จิตคิดหรือจิตกับอารมณ์ตามที่เห็นมา

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ได้คับ, 8 เมษายน 2013.

  1. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    สำหรับผมแล้วผมว่าเราต้องรู้ก่อนว่าสิ่งนี้คืออะไรเพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน
    ผมจะขอเล่าสิ่งที่ผมเข้าใจจากการเห็น และจะขอเรียกตามที่เข้าใจ
    โดยจะพยายามอธิบายให้ละเอียด ตามที่เห็นนะครับ
    ก่อนจะเกิดการเห็นนี้ มันเกิดการกระทำของมันเป็น
    โดยที่เราไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยเลย มีแต่เห็นมันเท่านั้น
    ก่อนอื่น ขอยกความหมายของคำว่าจิตก่อนนะครับ
    จิต( วิญญาณ) คือ สิ่งที่รู้อารมณ์ เมื่อจิตรู้สิ่งใด สิ่งนั้นมีจิตเข้าไปรู้แล้ว
    เช่น ตา กระทบ รูป เกิดการรับรู้ทางตา จิตมารู้กาย ก็คือ รู้กาย
    จิตรู้ลมก็คือรู้ลม จิตรู้อารมณ์ ก็ตือจิตรู้อารมณ์ จิตทำหน้าที่รู้
    จิตกับความคิดมันคนละอันกัน จิตกับอารมณ์ก็คนละอันกัน
    จิตนั้น เป็น สภาพรู้อารมณ์ แต่เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน
    เพราะจิตไม่สามารถคงอยู่ได้ ถ้าไม่มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร
    จิตเกิดขึ้นลอยๆไม่ได้ จิตต้องอาศัย รูป เวทนา สัญญา สังขาร มันจึงเกิดได้
    ผมเห็นมันเกิดขึ้นเช่นนี้ และดับพร้อมกันเช่นนี้
    ตัวจิตหรือวิญญาณ โดยตัวมัน ไม่มีความคิดปรุงแต่ง
    แต่ที่มันคิดปรุงแต่งได้เพราะมันไปรู้ เวทนา สัญญา สังขาร 3ตัวนี้เอง
    แต่แปลกมากถ้าจิตมารู้กาย จิตจะไม่เกิดความคิดปรุงแต่ง
    เพราะร่างกายเป็นธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม มันจึงไม่มีความคิด
    ถ้าใครเคยฝึกรู้ลมหายใจเข้าออก โดยไม่บริกรรม
    จิตที่รู้ลมหายใจเข้าออก จะไม่เกิดความคิด ต่อเมื่อหลงไปคิด
    ช่วงที่หลงไปคิดนั้นเอง จิตที่รู้ลมหายใจดับ แล้วหลงไปรู้สัญญาบ้าง
    สัญญาดับ เกิดไปรู้สังขารบ้าง ไปรู้เวทนาบ้าง จนมีสติระลึกได้
    กลับมารู้ลมหายใจใหม่ จิตจึงอาศัยการเกิดดับเช่นนี้
    มีความหลงคือความไม่รู้นี้เอง มีการน้อมไป เพลินไป
    แต่ถ้ามีสติมันจะรู้ทันปุ๊บ แล้วกลับมารู้สึกที่กายโดยอัตโนมัติ
    ผมยังฝึกไม่มากผมเข้าใจและเห็นมาเช่นนี้
    ผมเข้าใจว่าไม่มีใครมีสติได้ตลอดเวลา แต่สติมันจะเกิดตอนที่หลงไปแล้ว
    แล้วมันจะกลับมารู้สึกตัวเอง มันจะเกิดดับแบบนี้ครับ สติแบบนี้เกิดเองดับเอง
    เหมือนยามเฝ้าบ้าน ถ้าคนดีมาก็ให้เข้า คนร้ายมาก็ไม่ให้เข้า
    สติจึงไม่ใช่ของที่ต้องรักษา มันเกิดจากการฝึกความรู้สึกตัว
    ผมเข้าใจเช่นนี้ครับ
     
  2. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ถ้าเข้าใจตรงนี้ ก็ ทำความเข้าใจใหม่

    กาย นั่นแหละ ตัวปรุงแต่งท้้งดุ้น แต่ กายเนี่ยะ ความคิดแทรกไม่ได้

    คำว่า ความคิดแทรกไม่ได้ เขาหมายถึง การปรุงแต่งกายมันเกิด แต่
    กายที่เกิดเนี่ยะ มันพ้นอำนาจของจิตคิด จิตคิดให้หล่อ หน้ามันหล่อ
    ขึ้นไม่ได้ ยังไงก็หน้าเราๆ ก็ส้นสิบเหมือนเดิม เพราะ กายมันปรุงไปตามวิบากผล !!

    เวลาเรียน พอเราได้ยินมาว่า กายคตาสติ ความคิดแทรกไม่ได้เลย
    เขาก็หมายถึง กายมันจะดี จะไข้ จะแตกสลาย หรือ ก่อเกิด ล้วน
    แต่เป็นไปตามอำนาจวิบากกรรม ไม่ใช่เพราะ คิดจะเป็น คิดจะไม่เป็น

    ทำความเข้าใจ ธรรมะบท เรื่อง ดูกายความคิดแทรกไม่ได้เสียใหม่

    พอทำความเข้าใจใหม่ ก็ลองพิจารณา สัมมาทิฏฐิ พอมีบ้างไหม ก็เอา
    ลมหายใจนั่นแหละ มาพิสูจน์ ลมเข้า ลมออก ใครยังคิดสร้างมันได้ ก็
    ยังโง่อยู่ ยังอาศัย คาบเวลามามีอำนาจเหนือความรู้ทางธรรมอยู่

    ก็จะเห็นว่า เขาไม่ได้ ภาวนาดูลมหายใจดับ แล้ว จิตไปจับขันธ์ อะไร
    มันคนละเรื่อง !!! ดูผิดฐานลม ไขว้อารมณ์แล้ว เฉยโง่ ไปแล้ว

    ************

    ประโยคข้างบนเนี่ยะ หากเอาไปกล่าวที่อื่น เดี๋ยวเถอะ จะโดนเขา
    เล่นงานเสียอ่วม สติ มันเกิดจากการ ระลึกสภาวะธรรมได้ชำนาญ

    สติ ไม่ได้เกิดจาก ความหลงไปแล้ว แต่ เป็นเพราะ สติมันระลึกได้
    ว่า สภาพธรรมขณะนี้ เป็น สภาพหลงไป ไหลไป ปักลงไป จมลงไป
    ฟูขึ้นมา เอียงไปทางซ้าย ย้ายไปทางขวา รู้ร้อน รู้เย็น รู้ตึง รู้ไหว ฯลฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2013
  3. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ยังไงก็ ภาวนา เอาผลการภาวนาของตนเป็นหลักไปน่ะ

    เพลาๆ การฟังตาม โสดาบันอ้างเลห์ B1 B2 ไปก่อน

    แล้วฝึกเข้ามา พิสูจน์เข้ามา ใคร่ครวญให้ดีๆ ชอบแจกแจง
    ธรรมแบบนี้ ไม่เสียหาย การตรึกธรรมะเนี่ยะ ยังไงก็ได้สวรรคิ์

    แต่ ต้องตรึกแบบเอา ผลภาวนาในตน ไม่ใช่ เขย่งไปตามการฟังจากปากใคร
     
  4. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    แล้ว สมมตินะ สมมติว่า เถียงหัวชนฝา ว่า เฮ้ย ลมหายใจของข้า ข้าสั่งได้

    เอา สั่งเลย สั่งให้หายใจออก แล้ว อย่าหยุดสั่งนะ อย่าหยุด !!!

    จะเห็นเลย ทำไม่ได้หลอก จะเอา ตัณหานำหน้าการปฏิบัติ ดำริว่า สร้าง
    ลมหายใจได้

    ใช่ !!

    สร้างได้ แต่ ตัณหาเนี่ยะ ของเกิด ดับ ตั้งอยู่ไม่ได้

    ดังนั้น เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็น ลมหายใจเข้า

    ไอ้ตอน ลมหายใจเปลี่ยนไปเนี่ยะ ก็อย่ามัว โง่ เห็น ลมหายใจเกิดแล้วก็ดับ

    ต้อง ย้อนเข้ามาเลยว่า ตัณหา มันเกิด ดับ ลมหายใจที่ว่าสั่งได้ เอาตัณหา
    นำหน้าเนี่ยะ มันก็ ชี้ให้เห็น ตัณหา เป็นของเกิดดับ

    ดูตัณหา เกิดดับก็ได้ สั่งลมหายใจไปเลย แต่ ต้องเห็น ตัณหา นะ ทวน
    กระแสเข้ามา ....แต่ คนส่วนใหญ่ ใช้วิธีง่ายๆ นี้ไม่ค่อยได้ เพราะ ความ
    ที่ ตัณหามันเกิดดับ ไปเห็นเข้า มันจะตกใจขี้แตกขี้แตน คิดว่า ตัวกู หายไป

    หญ้าปากคอก แท้ๆ
     
  5. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    ถ้าเข้าใจตรงนี้ ก็ ทำความเข้าใจใหม่

    กาย นั่นแหละ ตัวปรุงแต่งท้้งดุ้น แต่ กายเนี่ยะ ความคิดแทรกไม่ได้

    คำว่า ความคิดแทรกไม่ได้ เขาหมายถึง การปรุงแต่งกายมันเกิด แต่
    กายที่เกิดเนี่ยะ มันพ้นอำนาจของจิตคิด จิตคิดให้หล่อ หน้ามันหล่อ
    ขึ้นไม่ได้ ยังไงก็หน้าเราๆ ก็ส้นสิบเหมือนเดิม เพราะ กายมันปรุงไปตามวิบากผล !!

    อันนี้ผมมีความเข้าใจตรงกันเลยครับ กายทั้งดุ้นนี้หมายถึงขันธ์5 ส่วนกายนี้ ถูกแยกออกมาเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดังนั้น รูปอย่างเดียวคิดไม่ได้แน่นอนครับ ผมว่าเราเข้าใจตรงกันครับ ส่วนเรื่องสติ ผมเข้าใจว่า เมื่อไหรที่เราหลงไปแล้วสติจะกลับมาระลึกรู้ที่กายได้เอง ไม่ใช่สติที่ไหลจม อันนี้ก็น่าจะตรงกันนะครับ แต่อาจจะต่างคำที่ได้แสดงไว้
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    เรียนธรรมะ เอา ตรรกศาสตร์ มาใช้ ภาวนาอีกร้อยปี ก็ รู้ไม่จริง

    ทำไมถึงกล่าวว่า เป็นการกล่าวจาก ตรรกศาสตร์

    เพราะว่า คนเรานะ หากเอา ขอ้เท็จจริง ความเป็น จริงมากล่าว
    มันจะเห็นเลยว่า ขณะที่อ้าปากพูด หรือ คิด แบบ ปักใจเชื่อ

    มันคิดไปร้อยแปด แล้ว เละเทะไปแล้ว

    แต่ถ้าเรียนแบบตรรกศาตร์ เอ้ย ขณะนี้ ข้ารู้รูป รูปไม่คิด แต่
    ตัวมันคิด ออกมา ดูไม่ทัน ....

    เอาความเป็นจริง มากล่าวสิคร้าบ ท่าน

    แล้วจะรู้เลย วิธีเรียนแบบ เห็น คุณ และ โทษ และ หาอุบายนำออก เนี่ยะ
    มันเป็น สิกขาบทขึ้นมาได้อย่างไร

    แต่ถ้าเรียนแบบ ตรรกศาสตร์นะ รู้ไปหมดแหละ แต่ ความเป็นจริง โหลยโถ่ย !!( ว่างเปล่า )

    แล้วเมื่อไหร่ เข้าใจ วิธีพิจารณา คุณ และ โทษ และ อุบายนำออก มันจะเลิก
    กล่าวตรรกศาตร์ " จิตคิด/จิตไม่คิด " แบบ คน เฉยโง่ ไปเลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2013
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .........แต่นั่นแหละ ทุกขโทมนัส อุปายาส จากเรื้่องต่างต่าง ไม่ว่าจะเป็นการเงิน ขายของไม่ออก หรือเป็นหนี้...ชวนให้เหลียว มอง เวทนานุปัสนาสติปัฎฐาน จิตตานุปัสนาสติปัฎฐาน และ ธัมานุปัสนาสติปัฎฐานอย่างแน่นอน.....ก็ เอาให้ ครบเอง...:cool:
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,046
    อืมๆมองว่า คุณ ได้คับ เริ่มต้นมาถูกทางเกี่ยวกับเรื่อง สติ
    แต่ยังอยู่ในช่วงของการเจริญสติเพื่อให้ได้ต่อเนื่องอยู่.
    ขั้นนี้อยู่ในช่วงใช้สติเป็นเหมือนตัวจับ.พอจับความคิดต่างๆได้ทัน.
    ก็จะตัดกับเข้ามาสู่ฐานกาย.เพื่อไม่ให้ความคิด

    ต่างๆเข้ามาปรุงร่วมกับจิตได้.หรือเป็นช่วงในการตัดกำลังความคิดพวกนั้นอยู่
    .แต่ยังไม่ใช่การตัดด้วยการใช้ปัญญาในขั้นนี้นะครับ...ให้สังเกตุดูได้ว่า
    ความคิดพวกนี้พอเราเผลอ ก็จะยังสามารถกลับขึ้นมาได้อีก.


    และการที่เข้าใจว่าสติเกิดตอนที่หลงไปแล้ว..ในทางปฏิบัติคือเราไม่ทันความคิด
    พวกนั้นที่เข้ามาปรุงร่วมตั้งแต่เริ่มต้น..แต่เราพอมีกำลังสติในการระลึกรู้ทันแล้วบ้าง
    ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ...เป็นเหตุให้ดึงกับมาสู่ฐานกายก่อนอย่างที่เข้าใจตอนนี้..
    ซึ่งถือว่าเดินมาถูกทางแล้วครับ


    หากสร้างสติให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จนเป็นอัตโนมัตได้..ซักพักจะทันความความคิด ในระยะเวลาที่สั้นลงเรื่อยๆ เช่นตอนนี้ คุณอาจจะมีสติระลึกได้หลังจากผ่านไปแล้ว ๕ นาทีพอทำไปเรื่อยๆ.ระยะเวลาจะสั้นลงเรื่อยๆ.จนกระทั้งคุณจะทันตั้งแต่
    ตอนที่เค้ากำลังจะเริ่มคิดหรือกำลังจะก่อตัว.และคุณจะเห็นได้เองว่าฐานความคิด


    พวกนี้เริ่มต้นก่อตัวหรือขึ้นมาจากตรงไหน..และต่อไปถ้าคุณไปสังเกตุได้ทัน
    ถึงขั้นที่ ความคิดพวกนี้กำลังจะรวมกับจิต..ความคิดพวกนี้ก็จะแยกออกจากกันได้
    จะทำให้คุณ แยกแยะได้ชัดเจน ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นความคิดที่เข้ามาปรุงร่วม
    กับจิต...

    .และต่อไปหลังจากนี้ คุณถึงจะสามารถเห็นในส่วนของ ขัน ๕ นามธรรม หรือบางคน
    เรียกว่า วิบากกรรมเก่า หรือ ตัวที่ทำให้เหลือเชื้อในการก่อภพก่อชาติ..
    ประกอบด้วย วิญญาน สังขาร สัญญา สัญญา ถ้าสังเกตุทันคล้ายๆกับความคิดที่เข้า
    มาปรุงร่วมกับจิตดังที่กล่าวมาแล้ว ขัน ๕ ส่วนนามธรรมก็จะแยกได้เหมือนกัน..


    แต่ที่ส่วนนี้จะสังเกตุเห็นที่หลังความคิดที่มาปรุงร่วม
    เพราะฐานของขัน ๕ ส่วนนามธรรมไม่ได้อยู่ที่จิต..แต่ว่าอยู่ใกล้ๆกันกับจิต.
    และคุณก็จะเห็น ว่าอะไรเป็นจิต อะไรเป็นความคิดที่มาปรุงร่วม อะไรเป็นความคิดที่เกิด
    จากขัน ๕ ส่วนนามธรรม..ซึ่งตอนนี้กำลังสติคุณจะมีมากขึ้น..


    และต่อมา พอมีความคิดที่มาปรุงร่วมเกิด และความคิดจากขัน ๕ นามธรรมเกิด
    สติก็จะจับได้เร็วขึ้น.ทำให้ความคิดทั้ง ๒ วางได้ ซึ่งก็มีขั้นตอนในการทำให้วางได้อยู่
    พอวางได้ ใจก็จะเป็นกลาง จะอยู่ในสภาวะที่รู้เห็น ตามความเป็นจริงได้ จิตก็จะเกิดเป็นปัญญาขึ้นมาได้.....
    .

    พอสะสมปัญญาขึ้นมาได้....ต่อไปพอมีความคิดพวกนี้ขึ้นมา สติก็จะทำหน้าที่ในการ
    จับ..แล้วปัญญาก็จะเป็นตัวตัด.ทำให้จิตลงสู่ความว่างที่ฐานกาย.และความ
    คิดพวกนั้นจะไม่กลับขึ้นมาได้ง่ายๆอีก...ซึ่งจะแตกต่างกับที่
    เป็นอยู่ ณ ตอนนี้ที่สติคุณจับเพื่อไม่ให้ความคิดมีกำลังหรือเพื่อให้ความคิดวางเฉยๆ
    ด้วยการกลับสู่ฐานกายเหมือน ณ ปัจจุบันนี้.


    ถึงแม้ว่าความคิดพวกนี้ที่ปัญญาเป็นตัวตัดแม้จะไม่กลับขึ้นมาง่ายๆ.อีกเหมือนปัจจุบันนี้..แต่ทางปฏิบัติ
    ก็ยังถือว่าความคิดที่ดับไปในขั้นนี้อยุ่ในระดับหยาบ และระดับกลาง

    แต่จะยังเหลือพวกอุปกิเลสอยู่ .ที่เป็นนิสัยเฉพาะส่วนตัวคุณ ลึกๆที่แม้แต่คนภายนอก
    ก็มองไม่ออก.ที่ต้องวิปัสสนาเท่านั้นถึงจะแก้ได้.และต้องมาเสริมด้วยองค์ประกอบหลายๆอย่าง.เพื่อทำให้พวกนี้ค่อยหมดไป
    ด้วย การทำทาน รักษาศีล ใช้สมาธิเข้าช่วย เพื่อไปขึ้นวิปัสสนา ไม่ว่าจะในช่วง
    กำลังสมาธิระดับอุปจารสมาธิ.(ช่วงนี้อุปกิเลสยังขึ้นมาได้อีกเรื่อยๆอยู่) หรือไปเล่นวิปัสสนาในขั้น
    ละเอียดหรือ กำลังฌาน ๔ ต่อไปในอนาคตเพื่อกำจัดให้สิ้นไปเป็นเรื่องๆไป..ถึงจุดนี้ค่อยมาว่ากันที่หลังครับ..

     
  9. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    ตรงนี้ ฟังดีๆ นะ

    เมื่อไหร่มาดูกาย เมื่อนั้น จิตคิดปรุงแต่งเกิดไม่ได้

    อย่าลืมนะ เราหมายถึง จะไปทำให้ กายมันมีสภาพไปตามที่คิดไม่ได้
    เท่านั้น

    แต่ถ้า ตรรกศาสตร์ กายคิดไม่ได้ รูปคิดไม่เป็น แล้ว ละเมอแล่นไปว่า
    เอ....กายคือนิพพาน กายคือสภาพที่พ้นตัณหา อันนี้ เรือหาย นะคร้าบ
    อย่าให้ ตรรกศาสตร์ หลอกเอา จั๋งหนับ ได้

    กายคตาสติ ดูกาย เนี่ยะ เขาต้อง "คิด" พิจารณากาย พิจารณาสภาพ
    เกี่ยวกับกาย

    ความคิดอยากให้กายแปรสภาพเป็นดั่งใจ หากเผลอไป คิด ความคิด
    พวกนี้ มันจะเป็น โทษ คือ มันลวง มันทำให้เรา เคลิ้ม ไหล หลง

    แต่ถ้า เราพิจารณากาย คิดลงไปเลย หัว หู ขน เล็บ ฟัน หนัง เนี่ยะ
    มันเป็นยังไง คิดไปเลย คิดให้มากๆ ไม่ใช่ ห้ามคิด เฉยโง่

    ต้องคิดลงไป แต่ เมื่อไหร่ ความคิดอยากสวย อยากหล่อ อยากเจ๋ง
    เป้ง อยากเป็นฮีโร่ อยากเหาะ อยากเหิน มันเกิดขึ้นมา เนี่ยะ ความ
    คิดแบบนี้ เป็นโทษอย่างไร เป็นคุณอย่างไร

    ดังนั้น เผลอแล้วรู้ กลับมาดูกาย ก็ อย่าทะลึ่งไม่คิด พิจารณากาย

    เอา กายเป็นนิพพาน นี่ พวกตรรกศาตร์เท่านั้นแหละ จะปรารภ
    ( ทิฏฐิเห็นว่า ขาดสูญ มันหลอกเอา จั๋งหนับ เลย )

    ......

    อ้อ เพียงเท่านี้ อย่าสำคัญว่า พอนะ จะต้อง คิด!! พิจารณากายจน
    เกิด ธรรมเอก หรือ เกิด จิตงอกลับมารู้ที่จิตก่อน ถึงจะเริ่มการภาวนา
    แบบ สติปัฏฐาน4 ธรรมเอกยังไม่เกิด อย่ารีบร้อนเข้าใจว่า ยกสิกขาได้

    เกิดธรรมเอกเมือไหร่ มันจะเริ่มเรื่อง " หาอุบายนำออก " การภาวนาพึ่งเริ่ม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2013
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .................ที่พี่ บุคคล3ท่านกล่าวถูกแล้ว....(อันที่จริงมันเป็นเรื่องของความฉลาดในมรรค) การที่จิตผูกติดกับอารมณ์ไม่ใช่การเจริญสติที่แท้จริง การรู้เฉยเฉย ต้อง รู้จัก สภาวะนั้น (กาย เวทนา จิต ธรรม) อย่างแบบ ไม่มีตัวบุคคล เรา เขา...ถ้ามีคำว่า "เรา"เข้าไปเป็นเจ้าของอารมณ์นั้น ยังแยกตัวในการเห็น สภาวะ แบบ ไม่มีตัวเราจริงจริง(เพียง แค่รู้ เพียงอาศัยระลึกว่า กาย เวทนา จิต ธรรมมีอยู่)....ส่วนความฉลาดในมรรคนั้น อาจจะบอกไม่ได้ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น มีราคะ ก็ รู้ชัดว่ามีราคะ ก็ต้องมีสติรู้ สภาวะธรรมที่ชื่อ ราคะ นั้นอย่างชัดเจน....ส่วนทำได้แค่ใหน เอาอยู่ไม่อยู่ก็แล้วแต่คน บางคนอาจจะหนี(หนีไปอยู่กับกายก่อนเพราะเอาไม่อยู่).......แต่จริงจริงในท้ายพระสูตรมหาสติปัฎฐานนั้น---ที่แท้ เธอเป็นผู้ที่ตัณหาและทิฎฐิ อาศัยไม่ได้ และเธอไม่ยึดมั่นอะไรอะไรในโลกนี้ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้มีปรกติพิจารณาเห็น(กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม)ทั้งหลายอยู่ แม้ด้วยอาการอย่างนี้(พระวจนะ)------:cool:
     
  11. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    .....นั่นแหละครับแต่ ที่น่าเห็นคือ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา....สิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา.....อาจจะยังไม่สุด แต่บางที่ เราก็ลืมไป ว่า ทำไป ทำไม..:cool:
     
  12. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ผมว่า เขา รู้นะครับ...แต่การ พรรณา ละไว้ ในฐานที่เข้าใจ บ้าง(คงไม่เหมือน คุณ ไรหวา ที่อธิบาย ซะยิบ เลย):cool:
     
  13. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    ^อันนี้สนับสนุน ผมเคยถามครูอาจารย์ว่า ไอที่ว่ารู้เฉยๆนี่ มันเป็นปัญญาหรือเปล่า ท่านก็บอกว่าไม่ใช่ ต้องพิจารณาไปเรื่อยๆ แล้วปัญญาจะค่อยเกิดขึ้น... ดูกาย รู้กายด้วยสติ ยังไม่ใช่ปัญญา แต่เป็นเหตุใกล้ปัญญา สาธุคุณไรวา
     
  14. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    สวัสดดีครับเพื่อนๆพี่ทุกๆท่าน ขอโทษด้วยนะครับ
    ที่ผมอาจจะไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาอธิบายหรือตอบได้
    ส่วนสิ่งที่ผมได้โพสไว้ ผมเห็นจากการเห็นและผมก็เข้าใจเช่นนั้น
    การที่ออกมาพูดเรื่องนี้ ผมก็ไม่คิดว่าจะมีคนเชื่อผมหรอกครับ
    เพราะผมเคยไปถามพระ พระท่านบอกว่าผมตาลายรึเปล่า
    แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นประสบการณ์ที่ผมได้พบเจอะกับตัวเอง
    แต่ผมพอจะเล่าและอธิบายสิ่งที่เห็นได้ ถ้าสิ่งนี้มีประโยชน์กับผู้สนใจ
    จิตที่ผมเข้าใจที่ผมเห็นคือ ความไม่มีอะไรเลย หมายถึงมันยังไม่ถูกปรุงแต่งจากอะไร
    แต่แปลกมั้ยครับ ผมเขียนไว้ด้านบนว่า จิตหรือวิญญาณมันเกิดขึ้นเองลอยๆไม่ได้
    มันต้องอาศัยการเกิดขึ้นจากรูปบ้าง เวทนา สัญญา สังขาร
    แต่ผมดันออกมาบอกว่าเห็นจิตเพียวๆ จริงก็ไม่ซะทีเดียวถ้าอยู่ๆมันไม่แยกออกมาให้เห็น
    แรกๆผมไม่ได้เห็นจิตหรอกครับ ผมเห็นความรู้สึกทุกข์ที่เป็นก้อนๆในอก
    ตอนนั้นผมรู้สึกทุกข์มาก แล้วผมก็ลุกขึ้นยืน อยู่ๆก็มีความรู้สึกตัวแรงมากมารู้ที่กาย
    แล้วกลางอกก็มีการเกิดมีการเกิดดับๆหลายครั้ง ช่วงนั้นผมรู้สึกว่า
    ผมไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ยืนเฉยๆไม่ได้คิดอะไรเลย ทุกอย่างเค้าทำของเค้าเอง
    พอมันเกิดดับๆๆไปเรื่อยมันก็เกิดการรวมตัวหยุดนิ่ง รวมมาที่กลางอก
    แล้วจิตหรือวิญญาณ มันก็แยกออกมาจาอารมณ์
    ช่วงนั้นเองที่ผมเห็นความจริงว่า ของก้อนเวทนาที่กลางอกมีการแยกกัน
    มีอันหนึ่งมีลักษณะเกลี้ยงไม่มีอะไรเลยคือไม่มีทุกข์หรือสุข
    มีลักษณะสัมผัสถูกสิ่งใดก็รู้สิ่งนั้น และเกิดความหมายให้ค่าคือความจำได้
    (ผมเรียกว่าจิตละกันนะครับเพราะมันมีลักษณะสัมผัสสื่งใดก็รู้สิ่งนั้น)
    อีกอันหนึ่งเป็นก้อนทุกข์ เมื่อสิ่งที่ผมเรียกว่าจิต
    แยกตัวออกจากทุกข์แล้ว ความทุกข์ก็ไม่ใช่ของมันอีกต่อไป
    ความทุกข์ก็ไม่ใช่ของใคร รวมทั้งผมด้วย เมื่อสิ่งที่เรียกว่าจิต
    ไม่สามารถเข้าไปในก้อนทุกข์นั้นได้ จิตก็พ้นจากความทุกข์นั้น
    ผมจะลองเปรียบเทียบให้เป็นรูปธรรมนะครับ ผมขอเปรียบจิตเป็นน้ำสะอาดละกัน
    ความคิดเป็นสี เมื่อมันเกิดขึ้นมาแบบเป็นสี เราก็จะเห็นเป็นสี เราจะไม่เห็นมันเป็นน้ำ
    เราจะเห็นว่าน้ำกับสีเป็นสิ่งเดียวกัน เหมือนที่เรารู้สึกถึงเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    เราจะรู้สึกว่าเวทนานั้นเป็นสิ่งเดียวกับจิต เราจึงไม่สามารถเห็นตัวจิตได้
    และที่เนียนไปกว่านั้นคือ มันเกิดพร้อมกันและดับพร้อมกัน
    ลองนึกถึง ไม้ กับไฟ เมื่อเอาไฟไปจุดกับไม้ ก็จะเป็นไฟไม้ เมื่อเป็นไฟไม้แล้ว
    มันจะค่อยๆมอดลงจนเป็นเถ้า ไม้เมื่อถูกไฟเผาเป็นเถ้าแล้ว
    ไฟที่อาศัยไม้ก็ไม่สามารถอยู่ได้เพราะเชื้อมันหมดลง ไฟจึงไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีไม้
    ในกรณีมันจึงดับไปพร้อมกัน นี้คือสิ่งที่ผมเข้าใจครับ ถ้าสงสัยอะไรเพิ่ม
    และเป็นสิ่งที่ผมรู้ จะนำมาบอกเพื่อแลกเปลียนความคิดเห็นกันนะครับ
    ส่วนเรื่องความรู้สึกตัว ถ้ารู้สึกตัวจริง จะไม่มีความคิดปรุงแต่งได้เลย
    และถ้าใครฝึกอานาปานสติมา ก็จะรู้ได้เช่นกันว่า ความคิดจะเกิดไม่ได้เลย
    ถ้าคนนั้นมีสติไม่หลุดจากกองลมลม เราสามารถดูจากพุทธวัจนะได้เช่นกัน
    เท่าที่ผมได้อ่านมา ให้มีสติรู้ลมหายใจเข้า ก็รู้ว่าลมหายใจเข้า ออกก็รู้
    สั้นก็รู้ ยาวก็รู้ รู้ตลอดกองลม เห็นมั้ยครับ ไม่มีเวลาแว๊บไปคิดได้เลย
    จิตมารู้ที่ลมหายใจโดยมีสตินี้เอง แต่ถ้าหลงหลุดจากลมแล้วหลงไปคิด
    ก็ให้กลับมารู้ลมหายใจใหม่ สติจะไวขึ้นเอง เมื่อรู้บ่อยๆเข้าเราก็จะรู้จัก รูป นาม
    เอาแค่นี้ก่อนละกันนะครับ
     
  15. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    จิตที่ผมเข้าใจมันสะอาดไม่มีอะไรเลย ในความหมายว่าไม่มีอะไรเลยคือไม่มีทุกข์ไม่มีสุขไม่มีอะไรเลยเกลี้ยงตามที่เห็นครับ แต่มีลักษณะนี้สิ คือเมื่อสัมผัสถูกสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะถูกมันรู้ทันที การเกิดของมัน คือ เกิดรวมกันกับสิ่งที่มันรู้ เมื่อสิ่งที่มันรู้นั้นดับ มันก็ดับพร้อมกัน เสมือนเป็นสิ่งๆเดียวกัน เพราะมันต้องอาศัยกันละกันจึงเกิดได้ครับ ดังนั้นการเห็นจิตว่าเป็นเราจึงไม่ถูก เป็นเพราะมันเข้าไปอาศัยสิ่งที่มันรู้ ทำให้ตัวมันเกิดขึ้น เมื่อมันสัมผัสรู้ถึงสิ่งใด มันจึงรู้ถึงสิ่งนั้น และเมื่อสิ่งนั้นดับ ตัวมันก็ดับไป ผมรู้แค่นี้ครับ แต่ที่แน่ๆคือเป็นจิตนั้นเองที่รู้ไม่ใช่เรา
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อ๋อ อันนี้ของเด็กๆ คนนอกศาสนา ก็เห็นได้

    " ก้อนๆ แข็งๆ " อันนั้น คือ วิบาก ไม่ใช่จิต มันเป็น สิ่งที่เกิดจาก เจตนา
    ถ้า จิตใครยังมีเจตนาเจือ จะเกิด ก้อนแข็งๆ เป็นจุด เป็นต่อม ขึ้นมา เป็น
    "จิตที่ยังคลุกเคล้าด้วยเจตนา"

    ส่วน " สภาพธรรมที่ถูกบีบ มีกรอบ มีเขต " อันนั้น เขาเรียกว่า ตัณหา เป็น
    "จิตที่ยังคลุกเคล้าอยู่กับตัณหา"

    ทั้งสองสภาพธรรม ไม่ใช่ จิตทั้งคู่

    จะเห็น จิตได้ต้อง ตามเห็นความไม่เที่ยงของ สองสภาพธรรมนั้นๆ มัน
    กลับเข้ามารวมตัวกัน เดี๋ยวมันก็แยกจากกัน มันแยกจากกันได้เพราะ
    กำลัง สมถะ ที่เกิดจากการอบรมจิตเป็นเบื้องต้น หากเป็น ตัณหาจริต
    ก็จะเกิด ก้อนแข็งๆ ร่วมด้วยเสมอ แล้วหากแฉลบออกทางกายคตาสติ
    จะไปรู้ร้อน รู้แข็ง รู้อ่อน ตึง ไหว

    หากเป็น พุทธจริต หรือ วิตกจริต จะเห็นแต่ สภาพก้อนที่บีบคั้น ไหว
    ระริกถี่ยิบ แล้วพิจารณาอยู่ตรงนี้

    แต่ไม่ว่าอะไร ยังไม่เรียกว่า เห็นจิต เขาเรียกกัน พื้นๆว่า มีธรรมเอก

    ธรรมเอก นั้น คนนอกศาสนาก็มีได้ อย่าง ไอนสไตล์ นี่ก็เป็นพวกที ธรรมเอก จัดจ้าน

    แต่ เขาเอามาดู ความเจริญ แล้ว เสื่อม ต่อไม่ได้

    พอไม่ได้ยกสิกขาบท ก็เลย รู้ไม่ถึงฐาน ไม่เห็น ฐีติจิต ไม่ถึง ฐีติวิญญาณ

    คนส่วนมาก เห็น ธรรมเอก ก็ ฮานาก้า คิดว่า เห็นนิพพาน จริงๆ จัดเข้า
    เป็นพวก เห็น ฌาณ2 เป็นนิพพาน กิ๊กก๊อกมาก ไร้สาระมาก

    เว้นแต่ จะตามดู การมารวมตัวของมัน เดี่ยวก็เจริญ เดี๋ยวก็เสื่อมๆ ให้มากๆ
    ทำเนืองๆ 7วัน 7เดือ 7ปี พิจารณา เจริญแล้วเสื่อมไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง
    จิตเด่นดวงออกมา มันทิ้งทั้งสอง สภาพธรรมนั้นออก ไม่สำคัญมั่นหมาย
    ว่าเป็นนิพพาน มันจะพรากออกจากขันธ์ สันนติจะเริ่มขาด ให้เห็น

    ต้นจิตคิด จะเริ่มแสดงตัว การภาวนา แท้จริงที่เป็น สิกขาบท พึ่งเริ่ม

    พึ่งเริ่มนะ เพราะว่า ยังไม่ได้มีส่วนไหน ยกเป็น ธรรมานุปัสสนาเลยแม้
    แต่นิดเดียว อริยสจจเนี่ยะ ยังไม่ได้ยกพิจารณาเลยสักกะนิดเดียว
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แล้ว ไอคำพูดว่า " วจีสังขารดับ " เนี่ยะ ความคิดเกิดไม่ได้เนี่ยะ

    หาก ใช้ตรรกศาสตร์มาเรียน อานาปานสติ ก็จะ ละเมอ สำคัญว่าเห็น วจีสังขารดับ
    ละเมอว่า เห็น ความคิดไม่เกิด

    คำว่า แทรกไม่ได้ กับ ไม่เกิด เนี่ยะ มันคนละเรื่อง

    วจีสังขาร จะดับได้ คนที่สดับธรรมะมา ไม่ละทิ้งธรรม ไม่เสียสติ ไม่สูญสิ้น
    สัมปชัญญะ เขาจะพึง สมาทานธรรมบทอยู่ว่า "สัญญาเวทยิตนิโรธนสมาบัติ"
    เท่านั้น ที่จะเป็น ฐานะ ที่กล่าวได้ว่า ความคิดดับ

    ดังนั้น ฌาณ8 เนี่ยะ คิดจนขี้หมู ขี้หมา ขี้ปาก ไหลท่วมสมอง ยังได้เลย
     
  18. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    ^ข้างต้น คุณได้ครับ ที่กล่าวมานั้น มันเป็นการ"รู้สึกตัว" ...คุณปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียนมา คือมีสติกับอิริยาบถ คู้ เหยียด เคลื่อนไหว จิตที่ฝึก ความรู้สึก มันจะเกิดได้เพราะ สัญญา คือฝึกจนมีความเคยชิน ...แล้วสภาวะที่จิตไปจับกับความทุกข์ กลางอก แบบรู้ตัว มันเป็นเรื่องปกติ(ใครๆมันก็รู้ว่า ปวด ว่าแสบ ว่าทุกข์ )แต่เมื่อคุณเคยปฏิบัติ สัญญา ในการขยับเปลี่ยนอิริยาบถมันเกิด พอคุณเปลี่ยนอิริยาบถ มันจึงเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วมันก็เกิดการเห็นตามความเป็นจริง สำหรับคนปฏิบัติอานาปานสติมาอย่างฉลาด เขาแค่หายใจยังไม่สุด ก็รู้สึกตัวได้ และการเห็นทุกข์ เห็นกาย เห็นความคิด เห็นจิต ก็เป็นผลจากการปฏิบัติสมาธิ(ใจตั้งมั่น) เหมือนน้ำใส ก็เห็นตัวปลา ขั้นต่อไปก็พิจารณาปัญญา.
     
  19. อยู่ร่ำไป™

    อยู่ร่ำไป™ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +42
    เข้ามาดู....แรมโบ้
     
  20. ได้คับ

    ได้คับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +106
    คิดสิครับเรื่องบุคคลที่สาม ไม่ใช่เฉพาะสภาวะนี้เท่านั้น
    แม้คนอื่นก็มีบุคคลที่สาม คือ เห็นการเกิดดับ
    แต่เห็นเท่านั้นนะครับ ไม่สามารถสัมผัสได้ว่าสุขหรือทุกข์หรือเฉย
    เพราะสุขทุกข์เฉยๆนั้นไม่เที่ยง ถูกรับรู้ด้วยจิต
    แต่บุคคลที่สามนี้ เห็น การเกิดดับ ของจิตและอารมณ์
    แต่ไม่รู้ว่าเค้าเรียกบุคคลที่สามว่าอะไรเหมือนกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...