณี ไชยะโท) และใครต่อใครมากันจนแน่นหอกลองติ๋วกับแมมมีก็แสดงปาฏิหาริย์ เหาะขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆ เมื่อไหร่ก็ไม่รู้...

    ตรงหน้าท่านมีถุงใบใหญ่ ญาติโยมที่ทำบุญกับท่านต่างเอาปัจจัยหย่อนใส่ถุงจนแทบล้น อาตมาหมายมั่นปั้นมือว่า ถ้าท่านไม่เอาไปถวายหลวงพ่อ แบบหลวงปู่หลวงพ่อองค์อื่นๆ ทำละก็ อาตมาจะ “อัด” ท่านให้หนัก ท่านหันมาพูดยิ้มๆ ว่า “ไม่มีทางหรอก...”

    อาตมาถึงกับสะดุ้ง ท่านรู้วาระจิตผู้อื่นจริงๆ หรือนี่...? เห็นพี่ปี๊ดถือกล้องถ่ายรูปอยู่ อาตมาเลยอาสาถ่ายรูปท่านให้ รับกล้องมาแล้วอธิฐานขออนุญาตในใจ ท่านหันมาบอกว่า “ขอให้คนอื่นเขาได้ยินด้วยซิ...” อาตมาสะดุ้งกล้องแทบหลุดมือ...

    พอถ่ายรูปท่านเรียบร้อย อาตมาก็กราบขอบารมีองค์สมเด็จพระบรมครู ขอ “ดู” ท่านอีกวาระหนึ่ง คราวนี้เห็นแสงสีทองเป็นกรวยสามเหลี่ยม พุ่งจากข้างบนมายังศีรษะของท่าน มันชักจะยังไงๆ ซะแล้ว ก็เมื่อคืนไม่เห็นแบบนี้นี่นา...

    อาตมามองเห็นใต้สังฆาฏิของท่าน มีลูกประคำโผล่ออกมาจึงตั้งจิตอธิฐานว่า “ถ้าท่านคือพระองค์ที่ ๑๐ จริงๆ และวาสนาบารมีของลูกสามารถเข้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้จริงๆ ขอให้ท่านแสดงออก ด้วยการมอบลูกประคำให้แก่ลูกด้วยเถิด...”ท่านยิ้มพลางกล่าวเบาๆ พอได้ยินว่า “ได้ซิ...แต่ไม่ใช่ตอนนี้นะ...คนเยอะ... “ได้ยินแล้วอาตมาหัวใจพองคับอก เป็นท่านจริงๆ ด้วยไม่น่าเชื่อเลย ...ท่านมาโปรดลูกหลาน ตามที่สัญญาไว้กับหลวงพ่อจริงๆ อาตมานั่งดูท่านรับแขกอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีตอนท่านสั่งให้กันคนออกไปก่อน แล้วยกอาหารมาประเคนด้วย ท่านจะได้ฉันซะที...

    อาตมารีบขอร้องทุกคน ให้ถอยออกไปชั่วคราว แล้วยกอาหารมาจะประเคนท่าน คนอื่นเห็นอาตมาได้ถวายอาหารท่าน ต่างก็เอาอาหารที่ตนมีอยู่ใส่ถาดร่วมถวายด้วย...ท่านดูถาดที่พะรุงพะรังด้วยอาหารแล้ว ถามยิ้มๆ ว่า “นั่นเธอจะเลี้ยงลิงหรือ...?”

    อาตมาตีหน้าไม่ถูก ท่านรับประเคนแล้ว ไล่อาตมาไปเฝ้าทางขึ้นเอาไว้ อย่าให้ใครขึ้นมารบกวนตอนนี้ อาตมา ติ๋ว แมมมี นั่งเรียงหน้ากระดาน ขวางอยู่ตรงทางขึ้น สับสนไปหมด เหมือนฝันไปทั้งกำลังตื่นอยู่ (ลองกัดลิ้นตัวเองสักทีซิ...จะได้รู้ว่าไม่ได้ฝัน)

    กำลังเพลินอยู่ ก็มีหลวงตาร่างผอมบางองค์หนึ่ง เดินหลีกคนขึ้นมาข้างๆ อาตมาแล้วกราบพระองค์ที่ ๑๐ อย่างนอบน้อม อาตมามีคำถาม ๑๐๘ อยู่เต็มสมองแต่หลุดปากไปแบบโง่สุดขีดว่า “หลวงตาชื่ออะไรครับ...?”

    “อาตมาคือ โหรอรุณ เทศถมทรัพย์” อาตมาได้ยินแทบหงายผลึ่ง สุดยอดหมอดูของเมืองไทยท่านนี้ ที่แท้เป็นพระหรือนี่ หลงเข้าใจว่าเป็นฆราวาสมานาน อาตมาถามท่านด้วยคำถามปริศนาว่า “องค์นี้ท่าน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แน่นะครับ..”

    “ยิ่งกว่า ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ซะอีก” หลวงตาอรุณตอบอย่างหนักแน่น อาตมาเหงื่อแตกพลั่ก...นรกกินหัวแน่กู... เมื่อคืนล่วงเกินท่านไว้ขนาดหนักเลย พอดีท่านฉันเสร็จ เตรียมให้พร อาตมาคิดว่า ถ้าให้พรไม่ถึงนิพพานละสวยแน่ (เป็นซะอย่างนี้แหละ ไอ้ควาย...)

    ท่านให้พรเป็นภาษาไทย ไพเราะกลมกลืน รื่นหูเป็นอย่างยิ่ง แต่เชื่อหรือไม่ อาตมาเองจัดเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศคนหนึ่ง ฟังอะไรครั้งแรกจะจำได้เกือบครึ่ง ถ้าสามครั้งแปลว่าชาตินี้ไม่มีวันลืม แต่จำคำให้พรของท่าน ไม่ได้แม้แต่คำเดียว...

    ท่านบอกว่า “จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ ถึงเวลาจะได้เอง” อาตมายกถาดอาหารออกมา ไม่ทราบว่าท่านฉันอย่างไร ไม่ยุบเลยแม้แต่น้อย ส่งแอ๊ปเปิ้ลให้ติ๋วกับแมมมีคนละ ๑ ลูก ตัวเองเก็บลูกที่ท่านฉันแหว่งไปลงกระเป๋า...(คอยคลำอยู่เรื่อย กลัวรอยแหว่งจะหาย...)

    มีผลไม้ประหลาดลูกหนึ่ง ลักษณะคล้ายผลทับทิม แต่ดูเนื้อคล้ายสาลี่ คล้ายแอ๊ปเปิ้ล ผิวเป็นสีน้ำตาลอ่อน ไม่ทราบว่ามือลึกลับที่ไหนถวายมา...อาตมาตัดสินใจถวายหลวงตาอรุณไป ท่านรับได้ก็หันหลังไปแน่วเลย เหมือนกับตั้งใจมารอรับผลไม้ลูกนี้เพียงอย่างเดียว...

    พอไม่มีหลวงตาขวางทาง มือนับร้อยก็ยื่นมาทุกทิศทุกทาง คนละหมุบคนละหมับพริบตาเดียวหมดเกลี้ยง แม้แต่ที่ตกลงบนพื้นก็กวาดเรียบ...อาตมายืนงง ดูถาดเปล่าๆ ในมือซึ่งเมื่อกี้ยังมีอาหารเต็มถาด ตอนนี้หายวับไปกับตา ยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ซะอีก...

    ท่านบอกให้ทุกคนเปิดทาง ท่านจะไปนั่งที่ศาลาการเปรียญ เงินในถุงท่านให้รวบรวมเอาไปถวายหลวงพ่อ พวกรูป-เหรียญของหลวงพ่อที่ญาติโยมถวายท่าน ท่านสั่งให้อาตมาแจกแก่ญาติโยมจนหมด อาตมาขอผ้าขนหนูผืนเล็กจากท่านไว้เป็นที่ระลึก ๑ ผืน...

    พอท่านออกเดินก็มีคนปูผ้าเป็นทางตลอดแนว เพื่อเก็บรอยเท้าท่านไว้บูชา อาตมารีบปูผ้าขนหนูผืนเล็กลง ก้มกราบขณะที่ท่านเหยียบผ้าพอดี จึงได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์อีกวาระหนึ่ง ผ้าผืนนั้นกว้าง ๑ ฟุต ยาว ๒ ฟุต เท้าของท่านโตเต็มผ้าพอดี...

    มัวแต่ตกตะลึงอยู่ จนท่านเรียกให้อาตมาปูอาสนะ ๒ วาระ จึงได้สติ ปูอาสนะลงที่มุมศาลา...คลื่นมนุษย์รายล้อมเข้ามา แย่งกันถวายปัจจัยท่าน พรรคพวกของอาตมาก็มากันครบ ธรรมนูญขึ้นมาช่วยอาตมานับเงินอีกคน...

    นับเงินไปฟังท่านให้พรญาติโยมไป ตาก็ชำเลืองคอยดู ไม่เห็นจะต่างกับคนทั่วไปเลย เสียงท่านบอกว่า “อย่าดูเลย...ไม่ได้เห็นหรอก” อาตมาหลบตามานับเงินต่อ ท่านพูดอีกว่า “ไม่เชื่อรึ...? ลองคลำดูก็ได้นะ...” ไม่ว่าจะคิดอะไร ท่านเป็นรู้ล่วงหน้าไปซะหมด...

    พี่วิไล (คุณวิไลวรรณ ภูมิธเนศ) ติดเครื่องบันทึกเสียงมาพอดี อาตมาขอยืมมาเพื่อบันทึกเสียงของท่าน แต่กดปุ่มเรคคอร์ดไม่ลง ต้องอธิฐานขอเสียงท่านไว้เป็นหลักฐาน ทีนี้กดลง แต่เทปเดินแค่ ๑๐ นาทีแล้วหยุดเอง...

    อาตมาต้องขอท่านว่าให้ได้หมดทั้งม้วน เทปก็เดินต่อเอง เอากับท่านซิ...เห็นผู้คนมากันมืดฟ้ามัวดิน อาตมาห่วงงานที่ ๒ ไร่ก็ห่วง ห่วงลูกประคำที่ท่านจะให้ตามคำขอก็ห่วง จนท่านต้องหันมาบอกเองว่า “ร้อนตัวได้ แต่อย่าร้อนใจ” ...

    อาตมาอายท่านแทบแย่ มีอะไรอยู่ในใจท่านขุดออกมาซะหมด จึงเอ่ยปากบอกท่านไปตรงๆ ว่า “ขอลูกประคำของหลวงปู่เถิดครับ ผมจะได้นำญาติโยม กราบขอขมาหลวงปู่ซะทีเดียว” ท่านบอกให้ขอขมาก่อน อาตมาจึงนำญาติโยมกราบพระ และกล่าวคำขอขมาดังนี้

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

    ภันเต ภะคะวา ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า กรรมอันใดที่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ล่วงเกินไปแล้วต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ดี จะโดยต่อหน้าหรือลับหลัง รู้หรือไม่รู้ เห็นหรือไม่เห็น ทราบหรือไม่ทราบ เจตนาหรือไม่เจตนา จะโดยต่อหน้าหรือลับหลังก็ดี ลูกทั้งหลายขอกราบขอขมากรรมนั้น ต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดเมตตาอดโทษนั้นแก่ลูกตั้งแต่บัดนี้ ตราบท่าวเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า...

    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ
    สวากขาโต ภะคะวาตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ
    สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2013
  8. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    พอกราบพระเรียบร้อย ท่านก็กล่าวตอบว่า “ขอบใจ...ขอบใจ เทวดาลิงน้อยๆ ทั้งหลาย ที่มีแก่ใจขอขมาต่อเรา...“ท่านยินดีอโหสิกรรมทุกประการ ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานของตนเถิด...

    ตลอดเวลาที่ปฏิสันถารกับญาติโยม เสียงของท่านแจ่มใสกังวานลีลานุ่มนวลชวนมอง แต่แฝงด้วยธรรมะอันลึกซึ้ง...ใครกราบขอพรท่านก็ให้ ใครจะ “ดูใจ” ท่านก็ปราม ทุกคนต่างอัศจรรย์ในเหลือที่จะกล่าว ที่ท่านรู้วาระจิตไปเสียทุกอย่าง...

    “พรใดในหล้าว่าประเสริฐ จงบังเกิดแก่เธอทั้งหลาย”...“รักษาศีลให้ประเสริฐ ทำสมาธิให้เลิศ ทำปัญญาให้บริสุทธิ์”... “คำว่าบารมีแปลว่ากำลังใจ จะมาขอบารมีฉันทำไม? ทำให้มีให้เกิดขึ้นกับตัวเองซิ ถ้าบารมีขอกันได้ ฉันก็กลายเป็นบารจนเท่านั้นเอง...”

    “นิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน เป็นภาษาใจ ถ้าอยากไปนิพพานให้เร่งปฏิบัติ เร่งขวนขวาย เร่งหาธรรม ใครทำใครได้ ไม่มีใครทำแทนกันได้”... “พวกที่คิดว่าตัวเอง “แว่นตา” ดีนะ อย่าพยายามดูเลย เดี๋ยว “แว่นแตก” แบบเมื่อคืนนี้อีก...”

    “เธอกับฉันมีธรรมเสมอกัน คือมีความตายเหมือนกัน มันต่างกันตรงไหนล่ะ...?” ที่ได้ยินทุก ๓-๕ นาทีคือท่านบอกว่า ปัจจัยทั้งหมดที่ถวายมา ท่านจะมอบให้หลวงพ่อไปทำอะไรบ้าง ขอให้ทุกคนโมทนา ท่านเน้นเรื่อง ปัตตานุโมทนามัย มาก...ผู้ที่ขอถ่ายรูป ท่านถามว่า “ถ่ายไปทำไม...? ถ่ายไปแล้วเธอไม่ตายรึ...?” เลยไม่มีผู้ใดกล้าขออีก จนกระทั่งถึงน้องเพิร์ล (สรัญญา แสงหิรัญ) อาตมาจึงตอบแทนว่า “ขอไว้เพื่อเป็นอนุสติครับ...” นั่นแหละ...ท่านจึงยอมให้ถ่ายได้...

    จนเวลาใกล้เคียงเที่ยงเต็มที ท่านจึงมอบหมายให้อาตมากับธรรมนูญนำปัจจัยและสิ่งของทั้งหมดไปถวายหลวงพ่อ ขึ้นไปบนศาลา ๒ ไร่ งานเขาเลิกกันแล้ว แต่หลวงพ่อยังนั่งรออยู่ พอเห็นหน้าท่านก็ถามว่า “ไอ้หนูเอ๊ย...เอามาจากไหนหว่า...?”

    “หลวงปู่ที่ฝั่งวัดเก่าริมน้ำ ให้นำมาถวายหลวงพ่อครับ...”“เออ...ใช่...ใช่...องค์นั้นแหละ... “หลวงพ่อตอบเหมือนรับรอง ว่าเป็นท่านแน่นอน อาตมากราบลาออกมาหาอาหารรองท้อง มันหิวจนไส้กิ่ว พรรคพวกก็แยกย้ายกันไป ตอนนี้เล่นบทตัวใครตัวมัน...

    ว่าจะพักผ่อนแต่ใจหนึ่งก็ห่วง เลยกลับไปฝั่งวัดเก่าอีก พบพระองค์ที่ ๑๐ ท่านย้ายไปนั่งที่โคนโพธิ์ มีญาติโยมล้อมแน่นเช่นเดิม อาตมาสังเกตท่าทีอยู่ห่างๆ ดูท่านแปลกไปมาก บางทีก็ดูเป็นองค์ท่านบางทีก็ไม่ใช่ท่าน ไม่ทราบว่าอุปาทานไปหรือเปล่า...?

    จนประมาณบ่ายสามโมง ท่านไล่ทุกคนให้หลีกไป แล้วไปนั่งพักที่ริมศาลาการเปรียญด้านติดกับแม่น้ำ อาตมาตามไปทวงลูกประคำ ท่านล้วงพวงลูกประคำออกมา พลางกล่าวว่า “นี่เป็นของโบราณ ฉันทำด้วยมือของฉันเอง ฉันจะให้เม็ดที่ ๑๐๙ แก่เธอ...”

    ท่านดึงลูกประคำเม็ดที่ ๑๐๙ ออกจากสาย แต่ดึงไม่ออก นายตี๋แว่น (ปัจจุบันนี้ท่านคือ พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) ใช้กรรไกรตัดฉับเข้าให้ลูกประคำทั้งสายเลยขาดกระจาย หล่นลงเกลื่อนพื้น ผู้คนกรูกันเข้ามาเก็บ ธรรมนูญร้องห้าม แต่ท่านบอกว่า...

    “ช่างเขาเหอะ... ใครมีบุญเขาก็ได้ไปเอง...” ไม่น่าเชื่อที่ลูกประคำมากมายปานนั้นมีน้องเป้ (รังสิมะ แสงหิรัญ) เก็บได้ ๒ เม็ด หลวงพี่ชัยวัฒน์ (พระชัยวัฒน์ อชิโต) เก็บได้ ๑ เม็ด นอกนั้นอันตรธานหายไปไหนหมดก็ไม่รู้...

    พอส่งเม็ดประคำให้อาตมาแล้ว ท่านก็ออกเดินตรงไปยังโบสถ์ใหม่ อิริยาบถการเดินดูแผ่วพลิ้วนุ่มนวล เหมือนกับท่านลอยไปอย่างนั้นแหละ ผู้คนปูผ้าให้ท่านเหยียบเป็นทาง บางคนหาผ้าไม่ทัน ถึงกับถอดเสื้อลงปูให้ท่านก็มี...

    ท่านไหว้พระประธานที่หน้าโบสถ์ แล้วหันหน้าไปทั้งสี่ทิศ ยืนสงบนิ่งอยู่ทิศละอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันมาถามอาตมาว่า “เธอรู้ไหม ฉันทำอย่างนี้เพื่ออะไร...?”“ขอความกรุณาอธิบายเพื่อความกระจ่างด้วยครับ...” ท่านตอบว่า

    “ฉันทำอย่างนี้เพราะปรารถนาให้สัตว์โลกในทิศทั้งสี่มีความสุขเสมอหน้ากัน” อาตมาถามว่า “ทิศสุดท้ายหมายถึงองค์หลวงปู่ใช่ไหมครับ...? “ทิศเหนือคือทิศอุดร อาตมาหมายความว่า ท่านคือหลวงปู่ใหญ่โลกอุดร ท่านตอบว่า “เธอเข้าใจผิดแล้ว...”

    อาจารย์ประเสริฐ เกษตรเอี่ยม ขออนุญาตไปส่งท่าน ท่านถามว่า “เธอแน่ใจแล้วหรือว่า จะไปส่งฉันได้ตลอด...?”“ผมส่งหลวงปู่ยันนิพพานเลยครับ...” ตอบได้เด็ดขาดมาก น่าเสียดาย ที่ไปแค่กลางทางท่านก็เล่นกล หายไปต่อหน้าต่อตาซะอย่างนั้นแหละ...

    หลวงพ่อเมตตาให้ความกระจ่างว่า “ฉันยืนยันองค์เดียวนะ องค์ที่ใต้ต้นโพธิ์ริมน้ำ คือ พระองค์ที่ ๑๐ องค์อื่นฉันไม่รับรอง” อาตมาเชื่อ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ตอนนี้เอง แต่ท่านไปถึงฟากฟ้าป่าหิมพานต์ไหนแล้วก็ไม่รู้...? อีกนานไหมหนอ...กว่าจะได้พบท่านอีก...?

    ภายหลังหลวงพ่อได้สร้างศาลาประดิษฐานรูปปั้นของท่าน ไว้ที่โคนโพธิ์ริมน้ำเพื่อให้ญาติโยมได้กราบไว้บูชา เท่านั้นยังไม่พอ ยังสร้างมณฑปแก้ว เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของท่าน และพระองค์ที่ ๑๑ อีกหลังหนึ่ง งานหล่อรูปของท่าน ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน บริจาคทองคำช่วยหล่อรูปของท่านได้ถึง ๒๒ กิโลกรัม...

    ผ้าพิมพ์รอยเท้าของท่าน อาตมามอบให้น้องแสงชัย (แสงชัย เพชรชื่นสกุล)ไปบูชา เมื่อคราวเดินทางไปทำงานที่ประเทศซาอุดิอาระเบีย ส่วนลูกประคำนั้น อาตมามอบให้กับติ๋ว (ปัจจุบันคือ น.ต.หญิงอริศรา กิติธีระกุล) เป็นเจ้าของขวัญแก่ลูกในท้องของเธอ...



    หลังจากนั้นไม่นาน เถ้าแก่สุวิทย์ (คุณสุวิทย์ สวรรค์กสิกร) ไปพบพระองค์หนึ่ง ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายพระองค์ที่ ๑๐ มาก พระองค์นั้นท่านก็รับสมอ้างด้วย หลวงพ่อท่านบอกว่าไม่ใช่ แต่อาตมาชอบพิสูจน์ทราบ จึงเดินทางไปดูด้วยตาตนเอง...

    เห็นปุ๊ปก็รู้ว่าไม่ใช่ เพราะลีลาไปกันคนละโลกเลย แต่การพิสูจน์ครั้งนั้น เป็นเหตุให้อาตมาถูกเข้าใจผิด หาว่าสมรู้ร่วมคิดกับพระองค์นั้นหลอกเอาทรัพย์สินเงินทองจากลูกศิษย์หลวงพ่อ ทั้งที่พวกเขาไปทำบุญกันเอง อาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวด้วยแม้แต่นิดเดียว...

    สู้ทนให้เขาเข้าใจผิดไป เพราะจำลีลาหลวงพ่อได้ “ใครว่าร้าย ท่านไม่เคยโต้ตอบ ไม่แก้ข่าว ปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” ในที่สุด บรรดาผู้ที่ด่วนลงความเห็น ต่างพากันยิ้มแหยๆ เวลาเห็นหน้าอาตมา แต่ยังไว้ท่าจะขอโทษสักคำก็ไม่มี นี่แหละมนุษย์...

    ลูกกราบขอบารมีองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้โปรดช่วยสงเคราะห์ให้ทุกท่านที่ได้พบกับพระองค์ที่ ๑๐ ก็ดี หรืออ่านพบและเลื่อมใสในองค์ท่านก็ดี จงเป็นผู้มีจิตอันเข้าถึงธรรมโดยถ้วนหน้ากัน ธรรมอันใดที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรรลุแล้ว ขอทุกท่านจงเป็นผู้มีส่วนเห็นธรรมนั้น ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ...



    องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน
    ตัดมูลกิเลสมาร บ่มิหม่นมิหมองมัว
    หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว
    ราคีบ่พันพัว สุวคนธกำจร
    องค์ใดประกอบด้วย พระกรุณาดังสาคร
    โปรดหมู่ประชากร มละโอฆกันดาร
    ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุขเกษมศานติ์
    ชี้ทางพระนฤพาน อันพ้นโศกวิโยคภัย...ฯ

    นตฺถิ เม สรณัง อัญฺญัง พุทโธ เม สรณํง วรัง
    นตฺถิ เม สรณัง อัญฺญัง ธมฺโม เม สรณํง วรัง
    นตฺถิ เม สรณัง อัญฺญัง สงฺโฆ เม สรณํง วรัง
    เอเตน สจฺจ วชฺเชน โหตุ เม ชยมงฺคลัง...ฯ


    ๖ มีนาคม ๒๕๓๓
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    บันทึกเพิ่มเติม ภายหลังพระรูปที่รับสมอ้างว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๐ ไปสร้างวัดอ้อน้อยธรรมอิสระ ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม แล้วหลวงพี่ชัยวัฒน์ยังไปรับรองกับบรรดาลูกศิษย์หลวงพ่อ “องค์นั้นแหละ พระองค์ที่ ๑๐...”

    เมื่อเป็นดังนั้นจึงมีลูกศิษย์ลูกหาของหลวงพ่อจำนวนมากแห่กันไปหา ท่านเองก็พลอยรับสมอ้างไปกันใหญ่โต จนท้ายสุดท่านสะดุดคำพูดตัวเอง เลยต้องลาสิกขาบท แล้วบวชใหม่เพื่อให้พ้นจากข้อหาโกงพรรษา ปัจจุบันนี้ท่านมีชื่อเสียงมากทีเดียว แต่ผู้ที่ไปหาต้องทำใจกับจริยาบางอย่างที่เป็นเฉพาะตัวของท่าน ถ้าคิดจะหาประสบการณ์ก็ลองไปดูได้

    ๘ กรกฏาคม ๒๕๔๙
    พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    ด้วยความสัจจริง กระผมมิเคยปรุงแต่งใดๆ เพราะกระผมเจริญสมาธิมามากมายแล้วครับ แต่อย่างที่กล่าวไว้ ผิดถูกไม่เป็นไรขอให้ใจเราสะอาดบริสุทธิ์

    มีอีกอย่างคือจากที่อ่านดู หลวงพ่อฤาษีท่านรับรอง แต่ท่านเคยบอกไว้หรือไม่ครับ ว่าพระองค์ที่10 ท่านเป็นพระพุทธเจ้า

    ผมผ่านนิมิตมามาก เมื่อก่อนก็มีชาวบ้านเขาฝันว่ามีพระพุทธรูปอยู่หลังวัด ทางพระสงฆ์ให้กระผมช่วยสื่อจิตดูก็ทราบว่ามีจริงและก็ขออนุญาตุอันเชิญ ตอนแรกทำไม่ถูกพิธีใช้รถแม็คโครไปตักขุดอยู่3วันก็หาไม่เจอ
    ก็เลยสื่อจิตถามว่าควรทำอย่างไร จึงทราบจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าต้องทำพิธีให้ให้ถูกต้อง ทั้งบายศรีเครื่องสังเวย การทำพิธีขุด ผู้ขุดต้องใส่ชุดขาวถือศีล ให้สวดมนต์ก่อนแล้วจึงขึงสายสินธ์ เพื่อกางกั้นอานาเขต และทำการขุดด้วยจอบเสียมเท่านั้น
    หลังจากที่ทำพิธีตามนั้นแล้ว ผ่านไปเพียง15-20นาที เราก็ขุดเจอพระพุทธรูป เชียงแสน สนิมหยกองค์ใหญ่ ทางกรมศิลป์เข้ามาตรวจ ก็มีอายุราว700กว่าปีครับ พระรูปนี้หน้าตักใหญ่พอสมควรต้องใช้คนยก4-5คน ตอนที่ขุดเจอมีนักข่าวช่อง5มาทำข่าวครับ

    ความจริงประสพการณ์ด้านนี้ผมมีมากแต่ผมเองก็เคยเจอเรื่องจิตปรุงแต่ง แต่ในที่สุดก็รู้วิธีว่า ต้องวางสมาธิอย่างไร กิเลสภายในจิตเป็นอย่างไร การนึกคิดต้องไม่มี นิมิตย่อมเกิดเสมือนว่า ภาพมันปรากฏแว็บมันผุดออกมาของมันเอง เราแค่เห็นรู้และปล่อยวาง การสื่อจิตไปนั้น จิตตั้งคำถามได้แต่ต้องไม่ปรุงแต่งในคำตอบหรือในภาพที่จะปรากฏ ให้มันเห็นและได้ยินของมันเอง กระผมทำมานานมากแล้ว
    หลายเรื่องกระผมได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ มามากแล้วเช่นกัน และก็เป็นสิ่งที่ดีต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน การทำอะไรต้องมีที่มาที่ไปที่ถูกต้อง และดีงามเสมอครับ นี่คือปณิธานอย่างหนึ่งของกระผมครับ
    สุดท้ายจะผิดถูกอย่างไรกระผมก็น้อมรับครับ เราหมดอายุไขไปเมื่อไหร่ท่านก็จะทราบความจริงได้เองครับ สาธุ
     
  10. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964

    Yes! มันต้องยังงี้เซ่ สุดยอด


    ลูกศิษย์ตถาคต ต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
    ไม่แห่ตามๆ ไปกะความเชื่อของใครๆ
    รู้เอง เห็นเองเป็นปัจจัตตัง


    แต่ว่านะ ...


    คนอื่นเขาอยากเชื่ออะไร ก็ช่างหัวเขา
    ผมเห็นเยอะไป คนไทยไหว้ตอไม้ ไหว้
    ก้อนหิน เขาศรัทธาของเขาแบบนั้น ก็
    แล้วแต่เขา ยุคสมัยโบราณก่อนมีศาสนา
    ก็มีแบบนี้เยอะ ยุคไดโนเสาร์สูญพันธุ์มั้ง


    ใครจะเชื่ออะไรก็ช่างหัวมัน ...
     
  11. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964


    ต่อให้คุณถูกต้อง และเขา
    หลงผิดแค่ไหน ก็ตาม แต่
    ระวังนา ไปยุ่งกะความเชื่อ
    ของลูกศิษย์สายหลวงพ่อฯ
    อ่ะ หลวงพ่อฯ ไม่รู้เรื่องอะไร
    ด้วยหรอก มรณะไปนานละ
    แต่ถ้าเราไปยุ่งกะคนพวกนี้


    จะโดนรุมยำเละเทะจ้า ...
    แล้วจะหาว่า่ "ข่อยบ่เตือน"


    จำไว้ "ลศ. ลพ. ฤษี" แตะไม่ได้

     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    เรื่องนั้นกระผมไม่กังวลอะไรเพราะ จิตใจผมสะอาดพอและละกิเลสได้พอสมควร จิตตั้งอยู่สติสมาธิเกือบตลอดเวลา

    อนึ่งหากมีประวัติว่า หลวงพ่อฤาษีท่านกล่าวไว้ละเอียดว่าพระองค์ที่10เป็นใคร กระผมก็ขอน้อมรับว่า นิมิตของกระผม ผิดเพี้ยนไม่เป็นจริง เพราะอาจจะมีเหตุปัจจัยอื่นๆมาประกอบ

    กระผมไม่ประมาทในสิ่งที่ตนมีตนเห็นตนได้ เพราะสำเนียกตนเองดีว่า กระผมเป็นแค่คนธรรมดา ต้องเคารพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ให้มากและไม่มีทางที่จะเก่งหรือดีไปกว่าพระพุทธเจ้า พระอริยะ ทุกๆพระองค์ หรือครูอาจารย์ ครับ สาธุครับ
     
  13. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964

    อย่าใจฝ่อสิ สู้ๆ หน่อย


    จงเชื่อมั่นและภูมิใจในบุญบารมีของตน
    สิ่งที่ตน ปฏิบัติ รู้เห็นได้ด้วยตนเอง
    ไม่เช่นนั้น ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้
    มันจะกลายเป็นลูกแหง่ ที่คอยรอ
    ให้พ่อ (หลวงพ่อ) ชี้ถูกผิดอยู่นั่น


    เธอจะไปเชื่อใครได้ว่าเขาถูกจริง?


    พิจารณาอย่างนี้สิ "นิมิต จบ!"
    ไม่ต้องไปเติมต่อว่ามันถูกหรือมันผิด
    มันจะไม่ตรงกะครูบาอาจารย์เด่นดัง
    ที่ไหน ก็ช่างหัวมัน มันไม่ใช่พ่อเรา
    ถูกผิดใครกำหนดได้ จะให้เขามาคอย
    กำหนดถูกผิดให้เราทั้งชีวิตหรือ?
    อย่างนี้ ก็ไม่หลุดพ้นไปจากอกเขาได้


    มันก็แค่นิมิต จบ... ถูกผิดอะไร ไม่ต้อง
    ใส่ลงไป เขาหรือเรา จะถูกหรือจะผิด ก็
    ช่างมัน ไม่ต้องไปเติมตรงนั้น


    ใครอยากจะเชื่อยังไงก็แล้วแต่เขา
    เราเอามรรคให้ตรง เป็นสัมมาฯ ให้ได้ก่อน
    คือ "ปฏิบัติด้วยตนเอง" อย่างนี้ละ ได้อะไร
    ก็ไม่ต้องเติมถูกผิดลงไปให้มัน เห็นอะไรก็
    เออ แค่เห็น จริงหรือไม่จริง ก็ช่างมัน ไม่
    ต้องเติมลงไป จะถูกผิดจริงเท็จอะไร ก็ไม่
    ต้องเติมมันลงไป


    ดีใจซะ ยืดอกซะ ว่าฉันก็ทำได้ด้วยตัวฉัน
    ฉันมาได้ปากทางละ เดินต่อไป กล้าๆ หน่อย
    อย่ากลัวว่าถ้าไม่เหมือนครูบาอาจารย์แล้วต้องผิด


    พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น
     
  14. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964
    ความเชื่อมั่นในตัวเองและผู้อื่น


    เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนก็ไม่ต่างกัน คือ ไม่เที่ยง
    มีบุญมากก็มีกรรมมาก ลากไปอีกยาว มีบุญ
    มีกรรมน้อย ก็พาไปสั้น สุดท้ายไม่ต่างกันจบ
    ที่หลุดพ้นวัฏฏสงสาร ทั้งเราและเขา ล้วนเป็น
    เช่นนี้ไม่ต่างกัน เราเชื่อในตัวเรา และในตัว
    เขาว่าเป็นเช่นนี้ ไม่เที่ยง ทุกขัง เวียนว่ายจน
    สุดท้าย ก็นิพพานเหมือนๆ กัน ไม่ต่างกัน


    มันไม่ใช่ความยึดมั่นในอีโก้ หรือสักกายทิฏฐิ
    อันนี้ต้องแยกให้ออกว่าไม่เหมือนกัน ไม่เช่น
    นั้น เวลาเราพบธรรมด้วยตนเอง เราจะไม่กล้า
    ที่จะเชื่อสิ่งที่เราพบเห็นด้วยตนเองเลย จะเอา
    แต่รอให้ใครต่อมิใคร มาบอกว่า "ใช่เธอทำได้
    ถูกต้องแล้ว?" รอให้เขามารับรองธรรมให้เราฯ


    เพราะไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ไม่มีใครมารับรอง
    ธรรมอะไรให้ใครได้หรอก ความหลุดพ้นเป็นปัจจัตตัง
    นี่ไม่ใช่ความอวดเก่งกว่าครู กว่าพระอริยะอะไรทั้งนั้น
    เวลาเราตาย เราก็ตายของเราคนเดียว ไม่เกี่ยวกะใคร
    พระอริยะที่เราเคารพไม่ได้มาตายเ็ป็นเพื่อนเราไปด้วย
    เราต้องพึ่งตัวเอง นี่ไม่ใช่การไม่เคารพอะไร คนละเรื่อง
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,654
    ค่าพลัง:
    +20,364
    กายทิพย์อันเป็นนามธาตุบริสุทธิ์ หรืออมตะธาตุของพระพุทธเจ้า นั้น มีเพียงลักษณะเดียว

    ไม่มีหลายลักษณะ หลังจากที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายปรินิพพานแล้วนั้น จิตท่านดำรงอยู่สถานที่เดียวคือพระนิพพาน ไม่มีเหตุใดๆแล้วที่ จิตของพระพุทธเจ้า จะเคลื่อนมาสู่โลกมนุษย์อีก แต่หากจิตใจมีกำลังสมาธิดีพอ ย่อมส่งกำลังจิตของตน [มโนมยิทธิ] ไปพบพระพุทธเจ้าได้ แต่จิตนั้นก็ต้องดีงามสะอาดพอเช่นกัน หากจิตท่านยังหยาบอยู่ ท่านก็ไม่สามารถสื่อถึงพระพุทธองค์ได้

    ดังนั้นแล้ววิสัยแห่งพระพุทธเจ้าจึงไม่มีอีกแล้วที่จะมาเพื่อภาระกิจใดๆในโลกมนุษย์แห่งนี้ เพราะพระมหากรุณาของท่านกระทำไว้ดีงามบริบูรณ์ถึงที่สุดแล้วจบกิจแล้ว ที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของพระสาวก พระอริยะทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพเทวดา มนุษย์ สัตว์ทั้งหลาย

    เรากล่าวเช่นนี้เพราะครูอาจารย์ของกระผมสอนมาแบบนี้ ครูอาจารย์ทั้งหลายมีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้ ครูอาจารย์ของกระผมประกอบด้วย พระพุทธเจ้าสมณโคดม องค์บรมครู พระวิปัสสีพุทธเจ้าองค์บรมครู หลวงปู่ทวด สมเด็จโต หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อปาน หลวงพ่อเดิม พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ซำปอกงหลวงพ่อโต[พระศรีอาริย์โพธิสัตว์] ท้าวมหาพรหมปรเมศวร[ท้าวมหาพรหมเปิดโลก] ปู่ฤาษี109นวโกฏฺิมีปู่ตาไฟ ตาวัว นารอด นาราย ทิพยเนตร ชีวก ปไลยโกฏฺิเป็นต้น พร้อมด้วยเทพเทวดาอีกหลายพระองค์ กระผมทำอะไรต้องให้ความเคารพต่อครูอาจารย์เสมอ หากมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง ก็จะถูกทักท้วงและทราบในวาระจิตทันที

    สุดท้ายนี้กระผมก็ปราถนาที่จะให้ทุกๆท่านได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นประสพการณ์กัน อย่างตรงไปตรงมา กว้างขวางไม่ปิดกั้น หากมีข้อมูลใดๆมาประกอบหรือท่านใด สามารถสื่อจิต เดินมโนมยิทธิหรือมีตาทิพย์ หรืออภิญญา สามารถทราบความจริงในเรื่องนี้ได้ก็ยินดี แลกเปลี่ยนสนทนาได้ครับ
    อย่าไปยึดมั่นให้มากว่าสิ่งที่ตนรู้มามันจะถูกต้องเสมอครับนี่คือสิ่งที่เตือนตัวผมเองเสมอครับ สาธุ
     
  16. tanaong2011

    tanaong2011 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    6,233
    ค่าพลัง:
    +7,421
    สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
    จิตสัมผัสจิต ใจสัมผัสใจ
    ร้อนหรือเย็น ก็รับรู้ด้วยใจ...
     
  17. Followdream

    Followdream เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    688
    ค่าพลัง:
    +12,448
    ..สนใจการแลกเปลี่ยนแสดงความคิดเห็นของทุกท่าน..
    ..ติดตามอ่านอยู่ค่ะ..

    ขออนุโมทนาสาธุการแก่ทุกท่านด้วยค่ะ ^^ ยิ้มมมมมมมม


    [​IMG]
     
  18. โปเย

    โปเย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มีนาคม 2012
    โพสต์:
    1,231
    ค่าพลัง:
    +964

    ผมเขียนไปตามความสนใจของคุณก็แล้วกันนะ


    "นิพพาน" ไม่ใช่ดิืนแดนใด ที่จิตจะไปอยู่ได้
    การคิดว่า "จิตไปดำรงอยู่ในนิพพาน" จึงยัง
    ไม่สอดคล้องกับความหมายจริงๆ


    คำแปลตรงๆ ของนิพพาน ก็คือ "ดับสนิท" ก็
    คือ "สมมุตินั้นๆ ดับสนิท" เช่น ขันธปรินิพพาน
    ก็คือ "ขันธ์อันเป็นของสมมุตินั้น ดับสนิท" อันนี้
    ไม่เกี่ยวกับ "สัจธรรมแท้ ระดับวิมุติ" เลย


    เพราะ "สัจธรรมแท้ ระดับวิมุึติ" นั้น ไม่ได้เกิดดับ
    ไม่ได้นิพพานไปด้วย ดังนั้น นิพพานใช้กับสิ่งที่มัน
    สมมุติเท่านั้น อุปมาง่ายๆ เหมือนเราจะกินขนม เรา
    ก็แกะทำลายห่อขนมก่อน ห่อขนมคือ "สมมุติ" ส่วน
    การแกะทำลายคือ "นิพพาน" ห่อขนมที่ถูกทำลายก็
    เรียกว่า "ห่อขนมนิพพาน" (ความหมายเฉพาะกรณี
    นี้นะ แต่จริงๆ มันไม่มีจริงหรอก) แท้แล้วเราไม่ได้จะ
    เอาห่อขนม หรือ "ห่อขนมนิพพาน" แต่เราต้องการ
    "กินขนมข้างใน" ซึ่งอุปมาคือ "สัจธรรมแท้ อันพ้น
    แล้วจากการเกิดดับ" และไม่ต้องนิพพาน เพราะมัน
    "เป็นเช่นนั้นของมันเอง" (ตถาตา)


    จิตไม่ต้องไปอยู่ในนิพพานอะไร คนละเรื่องกันเลย


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 เมษายน 2013
  19. บุญทรงพระเครื่อง

    บุญทรงพระเครื่อง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    17,441
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +27,814
    เราควรวางใจ ไว้กลางๆก่อนที่จะปฏิเสฐครับ และไม่ให้เชื่อ เลย นั่นน่ะดีที่สุด มารมีหลายขั้น หลายชั้น การพูดนั้น บางที มันเป็นเรื่องของการสงเคราะของท่าน จะลัษณไหน เท่านั้น ใบสุทธิ มันมีมาในสมัย ร.๔ หรือร.๕ เท่านั้น นอกนั้นเป็นเรื่องของท่านครับ ในสมัย การทำสังคยานาพระไตรปิฏก ทำไม พระพุทธเจ้า ไม่ ปราบ พยามาร ทำไม ต้องให้พระอุปคุต มาทำการทรมาร เพราะท่านหรือ พระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ใช่คู่ปรับ ขนาด พระอปคุต พยามารให้แสดงตัว เป็นพระพุทธเจ้า แต่พยามาร บอกว่าเมื่อแสดง เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ห้าม พระสงฆ์ พระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งพระอุปคุต ยกมือไหว้ ท่าน


    แต่แล้วเมื่อท่านแสดงเป็นพระพุทธองค์แล้ว พระอรหันต์ทั้งกราบไหว้ท่าน กันเป็นแถว สันทะสัญญา ที่ให้ไว้ ลืมกันไปหมด แล้วพระอรหันต์ทุกพระองค์ตอบว่า เรากราบพระพุทธเจ้า ไม่ได้กราบพยามาร ฮาๆๆฮ่าๆๆๆๆฮ้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ในฐานะที่เราก็เคยโดนมารหลอกมาแล้ว เกือบจะเป็นบ้ามาแล้ว มารมันก็มีหลายชั้น หลายขั้น จิตปุถุชน ไม่สามารถล่วงรู้ จิตพระอริยเจ้าได้ และท่านไม่มาโปรด เทวดาพรหม ไปโปรด คนได้ แต่พระอรหันต์ อยู่นิพพาน มันเรื่องขี้ประติ๋วครับ และเราสำคัญให้ท่านโปรดเปล่า อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันครับ


    ผมก็เคยกราบ พระสุปฏิปันโนมาไม่น้อย หลายๆสาย ยิ่งพระโพธิสัตว์ ทั้งพระฆราวาส ผู้หญิงผู้ ชาย แม้สัตว์สัตว์เดรัชฉานก็หลายท่าน ยังไม่ไปถึงไหนเลย กิเลส ยัเต็มหัว ยังรู้แค่ งูปลาๆ แต่อาศัยที่ว่า ประสบของจริงมามากกว่าของปลอม แต่ก็ยังตามมันไม่ทัน เลย ตาบใด ถ้าเรายัง ยังมีกิเลสอยู่ เต็มหัว ก็ยากครับ แม้คุณๆ ได้ สมาธิกัน ถ้าไม่ใช่วิสัยของคุณๆ มันก็หมดสิทธิ์ครับ ถ้าท่านไม่โปรด ความรู้ ความสามารถ มันไม่เท่ากันอยู่แล้วของใครของมันครับ ถ้าพระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านได้แค่ไหน ท่านตอบแค่นั้นครับ รู้แค่ไหน ตอบแค่นั้นครับ ผมว่าคนบางคน อาจจะลองภูมิใครก็ได้นะครับ หรือหรอกถาม หาความรู้ก็ได้นะ ไม่เหมือน ประเภท ปะฉะดะ มั่วส่งเดชแต่ไม่ได้ใช้ปัญญา
     
  20. justpon

    justpon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    124
    ค่าพลัง:
    +467
    ผมคิดอีกแบบในความเห็นนี้ครับ "วิสัยแห่งพระพุทธเจ้าจึงไม่มีอีกแล้วที่จะมาเพื่อภาระกิจใดๆในโลกมนุษย์แห่งนี้ เพราะพระมหากรุณาของท่านกระทำไว้ดีงามบริบูรณ์ถึงที่สุดแล้วจบกิจแล้ว ที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของพระสาวก พระอริยะทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพเทวดา มนุษย์ สัตว์ทั้งหลาย" ---> ผมคิดว่าท่านลืมไปหรือเปล่าว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้นั้นท่านบำเพ๊ญบารมีเป็นพระโพธิสัตย์มาก่อน และยิ่งเป็นมหาโพธิสัตย์ด้วยแล้วพระเมตตา กรุณา นั้นมิมีประมาณแล้วพระองค์จะทรงทิ้งทุกสิ่งได้อย่างนั้นหรือ พุทธอัปปมาโณ สิ่งที่พระองค์ทำได้และล่วงรู้เหมือนกับป่าทั้งป่า แต่ที่นำมาสอน เหมือนใบประดู่กำเดียว เพราะเรื่องอื่นเป็นธรรมที่เนิ่นช้า กายเนื้อดับสูญ แต่จิตไม่สูญนะครับ ถ้านิพพานสูญคงไม่มีใครปฎิบัติเพื่อนิพพานกันหรอก แต่คำว่าสูญนี่คือ สูญจากกิเลส ดับก็ดับกิเลส นะครับ แล้วเรื่องพระองค์ที่ 10 นั้น ถ้าทุกท่านไม่แน่ใจ ไปที่วัดท่าซุงได้นะครับ ต้นโพธิ์จะอยู่ด้านหลังวิหารริมน้ำ ด้านตรงข้ามกับหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ครับ มีเขียนคำอธิบายเยอะแยะละเอียดด้วย ซึ่งไม่ใช่หลวงปู่พุทธอิสระ หรือ หลวงพ่อที่ท่านเห็นในนิมิตแน่ครับเพราะที่วัดก็เขียนได้กระจ่างแล้วว่าท่านคือใคร และคนทีึ่ท่านแจกเม็ดประคำให้ ท่านก็ไม่ได้ผิวดำนะครับ

    ปล. จิตของพระพุทธเจ้าอยู่บนนิพพานแต่การที่ท่านมาโปรดส่วนใหญ่ท่านจะเปล่งฉัพพรรณรังสีมาปรากฏให้เห็นก็เหมือนพระพุทธเจ้าเสด็จเอง วิสัยของพระพุทธเจ้าคนปรกติหรือใครก็ไม่ควรคิดหรอกครับเพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าพระองค์ทำอะไรได้บ้าง เรายังเป็นเพียงธุลีดินที่ติดเบื้องพระบาทพระองค์เท่านั้นจะไปคาดคะเนได้อย่างไร ฉะนั้นง่าย ๆ คือ ชอบ ไม่ชอบ แน่ใจ ไม่แน่ใจ เฉยไว้ก็ไม่เสียหาย ปรามาสพระรัตนตรัยโทษหนักและคุณจะรู้ก็ต่อเมื่ออยู่ในนรกแก้ไขไม่ทัน ถ้าคุณไม่แน่ใจอย่าปรามาสนะครับกันไว้ดีกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...