ลืมบอกว่าคุณเขากระโดงต้องทำความรู้สึกให้ทั่วทั้งร่างก่อนนะครับ ถามว่าอาการนั้น เป็นอย่างไร พี่ลองสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วลองสังเกตุอาการดูนะครับ จะเป็นความรู้สึกที่อยู่ใต้ผิวหนัง หากยังเป็นแค่จุดใดจุดหนึ่งก็ให้เริ่มจากตรงจุดนั้น แล้วค่อยลองทำความรู้สึกนั้น ให้ค่อยๆแผ่กระจายออกไปจนได้หมดทั้งร่าง จากนั้นจึงจะเริ่มที่เข้า ตรึง แช่ ออก โดยอาจะเปรียบเป็น% ซึ่งความรู้สึกยังเป็นทั้งตัวอยู่เช่นเดิมนะครับ แต่ความหนาแน่นของความรู้สึกจะเปลี่ยนไป ไม่ทราบว่าพอเข้าใจไหมครับ ถ้าไม่เข้าใจรอคุณธรรมชาติดีกว่า อิๆๆๆๆ
เรียน ท่าน watjojoj พฤหัส-เสาร์ นี้ เปิดบ้านสำหรับฝึกครับ ต่างจังหวัดมาได้ มีที่ให้นอนพักด้วย เดี๋ยวบ่ายนี้โทรไปคุยรายละเอียดครับ
ขอบคุณค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแต่ไม่ทั้งหมด แอบอ่านกระทู้ท่านธรรมชาติและท่านอื่นๆบ้าง ลองปฏิบัติตามเวลาที่พยายามจะหาคำตอบให้ตัวเอง ก็ยอมรับว่ายากมากๆ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เพิ่งนึกได้ค่ะว่า การหายใจเข้าลึกๆและทำความรู้สึกทั้งตัว เริ่มที่เข้า ตรึง แช่ ออก ของท่านธรรมชาติแบบนี้จะคล้ายกับหลวงพ่อพุธและหลวงปู่จันทร์ที่เคยสอนข้าพเจ้าไว้ ให้แช่ลมที่หายใจเข้าไปที่ปอด แล้วทำความรู้สึกตามลมไปทั่วร่างกาย และในการเริ่มนั่งสมาธิเกือบทุกครั้งข้าพเจ้าจะใช้วิธีนี้ จะทำให้สมาธิรวมตัวเร็วมาก ขอบอกเพิ่มเติมว่าณ ตอนนั้นในความนิ่ง เงียบนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้สึกในลมหายใจแล้ว ไม่รู้สึกในการมีร่างกายสังขาร ที่ยังรู้สึกระลึกรู้คือจิตที่อยู่ที่นั้นในความนิ่ง ว่าง เงียบ แต่จะลองพยายามทำตามที่คุณ watjojo แนะนำค่ะ
อันนั้นผมไม่มั่นใจนะครับว่าพี่ติดอยู่ที่อรูปไหม ซึ่งจริงๆแล้วพี่ไม่ควรไปค้างที่อาการนั้น เพราะว่าสุดท้ายจะกลายเป็นพรหมลูกฟักไป หรือว่าผมเข้าใจผิดหนอ รอใครมาให้ความกระจ่างอีกซักทีครับ
ของคุณ เขากระโดง ขออนุญาติถามด้วยคนค่ะ เมื่อวันก่อนๆหลังจากอ่านกระทู้ของท่านธรรมชาติแล้ว ในตอนกลางคืนลองนั่งสมาธิได้สักพักก็ได้ยินเสียงคลื่นความถี่สูงเช่นกัน ก็มีสติระลึกรู้ พอสักพักความรู้สึกเหมือนตัวเราหลุดไปอยู่อีกที่หนึ่ง โล่งๆ ว่างเปล่า มืดเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดอยู่รอบๆตัวเรา เคยรู้สึกเช่นนี้มาหลายครั้งแล้วครั้งแรกที่เจอก็งงๆ พยายามมองหาใครก็ไม่มี พยายามจะดูว่าเราจะมีนิวรณ์ก็ไม่มี เงียบทุกอย่างไปหมด พอวันหลังอ่านกระทู้ท่านธรรมชาติก็พยายามนิ่ง ตรึง แช่อยู่กับความรู้สึก ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ออกจากสมาธิ แต่ในช่วงหลังรู้สึกว่าจะทำสมาธิได้นานขึ้น ความรู้สึกในความนิ่ง เงียบเราไม่สนใจก็มีสติระลึกรู้ไปเรื่อยๆ ถ้าเปรียบเทียบความรู้สึกตอนนั้นเหมือนเราเป็นคนมองไม่เห็นและกำลังเดินไปในความมืด เราก็เดินไปเรื่อยๆเพื่อให้ถึงปลายทางซึ่งเราไม่สามารถรู้ว่าจะไปที่ไหน พยายามอ่านในหลายกระทู้ก็ไม่มีท่านใดเจอเหมือนข้าพเจ้า ขอให้ท่านธรรมชาติช่วยชี้แนะด้วยค่ะว่าข้าพเจ้าควรจะผ่านจุดนี้ไปอย่างไร ขอบคุณค่ะ +++ ตอนที่คุณ เขากระโดง เข้าไปอยู่ในความ นิ่ง เงียบ มีสติระลึกรู้ไปเรื่อยๆ เปรียบเหมือนเราเป็นคนมองไม่เห็นและกำลังเดินไปในความมืด เราก็เดินไปเรื่อยๆเพื่อให้ถึงปลายทางซึ่งเราไม่สามารถรู้ว่าจะไปที่ไหน นั้น +++ ในขณะนั้นเป็นสภาวะ ไร้นิวรณ์ และอยู่ในรอยต่อระหว่าง สมถะ กับ วิปัสสนา ที่เรียกว่า จิตอ่อนควรแก่การงาน +++ หากจะฝึกทางภาคสมถะ ก็ให้ "อยู่" ในรอยต่อนั้น จนกว่าอาการ "พอใจ อิ่มใจ เพลิดเพลินจำเริญใจ ว่าเราอยู่อย่างนี้ก็อยู่ได้ ไม่มีทุกข์อะไร" แล้วก็อยู่ในอาการนั้น ซึ่งเป็นอาการของ "ปิติ ในฌาน 2" จนกว่ามันจะพัฒนาไปเป็น "โล่ง โปร่ง เบา สบาย ใสเหมือนแก้ว" ซึ่งเป็นอาการของ "สุข ในฌาน 3" จนกว่ามันจะพัฒนามาเป็น "เฉยสนิท อุเบกขา ในฌาน 4" +++ หากจะฝึกทางภาควิปัสนา ก็ให้ถอนจิตออกสู่ปกติ แล้วเข้าไปให้ถึงอาการนั้นใหม่ แต่คอย จับสังเกตุ อาการเคลื่อนเข้า-ออก หรือ วูปเข้า-ออก จากการกำหนดจิต ซึ่งคล้ายกับอาการของ "สนามพลัง" ที่เคลื่อนตัวเข้ามาในยามที่กำหนดจิตเข้าสู่ ความรู้สึกตัว และอาการของสนามพลังที่ วูปแผ่ออกไป ในยามที่เร่งความรู้สึกตัว ต่าง ๆ จากนั้นจึงค่อย ๆ ศึกษาสังเกตุ "การกำหนดจิต และ ผลลัพธ์ของมัน" ซึ่งเป็น กฏเกณฑ์ (กฏ) แห่ง การทำงาน (กรรม) ทางจิต หรือ กฏแห่งกรรม เมื่อเข้าใจแล้ว จึงค่อย ๆ ฝึกจนกว่าจะออกพ้นจากกฏและขันธ์ ต่าง ๆ เหล่านี้นะครับ ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ขอบคุณค่ะ พอจะเข้าใจบ้างแต่ไม่ทั้งหมด แอบอ่านกระทู้ท่านธรรมชาติและท่านอื่นๆบ้าง ลองปฏิบัติตามเวลาที่พยายามจะหาคำตอบให้ตัวเอง ก็ยอมรับว่ายากมากๆ ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร +++ ทั้งหมด เริ่มต้นที่ "ความรู้สึกทั่วทั้งตัว" หรือเรียกว่า "รู้สึกตัวทั่วพร้อม" นะครับ หาก "ทำ" ตรงนี้ไม่ได้ ก็จะหมดโอกาสที่จะเข้าใจได้ เพราะภาษาที่ผมใช้นี้ "เป็นภาษาของการปฏิบัติ" และผู้ที่ปฏิบัติจนอาการเกิดขึ้นแล้ว "จึงอ่านและเข้าใจ รวมทั้งการต่อยอดได้" เพิ่งนึกได้ค่ะว่า การหายใจเข้าลึกๆและทำความรู้สึกทั้งตัว เริ่มที่เข้า ตรึง แช่ ออก ของท่านธรรมชาติแบบนี้จะคล้ายกับหลวงพ่อพุธและหลวงปู่จันทร์ที่เคยสอนข้าพเจ้าไว้ ให้แช่ลมที่หายใจเข้าไปที่ปอด แล้วทำความรู้สึกตามลมไปทั่วร่างกาย และในการเริ่มนั่งสมาธิเกือบทุกครั้งข้าพเจ้าจะใช้วิธีนี้ จะทำให้สมาธิรวมตัวเร็วมาก +++ ถูกต้องแล้วครับ พอเริ่มคุ้นเคยกับอาการแล้ว "ให้ใช้จิต" กำหนดให้เกิดความรู้สึกนี้ ขึ้นมาตรง ๆ โดยไม่ต้องใช้ลมหายใจมาเป็นอุปกรณ์ในการช่วยฝึกแต่อย่างใดอีก เมื่อชำนาญแล้ว ก็จะสามารถกำหนดจิตให้เข้าสู่ สภาวะที่พ้นนิวรณ์นี้ได้ภายใน 1 วาระจิตเท่านั้น ขอบอกเพิ่มเติมว่าณ ตอนนั้นในความนิ่ง เงียบนั้น ข้าพเจ้าไม่รู้สึกในลมหายใจแล้ว ไม่รู้สึกในการมีร่างกายสังขาร ที่ยังรู้สึกระลึกรู้คือจิตที่อยู่ที่นั้นในความนิ่ง ว่าง เงียบ แต่จะลองพยายามทำตามที่คุณ watjojo แนะนำค่ะ +++ ในขณะที่ วางลมหายใจและร่างกาย จนไม่ปรากฏ ในขณะนั้น "ตกเข้าสู่อรูปสมาบัติ เรียบร้อยแล้ว" ในภาษาของผมคือ "ตัวดูจางคลาย กลายสภาวะเป็น อรูปธรรมารมณ์ ชนิดหนึ่ง" หากไม่มีการต่อยอดจนเข้าถึงชั้น "จิตเปล่งรังสี" แล้ว ไม่นานอาการ "ขี้ลืม หรือ วางความจำ" ก็จะเริ่มเกิดขึ้น ทุกอย่างเหมือน "การละวางปล่อยวาง" ทั้งหมด แต่มันจะไปวางที่ "สัญญา" ไม่ได้วางที่ "ขันธ์" จึงกลายไปเป็น "อสัญญีภูมิ" หรือเรียกกันเล่น ๆ ว่า "โลกียะนิพพาน" แต่ห้ามอธิษฐานขอสภาวะนี้อย่างเด็ดขาด เพราะมันเป็น "ภูมิแห่งความจำเสื่อม" มีขันธ์เดียว แบบพรหมทุกประการ และอยู่ใน อัปปนาสมาธิ ที่พ้นไปจาก กามาวจรภูมิ อีกด้วย +++ หากคุณ เขากระโดง อาศัยหรือทำงาน อยู่ในเขต กรุงเทพ-นนท์-ปทุม หากต้องการฝึกในภาคบ่าย หรือ ช่วงหัวคำ ก็ให้ติดต่อสอบถาม pm ในรายละเอียดกับคุณ อินทรบุตร ได้นะครับ =================================================================== ของคุณ จิตวิญญาณ เวลานี้เริ่มจะเข้าใจความสอดคล้องกันระหว่างภพภูมิกับกายละเอียดมากขึ้นแล้วค่ะ การจะปิดอบายเพื่อให้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องรู้และเข้าใจเรื่องภพภูมิให้แจ้งก่อนใช่ไหมคะ? +++ เรื่องภพภูมิ มีความสัมพัธ์โดยตรงกับสิ่งที่เรียกว่า "กาย" กายในมหาสติปัฏฐาน 4 มี กายหยาบของมนุษย์ กายพลังงานแห่งเวทนา กายเนรมิตแห่งจิต และ กายพลังจิตแห่งธรรมารมณ์ ทั้งหมดนี้เป็น "กาย" +++ "ภูมิ" คือ ธรรมารมณ์ ส่วน "ภพ" คือ สัญญา+สังขาร หรือ ความจำ+ความคิด รวมทั้งสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ที่ออกมาเป็น "ความเห็น" นั่นเอง +++ อบายภูมิ (ธรรมารมณ์) ทำให้ ปรุงแต่งเป็น ทุขคติ (กายจิตปรุงทุกข์) ก่อให้เกิด ทุกข์เวทนา (กายพลังงาน) ตรงนี้เป็น ขันธ์ 4 ส่วนกายพลังงาน จะค่อย ๆ แปรเปลี่ยน กายหยาบแห่งมนุษย์ ให้เป็นไปตาม กายเวทนาอีกที ตรงนี้เป็นของ ขันธ์ 5 +++ การจะปิดอบายเพื่อให้ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องรู้และเข้าใจเรื่อง "กาย" ให้แจ้งก่อน นะครับ เพราะว่า "กาย" เป็นผู้ที่ต้อง ท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่าง ๆ ตามยถากรรมและบารมี +++ คำว่า "กาย" ในโพสท์นี้หมายถึง "ตัวดู" หรือสิ่งที่เรียกกันว่า "วิญญาณขันธ์" ในหมวดของ ขันธ์ 5 นั่นเองครับ และใช้ อธิบาย ในจุดนี้เท่านั้น อย่าเอาไปปนกับจุดอื่น นะครับ +++ หากคุณ จิตวิญญาณ "หรือผู้ที่สนใจท่านอื่น" สะดวกตามตารางเวลาของคุณ อินทรบุตร และสามารถเดินทางมาร่วมได้ ก็ให้ PM ถามรายละเอียดกับคุณ อินทรบุตร ได้โดยตรงนะครับ
ขอบคุณมากค่ะที่ยังนึกถึง สงสัยจะไปไม่ได้อีกตามเคยค่ะ เพราะบ่ายวันศุกร์นี้มีภาระกิจเร่งด่วนต้องทำน่ะค่ะ ยังไงก็ลุ้นให้คุณเขากระโดงไปให้ได้นะคะ
ขอบคุณเช่นกันค่ะ คงจะลุ้นไม่ขึ้นค่ะ อยู่ตจว.จะเข้ากทม.ประมาณเดือนละครั้งค่ะ และสัปดาห์นี้ต้องขึ้นเขาคิชกูฏกับครอบครัว และการฝึกสมาธิของข้าพเจ้าในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ตั้งใจฝึกและรู้รายละเอียดการพิจารณาเท่าไร เป็นการฝึกที่เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วจิตเคลื่อนเข้าสู่แต่ละฌานเอง ตอนแรกข้าพเจ้าคิดว่าเป็นตกภวังค์ แต่พอท่านธรรมชาติพูดถึงสนามพลังจะคล้ายๆแบบนั้น แต่จิตจะละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากต้องอธิบายรายละเอียดทั้งหมดเหมือนคุณจิตวิญญาณและ watjojo ก็จะไม่สามารถจะอธิบายได้ หากมีเวลาข้าพเจ้าจะมาเล่าการปฏิบัติของข้าพเจ้าในช่วงที่ผ่านมาอีกครั้ง
ในช่วงเข้าพรรษาปี2535 ข้าพเจ้าได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมในทุกวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่วัดวะภูแก้ว โดยมีหลวงพ่อพุธและหลวงปู่จันทร์สอนวิธีปฏิบัติกรรมฐานให้ จะมีรายละเอียดการฝึกเพิ่มเติมจากที่เล่าก่อนหน้านี้เล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็กลับไปฝึกปฏิบัติต่อที่บ้าน แต่ไม่เคยสังเกตในขณะปฏิบัติว่ามีรายละเอียดอะไรบ้าง เพราะสมาธิจะรวมตัวเร็วมาก และเคลื่อนตัวเข้าสู่ความรู้สึกวิตก วิจารณ์ ปิติ ประมาณ 2 ครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่รู้สึกในลมหายใจและร่างกายก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร ครั้งหลังสุดพบว่าจิตเคลื่อนตัวไปอยู่ในที่โล่ง ว่าง สว่าง เบา สบาย เป็นเช่นนี้มาเรื่อยๆ จนกระทั่งต้นปีนี้ได้มีโอกาสพบครูบาอาจารย์ในเวปพลังจิตท่านเมตตาสอนมโนมิทธิให้ และอีกท่านสอนให้เพ่งมโนทวาร แต่ข้าพเจ้าชอบมโนมยิทธิเพราะได้มีโอกาสไปกราบพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ทุกท่าน ได้เพ่งองค์พระและพิจารณากายสังขาร พิจารณาอากาส วิญญาณ อากิญจา และเนวสัญญา หลังจากนั้นก็นั่งสมาธิทุกวัน แต่ขอยอมรับว่าไม่ได้ปฏิบัติสมาธิเต็มที่และไม่ได้พิจารณาความรู้สึกเหมือนท่านธรรมชาติอธิบาย หากเมื่อใดที่ปฏิบัติสมาธิเต็มที่จะรู้สึกเหมือนมีสนามพลังแล้วความรู้สึกและจิตเราเคลื่อนไปอยู่ในความนิ่ง ว่าง สงบ ไม่มีลมหายใจและร่างกาย ไม่มีนิวรณ์นั้น หากปฏิบัติสมาธินานๆความรู้สึกจะเคลื่อนไปเรื่อยๆ เหมือนเรากำลังเดินไปข้างหน้าช้าๆ สำหรับความรู้สึกในส่วนอื่นๆจะไม่ค่อยรู้ อาจจะเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ศึกษาตามครูบาอาจารย์ท่านชี้แนะให้เต็มที่ ต้องขอเวลาซักระยะเพื่อพิจารณารายละเอียดดังกล่าวและจะมาขอคำแนะนำอีกครั้งค่ะ แต่หากท่านธรรมชาติมีคำชี้แนะเพิ่มเติม ขอขอบคุณค่ะ หากมีสิ่งใดผิดพลาดหรือไม่เหมาะสมประการใด กราบขอขมาพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ทุกท่าน มา ณ ที่นี่
อิๆๆๆ อย่าเอาผมไปเปรียบกับคุณจิตวิญญาณเลยครับ เขิล ขนาดผมเองได้มีโอกาสเรียนกับคุณธรรมชาติโดยตรงยังไปไม่ถึงไหนซะที ยังต้องฝึกอีกมากครับ มีเรื่องเล่าเล่นๆให้ฟังอีกนะครับ คือว่าทางก่อนเข้าห้องที่เช่าจะมีศาลอยู่ ผมก็ขับผ่านเป็นประจำ ไม่มีอะไร วันนึงนึกสนุกอยากจะรู้ว่าที่อยู่ในศาลนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ลืมเล่าว่าวันนั้นดึกมากแล้วนะครับ พอขับรถมาใกล้ศาลนั้น จึงกำหนดจิตถามดู ก็ปรากฎเป็นผู้หญิงมานั่งอยู่เบาะข้างๆ แว๊บหนึ่ง ก็เลยอ้อ สงสัยจะผู้หญิงนิ วันรุ่งขึ้นจึงขับรถผ่านมาดู พอใกล้ๆศาลนั้น เลยชลอรถดูก็เห็นเป็นเสื้อผ้าของผู้หญิง เลยมั่นใจว่าที่เห็นนั้นไม่พลาดแน่นอน เลยทำการอุทิศบุญกุศลไปครับ
เขียนเกี่ยวกับการฝึกเดินจงกลมแบบลงทั้งเท้าพร้อมกันตามที่คุณธรรมชาติได้สอนมาบ้างนะครับ ซึ่งในขณะที่ฝึกทุกครั้งนั้น ผมเองจะมีเหตุการณ์เป็นแบบที่ว่าจิตจะออกจากร่างอยู่เสมอ แต่เป็นการออกเพียงครึ่งเดียวตลอด จะมีอาการวูบๆอยู่เสมอ แต่ไม่เคยออกแบบเต็มตัวเลยซักครั้ง (โดยเจตนานะครับ) น่าเสียดายที่สถานที่ในการฝึกจะไม่สะดวกในการเดินจงกลมซักเท่าไหร่ เลยฝึกไปไม่ได้ถึงไหนเลยครับ
ดิฉันก็ยังไปไม่ถึงไหนเหมือนกันค่ะ ยังถูๆไถๆอยู่เลย ยังต้องฝึกอีกมากเหมือนกันค่ะ ตอนนี้เปรียบเหมือนเด็กเพิ่งเริ่มตั้งไข่ เดินล้มลุกคลุกคลาน บางทีนั่งนึกถึงสภาพความเป็นจริง หลวงปู่พระธุดงษ์ที่ท่านธุดงษ์และฝึกอยู่ตามป่าเขา มีวิริยะอุตสาหะ ใช้เวลาเป็นสิบๆปีกว่าจะหลุดพ้นสำเร็จ ส่วนคนธรรมดาสามัญอย่างเรา หลง ค่ะ ฝึกอยู่บ้านหรืออยู่วัด แค่ไม่กี่วันกี่เดือน ได้อะไรนิดๆหน่อยๆก็คิดว่าตัวเองสำเร็จแล้ว เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย ความเป็นจริงตรงนี้เป็นสิ่งที่เตือนใจดิฉันได้ดีมากๆเลยค่ะ ปล. ช่วงฝึกเดินจงกรม บางครั้งจะมีอาการคล้ายคุณwatjojoj เลยค่ะ จะวูบเพียงแค่เสี้ยววินาที เหมือนจิตจะออกจากร่าง แต่ไม่ออก บางครั้งเหมือนไฟช็อต เวลาเข้านอน หลับก็เหมือนไม่หลับ อาการจะรู้สึกเบาเหมือนไม่มีร่างกาย แต่พอได้ยินเสียงอะไรมากระทบ จะมีอาการเหมือนไฟช็อตแล้วกระแสพลังวิ่งจากหน้าผากกระจายไปทั่วร่างกาย หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวน่ะค่ะ อาการนี้เป็นทุกครั้งที่สวดมนต์นานๆหรือเดินจงกรมน่ะค่ะ
อาการจิตออกเป็นวูบ ๆ เหมือนจิตจะออกจากร่าง +++ 1. ให้ทบทวนอาการของตัวดู ในเวลาที่ทำ teleportation ก่อน ให้ทำ teleport ซ้ำ ๆ อีกสัก 2-3 ครั้ง +++ 2. ออกมาที่ฐาน 0% ถอนจิตเหมือนปกติเหมือนไม่ได้ฝึกอะไร และรอจน ธรรมารมณ์ รวบตัวเป็นตัวดู +++ 3. ขยายตัวดูให้เต็มร่าง จนกลายตัวเป็นกายเวทนา +++ 4. ใช้จิตเคลื่อนร่างที่เคยฝึกมาแล้ว "โยกที่กายเวทนา" ออกไปทาง ซ้าย-ขวา หรือ หน้า-หลัง ก็ได้ +++ 5. หากชำนาญแล้ว อาการจิตออกเป็นวูบ ๆ เหมือนจิตจะออกจากร่าง ย่อมปรากฏขึ้นได้ กายเวทนา คือตัวดู ในยามที่มันหดฐาน ตัวดู คือกายเวทนา ในยามที่มันขยายฐาน คำตอบคือ มันคือกายเวทนา ที่จะทำงานแบบตัวดู ในระดับไปทั้งฐาน สิ่งที่ต้องระวังคือ "ห้ามใช้มโนภาพโดยเด็ดขาด" "ให้อยู่ในระยะที่สายตามองเห็นตามความเป็นจริงที่ใกล้ตัวเท่านั้น ห้ามมองไกล" "พกกระเป๋าตังและบัตรประชาชนติดตัวตลอดเวลาที่ทำการฝึกในหมวดนี้" "ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ ห้ามตกอยู่ในความประมาท" คงเป็นที่พอเข้าใจได้นะครับ
งั้นคงต้องฝึกแบบมีคนคอยเฝ้าหน่อยนะครับ เดี๋ยวอยู่ล้มทั้งยืน รถเหยียบซ้ำคงกลายเป็นผีเร่ร่อน ซวยเลยทีนี้ 55555 ปล.ครับ ขั้นตอนนี้ไม่แน่ใจว่าคุณจิตวิญญาณจะทำตามได้ไหม ถ้าไม่เข้าใจก็เขียนเข้ามาถามได้นะครับ แต่ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้จะอธิบายยังไง รอคุณธรรมชาติดีกว่า อิๆๆๆๆๆๆ
ขอเล่าเพิมเติมค่ะ ได้อ่านกระทู้ท่านอินทรบุตรที่พูดเรื่องไม่ให้ยึดติดความว่าง รู้สึกเข้าใจค่ะ คือเมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิและปฏิบัติกรรมฐานในช่วงแรกๆที่ความรู้สึกเคลื่อนเข้าไปอยู่ในความนิ่ง เบา โล่ง จิตจะรู้สึกว่าสุขมาก เบา ว่างไม่หนักไม่มีภาระ ไม่มีนิวรณ์ อยากอยู่ตรงนี้นานๆไม่อยากออกมาต้องเจอกับโลกความเป็นจริงที่วุ่นวายน่าเบื่อ อย่างนี้เค้าเรียกว่าติดสุข ติดอรูปฌานใช่มั้ยค่ะ พอวันหลังข้าพเจ้ามาทบทวนตัวเองว่าข้าพเจ้าเกิดวามรู้สึกใดบ้างในระหว่างที่ปฏิบัติ ก็เข้าใจความรู้สึกดังกล่าว ก็เลยถามตัวเองว่าแล้วเราปรารถนาความสุข ความว่าง โล่ง นิ่งเช่นนี้หรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้ปรารถนาและปรารถนาสิ่งเดียวคือนิพพาน เกิดความรู้สึกบอกตัวเองว่าสิ่งที่ยากและละเอียดที่สุดของที่สุด คือการวางความสุขที่เกิดในอารมณ์สมาธิ จะเป็นกิเลสตัวสุดท้าย เพราะเป็นความสุขสุดยอดหาสิ่งใดเทียบไม่ได้ หากเราสามารถวางลงได้เราก็จะไม่เหลือกิเลสใดๆในใจ หรือเหลือน้อยเต็มที่ เมื่อปฏิบัติสมาธิครั้งต่อๆไป ข้าพเจ้าจะพิจารณาตนเองก่อนเริ่มปฏิบัติว่า ความรู้สึกใดๆและความสุขที่จะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติข้าพเจ้าไม่ปรารถนา ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างเดียวคือนิพพาน เมื่อเจอความนิ่ง ความรู้สึกต่างๆและความสุข ข้าพเจ้าจะพยายามประคองความรู้สึกหรือจิตไม่ให้เข้าไปยึดติดและไม่ปรารถนา ตอนนี้ความรู้สึกว่าสุขนั้นไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นความรู้สึกปรารถนานิพพานอย่างเดียวที่เหลืออยู่ใน อารมณ์สมาธินั้น ข้าพเจ้าก็กลัวว่าจะเป็นนิพพานหลอกเหมือนหลายๆคนบอกไว้ เมื่อคืนข้าพเจ้าได้ปฏิบัติสมาธิเช่นเคย แต่รู้สึกไม่ค่อยสบายและมีปัญหาสุขภาพ ก็เลยกราบพระและนอนกำหนดลมหายใจ แต่สมาธิไม่สามารถรวมตัว วางนิวรณ์ไม่ได้และก็นอนไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เลยต้องกำหนดองค์พระและฝึกมโนมยิทธิ และไปกราบพระพุทธเจ้า พระปัจเจก พระโพธิสัตย์ พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ กลับมากำหนดลมหายใจในระหว่างนั้นก็คิดถึงสิ่งที่ท่านธรรมชาติพูดถึงว่าต้องทำความรู้สึกให้ทั่วทั้งกาย ต้องรู้สึกสิ่งนี้แล้วจะเข้าใจสิ่งที่ท่านธรรมชาติพูดถึง สักพักในช่วงที่หายใจออกก็มีความรู้สึกบางอย่างอธิบายไม่ถูก (ละเอียดขึ้น) พอหายใจเข้าความรู้สึกเหมือนว่ามีกระแสหรือประจุวิ่งไปที่ผิวหนังของแขนทั้งสองข้าง รู้สึกซ่าๆ ก็เลยนึกได้ว่าให้ลองทำความรู้สึกไปทั้งร่าง ความรู้สึกก็ไปที่ขาทั้งสองข้าง และรู้สึกว่าเรื่อยๆถึงช่วงคอ ในช่องท้องก็มีความรู้สึกซ่าวิ่งอยู่ข้างใน ก็รู้สึกเช่นนี้เรื่อยๆ และก็เลยหยุดปฏิบัติสมาธิและเข้านอนหลับอย่างสบาย ข้าพเจ้ามีความแปลกใจในความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติทั้ง 2 วิธี ไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าวางอารมณ์ได้ถูกต้องหรือเปล่า และเป็นความรู้สึกจินตนาการของข้าพเจ้าสร้างขึ้นหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือศีล ข้าพเจ้าจะรักษาศีลและกรรมบทได้ดีขึ้น เริ่มบริสุทธิ์ไปด้วยตัวเอง ในช่วงกลางวันก็เริ่มรู้ทันจิตมากขึ้นเริ่มวางอารมณ์ลงได้มากขึ้น ปล. ข้าพเจ้ากราบขอขมาพระรัตนตรัยและครูบาอาจารย์ทุกท่าน หากมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกิน ขออโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วยเทอญ
ขอเล่าเพิมเติมค่ะ ได้อ่านกระทู้ท่านอินทรบุตรที่พูดเรื่องไม่ให้ยึดติดความว่าง รู้สึกเข้าใจค่ะ คือเมื่อข้าพเจ้าฝึกมโนมยิทธิและปฏิบัติกรรมฐานในช่วงแรกๆที่ความรู้สึกเคลื่อนเข้าไปอยู่ในความนิ่ง เบา โล่ง จิตจะรู้สึกว่าสุขมาก เบา ว่างไม่หนักไม่มีภาระ ไม่มีนิวรณ์ อยากอยู่ตรงนี้นานๆไม่อยากออกมาต้องเจอกับโลกความเป็นจริงที่วุ่นวายน่าเบื่อ อย่างนี้เค้าเรียกว่าติดสุข ติดอรูปฌานใช่มั้ยค่ะ +++ ไม่ว่าจะเรียกว่าติดอะไรก็ตาม ผลลัพธ์คือ ไม่อยู่ศึกษากับความเป็นจริงทางจิต และเป็นการหนีโลกชนิดหนึ่ง พอวันหลังข้าพเจ้ามาทบทวนตัวเองว่าข้าพเจ้าเกิดวามรู้สึกใดบ้างในระหว่างที่ปฏิบัติ ก็เข้าใจความรู้สึกดังกล่าว ก็เลยถามตัวเองว่าแล้วเราปรารถนาความสุข ความว่าง โล่ง นิ่งเช่นนี้หรือไม่ ข้าพเจ้าไม่ได้ปรารถนาและปรารถนาสิ่งเดียวคือนิพพาน เกิดความรู้สึกบอกตัวเองว่าสิ่งที่ยากและละเอียดที่สุดของที่สุด คือการวางความสุขที่เกิดในอารมณ์สมาธิ จะเป็นกิเลสตัวสุดท้าย เพราะเป็นความสุขสุดยอดหาสิ่งใดเทียบไม่ได้ หากเราสามารถวางลงได้เราก็จะไม่เหลือกิเลสใดๆในใจ หรือเหลือน้อยเต็มที่ เมื่อปฏิบัติสมาธิครั้งต่อๆไป ข้าพเจ้าจะพิจารณาตนเองก่อนเริ่มปฏิบัติว่า ความรู้สึกใดๆและความสุขที่จะเกิดขึ้นในระหว่างปฏิบัติข้าพเจ้าไม่ปรารถนา ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างเดียวคือนิพพาน เมื่อเจอความนิ่ง ความรู้สึกต่างๆและความสุข ข้าพเจ้าจะพยายามประคองความรู้สึกหรือจิตไม่ให้เข้าไปยึดติดและไม่ปรารถนา ตอนนี้ความรู้สึกว่าสุขนั้นไม่เกิดขึ้นแล้ว แต่เป็นความรู้สึกปรารถนานิพพานอย่างเดียวที่เหลืออยู่ใน อารมณ์สมาธินั้น ข้าพเจ้าก็กลัวว่าจะเป็นนิพพานหลอกเหมือนหลายๆคนบอกไว้ +++ วิธีที่จะไม่ทำให้ติดอารมณ์ในสมาธิ และมีประโยชน์อย่างยิ่งในการศึกษาอารมณ์ในสมาธิ ทั้งในระดับ รูป และ อรูป คือ วสี 5 ประการดังนี้ 1. เข้าสมาธิได้ดังใจ 2. ปรับจิตเข้าสมาธิในชั้นละเอียดได้ดังใจ 3. ปรับจิตเข้าสมาธิในชั้นหยาบกว่าได้ดังใจ 4. อยู่ในสมาธิได้ดังใจ 5. ออกจากสมาธิได้ดังใจ +++ ผู้ที่ได้ วสี 5 จะเป็น นายแห่งสมาธิ ไม่ต้องมีการร้องขออาการใด ๆ จากสมาธิ เพราะสามารถทำเอาเองได้ และจะไม่มีการหลงสมาธิอย่างแน่นอน เมื่อคืนข้าพเจ้าได้ปฏิบัติสมาธิเช่นเคย แต่รู้สึกไม่ค่อยสบายและมีปัญหาสุขภาพ ก็เลยกราบพระและนอนกำหนดลมหายใจ แต่สมาธิไม่สามารถรวมตัว วางนิวรณ์ไม่ได้และก็นอนไม่ได้ ข้าพเจ้าก็เลยต้องกำหนดองค์พระและฝึกมโนมยิทธิ และไปกราบพระพุทธเจ้า พระปัจเจก พระโพธิสัตย์ พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ ฯลฯ กลับมากำหนดลมหายใจในระหว่างนั้นก็คิดถึงสิ่งที่ท่านธรรมชาติพูดถึงว่าต้องทำความรู้สึกให้ทั่วทั้งกาย ต้องรู้สึกสิ่งนี้แล้วจะเข้าใจสิ่งที่ท่านธรรมชาติพูดถึง สักพักในช่วงที่หายใจออกก็มีความรู้สึกบางอย่างอธิบายไม่ถูก (ละเอียดขึ้น) พอหายใจเข้าความรู้สึกเหมือนว่ามีกระแสหรือประจุวิ่งไปที่ผิวหนังของแขนทั้งสองข้าง รู้สึกซ่าๆ ก็เลยนึกได้ว่าให้ลองทำความรู้สึกไปทั้งร่าง ความรู้สึกก็ไปที่ขาทั้งสองข้าง และรู้สึกว่าเรื่อยๆถึงช่วงคอ ในช่องท้องก็มีความรู้สึกซ่าวิ่งอยู่ข้างใน ก็รู้สึกเช่นนี้เรื่อยๆ และก็เลยหยุดปฏิบัติสมาธิและเข้านอนหลับอย่างสบาย ข้าพเจ้ามีความแปลกใจในความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติทั้ง 2 วิธี ไม่แน่ใจว่าข้าพเจ้าวางอารมณ์ได้ถูกต้องหรือเปล่า และเป็นความรู้สึกจินตนาการของข้าพเจ้าสร้างขึ้นหรือไม่ +++ สิ่งหนึ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในขณะที่ ความรู้สึกครองได้เต็มร่างคือ "รู้สภาวะแห่ง ตน ชัดเจน ไม่มีอะไรเคลือบแฝงได้" และสามารถรู้ได้ชัดว่า "อะไรคือ จินตนาการ และอะไรไม่ใช่" ดังนั้น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในขณะนั้น เราจะรู้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร และความหลงไม่อาจเกิดขึ้นได้ในขณะนั้น ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดคือศีล ข้าพเจ้าจะรักษาศีลและกรรมบทได้ดีขึ้น เริ่มบริสุทธิ์ไปด้วยตัวเอง ในช่วงกลางวันก็เริ่มรู้ทันจิตมากขึ้นเริ่มวางอารมณ์ลงได้มากขึ้น +++ นั่นคือผลลัพธ์ที่เกิดจาก การปฏิบัติที่ถูกทาง นะครับ
ในช่วงแรกอย่างที่บอกค่ะ เมื่อได้เรียนรู้อารมณ์สมาธิ และการวางนิวรณ์ได้ในอรูปฌาน อยากให้ตนเองทรงสมาธิและฌานบ่อยๆนานๆ แต่ตอนนั้นจิตและปัญญายังรู้ไม่เท่าทัน ในตอนกลางวันทำงานก็พยายามทำสมาธิไปด้วย เมื่อกำหนดจิตปุ๊ปจิตจะไหลไปติดที่อรูปฌาน ความนิ่ง ว่าง ไม่คิดอะไร ไม่อยากทำอะไร ก็แปลกตัวเองว่าทำงานไม่ค่อยได้ช้ามากๆ คิดอะไรไม่ออก จะอยู่ในความว่างไปเรื่อยๆ (เข้าใจที่ท่านธรรมชาติบอกว่าจิตติดว่าง ลืมสัญญาลืมนาม แต่ไม่ลืมขันธ์ ถ้าตายตอนนี้เป็นพรหมรูปฟัก ไปนอนแช่อิ่มที่ชั้นพรหม) เคยลองทำสมาธิในขณะขับรถ บางครั้งความรู้สึกจะปิดและง่วงทันทีทันใด หรือบางครั้งความรู้สึกจะว่างๆ ลอยๆ ไม่รู้สึกการบังคับรถ จะมีปัญหามากในการเหยียบเบรคในช่วงกระทันหัน ทั้งที่จิตเป็นสมาธิและมีความนิ่งอย่างมาก ไม่น่าเป็นความเผลอของจิตและสมาธิ อ่านในเวปมีบางท่านบอกว่าความรู้สึกหายไปทั้งร่างกายและจิตของตนเอง ต้องหาครูบาอาจารย์ช่วยแก้กรรมฐานจึงหาย เคยเรียนถามพี่ๆ ครูบาอาจารย์หลายๆท่าน ก็เตือนว่าให้ระวังอย่างที่บอกและบางท่านก็ไม่เจอประสบการณ์แบบนี้ ดังนั้นเมื่อคุยกันไปจึงทำให้มีความเห็นต่าง ต้องคุยกับเฉพาะคนที่เคยเจอเหมือนกันจึงจะเข้าใจความรู้สึกกัน ช่วงหลังๆข้าพเจ้าจะทำสมาธิเฉพาะช่วงกลางคืนและว่างเท่านั้น เพราะกลัวจิตเกาะว่างตลอดเวลาเหมือนกัน ช่วงที่ทำก็ต้องระวังและมีสติรู้ทันจิตตลอดเวลา ตอนนี้ก็ยังติดที่ความว่าง นิ่งแต่มีอารมณ์นิพพานเกาะติด ยังไม่ไปไหน ไม่มีความรู้สึก
เรื่องอภิญญานั้น ในการฝึกมหาสตินั้น มันมีของมันอยู่แล้วครับ ลองอ่านหนังสือ ประวัติของพระสายพระป่าท่านจอมอภิญญากันแทบทุกองค์ (ไม่งั้นคงอยู่ในป่า ลำบาก) เพียงแต่ท่านไม่ได้บอกออกมาแบบหลวงพ่อฤาษีท่าน(น่าจะมีท่าน องค์เดียวเลยมั้งครับที่กล้าสอนอภิญญาแบบไม่ปิดบัง หากผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้าขอกราบขออภัยต่ิอพระรัตนตรัยด้วยครับ บางคำพูดมันอาจจะสื่อไม่ตรง กับที่จะเขียน ) เรื่องของอภิญญานั้น ที่ผมประสบมามันเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการไปสู่พระ นิพพานก็ว่าได้นะครับ บางคนอาจจะใช้หรือไม่ใช้ก็ไม่น่าจะผิดอะไร อย่างจริต ของพี่อาจจะชอบแบบสงบๆ ก็ได้นะครับ ( และพี่อาจจะถนัดทางหลอกเด็ก ก็ได้นะครับ อิๆๆๆๆ วันนั้นแอบเห็น )
คุณ watjojo น่าจะกล่าวถูกต้องนะค่ะ ว่าอภิญญาเป็นเครืองมือในการพิจารณาเข้าสู่นิพพาน เท่าที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสและได้รับเมตตาจากพระอริยสงฆ์หลายๆรูป ท่านมีอภิญญาแต่ท่านจะไม่ใช้ มีบางครั้งข้าพเจ้าสังเกตเห็นและทราบว่าท่านมีอภิญญา ก็จะขอโน้นขอนี่ รวมทั้งคนอื่นๆด้วย และน่าจะเป็นเหตุผลทำให้ท่านไม่แสดงอภิญญา สำหรับหลวงพ่อฤาษีเท่าที่ข้าพเจ้าอ่านแนวทางที่ท่านสอนมีหลายวิธีค่ะ และมีความละเอียดลึกซึ้งมาก แต่ที่เด่นคือเรื่องมโนยิทธิ วิชชาสาม และอภิญญา ก็แล้วแต่จริตของแต่ละท่าน หากข้าพเจ้าผิดพลาดประการใด ขอกราบขอขมาพระรัตนตรัยไว้ ณ ที่นี่ สำหรับตัวข้าพเจ้าไม่ได้มีอภิญญา แต่ก็ไม่ได้กังวล เพราะรู้จุดบ่งพร่องของตนเองหลายจุด ต้องปฏิบัติกรรมฐานไปเรื่อยๆ และที่ท่านเห็นคุยกับเด็ก เพราะได้ถามน้องเค้าว่าเราสองคนเคยเกิดและเจอกันมั้ย น้องเค้าบอกว่าเคยเป็นเพื่อนกัน ก็เลยบอกว่ายินดีที่ได้เจอกันอีกนะเพื่อน น้องก็เลยชอบใจและมาคุยเล่นด้วย ก็พยายามจะหลอกถามเคล็ดวิธีการปฏิบัติให้ได้ทางลัดเร็วๆ (หลอกถามผู้ใหญ่จะยากหน่อยเพราะเกรงใจ) ก็ไม่ได้คำตอบ แต่ก็รู้สึกรักและผูกพันกับน้องเค้าค่ะ