ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย koymoo, 25 มกราคม 2005.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    วิธีผ่อนกงล้อกฏแห่งกรรม(ที่ไม่ดี)ให้หมุนช้าลง !!!

    ฮั้วโต๋ สมาชิก

    ในเรื่องวิบากกรรม อย่าใส่ใจและคิดให้มากเสียเวลาเปล่า ๆ เพราะเราเกิดมาแล้วสร้างทั้งบุญและกรรมกี่ภพกี่ชาติมาแล้ว ถ้าจะมาใช้กรรมชาตินี้ชาติเดียว ไม่ไหวนะ ทำดีในปัจจุบันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ.

    วิธีผ่อนกงล้อกฏแห่งกรรมให้หมุนช้าลง ทำแบบนี้ "ท่อง อิติปิโส(พุทธคุณ) 1 ห้อง สลับกับ นะ มะ พะ ธะ.

    วันนึงท่องได้เท่าไรก็เอา ไม่เกิน 3 วันหรืออย่างช้าที่สุด 1 สัปดาห์ ชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแบบคาดไม่ถึงแน่นอน.

    พอชีวิตเปลี่ยนแปลงแล้วอย่าทิ้งท่องต่อไปเรื่อย ๆ (จนตายก็ได้) แล้วจะไม่มีวันจนทั้งทางโลก-ทางธรรม แถมท่องพระคาถาปลดหนี้ควบพระคาถาเงินล้าน..

    เจริญในธรรม มีพระพุทธเจ้าในจิตให้มาก ๆ


    09-11-2012, 4:10 AM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/สัญญาณฟ้าเตือนภัยพิบัติ.294356/page-431
     
  2. neoReloaded

    neoReloaded เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +675
    ขอถามในแง่ของคนไม่รู้นะครับ
    กรรมก็ส่วนกรรม บาปก็ส่วนบาป มีการชะลอ กันด้วยหรือครับถ้าเราเชื่อว่าชะลอให้ช้าได้ แล้วฝรั่งที่เชื่อว่า เข้าโบสถ์แล้วล้างบาปได้ มิเข้าข่ายคล้ายกันหรือครับ

    แล้วการท่องคาถาหวังผลให้รวยนี่ คิดว่าไม่ต่างกับทำบุญหวังผลให้รวย เพราะถ้ารวยแล้วเป็นคนมีจิตใจดีก็ดีไป แต่ถ้าจิตใจดีบ้างไม่ดีบ้างก็ ถ้าเกิดรวยขึ้นมาจริง ก็เป็นช่องทางให้สะสมกิเลสมากขึ้น แล้วคนให้คาถามิบาปหรือ เหมือนกระทู้บนๆ อะครับ ที่ว่าดาราทำให้คนติดให้คนหลง ผมว่ามันคล้ายๆ กัน ถ้าคนแยกแยะได้ก็ไม่ติดไม่หลง ในตรรกะเดียวกัน ถ้าคนให้คาถาเงินล้าน(หวังรวย) นี่จะบาปไหมครับ?
     
  3. sound of silence

    sound of silence เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +167
    เฉพาะดาราหรือปล่าวคะ ที่เป็นมายา แสดงเป็นบุคคลอื่น อาจไม่รวมนักร้อง

    เพราะเทวดา ที่เป็นคนธรรพ์ ก้บรรเลงเพลงเหมือนกัน

    อย่างในพระไตรปิฏก ที่พระอินทร์จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ก้ให้เทวดาที่เป็นคนธรรมพ์ไปบรรเลงเพลงก่อน

    ซึ่งพระพุทธเจ้ายังทรงตรัสชมว่า ขับกล่อมได้ไพเราะ เข้ากันดี
     
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    วิบากกรรมก็เหมือนสุนัขล่าเนื้อครับ สุนัขตัวไหนมีกำลังแรงกว่าตัวอื่นๆ ก็ย่อมเข้าถึงเนื้อได้ก่อน เมื่อเราสร้างกรรมดีให้เพิ่มพูนมากขึ้น และพยายามหยุดการทำชั่วทั้งปวง ผลกรรมดีที่เราเคยสร้างเอาไว้ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ก็จะวิ่งแซงหน้ามาให้ผลก่อนกรรมที่ไม่ดีครับ ส่วนผลกรรมที่ไม่ดีนั้นก็จะรอส่งผลในโอกาสต่อๆไป จึงเรียกว่าเป็นการชะลอกรรมไว้ชั่วคราว แต่เมื่อใดที่เราหยุดสร้างกรรมดี กรรมไม่ดีที่เราเคยสร้างเอาไว้ก็จะกลับมาส่งผลทันทีครับ

    ส่วนเรื่องการท่องคาถาให้รวยนั้น จะได้ผลเฉพาะคนที่อยู่ในศีลในธรรมเท่านั้น คนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ต่อให้ท่องอย่างไรก็ไม่ได้ผลครับ เพราะคนที่มีศีลมีธรรมจะเข้าใจเรื่องของกฏแห่งกรรมอย่างดีว่า คนเราจะรวยได้เพราะการให้ทาน จะสวยจะหล่อได้ก็เพราะการรักษาศีล จะมีปํญญาเฉลียวฉลาดได้ก็เพราะการสวดมนต์ภาวนา คนดีมีศีลธรรมเหล่านี้จึงท่องคาถาให้รวยอย่างผู้มีสติปัญญา คือทั้งให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา ควบคู่กับการท่องคาถาเงินล้านไปด้วยครับ

    ปล.เรื่องของความอยากรวย เป็นเรื่องธรรมดาของปุถุชนคนธรรมดาทั่วๆไป แม้แต่พระโสดาบันก็ยังมีความอยากรวยอยู่เลย การปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพานนั้น จึงต้องเดินสายกลาง คือปฏิบัติให้พอเหมาะพอดีกับกำลังของตนเองจึงจะเห็นผล คือต้องมีทรัพย์ที่พอจะเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้โดยไม่ขัดสน จิตใจจึงจะปลดกังวลในเรื่องของการทำมาหากิน สามารถปฏิบัติธรรมได้เจริญก้าวหน้าต่อไป อย่างสะดวกราบรื่นครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2012
  5. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    กฏแห่งกรรม คือกฏแห่งความเที่ยงตรงยุติธรรม ใครทำดีทำชั่วอย่างไร ก็ต้องได้รับผลไปตามนั้นครับ ไม่มีการยกเว้นให้ผู้ใดทั้งสิ้นครับ

    ส่วนภพภูมิของเทวดานั้น เป็นภพของการเสวยผลกรรมดี การร้องรำทำเพลงของเหล่าคนธรรพ์ นางฟ้า เทวดา จึงไม่ได้ถือว่าเป็นการสร้างกรรมอย่างพวกนักร้องในเมืองมนุษย์ครับ ยกตัวอย่างภพภูมิในนรก พวกนายนิรยบาล ที่คอยลงโทษสัตว์นรก ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการสร้างกรรมแต่อย่างใด เพราะเขาทำไปตามอำนาจของกฏแห่งกรรมเท่านั้นเองครับ

    สรุปว่าภพภูมิแห่งการสร้างกรรมดีและชั่ว ก็มีแต่ภพภูมิของมนุษย์นี้เท่านั้น ส่วนภพภูมิอื่นๆนั้น เป็นเพียงภพภูมิแห่งการเสวยผลกรรม ที่ได้เคยทำเอาไว้ในสมัยที่เคยเกิดเป็นมนุษย์ครับ
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไม่โง่หรอกท่าน หากเราจะเดินตามอริยะบุคคล
    เเต่ถ้าไม่เเน่ใจ ก็อย่าเสี่ยงปรามาสดีกว่า
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ช้างลุยกดไม่เห็นด้วยตลอดรับจ๊อบมาจากไหนเนี่ย
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ภัยพิบัติเกิดเฉพาะในพื้นที่ที่มนุษย์มีจิตต่ำทรามที่สุดก่อนนะ !!!

    อ้างอิงข้อความจากคุณฮั้วโต๋

    เราต้องรีบแล้ว เวลากระชั้นชิดเข้ามามากขึ้นทุกที ๆ ที่ประชุมยืนยันเป็นมติเดิม.เพราะเหตุผลที่กล่าวมาก็สอดคล้องกันดี อาจารย์ก็เห็นด้วย หากมนุษย์ยังเป็นเช่นนี้ และกระทำแบบนี้อยู่.เผื่อจะได้สำนึกกันบ้าง โดนดัดสันดานหยาบก็ดี เกิดเฉพาะในพื้นที่ที่มนุษย์มีจิตต่ำทรามที่สุดก่อนนะ.
    เจริญในธรรม มีพระพุทธเจ้าในจิตให้มาก ๆ


    **************************************************

    10 เมืองบาปของโลกปัจจุบัน คือเมืองที่เต็มไปด้วยยาเสพติด,เพศ,การพนัน และความรุนแรง ..

    อันดับที่ 1 ได้แก่เมือง Pattaya ประเทศ Thailand
    อันดับที่ 2 ได้แก่เมือง Tijuana ประเทศ Mexico
    อันดับที่ 3 ได้แก่เมือง Amsterdam ประเทศ Netherlands
    อันดับที่ 4 ได้แก่เมือง Las Vegas Nevada ประเทศ USA
    อันดับที่ 5 ได้แก่เมือง Rio De Janeiro ประเทศ Brazil
    อันดับที่ 6 ได้แก่เมือง Moscow ประเทศ Russia
    อันดับที่ 7 ได้แก่เมือง New Orleans Louisiana ประเทศ USA
    อันดับที่ 8 ได้แก่เมือง Manama ประเทศ Bahrain
    อันดับที่ 9 ได้แก่เมือง Macau ประเทศ China
    อันดับที่ 10 ได้แก่เมือง Berlin ประเทศ Germany

    โดยคุณ สมัคร รักไทย
    โพสต์เมื่อ 01 กรกฎาคม 2011 - 07:55 AM


    ขอบคุณคุณพี่สมัครมากเลยครับที่นำเรื่องดีๆ มาเสนออย่างสม่ำเสมอ อันดับ10 Berlin ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นที่เรียกว่า " multi Kultur - multi Culture" ประชาชนหลากหลายเผ่าพันธ์ เป็นที่แหล่งรวมของหลายวัฒนธรรมมารวมกัน แหล่งอาชญกรรมหลากหลายเช่น ปัญหาโสเภณีข้ามชาติหลังจากกำแพงเบอร์ลินแตก ยาเสพติดหลากหลายทุกรูปแบบ (ในซ่องโสเภณีไทยก็เป็นแหล่งยาบ้าจากไทยที่แม่ค้าขายอาหารนำเข้าไปขาย) อะไรที่หลากหลายก็จะเป็นเมืองที่มีปัญหา แต่ก็น่าชื่นชมที่ความหลากหลายรวมอยู่กันได้ด้วยสันติ ที่แน่ๆผู้ว่าราชการจังหวัดของเบอร์ลินก็เป็นเกย์และมีคู่ครองอย่างเปิดเผย

    อันดับที่6 คือมอสโคว์เมืองแห่งความเหลื่อมล้ำต่ำสูงเหมือนกรุงเทพฯ จากคำเปรียบเปรยที่ว่าทำไมคนรัสเซียชอบดื่ม Vodka ก็สืบเนื่องมาจากดื่มเพื่อให้ลืมปัญหาทั้งสิ้นทั้งปวง นึกถึงสภาพคนที่ไม่มีบ้านอยู่และต้องนอนท่ามกลางหิมะอุณหภูมิติดลบประมาณ 23 องศาเซลเซียส ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าคนที่หนาวตายบนท้องถนนแต่ล่ะปีจะมีจำนวนเท่าใด

    อันดับ5 เมืองแห่งยาเสพติดและโสเภณี โดยเฉพาะเพศที่สามที่เป็นคู่แข่งของประเทศไทย บอกได้คำเดียวว่าเจ๋งครับ แต่ฐานะอิสระดีกว่าเรา

    อันดับ3 อัมสเตอร์ดัมมีลักษณะใกล็เคียงกับเบอร์ลิน แต่สืบเนื่องมาจากเนเทอร์แลนด์สมัยก่อนเป็นประเทศล่าอาณานิคม จึงมีเชื้อชาติหลากหลายเช่นอินโดเนเซีย อยากให้รัฐบาลไทยได้ไปดูการบริหารและการจัดการเกี่ยวกับยาเสพติดเพื่อนำมาใช้บ้าง ส่วนโสเภณีนั้นกระทำได้เหมือนร้านขายผักสดและได้ขึ้นทะเบียนเพื่อเรียกร้องสิทธิกับการรับบำนาญยามหมดสภาพ เป็นไปได้ ทำได้ อะไรจะทำย่อมทำได้ อย่าได้ยึดเอาศีลธรรมจรรยาเหล่านี้มาพิจารณา

    อันดับ1 ต้องยกให้พี่ไทยเราว่าเราเก่งระดับเวทีโลกทีเดียว " NO MONEY NO HORNY" ฺ"BAD GUYS GO TO PATTAYA" สัญญลักษณ์นี้ก็บ่งบอกได้อยู่แล้วว่า อะไรจะเลวร้ายกว่านี้ก็ไม่มีปัญหาขอให้เศรษฐกิจของเราดี

    โดยคุณ คณบดี
    โพสต์เมื่อ 02 กรกฎาคม 2011 - 07:46 AM


    ที่มา 10 เมืองบาปของโลกปัจจุบัน - สาระพันนาๆสาระ และสุขภาพสาระ - Olderman Lover - ชุมชนคนรักสูงวัย คนรักลุง รักคนแก่ คนรักเด็ก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤศจิกายน 2012
  9. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พวกเรานี่แหละ คือผู้ที่กำหนดชะตาชีวิตของตัวเราเอง !!!

    เกษม สมาชิก

    เรียนถามคุณ Chayutt

    คือผมได้กลับไปอ่านข้อความในกระทู้ การเตรียมการอพยพมนุษย์โลกเพื่อช่วยเหลือระหว่างการชำระโลก รู้สึกว่าข้อมูลขัดแย้งกับกระทู้นี้มาก เพราะกระทู้นั้นบอกว่าจะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ จนถึงกับต้องย้ายมนุษย์โลกนี้ไปอยู่ในดาวดวงอื่น แต่ในกระทู้นี้กลับบอกว่าไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปอย่างสะดวกราบรื่นโดยไม่มีภัยพิบัติใดๆเกิดขึ้นให้ต้องเป็นห่วงเลย ผมจึงอยากฟังความคิดเห็นของคุณชยุต ว่ามันจะเป็นอย่างไรกันแน่ครับ

    Chayutt สมาชิก

    ตอบคุณพี่เกษมนะครับ

    ตอนที่ผมมาเริ่มแปลข้อความในกระทู้นี้แรกๆ ผมก็คิดและรู้สึกเหมือนพี่นั่นแหละครับ แต่พอแปลมากเข้าๆระดับหนึ่งแล้ว ถึงพอจะจับประเด็นได้ดังนี้นะครับ

    เส้นกาลเวลาที่โลกในมิติที่ 3 ของเราอยู่นี้ มันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หมายความว่า ในระบบหลากมิติแล้ว อนาคต ไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แน่นอนตายตัวแล้ว ดังนั้น มันจึงสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ ขึ้นอยู่กับ "ปัจจุบันขณะนี้"ว่า "พลังงาน" ที่ถูกใส่เข้าไปนั้น มันไปทางไหนมากกว่า อนาคตบนเส้นทางนั้น มันก็จะเป็นไปตามนั้นครับ พวกเขาจึงมักใช้คำว่า "ศักยภาพแห่งความเป็นไปได้" มากกว่าที่จะเรียกว่า "อนาคต"

    และข้อความในกระทู้การเตรียมการนั้น เป็นข้อความจากต่างมิติที่ส่วนใหญ่แล้ว จะสื่อสารมาจากท่าน Ashtar Sheeran เมื่อราวๆปี 1998 หรือก่อนหน้านั้น มีเพียงข้อความเดียว ที่มาเมื่อปี 2003 แล้วข้อความจากเวปไซต์นั้น ก็ขาดหายไปเลย ผมก็เลยไม่ได้ update อะไรในกระทู้นั้นอีกเลย เพราะไม่รู้จะ update อะไร เพราะเหมือนกับว่า มันตั้ง 14 ปีมาแล้ว แต่เราเพิ่งไปเจอเวปไซต์ของเขา แล้วเพิ่งได้อ่านกัน

    จริงทีเดียวที่ข้อมูลในเวปไซต์นั้น บอกว่าจะเกิดภัยพิบัติขึ้นครั้งใหญ่บนโลกใบนี้ จนถึงขึ้นต้องเตรียมการอพยพมนุษย์โลก ผู้ที่มีระดับคุณงามความดีสูงมากพอให้พ้นภัย และตามความเห็นส่วนตัวของผม ผมก็ว่าน่าจะจริงตามที่เขาว่านั่นแหละครับ เมื่อ "เหตุ" ที่จะนำไปสู่ "ผล" ณ.ขณะนั้นๆ หรืออย่างที่เรียกว่า"ศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ ณ.ขณะนั้น" มันมีแนวโน้มไปเช่นนั้นซะมากเหลือเกิน

    และก็สอดคล้องกับทั้งข้อความของท่านซาลูซ่า, ครายออน และ ของท่านเมตาตรอนด้วย ที่สื่อสารมาเมื่อเร็วๆนี้ คือเมื่อไม่กี่ปีมานี้ รวมถึงจนถึง ณ.ปัจจุบันนี้ด้วย พวกท่านพูดไปในทางเดียวกันว่า ก่อนปี 2000 นั้น โลกอยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ที่จะถึงคราวหายนะจริงๆ แต่หลังจากที่ "มนุษย์โลก" ได้พากันทำคุณงามความดี และมีระดับจิตสำนึกและแสงสว่างเพิ่มมากขึ้นแล้ว ตอนนี้โลกก็เลยพ้นแล้ว และดังนั้นโลกจึงกำลังอยู่บน "เส้นกาลเวลาใหม่" หรืออยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ใหม่อยู่

    ซึ่งนั่นก็คือ แทนที่จะต้องหายนะ แต่จะ "เลื่อนระดับขึ้น" (Ascension) แทนครับ เพราะฉะนั้นแล้วคำพยากรณ์ทั้งหลายที่เคยมีมาเรื่องหายนะครั้งใหญ่นี้ ท่านทั้งหลาย ที่ผมกล่าวมาแล้วนั้น ก็ไม่ได้ปฏิเสธนะครับว่ามันไม่ใช่ความจริง ณ.ขณะที่พยากรณ์นั้น เพียงแต่ว่า อนาคต มันสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ และก็กำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วด้วย เท่านั้นเอง ขึ้นอยู่กับ "จิต" ของ "มนุษย์" แทบจะเป็นส่วนใหญ่เลย พวกท่านเหล่านั้น ถึงบอกอยู่เสมอไงครับว่า "พวกเรานี่แหละ คือผู้ที่กำหนดชะตาชีวิตของตัวเราเอง"

    เกษม สมาชิก

    ขอบคุณ คุณชยุตมากนะครับที่ให้ความกระจ่างกับผม คือตอนนี้ผมกำลังประมวลข้อมูลจากหลายๆแหล่ง ไม่ว่าจะเป็นของมนุษย์ต่างดาว หรือของสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ ที่ทราบเรื่องของการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ ว่ามันจะมีผลกระทบกับมนุษย์โลกมากน้อยเพียงใด เมื่อได้ทราบข้อมูลจากคุณชยุตอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้สบายใจขึ้นมากครับ แต่ผมก็ยังไม่วางใจซะเลยทีเดียว เพราะข้อมูลจากห้องภัยพิบัติและการเตรียมการ ที่ได้มาจากเพื่อนต่างดาว Zeta ยังยืนยันว่าจะมีแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง จนเปลือกโลกเคลื่อนตัวและทรุดจมทะเล จากอิทธิพลของดาวหางเนบิรุอยู่ อีกทั้งข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ก็สอดคล้องตรงกันด้วยครับ

    Chayutt สมาชิก

    ก็รอดูกันไปครับพี่เกษม ผมเองก็ไม่อาจยืนยันอะไรให้พี่ได้ซะด้วยสิ เพราะว่าผมก็อ่านและแปลข้อมูลของพวกเขามาอีกทีหนึ่งเหมือนกัน และถึงแม้ว่าในโลกอินเตอร์เน็ตนี้ มันจะมีข้อมูลทั้งสองด้านอยู่เกลื่อนกลาดไปหมดก็ตาม แต่สิ่งที่ผมเลือกมาหลายปีแล้วนั้นก็คือ..ผมเลือกที่จะจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ดีครับ ผมเลือกที่จะใส่พลังงานด้านบวกลงไปให้กับโลก ให้กับตัวเอง และให้กับสรรพสิ่งทั้งปวง ผมไม่เลือกที่จะวิตกกังวล และ จดจ่ออยู่กับเรื่องลบๆอีกต่อไปแล้ว เพราะนั่นหนะ เราก็รู้กันอยู่แล้วว่า อย่างน้อยมันก็จะเป็นการทำร้ายตัวเราเองหละ นี่ยังไม่นับรวมที่จะไปทำร้ายโลก และไปใส่พลังงานความเชื่อเข้าไปเพิ่มให้กับเหตุการณ์ร้ายๆเลยนะครับ

    เพราะว่ายิ่งมีคนเชื่อและจดจ่ออยู่กับเรื่องร้ายๆมากเท่าไหร่ โอกาสที่เหตุการณ์นั้น มันจะเกิดขึ้นจริง ก็ยิ่งจะมากขึ้นไปอีก อย่างที่บอกไปแล้วไงครับว่า พลังงานจากกระแสจิตของมนุษย์นี่แหละ เป็นตัวกำหนดอนาคตของมนุษย์เองคำว่า จดจ่อ ในที่นี้ หมายความว่า ใส่ความคิดและความเชื่อลงไปในเรื่องนั้นๆอย่างสม่ำเสมอหนะนะครับ ไม่ได้หมายความว่าหมกมุ่น หรือ เครียด หรือวิตกกังวลกับมันเสมอไป แต่นั่นแหละ แค่จดจ่ออยู่ แค่เชื่อว่ามันจะเป็นไปตามนั้นเท่านั้นแหละ กฎแห่งการดึงดูดของจักรวาล ก็จะทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง โดยอัตโนมัติ นั่นก็คือ เชื่ออย่างไร ยิ่งพลังแห่งความเชื่อของมนุษย์มวลรวมมีมากเท่าใด โอกาสแห่งความเป็นไปได้ มันก็จะยิ่งมีมากเท่านั้นด้วย ไม่งั้นเขาจะนัดกันทำสมาธิหมู่ไปทั่วโลก เพื่อส่งพลังงานแห่งกระแสจิตมวลรวมออกไปให้โลกสงบสุขทำไมกันหละครับ

    มันเป็นเหมือนการเดินหน้าและถอยหลังทันทีสำหรับหลายคน คือ การกระทำทางกายและวาจา ที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เพื่อป้องกันภัยพิบัติ ทำไปด้วยความปราถนาดีอย่างจริงใจ และที่จะช่วยให้ได้มากที่สุด และทำให้ดีที่สุดด้วย แต่หารู้ไม่ว่า "กระแสความคิดและความเชื่อ" นั่นแหละมีพลังงานมากกว่า และ เป็นต้นตอของเรื่องราว เหตุการณ์ วัตถุธาตุทางกายภาพทั้งหมด ที่มีอยู่ในโลกทางกายภาพนี้...ผมกำลังจะบอกว่า ความคิด-ความเชื่อ กับการกระทำมันสวนทางกัน ดังนั้น เมื่อการกระทำพายเรือไปข้างหน้า แต่ความเชื่อพายเรือย้อนกลับในขณะเดียวกัน ผลที่ได้มันถึงไม่ไปไหนเลย..

    แต่ถ้าลองเปลี่ยนมุมมองดู และเปลี่ยนการกระทำดูสิครับ เปลี่ยนเพราะไม่ใช่เชื่อสิ่งที่ผมพูด เปลี่ยนเพราะมีความเข้าใจที่กว้างกว่า ในระดับที่ลึกกว่า และสูงกว่า เช่น ในระดับ "ภาพรวมของแผนการของจักรวาล" เป็นต้น เราก็จะเข้าใจได้มากขึ้นว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติตามธรรมชาติทั้งหลายแหล่ที่เกิดขึ้นไปแล้วนั้น ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นทั้งนั้น แม้ว่าจะมีคนตายมากมายอยู่ก็ตาม แต่จักรวาลก็บอกว่า นั่นเป็นเพราะพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณของพวกเขา ที่ได้สมัครใจเอาไว้แล้วว่าจะเป็นแบบนั้น และผมลัพธ์ของเหตุการร้ายเหล่านี้ ณ.ปัจจุบันนี้ ก็ล้วนแล้วเพื่อช่วยกระตุ้นจิตสำนึกแห่งความเมตตากรุณา และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีน้ำใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันของมนุษย์โลก ทั่วโลก ทั้งสิ้น

    นั่นไงหละครับ คือผลบวกด้านกระแสพลังงานด้านบวกที่ยิ่งใหญ่และมหาศาลมาก ที่จะไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆเลยถ้าไม่มีอะไรมากระตุ้นอย่างถึงจุด Threshold แบบนี้ และประโยชน์อีกอย่างหนึ่งที่จำเป็นอย่างมาก ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ของภัยพิบัติตามธรรมชาติเหล่านี้ ก็คือเพื่อชำระล้างพลังงานด้านลบที่สะสมอยู่ในส่วนต่างๆของโลกออกไป สังเกตดูสิครับว่าน่าจะจริงหรือเปล่า เพราะว่ายิ่งจุดไหนมีพลังงานด้านลบมากเท่าไหร่ จุดนั้นๆก็ยิ่งจะมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นร้ายแรงมากเท่านั้นด้วย

    เพราะฉะนั้นแล้ว รูปธรรมต่างมิติทั้งหลาย จึงอยากจะให้มนุษย์เข้าใจว่า อย่าไปคิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้มันคือสิ่งเลวร้าย ให้เข้าใจในภาพรวม และให้ตระหนักรู้ไว้ด้วยว่า ถ้าไม่ชำระพลังงานด้านลบเหล่านี้ออกไปซะที โลกก็มิอาจเลื่อนระดับขึ้นไปได้มากกว่านี้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ มนุษย์จะต้องตระหนักรู้ไว้ด้วยว่า ถ้าเหตุเภทภัยเล็กน้อยเหล่านี้ไม่เกิดขึ้น มันก็จะมีเหตุเภทภัยที่ใหญ่กว่านี้เกิดขึ้นแทน เพราะว่าดาวเคราะห์โลกได้เลือกมาแล้ว ว่าจะให้มีผลกระทบกับมนุษย์ให้น้อยที่สุด แต่ถ้ามันถูกขัดขวาง หรือถูกกระทำอะไรบางอย่าง มันก็อาจจะเป็นไปในทางที่เลวร้ายยิ่งขึ้นกว่าเดิมซะด้วย นั่นแหละคือสิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้ไว้หนะนะครับ

    ปล.คำว่าป้องกันของผมในที่นี้..ป้องกันไม่ให้เกิดภัยพิบัติตามธรรมชาติขึ้น กับป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายจากภัยพิบัติเหล่านี้ เป็นคนละส่วนกันนะครับ และแม้ว่าหลังจากปี 2012 นี้ไปแล้ว ตลอดเส้นทางแห่งการเลื่อนระดับขึ้นของโลกนี้ ภัยพิบัติตามธรรมชาติต่างๆ ก็ยังจะมีเกิดขึ้นอยู่ต่อไป เท่าที่จำเป็น และงานที่หลายกลุ่มทั่วโลก ที่กำลังช่วยกันทำอยู่ในตอนนี้ ก็มาได้ถูกทางแล้ว คือถ้าประเด็นและเป้าหมายใดก็ตาม พุ่งไปที่การกระตุ้น การปลุกเร้า และการส่งเสริมให้มนุษย์มีระดับจิตสำนึกสูงส่งขึ้นหละก็..นั่นล้วนแต่เป็นทางที่ถูกต้องทั้งสิ้น เพราะว่ากุญแจสำคัญ และสำคัญมากที่สุดก็คือ "ระดับจิตสำนึกมวลรวมของมนุษย์โลก" ครับ

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ข้อควา...ของมนุษยชาติ-ไปสู่มิติที่-5-a.246190/page-319
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤศจิกายน 2012
  10. โชตนา

    โชตนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +773
    แผ่นดินไหวกลัวเขื่อนป่าสักจะร้าว เห็นว่าสันเขื่อนมีรอยอยู่ ท่านผู้รู้ท่านใดพอจะทราบไหมว่าเวลาที่น้ำมา กทม.กี่ชม.และระดับความสูงเท่าไหร่ ปัจจุบันเห็นระดับน้ำเกือบสูงสุด
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานและสิ่งแวดล้อม และผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศแลภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต อยากให้เฝ้าระวังน้ำในเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งเป็นเขื่อนขนาดไม่ใหญ่มาก หรือสามารถรับน้ำได้ 800 ล้านลูกบาศก์เมตร เมื่อขณะนี้มีน้ำอยู่ราว 500 ล้านลูกบาศก์เมตร หากมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องอีก 10 วัน หรือหากตกในปริมาณ 100 มิลลิเมตร ต่อเนื่องกัน 5 วัน ก็ถือว่าความเสี่ยง กล่าวคือปริมาณน้ำจะล้นความจุ ทางเขื่อนจึงจำเป็นต้องเพิ่มอัตราการปล่อยน้ำจาก 6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน เป็น 13 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน

    ส่วนผลกระทบต่อ กทม.น้ำจะท่วมหรือไม่นั้น ดร.เสรีกล่าว ว่า ให้จับตาดูที่อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา หากน้ำผ่าน อ.บางไทรที่อัตรา 3,000 ลูกบาศก์ต่อวินาที ก็จะเสี่ยงต่อพื้นที่ กทม. หรือทำให้พื้นที่เมืองเอก จ.ปทุมธานีเตรียมอพยพ แต่ขณะนี้อยู่ในระดับ 1,600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาทีเท่านั้น จึงถือว่าปลอดภัย

    วันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 08:50:07 น

    ที่มา "เสรี ศุภราทิตย์" เจาะลึกสถานการณ์น้ำท่วมปี 2555 เฝ้าระวังเขื่อนป่าสักฯ-ลุ้น 2 จุดเสี่ยงใกล้กทม. ! : มติชนออนไลน์
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ข้อมูลจากเพื่อนต่างดาวชาวคลูเลี่ยน !!!

    Nirvana สมาชิก

    ใกล้วีดีโอที่ 100 เข้าไปทุกที...ข้อมูลของกัปตัน บิล ก็เข้มขึ้นไปเรื่อยๆใกล้จุดระเบิดแล้ว...

    มีข่าวจากนาซ่าแจ้งว่าภายใน 2 เดือนนี้ จะมีดาวเคราะห์น้อยขนาดเท่ากับรัฐเท๊กซัสของอเมริกามุ่งหน้ามายังโลก ซึ่งจะสร้างความหวั่นวิตกก็ชาวโลกอย่างสุดประมาณ (เพราะถ้าวัตถุขนาดนี้ชนโลกก็คือ กาลอวสานอย่างแน่นอน)

    ทั้งนี้เกิดจากขณะที่ดาวนิบิรุโครจรเข้ามาใกล้โลก ก็จะดูดกลุ่มดาวเคราะห์น้อยติดไม้ติดมือมาด้วย อันเป็นสาเหตุที่น่าสะพรึงกลัวนี้ แต่เนื่องจากชาวคลูเลี่ยนที่มียานโคจรอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ของเรา ได้เฝ้าดูปรากฏการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและเชื่อว่าคงไม่มีผลออะไรกับโลก

    ส่วนที่น่ารังเกียจก็คือ การจัดฉากโดยผู้นำของโลก โดยใช้ให้กองทัพเรือออกไปสร้างท่อยักษ์บรรจุระเบิดหลายร้อยตัน เมื่อจุดชนวนระเบิดจำลองการตกกระทบจนทำให้ประชาชนทั่วไปคิดว่า เป็นอุกาบาตยักษ์หล่นใส่จนเกิดความเสียหายใหญ่หลวง ทั้งนี้เพื่อควบคุมและสร้างเขตแห่งความกลัวไว้

    ดังนั้นน้า Mythi ได้เตือนไว้ว่าเรื่องอุกาบาตหล่นใส่โลกจนหายนะ คงเป็นไปไม่ได้ เพราะมีมนุษย์ต่างดาวผู้รับผิดชอบเฝ้าดูอยู่ (Arctorian) แต่ผู้นำจะหาเหตุขึ้นมาเพื่อลดจำนวนประชากรลงมาให้สามารถควบคุมได้ ดังนั้นขอให้ปฏิบัติตัวดังนี้

    1. อย่าออกมาตากแดดในช่วงที่มีการเปลี่ยนถ่ายยุคของโลก (21/12/2012) เป็นต้นไป เพราะสนามแม่เหล็กโลกอ่อนกำลังมาก รังสีต่างๆจะทะลุชั้นบรรยากาศเข้ามาทำลายเซลล์ผิวของมนุษย์ได้
    2. อย่ารวมกันอยู่ในเมืองใหญ่เพราะเวลามาถึง สาธารณูปโภคจะถูกตัดขาด
    3. อยู่ห่างๆรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงไว้
    4. อยู่ห่างเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางซึ่งถืออาวุธ
    5. หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ซึ่งถืออาวุธ
    6. หนีออกจากสถานที่ซึ่งดูแล้วว่าไม่ปลอดภัยในเวลาอันใกล้
    7. แสวงหาทางหนีทีไล่เมื่อต้องอพยพหลบหนีต่อไปอีก
    8. เก็บตุนอาหารและปัจจัยสี่ให้ตนเองและครบครัว
    9. อย่าเสียซึ่งความหวังในชีวิต พยายามช่วยเหลือผู้อ่อนแอกว่า

    น้า Mythi มีธุระที่ดาวดวงอื่น แต่เสร็จแล้วจะรีบกลับมาโลกเราโดยด่วน จะสังเกตเห็นว่าใกล้ถึง 21/12/2012 อะไรๆก็เขม็งเกลียวขึ้นเรื่อยๆ สมาชิกทั้งหลายก็อย่าได้ประมาทต่อสถานการณ์ อีกไม่นานนัก ท่านก็จะเห็นจานบินมาวนเวียนอยู่ในเมืองที่ท่านอยู่เพื่อคอยช่วยเหลือ ใครจะเชื่อหรือไม่อีกไม่นานก็จะได้เห็นกัน

    08-11-2012, 04:57 AM

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ดาวหาง-elenin-nibiru-planet-x-elenin-events.281795/page-75
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  13. โชตนา

    โชตนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +773
    ขอบคุณค่ะ พอดีมีญาติจะไปซื้อที่้ท้ายเขื่อนที่ อ.พัฒนานิคม เคยถามท่านผู้รู้ว่าดีไหมท่านนิ่งไม่ตอบ เลยค้นคว้าในเน็ต พบว่ามีรอยร้าว แต่ทางการยืนยันว่าปลอดภัยน่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  14. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    รศ.ดร.ปัญญา จารุศิริ บอกบ้านเราไม่กลัวเขื่อนมีผลกระทบจากแผ่นดินไหวหรอก แต่กลัวว่าอาฟเตอร์ช็อคพม่าจะทำให้น้ำในเขื่อนกระเพื่อม จนกระฉอกออกมาล้นเขื่อน นี่สิน่ากลัวกว่า ควรจะหาวิธีเตรียมความพร้อมรับมือกับปัญหานี้
     
  15. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,634
    พอทราบมาว่าบางเขื่อนที่เป็นเขื่อนเก่าแก่ไม่ได้มาตรฐานผิดสเปค อาจจะเกิดเหตุได้
     
  16. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "อามาเกทดอน"สงครามระหว่างมนุษย์ต่างดาว !!!

    ปฏิบัติการมหาโหด

    สิ่งที่ปรากฏให้เห็นครั้งแรก ก็คงจะเป็นในลักษณะของดาวบริวารหรือดาวเทียมนั่นเอง วงโคจรของมันอยู่ในระดับต่ำและดูคล้ายกับตอนที่พระอาทิตย์กำลังขึ้น

    “... ความน่ากลัวของพระเจ้าและความสง่างามแห่งอำนาจของพระองค์ เมื่อพระองค์ขึ้นมากระตุ้นให้โลกตื่นกลัว” (ไอเสยะ 2.19)

    มันคงจะต้องเจิดจ้าเสียจนกระทั่ง “ดับรัศมีของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จนมืดมิด ดวงดาวทั้งหลายทั้งมวลก็หยุดส่องประกาย” (โจเอล 2.10)

    “และเมื่อนั้นก็ไม่ต้องการดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องสว่าง เพราะว่าพระรัศมีของพระเป็นเจ้าได้ให้แสงสว่างแก่มัน” (วิวรณ์ 21.23)

    ก็เห็นจะไม่ผิดว่านั่นคือดวงอาทิตย์ของโจชัว และยานอวกาศมหาวินาศก็โผล่ออกมาจากมันด้วย

    เจเรไมอะบรรยายไว้อย่างน่าทึ่งว่า “คำตรัสของพระเป็นเจ้ามาถึงข้าเป็นหนที่สองว่า “เจ้ามองเห็นอะไร?

    “กระทะ” ข้าตอบ

    “บนกองไฟแดงฉานมีลมพัด มันถูกทำให้เอียงห่างออกทางทิศเหนือ” ” (เจเรไมอะ 1.13)

    ท่ามกลางกลุ่มควันก็มีฝูงตั๊กแตนบินออกมามากมาย “ตั๊กแตนนั้นมีรูปร่างเหมือนม้า ที่ผูกเครื่องพร้อมสำหรับออกศึก

    ... มันมีทับทรวงเหมือนทับทรวงเหล็ก เสียงปีกมันเหมือนเสียงม้าและรถศึกวิ่งตะลุยเข้าสู่สนามรบ (วิวรณ์ 9.7-9)

    “การมาของพวกเขา เหมือนกองทัพม้า พวกเขาพุ่งเข้าใส่เหนือยอดเขา” (โจเอล 2.4-5)

    กองทัพภาคพื้นอากาศของยะโฮวาห์มีจำนวนมากมายมหาศาล “และพลทหารม้าของพวกเขา ข้าได้ยินมาว่า นับได้ 200 ล้าน” (วิวรณ์ 9.16)

    ตัวยานอวกาศก็ติดอาวุธร้ายแรง “มันมีหางเหมือนแมงป่องและหางนั้นมีเหล็กไน มีอำนาจทำลายล้างมนุษยชาติ” (วิวรณ์ 9.10)

    “ ... และมีไฟ ควันและกำมะถันพลุ่งออกจากปากของมัน” (วิวรณ์ 9.17)

    เหตุการณ์ถัดจากนี้ไปผมจะให้ไอเสยะเป็นผู้บรรยาย

    “พระเป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมกับพระเพลิง กองรถศึกของพระองค์เหมือนกับพายุหมุน เข้าจู่โจมจุดหมายสำคัญด้วยความพิโรธและด้วยเปลวไฟแห่งคำตำหนิ พระองค์จะตัดสินด้วยไฟ พระเพลิงจะทดสอบมนุษย์ทุกชีวิต และพวกเขาจะถูกพระองค์สังหารมากมายก่ายกอง” (ไอเสยะ 66.15-16)

    เขาจะโจมตี “จนกระทั่งประเทศต่าง ๆ พินาศสิ้น บ้านเรือนจะถูกทิ้งไว้ว่างเปล่า ปราศจากผู้คน แผ่นดินจะรกร้างว่างเปล่า จนกระทั่งพระเป็นเจ้าส่งมนุษย์ไปหมดแล้ว และทั้งเมืองกลายเป็นสถานที่โดดเดี่ยวกว้างขวางเพียงผืนเดียว ถึงแม้ประชาชนยังคงเหลืออยู่หนึ่งในสิบ พวกเขาก็จะถูกทำลายล้างจนหมดสิ้น” (ไอเสยะ 6.11-13)

    “ ... ทุกหนทุกแห่ง ไม่อาจรอดพ้นจากภยันตรายและความมืดมิด” (ไอเสยะ 8.22)

    “จงระวังพระเป็นเจ้าจะทำให้ทั้งโลกว่างเปล่า แผ่นดินจะแยกและคว่ำปฐพี ... โลกจะถูกกวาดล้างจนสะอาดสะอ้านหมดจด ... ผู้ที่อาศัยอยู่บนโลกจะลดน้อยลง เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ... มันจะเป็นดังนี้ทั่วทั้งโลก ทุกชาติทุกภาษา ประหนึ่งต้นโลอีฟถูกเก็บผลจนโกร๋น ประหนึ่งฤดูการทำเหล้าองุ่นได้สิ้นสุดลงแล้ว ... โลกจะหมุนไปมาเหมือนคนเมาเหล้า” (ไอเสยะ 24.1-20)

    นั่นไม่ใช่ความพินาศ ซึ่งเกิดจากการระเบิดชนิดที่ร้ายแรงหรอกหรือ?

    ฝูง “ตั๊กแตน” ของพระเป็นเจ้ากำลังปฏิบัติงานของมัน

    “เมื่อพระองค์แกะดวงตราที่หกแล้วนั้น ข้าก็ได้เห็นแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ดวงอาทิตย์ก็กลับมืดดำดุจผ้ากระสอบขอสัตว์ ดวงจันทร์วันเพ็ญกลายเป็นสีเลือด ดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้าจะร่วงลงสู่พื้นแผ่นดิน เหมือนกับต้นมะเดื่อถูกลมพายุพัดจนที่ยังไม่ทันสุกหล่นหมดท้องฟ้าก็หายไป เหมือนหนังสือที่ถูกม้วนเก็บไว้ ภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็เลื่อนไปจากที่เดิม” (วิวรณ์ 63.12-14) เหล่ามนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายพูดว่าอย่างไรหรือ?”

    ... พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า “จงล้มทับเราเถิด และจงซ่อนเราไว้ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง” (วิวรณ์ 6.16)

    คำพยากรณ์ดังกล่าว ต่อเนื่องกันไปเป็นเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ โฉมหน้าของยะโฮวาห์ หรือยานอวกาศอันน่าสะพรึงกลัว ก็คือเครื่องมือแห่งการทำลายล้างและความตาย อานุภาพอันร้อนแรงมหาศาลของมันมีมากจนกระทั่ง มีผลต่อการโคจรหมุนเวียนของโลก และทำให้ท้องฟ้าถึงกับม้วนวนต่อหน้าต่อตาคนที่ยังสามารถลืมตาและมีสติพอที่จะสังเกตดูมันได้ ผมอยากจะชี้ให้เห็นดังเรื่องที่เคยกล่าวมาแล้วว่า การป้องกันตัวเองจากการแผ่รังสีนั้น ก็เป็นวิธีเดียวกันกับที่ใช้ในสมัยของโมเสสนั้นเอง นั่นคือการซ่อนอยู่ระหว่างหินก้อนใหญ่ที่สุดเท่าที่จะใหญ่ได้ (“ภูเขาและโขดหิน”)

    การโคจรของโลกคงจะถูกเร่งให้หมุนเร็วขึ้น ...

    “และกลางวันก็ไม่สว่างเสียหนึ่งในสามส่วน และกลางคืนก็เช่นเดียวกับกลางวัน” ( วิวรณ์ 8.12)

    แล้วดาวประกายเจิดจ้าดวงที่ตกลงมาจากท้องฟ้า และทำให้น้ำในแม่น้ำลำธารตลอดจนบ่อน้ำทั้งหลายนั่นละเป็นตัวอะไร?

    “ชื่อของดวงดาวนั้นคือบอระเพ็ด” (วิวรณ์ 8.11)

    สำหรับนักวิจารณ์ผู้นิยมข้อเท็จจริง ทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่า ข้อความตอนนั้นหมายถึงลูกอุกาบาต หรือสะเก็ดดาวที่ตกลงมา แต่ใครเคยได้ยินบ้างล่ะว่าสะเก็ดดาวตกทำให้น้ำเป็นพิษถึงกับ “คนจำนวนมากมายมหาศาลต้องตายเพราะมัน?” มันควรจะเป็นอาวุธอย่างเดียวที่นำมาใช้เพื่อการนี้มากกว่า

    คราวนี้จะไม่มีใครเหลือรอดชีวิตอยู่ได้ (ยกเว้นชาวยิว) เพราะพวกที่หนีจากอัคคีภัย อุทกภัย ลูกปืน และการแผ่รังสีได้ ก็จะต้องอดน้ำตายกันหมดเหมือนกัน

    ไอเสยะเตือนเราว่า มันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและปัจจุบันทันด่วน

    เยซูเองก็เรียกร้องให้เราสนใจมหันตภัย อันจะบังเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใดเช่นกัน !!

    ท่านผู้อ่านอาจแปลกใจที่ผมอ้างถึง เยซูกับศาสดาพยากรณ์คนอื่น ๆ ในพระคัมภีร์ฉบับเก่าในเรื่องเดียวกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทั้งสองก็เป็นชาวยิว แม้ต่างคนต่างได้ตั้งศาสนาใหม่โดยมีมูลฐานแตกต่างจากลัทธิจูดาอิสซึม พวกเขาก็ทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับเจ้านายผู้มาจากอวกาศอยู่เช่นเดิม เยซูได้ร่วมประกาศการกลับมาของพระเจ้าครั้งยิ่งใหญ่ว่า

    “... เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูดายหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาตึกอย่าให้ลงมา เก็บข้าวของออกจากตึกของตน ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนาให้กลับไปเอาเสื้อผ้าของตน” (แม็ทธิว 24.16-18)

    อันนี้ทำให้เรานึกไปถึงคำแนะนำที่ล็อทและครอบครัวของเขาได้รับเมื่อครั้งกระโน้นว่า พวกเขาจะต้องหนีไปโดยรีบด่วน และห้ามหันหลังมองเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะต้องตายทันที

    แต่คราวนี่จะไม่มีที่หลบซ่อนภัยพิบัติต่อไปอีกแล้ว เพราะนอกจากมนุษย์จะถูกทำลายล้าง ด้วยความพินาศดังวิธีการต่าง ๆ เหล่านั้นยังมีสงครามเชื้อโรคผนวกเข้าไปอีกด้วย ...

    “และโรคระบาดก็จะบังเกิดผลดังนี้ เนื้อของพวกเขาจะเน่าเปื่อยทั้ง ๆ ที่ยังยืนอยู่ ตาก็จะเน่าอยู่ในเบ้าตา ลิ้นก็จะเน่าอยู่ในปาก ในวันนั้นพระเป็นเจ้าจะส่งความเจ็บปวดรวดร้าวอย่างแสนสาหัสมาให้แก่พวกเขา” (เซคาไรอะ 14.12-13)

    ไม่มีความหวังอันใดเหลือไว้ สำหรับโลกอีกต่อไปแล้ว มันจะกลายเป็นแผ่นดินโสโครก เต็มไปด้วยซากศพเน่าเปื่อยเกลื่อนกลาดทั้งของมนุษย์และสัตว์ ซากปรักหักพังของเมืองใหญ่ ๆ โครงเหล็กกล้าและคอนกรีตบิดเบี้ยวแตกกระจาย ไม้ในป่าล้มระเนระนาดถอนรากถอนโคน พืชผักในไร่นาเรือกสวนเหี่ยวเฉาแห้งตายเพราะถูกเผา พื้นพิภพเต็มไปด้วยหลุมบ่อเพราะลูกกระสุนที่ตกลงมากระทบ ทุกทวีปถูกความร้อนรุนแรงมหาศาลอย่างเหลือเชื่อเผาผลาญ ภูเขาไฟทุกลูกปะทุและระเบิด พื้นที่ราบทุกแห่งนองไปด้วยน้ำพิษจากดาวบอระเพ็ด แผ่นดินไหวติดต่อกันนานจนไม่มีใครรู้ว่ามันจะหยุดเมื่อใด อารยธรรมอันรุ่งโรจน์ของมนุษย์ต้องสูญสิ้นไปก่อนที่จะทันป้องกัน ณ ที่แห่งไหนสักแห่งใกล้ ๆ กับดาวพฤหัส เครื่องตรวจสอบอวกาศของอเมริกายังคงส่งข่าวสารกลับมายังโลกอยู่เรื่อย ๆ แต่ทว่าจะไม่มีใครได้รับมันอีกแล้ว

    ผมเคยพูดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า สักวันเราอาจจะต้องใช้จรวดต่อสู้กับยะโฮวาห์ แต่ทว่าบางทีเขาคงไม่ให้เวลาเราทำเช่นนั้นได้หรอก เสียงตะโกนออกมาในอดีตกาลจากเซคาไรอะถึงจอห์น ดิ อีแวนเจลิสท์ ได้กันเราออกไป เสมือนหนึ่งพวกเราแกล้งเรียกเอาคำสาปแช่งของยะโฮวาห์ลงมาใส่ พวกชาลเดียนหรืออันโมไนท์ หรือกองทหารจักรพรรดิโรมัน ส่วนอาวุธที่จะใช้จัดการกับโลกเราครั้งนี้ คงไม่เหมือนครั้งที่ใช้ทำลายอาณาจักรยูดาห์เป็นแน่

    แต่สงครามระหว่างดาวคงจะยังไม่เกิดถ้าหากไม่ใช่เพราะโลกเรามีความเจริญก้าวหน้ามากเกินไป จนเป็นอันตรายต่ออำนาจของบุคคล ๆ หนึ่ง ซึ่งนามของเขาคือ ‘ยะโฮวาห์’

    นี่เป็นการแปลความหมายคำพยากรณ์ของศาสดาเหล่านั้นผิดไปหรือ? พวกเขาพูดย้ำเสมอว่า “ใครที่มีหู ก็ปล่อยให้เขาได้ยินไปเถอะ” นั้นแสดงว่ามันมีอะไรบางสิ่งบางอย่างที่ควรจะต้องเข้าใจในคำพยากรณ์ของพวกเขา มากกว่าที่คิดไว้แต่แรก ไอเสยะก็เคยกล่าวไว้ว่า “คำพยากรณ์ทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับ ก็คล้ายกับหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกห่อเอาไว้ จงให้หนังสือเช่นว่านั้นแก่คนที่อ่านได้และพูดว่า

    “มาเถอะ จงอ่านสิ่งนี้สิ”

    เขาจะตอบว่า “ข้าอ่านไม่ได้” เพราะว่ามันถูกผนึกเอาไว้ จงให้มันแก่คนที่อ่านไม่ได้และพูดว่า “มาเถอะ จงอ่านสิ” เขาจะตอบว่า “ข้าอ่านไม่ได้” (ไอเสยะ 29.11-12)

    บางทีถึงเวลาแล้วที่ทุกคนที่ได้รับหนังสือไบเบิ้ลเป็นของขวัญ จะได้เปิดมันออก และถามตัวพวกเขาเองว่าทำไมหนังสือแปลกปลอมนั้นจึงตกทอดมาสู่พวกเขา ทำไมจะต้องเป็นไบเบิ้ล แทนที่จะเป็นหนังสือ “บทเพลงของโรแลนด์” ?

    บางที ถึงเวลาแล้วที่จะสงสัยคำบรรยายอันประณีตเฉียบขาด ซึ่งได้ให้ไว้โดยคนธรรมดา ๆ ซึ่งไม่มีความชำนาญการใช้ศัพท์แสงเลยตั้งแต่สมัยเกือบสามพันปีมาแล้ว ถ้าหากใครคนใดที่เปิดเผยเรื่องราวในอนาคตของเขา เบื้องหลังดวงตาอันปิดสนิทของอีซีเกล เป็นคนเดียวกับนักบินลึกลับของยานอวกาศซึ่งแอบเคลื่อนไหวอยู่เหนือฟากฟ้าของเรา มาตั้งแต่ 20 ปีแล้วล่ะก้อ มันก็จะเป็นประโยชน์ไม่น้อยที่จะทราบเรื่องของเขาให้มากขึ้น

    สถานที่ชุมชนเพื่อขึ้นไปสู่โลกใหม่

    ก่อนโลกจะถึงวาระพินาศย่อยยับ ก่อนพวกนอกศาสนาคนสุดท้ายจะตายเพราะโดนรังสี หรือตายเพราะกินน้ำอันขมฝาดเนื่องจากดาวบอระเพ็ด ชาวยิวก็จะได้รับการช่วยเหลือให้รอดปลอดภัยไปแล้ว

    ที่พูดมานั้น ผมอาศัยหลักฐานจากหนังสือเล่มสุดท้ายของคัมภีร์ไบเบิ้ลฉบับพันธสัญญาใหม่ นั่นคือ วิวรณ์ ของ จอห์น ดิ อีแวนเจลิสท์ จอห์นแยกผองพี่น้องชาวยิวของเขาออกมาจากการฆาตกรรมหมู่

    “แล้วข้าได้เห็นทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งขึ้นมาแต่ทิศตะวันออก ถือดวงตราของพระเจ้าผู้ทรงสภาพอยู่ และท่านร้องประกาศด้วยเสียงอันดังแก่ทูตทั้งสี่ผู้มีอำนาจ และจะทำอันตรายแก่แผ่นดินและทะเลนั้นว่า

    “อย่าทำอันตรายแก่แผ่นดินหรือทะเลหรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราไว้ที่หน้าผากของทาสทั้งหลายของพระเจ้า"

    "และข้าก็ได้ยินว่า จำนวนคนที่รับตราประทานนั้น คือทุกตระกูลในพวกอิสราเอล มี 144,000 คน” (วิวรณ์ 7.2-4)

    จอห์นได้แสดงให้เห็นความตั้งใจของยะโฮวาห์ อย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา ในจำนวนชาวอิสราเอลสิบสองเผ่านั้นเขาได้รวมเอาพวกที่มีความเชื่อมั่นใหม่ ๆ ซึ่งสมควรจะได้รับรางวัลตอบแทนจากเขาเข้าไว้ด้วย ที่เป็นดังนี้ก็เพราะเขาคือสาวกสำคัญคนหนึ่ง จึงต้องรับผิดชอบในการให้ความหมายอย่างใหม่ของข่าวสารของบรรพบุรุษ ไว้ในเนื้อหาคำพยากรณ์บทสุดท้ายอันยิ่งใหญ่ของคัมภีร์ไบเบิ้ล นอกจากนี้เขายังได้กล่าวถึง

    “พวกที่เรียกร้องจะเป็นยิว แต่ไม่ได้เป็น” (วิวรณ์ 2.9)

    นี่มิใช่หมายความว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า พวกโกยิม (ชนชาติอื่นที่ไม่ใช่ยิว) จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นยิวหรอกหรือ? ใช่สิ ถ้าหากพวกเขารู้ว่าชาวยิวมีสิทธิพิเศษในการมีชีวิตรอด จากมหันตภัยครั้งใหญ่ของโลก

    เราก็ได้เคยทราบมาแล้วที่ดาวเทียม มาแทนที่พระอาทิตย์ และได้เห็นยานอวกาศออกมาปฏิบัติการทำลายล้าง คราวนี้เกิดมีวัตถุประหลาดอันที่สามปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งกำลังสับสนอลหม่าน มันคือยานลำเลียงสินค้าที่จะพาชาวยิวไปให้พ้นจากโลกนั่นเอง

    “คนที่ยืนอยู่ในความมืด ได้เห็นแสงสว่างโชติช่วง” (ไอเสยะ 9.2)

    จอห์น ดิ อีแวนเจลิสท์ มีความรู้สึกสังหรณ์อย่างประหลาดกับสภาพซึ่งใกล้เข้ามา มันปรากฏอยู่ในยานอวกาศของยะโฮวาห์ และล้อมรอบด้วยวงรัศมีการแผ่รังสี

    เยรูซาเล็มนครแห่งสวรรค์ จะลงมาสู่พื้นโลกได้ก็เฉพาะแต่ตรวจจุดที่ยะโฮวาห์ได้เลือกตำแหน่งแห่งที่ไว้แล้วเท่านั้น และมันก็เป็นที่ซึ่งเขาตั้งฐานที่มั่น กับเป็นแหล่งพำนักของคนของเขาด้วย

    “ข้าได้เห็นเมืองบริสุทธิ์ คือเมืองเยรูซาเล็มใหม่เลื่อนลอยลงมาจากสวรรค์ แต่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เหมือนอย่างที่เจ้าสาวแต่ตัวไว้สำหรับเจ้าบ่าว ข้าได้ยินเสียงดังมาจากพระที่นั่งว่า “จงดูเถิด พลับพลาของพระเจ้าก็อยู่กับมนุษย์แล้ว พระองค์จะสถิตอยู่กับเขา เขาจะเป็นพลเมืองของพระองค์ พระองค์จะทรงดำรงอยู่กับเขา”” (วิวรณ์ 21.2-3)

    และสถานที่ ๆ คนยิวจะได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากภัยพิบัติ

    “แล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงพูดมาจากสวรรค์ว่า “ขึ้นมาที่นี่เถิด!” และพวกเขาจึงขึ้นไปสู่สวรรค์ในกลุ่มเมฆ โดยเหล่าศัตรูต่างมองเห็นภาพที่ปรากฏชัดเจนเต็มตา” (วิวรณ์ 11.12)

    เมื่อพวกเขาพากันขึ้นไปหมดแล้ว ยานก็ลอยขึ้นสู่อวกาศ

    “ ... มันมีรัศมีของพระเจ้า มีแสงสว่างดุจแก้วที่มีราคามาก คือแก้วมณีโชติอันสดใส” (วิวรณ์ 21.11)

    และทุกอย่างก็เป็นไปตามคำมั่นสัญญา

    “สำหรับผู้ที่ประสพชัยชนะ ข้าจะอนุญาตให้ผู้นั้นนั่งลงกับข้าที่พระที่นั่งของข้า” (วิวรณ์ – ขอโทษครับตัวหนังสือเลือน – ผู้พิมพ์)

    ณ หนแห่งใดในจักรวาล หรือที่เหล่าผู้ปฏิบัติตามวิถีทางของยะโฮวาห์จะถูกพาตัวไป? เราไม่ทราบว่าเวลาจะผ่านไปอีกกี่ร้อยกี่พันปี ก่อนที่โลกจะอยู่อาศัยได้อีกครั้ง จอห์นได้ยืนยันคำพูดของบรรพบุรุษของเขาว่า

    “แล้วข้าก็ได้เห็นสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ เพราะสวรรค์เดิมและโลกเดิม ได้อันตรธานไปแล้ว และไม่มีทะเลอีกต่อไปเลย” (วิวรณ์ 21.1)

    เราน่าจะสังวรเอาไว้ด้วยว่า ยะโฮวาห์ถ่ายทอดข่าวสารภายหลังเริ่มสมัยคริสเตียน และเขาก็ได้แสดงให้เราเข้าใจว่าเขายังไม่ได้ทิ้งแผนเดิมของเขา คำขู่ของเขาไม่ได้หมายที่จะทำกับพวกโมอะไบท์ หรือพวกอัสซีเรียให้หวาดกลัวเท่านั้น และเขายังคงมีความตั้งใจที่จะโยกย้ายคนของเขา ซึ่งเขาปั้นแต่งมาด้วยมือตัวเอง ตั้งแต่ยุคมืดสมัยหินบนโลกเรานี้

    ปีเตอร์ได้เปิดเผยเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา และขอให้เราอย่าได้ดูถูกเรื่องที่เขากล่าวถึงเป็นอันขาด ...

    “จงจำไว้ว่าในเวลาวันสุดท้าย คนประมาทหมิ่นจะบังเกิดขึ้น และประพฤติตามใจปรารถนาของตน และจะถามว่า “คำที่ทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะเสด็จมานั้น อยู่ที่ไหนเล่า? ด้วยว่าตั้งแต่บรรพบุรุษล่วงลับไปแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอยู่เหมือนที่ได้มีอยู่ตั้งแต่เดิมทรงสร้างโลก” เพราะว่าข้อนี้เขาแกล้งลืมเสีย คือว่าโดยคำตรัสของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์จึงได้อุบัติขึ้นตั้งแต่บุพกาลและแผ่นดินจึงได้เกิดขึ้นแยกจากน้ำ และท่ามกลางน้ำ โดยเหตุเหล่นี้พระองค์จึงได้ทรงบันดาลให้น้ำมาท่วมทำลายโลกที่มีอยู่ในเวลานั้น

    แต่ว่าท้องฟ้าอากาศ และแผ่นดินโลกที่อยู่เดี๋ยวนี้พระองค์ทรงเก็บงำไว้ โดยคำตรัสนั้นสำหรับให้ไฟเผา คือเก็บไว้จนถึงวันทรงพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาทุรชน เพื่อนเอ๋ย อย่าลืมข้อนี้เสียล่ะ เพราะว่าวันเดียวของพระเจ้าเหมือนพันปี และพันปีก็เหมือนวันเดียว พระเป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในคำมั่นสัญญาของพระองค์เหมือนบางคนคิดช้านั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายเป็นช้านาน ไม่ประสงค์จะให้คนหนึ่งคนใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาจะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่

    แต่ว่าวันของพระเจ้าคงจะมาเหมือนอย่างขโมยตอดมาและวันนั้น ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยเสียงสนั่น โลกธาตุจะละลายไปด้วยไฟอันร้อนยิ่ง และแผ่นดินโลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้น ครั้งเห็นแล้วว่าสรรพสิ่งนี้ต้องละลายไปสิ้น ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนอย่างไรในการประพฤติอันบริสุทธิ์และในธรรม รอคอยและกระหายที่จะให้วันของพระเจ้ามาถึง เมื่อไฟจะติดท้องฟ้าอากาศให้ละลายไปและโลกธาตุจะละลายด้วยไฟอันร้อนยิ่ง? แต่ว่าตามคำมั่นสัญญาของพระองค์นั้นเราจะรอคอยท้องฟ้าอากาศใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่ ซึ่งจะเป็นที่ที่ความชอบธรรมจะดำรงอยู่” (2 ปีเตอร์ 3.3-13)

    ที่ผมยกเอาคำพยากรณ์นี้มาทั้งดุ้น ก็เพราะผมถือว่าเนื้อหาอันสำคัญนี้ถูกส่งผ่านมาถึงเรา โดยอำนาจลึกลับอันหนึ่ง ก็เหมือนกับการส่งข่าวมาในขวด ให้ลอยอยู่ในมหาสมุทรนั่นแหละครับ ตามความเห็นของผม ยะโฮวาห์ไม่ใช่เทพเจ้าโบราณคร่ำครึอย่างเทพเจ้าจูปิเตอร์ หรือเทพเจ้าไวทัน และพวกชาวยิวในสมัยปัจจุบันนี้เองที่เขากำลังเตรียมจะพาขึ้นไปสู่นครเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ชั้นฟ้า โลกใหม่ก็คือดาวนพเคราะห์ดวงอื่นมันอยู่ที่ไหนน่ะหรือ? บางทีจะอยู่ไกลออกไปจากระบบสุริยะจักรวาลของเราก็ได้ จอห์นกล่าวว่า “โลกเดิมได้อันตรธานไป” ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดพ้นภัยไปแล้วจะไม่ได้เห็นโลกอีก เพราะพวกเขาจะต้องจากมันตลอดกาล มุ่งตรงออกไปสู่ความน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านี้มาก

    “คนจะพูดว่าแผ่นดินเดิม ซึ่งสูญเสียไปนี้จะกลายเป็นเหมือนดังเช่นสวนอีเด็น” (อีซีเกิล 36.35)

    “ ... พระเจ้าได้ทรงช่วยนครไซอัน ตลอดจนบ้านเรือนที่พินาศให้ได้รับความสุขสบาย เปลี่ยนจากความป่าเถื่อนเป็นสวนสวรรค์” (ไอเสยะ 51.3) ...

    ความสุขเกษมเปรมปรีดิ์และความยุติธรรมจะปกครองอาณาจักรของพระเจ้า นี่มิใช่จินตนาการใฝ่ฝันของคนที่เจ็บปวดทนทุกข์ทรมานต่อเมืองแมนแดนสวรรค์ซึ่งสาบสูญไป และพยายามคิดว่าตัวเองจะได้พบกับมันอีกหรือ? ทำไมมันจะเกิดขึ้นกับเหล่าผู้อยู่นอกโลกไม่ได้ล่ะ? มันก็เหมือนกับวิธีการที่นักทฤษฎีทางการเมืองของเราชอบนำเอามาอ้าง และโกหกหลอกลวงประชาชนนั่นเอง แต่ข้อแตกต่างระหว่างพวกเขากับนักการเมืองของเราอยู่ที่ พวกเขารู้วิธีนำเอาความคิดมาใช้ในทางปฏิบัติอย่างได้ผลต่างหาก

    เวลาการนัดชุมนุมกันในอวกาศ ได้กำหนดเอาไว้แล้ว สำหรับชาติอื่น ๆ ที่ไม่อยู่ในข่าย ยิ่งช้าก็ยิ่งดี ผมมีหลักฐานอันใดหรือที่ทำให้คิดว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว? ... นักคำนวณเก่ง ๆ จำนวนมากที่อ่านคำพยากรณ์ ในขณะที่ดินสอพร้อมอยู่ในมือ พวกเขามักจะไปลงเอยกันที่ตัวเลข 2000 เสมอ บางครั้งเขาก็ได้มันมาโดยตรง อย่างที่บันทึกของ ‘สาธุคุณจอห์นแห่งเคลฟร็อค’ เขียนไว้เมื่อปี ค.ศ.1340 กล่าวเอาไว้ว่า หลังศตวรรษที่ 20 ของโลก สัตว์ร้ายก็จะถูกส่งมาเกิดด้วย และนั่นก็คือ ในราวปี ค.ศ.2000 ‘คุณแม่ชิฟตัน’ พยากรณ์ไว้เมื่อต้นศตวรรษที่ 16 ว่า โลกจะถึงวาระสุดท้ายในปี ค.ศ.1991

    ผมขอพูดให้ชัดลงไปเลยว่า การคาดคะเนแบบนี้รู้สึกจะเป็นปัญหาเกินไปสำหรับผมเอง ถึงแม้มันอาจจะมีประโยชน์ต่อข้อมูลพื้นฐานสำหรับการพยากรณ์จริง ๆ จัง ๆ ก็ตามที ความเห็นส่วนตัวผมเองนั้น เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่ประดังกันขึ้นมานับแต่ต้นศตวรรษนี้ มันมีแต่ความไม่สงบเสียมากกว่า ขั้นแรกของการปฏิบัติการล้างโลกของยะโฮวาห์ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ค.ศ.1917 ด้วยคำประกาศของ ‘ลอร์ด มัลโฟร์’ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ให้ปาเลสไตน์เป็นบ้านเกิดเมืองนอนของชนชาติยิว แม้ตอนนั้นจะไม่มีผลบังคับทางการเมืองนัก แต่มันก็เป็นสาเหตุโดยตรงอันหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการก่อตั้งประเทศของคนยิวขึ้นมาในปี ค.ศ.1947

    แต่ใครล่ะจะกล้ายอมรับ ว่ามันเป็นสาเหตุของภัยพิบัติและนำความมรณะมาสู่โลกเรา เพราะชัยชนะนี้หมายถึงว่าชาวยิวสามารถรักษากำหนดการนัดพบชุมนุมกัน ซึ่งยะโฮวาห์ได้ทำไว้กับพวกเขาอย่างอิสระ และนั่นคือโอกาสเดียวของพวกเขาที่จะมีชีวิตรอดอยู่ได้ ถนนที่มุ่งสู่ปาเลสไตน์ ต้องเปิดออกเพื่อกระตุ้นให้หมอสอนศาสนาจากอวกาศได้ปฏิบัติตามที่เขาพูดไว้ว่าเขาจะทำ

    มีใครบอกพวกเขาถึงการนัดชุมนุมกันงั้นหรือ?

    มีคำสั่งลึกลับ ถูกบอกต่อ ๆ กันในสุเหร่ายิวหรือ?

    เรื่องนี้ต้องมีใครบางคนรู้ แต่พวกเขาจะไม่ยอมพูดอะไรเลย คนยิวส่วนใหญ่จะต้องฉงนสนเท่ห์หากพวกเขาถูกถามถึงเรื่องนี้

    ถ้างั้นอะไรทำให้คนยิวกลับประเทศเดิม นับตั้งแต่เริ่มศตวรรษนี้เป็นต้นมา แน่นอนเราหาสาเหตุได้หลายประการ แต่ที่ลึกซึ้งกว่านั้นล่ะ?

    การปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส ทำให้ข้าวยากหมากแพง ตลอดจนความอ่อนแอของระบบการปกครอง แบบกษัตริย์ไม่อาจนำมาเป็นเหตุผลใช้อธิบายได้พอเพียง และการที่คนยิวมุ่งสู่นครเยรูซาเล็มเป็นระลอกในรอบทศวรรษที่ผ่านมา ก็หาเหตุผลที่พิเศษโดยเฉพาะไม่ได้เช่นเดียวกัน

    เพราะฉะนั้น มันจึงน่าจะเป็นจิตสำนึกอะไรบางอย่างซึ่งมีอยู่ในตัวพวกเขาแต่ละคนโดยที่พวกเขาเองก็ไม่รู้ และถูกควบคุมพฤติกรรมอันนี้อยู่อย่างเร้นลับโดยใครสักคน ... เขาผู้นั้นคือ ยะโฮวาห์!!

    นักชีววิทยาผู้นี้ใช้กฎธรรมชาติอันใดหรือ?

    มันก็เป็นกฎเดียวกับที่ทำให้นกตะกรุม หรือนกกระสากลับไปยังแหล่งที่พวกมันถูกฟักออกมานั่นแหละ หรืออย่างเช่นพวกนกระจอก ซึ่งกล่าวถึงบ่อย ๆ ในไบเบิ้ล มันจะเชื่อแรงกระตุ้นเช่นนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย คือเมื่อสภาพอากาศหนาวจัดผิดปกติ มันจะเข้าใจผิด รีบออกไข่ฟักเป็นลูกครอกถัดไป แล้วทิ้งตัวอ่อนของมันไว้ บินจากไปเมื่อสัญชาติญาณเช่นว่าเกิดขึ้น การที่เราจะเอาสัญชาติญาณของนกเหล่านี้มาเปรียบกับมนุษย์ จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอกหรือ?

    ตามแผนระยะยาวและวิธีปฏิบัติของยะโฮวาห์นั้น ชาวยิวถูกเทียมแอกมาตั้งแต่เริ่มกำเนิดชนชาติของเขาแล้ว พวกเขาจะกลับไปยังหมู่ดาว ที่ซึ่งพวกเขาได้จากมาโดยขั้นแรกต้องเดินทางไปยังที่ซึ่งนครเยรูซาเล็มใหม่ จะลงมาพาเขาขึ้นไปและตอนนี้พวกเขาก็กำลังมุ่งหน้าสู่แหล่งชุมนุมชนกัน อย่างปราศจากการขัดขืน ไอเสยะรู้เรื่องนี้ดี หรืออย่างน้อยเขาก็ได้เขียนมันขึ้นมาตามคำบอกของเจ้านายอาคันตุกะต่างดาวของเขา เพื่อบันทึกเป็นความทรงจำเอาไว้ด้วย ...

    “คนเหล่านี้ซึ่งล่องลอยไปเหมือนหมู่เมฆหรือบินไปเหมือนนกเขา เป็นใครกันหนอ? “ (ไอเสยะ 60.8)

    ไอเสยะกล่าวถึงเรื่องเดียวกันนี้ และค่อนข้างจะเห็นถนัดชัดเจนกว่าเสียอีกว่า

    “ ... เหล่าลูกชายของข้าจะโผล่ออกมาจากทางทิศตะวันตกด้วยความรวดเร็ว พวกเขาจะมารวดเร็วมาก บินมาเหมือนนกจากอียิปต์ เหมือนนกพิราบจากอัสไซเรีย” (โฮเสยะ 11.10-11)

    เมื่อยะโฮวาห์ กล่าวคำว่า ‘ชาโลม’ (สันติสุข) เขาจะพบกับอะไรในพื้นที่หรือบริเวณที่เขาจะลงมา? ก่อนอื่นขอให้เราตีเสียว่า เวลาและสถานที่จะถูกกำหนดไว้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งซึ่งเราไม่ทราบ อาจจะเป็นที่ ‘ภูเขาคาร์เมล’ หรือภูเขาที่สูงใกล้เคียงกันเช่น ‘ภูเขาเมกิดโด’ (อาร์มาเกดดอน) ซึ่งจอห์นเอ่ยถึงในวิวรณ์บทที่ 16 ตอนที่ 16

    “แล้วพวกเขาจึงมารวมกันอยู่ ณ สถานที่ซึ่งในภาษาฮีบรูว์เรียกว่า “อาร์มาเกดดอน” มันเป็นสถานที่ซึ่งอีไลจาห์เคยขอร้องให้ ‘กษัตริย์อาฮับ’ ใช้เป็นจุดชุมนุมเพื่อเดินทางไกล

    “ดังนั้นอาฮับจึงส่งข่าวให้ชาวอิสราเอลและศาสดาพยากรณ์ทุกคนไปที่ภูเขาคาร์เมล” (1 คิงส์ 18.20) จุดประสงค์ของการชุมนุมนี้ ก็เพื่อทำพิธีบูชาไฟและแสงสว่างให้ยะโฮวาห์ลงมา เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของอีไลจาห์ และการเลือกเอาจุดนั้นมันต้องมีคุณค่าอะไรบางอย่างโดยเฉพาะ

    ผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นจึงจะได้รับข่าวสารที่แน่นอน แต่ทั้งนี้ มีเหตุผลพอจะเชื่อได้ว่า เมื่อมหันตภัยเกิดขึ้น ทุกคนจะต้องพยายามเล็ดลอดปะปนอยู่ในหมู่ชาวยิว เพื่อการอยู่รอดอย่างแน่นอนในเวลาเช่นนั้น ไม่ว่าใครมีชาติกำเนิดเช่นไร ความปรารถนาอย่างเดียวของพวกเขาก็คือ ... หนีไปสู่ดาวเคราะห์ดวงใหม่พร้อมกับชาวยิว

    จอห์นตระหนักถึงข้อนี้ดี เขาได้ถ่ายทอดคำตำหนิของยะโฮวาห์ต่อ “ผู้ที่เรียกร้องที่จะเป็นชาวยิว แต่ไม่ได้เป็น” โดยบอกผู้ที่จะไปกับพระเจ้าว่า “ข้าจะมาในไม่ช้านี้ จงเก็บของที่พวกเจ้ามีอยู่ไว้ให้มั่นคง อย่าให้ใครมาขโมยมงกุฎของพวกเจ้าไปได้” (วิวรณ์ 3.11)

    จำนวนผู้โดยสารสู่อวกาศคงจะต้องมีจำกัด ถึงแม้มันจะมีมากกว่า 144,000 คน ตามที่กล่าวไว้ในวิวรณ์ก็ตาม แต่นั่นเป็นเพียงตัวเลขลอย ๆ เท่านั้น ดังนั้นหากพวกเขาอยู่กันตามลำพังในประเทศที่ภูเขาคาร์เมลตั้งอยู่ มันก็จะเป็นประโยชน์และสะดวกต่อการอพยพไปสู่ดินแดนใหม่เท่านั้น

    จากคุณ : สุธี - [ 9 ก.ย. 48 07:11:25 ]

    ที่มา http://palungjit.org/threads/ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่.3906/page-1255
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  17. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    "ภัยน้ำมือมนุษย์" ใกล้จะอุบัติขึ้นแล้ว !!!

    natatik สมาชิก

    สังเกตุช่วงนี้แม้ว่าประเทศไทยจะยังไม่เกิดเหตุภัยพิบัติ(ทางธรรมชาติ)ใหญ่ ๆ แต่จะะเกิดเหตุการณ์ฆ่ากันตายเยอะมากเลยค่ะ เคยอ่านในกระทู้คุณแก้มแดง เตือนเรื่องมารกำลังเข้ามา ขออนุญาตนำกระทู้มาเล่าสู่กันฟังนะค่ะ

    แก้มแดง สมาชิก

    เหตุที่ให้แก้มแดงเข้ามาในกระทู้นี้อีกครั้ง เนื่องด้วยมีบางเรื่องที่ยังไม่ได้บอกให้คนบุญทราบ ซึ่งมันค้างคาใจทำให้ไม่สบายใจ เกรงว่าคนบุญจะหมดความเพียรในการมีชีวิตอยู่เมื่อภัยพิบัติรุมเร้า ดังนั้นจะขอแจ้งบอกสิ่งที่คนบุญจะต้องทำในอนาคตเพื่อเป็นความหวังเล็กๆ โดยจะขอตั้งเป็นตุ๊กตาไว้ให้พิจารณา ในรายละเอียดหยาบๆตามลำดับ ส่วนเรื่องพ่อฯสั่งห้ามพิจารณาต่อนั้นก็ยังยืนตามคำที่ท่านสั่งตามเดิมคือไม่พิจารณาเดินหน้าต่ออย่างเป็นลำดับเหตุการณ์

    อีกอย่างวันที่ผมได้ไปพบพ่อฯ ที่แก้มแดงไม่ได้บอกคนบุญ… แต่ได้เฝ้าติดตามสังเกตอยู่อย่างเงียบๆ พ่อฯได้บอกว่า ต่อไปนี้อย่าได้พยายามกลับบ้านมืดค่ำดึกๆดื่นๆ หรือออกไปทำงานก่อนสว่างจะอันตราย(ถ้าเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องรู้ความเคลื่อนไหวและหาทางป้องกันตัวไว้) ไม่ปลอดภัย เพราะว่าพวกอสูรกาย ผีป่าต่างๆจะเริ่มเข้าสิงผู้คนให้ทำในสิ่งที่ผิดปกติ ไปในแนวทางที่รุนแรงที่ไม่ใช่คน หรือเข้ามาผสมโรงเพื่อทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายขึ้น หรือมีอันเป็นไป

    ซึ่งถ้ามันสิงได้ มันจะทำตามใจมันที่มันอยากจะทำ ส่วนใหญ่จะไปในทางร้ายทั้งสิ้น(ตรงนี้ขอให้คนบุญสังเกตข่าวคราวต่างๆที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองและอุบัติเหตุต่างๆที่เกิดขึ้น ท่านก็จะรู้คำตอบเอง) แก้มแดงพิจารณาเห็นว่าพวกผีป่า พวกอสูรกายเริ่มเข้าเมืองกันแล้ว เริ่มเข้ายึดพื้นที่กันแล้วต้องมีอะไรที่ผิดปกติ แก้มแดงเลยยังชะลอไม่บอกจนกว่าจะสังเกตเห็นความจริง…จนวันนี้ได้เห็นความจริงแล้ว เลยได้แจ้งคนบุญทั้งหลายให้ได้ทราบกันไว้ เราจะเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากมายผิดปกติบนท้องถนน ผู้คนฆ่ากันไล่ยิงกันกลางถนน

    เรื่องราวต่างๆส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลังตะวันตกดิน รุนแรงขึ้นและถี่ขึ้นอย่างผิดปกติ ขอคนบุญทั้งหลายให้สังเกตดีๆหนอ…แต่ไม่อยากให้ตื่นตระหนก ผมเพียงแจ้งให้ทราบไว้เพื่อความไม่ประมาท ในการใช้ชีวิตของท่านและครอบครัว บัดนี้ถึงเวลาอันสมควรแก่เหตุการณ์หรือที่แก้มแดงได้พิจารณา เรื่องเงื่อนเวลาที่ได้ให้ไว้แล้วและขอแจ้งอีกเรื่องหนึ่ง ดาวเคราะห์ที่จะมา พ่อฯได้บอกผมไว้เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้วว่าให้ระวังเรื่องน้ำอย่างเดียว จะเสียหายแบบที่ประเมินค่าไม่ได้เลยคนจะตายกันเกลื่อน

    ตรงนี้ถ้าคนบุญพิจารณาถูกต้อง ถูกทิศถูกทางถูกธรรมอย่างเป็นธรรมชาติแล้ว ท่านย่อมเห็นเหตุและผลที่มันต้องเกิดว่า เราเป็นเพียงตัวละครที่ได้ถูกกำหนดให้เล่นไปตามบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบเท่านั้นเอง จุดหมายปลายทางของโลกและประเทศไทยนั้นจะจบลงอย่างไรท่านทั้งหลายคงทราบกันดีอยู่แล้ว

    แหล่งที่มาของข้อมูล : ตามรอย "พระมหาชนก"

    ฮั้วโต๋ สมาชิก

    ...ใช่ๆๆๆๆๆ."เห็นด้วยตามนั้น"ภัยน้ำมือมนุษย์...ขอบคุณที่ท่านนำมาแชร์ เพื่อประโยชน์มหาชน.สาธุครับ....

    เจริญในธรรม มีพระพุทธเจ้าในจิตให้มาก ๆ

    ...ภาพท้องฟ้าแดงในค่ำวันนี้(11-11-2012) บ่งบอกถึงภัยจากการปรับสมดุลย์ธาตุ เริ่มขึ้นในพื้นที่ที่เสียสมดุลย์มากที่สุด.ของไทยเราทางด้านฝั่งและทิศตะวันออก.ในบางส่วน.เป็นการตักเตือน(เชือดไก่ให้ลิงดู)...ในกลุ่มรวม...
    ..ในรายบุคคล.ในพื้นที่ที่ทั่วทุกจังหวัดของไทย.สำหรับบุคคลที่บังอาจปรามาสในพระรัตนตรัย.ลำดับที่

    1.ปรามาสในพระธรรม.
    2.ปรามาสในพระพุทธเจ้า.
    3.ปรามาสในพระสงฆ์.และบุคคลที่ทำหน้าที่โดยตรงในพระศาสนา.
    4.มิจฉาปฏิบัติทั้งบุคคลและคณะ.
    5.คนทุศีล.....

    เจริญในธรรม มีพระพุทธเจ้าในจิตให้มาก ๆ

    ..สัญญลักษณ์ของสัญญาณฟ้าที่แบ่งการทำลาย.เป็นการทำลายในรายบุคคล.และ 1-5.ประเภทที่กล่าวไว้.

    เจริญในธรรม มีพระพุทธเจ้าในจิตให้มาก ๆ

    ที่มา http://palungjit.org/threads/สัญญาณฟ้าเตือนภัยพิบัติ.294356/page-436
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  18. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เตรียมการเคลื่อนย้ายคนดีมีศีลธรรมไปไว้ในมิติอื่นๆ ในยามที่เกิดภัยพิบัติ !!!

    "เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย" ของมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา

    สิ่งที่จะได้กล่าวต่อไปนี้ เป็นข้อมูลที่ได้รับการสื่อสารมาจากผู้ทรงภูมิปัญญาจากต่างดาว ซึ่งได้มีการมาเตรียมความพร้อมในการให้ความช่วยเหลือมนุษย์ ในเวลาที่เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนโลกใบนี้ การมาเตรียมการให้ความ ช่วยเหลือโลกมนุษย์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ เป็นการเตรียมการมานับพันปี ระดมกันกันมาจากหลายดวงดาว เรียกว่า สหพันธ์แห่งดวงดาว

    คือดวงดาวต่างๆ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มสากล ซึ่งแต่ละดวงดาว มีความเชี่ยวชาญในงานแต่ละด้านแตกต่างกัน บางดาวเชี่ยวชาญในด้านของเทคโนโลยี บางดวงดาวเชี่ยวชาญด้านชีวภาพ พืชพรรณธัญญาหาร บางดาวเชี่ยวชาญด้านมิติ บางดาวเชี่ยวชาญด้านยกระดับจิต ด้านสมาธิจิต บางดาวเชี่ยวชาญด้านพลังงาน บางดาวเชี่ยวชาญด้านกายภาพ บางดาวเชี่ยวชาญด้านสร้างสภาวะแวดล้อมเช่นสร้างใยแก้วป้องกันรังสี นิวเคลียร์ บางดาวเชี่ยวชาญด้านทำลายรังสีตกค้าง เพื่อป้องกันสภาพแวดล้อมแล้วให้สามารถอาศัยอยู่ได้

    ดังนั้น เมื่อมนุษย์ต่างดาว ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านได้มาร่วมโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติในครั้งนี้้ แต่ละดวงดาวจึงได้มีการวางตัวผู้ที่จะเป็นตัวแทนของมนุษย์โลกที่จะต้องทำหน้าที่ในด้านต่างๆร่วมกับมนุษย์ต่างดาวในดวงดาวนั้นไว้ก่อนแล้ว บุคคลนั้นๆก็จะได้รับการสื่อสาร ได้มีการสัมผัสกับสิ่งแปลกๆ คืออุปกรณ์ต่างๆ พลังงานรูปแบบต่างๆที่สอดคล้องกับสิ่งที่จะต้องทำงานร่วมกับเขานั้น

    จึงจะเห็นได้ว่า มีมนุษย์โลกมากมายหลายกลุ่ม หลายประเทศ ติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวได้ และมาจากดวงดาวที่มีชื่อเรียกต่างๆมากมาย ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ ชื่อดวงดาวแตกต่างกัน มีการสื่อสารมาแตกต่างกัน มีการรับรูปแบบของเทคโนโลยีแตกต่างกันไป แม้ในประเทศไทยเอง ก็จะพบว่ามีแต่ละกลุ่มแต่ละดวงดาว ที่สื่อสารกับกลุ่มนั้นๆมีการบอกกล่าว มีการเตรียมการ มีการให้เทคโนโลยี หรืออุปกรณ์กับกลุ่มนั้นๆแตกต่างกันไปตามงานที่เขาต้องทำ

    จึงไม่อาจทราบได้ว่า กลุ่มนั้นๆรับข้อมูลใดบ้าง ติดต่อกับดาวดวงใดบ้าง หรือเขามีหน้าที่เตรียมงานในส่วนใดบ้าง เพราะแต่ละที่ แต่ละกลุ่มก็ทำตามข้อมูลที่ได้รับมานั้นๆ ดังนั้น ในส่วนของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) เป็นกลุ่มที่ได้รับข้อมูลมาเพื่อการประสานงานกับกลุ่มต่างๆ การเตือนภัยพิบัติหากมีการส่งข้อมูลมาให้เตือนมนุษย์โลก การเตรียมอุปกรณ์ในด้านต่างๆเพื่อให้ความช่วยเหลือ การยกระดับจิตของผู้ทำงานและผู้ที่ได้รับทราบในโครงการนี้

    การเตือนเรื่องของภัยพิบัติ จึงต้องมีการเผยแพร่ข่าวสารออกสู่สาธารณะ ให้คนทั่วไปได้รับทราบ จึงต้องมีการจัดทำกิจกรรมขึ้น มีการแจ้งเพื่อทราบผ่านกิจกรรมนั้นๆ มีการนำอุปกรณ์ไปทำการรักษาผู้ป่วย สแกนกรรม หรือดำเนินการเรื่องอื่นๆ ก็เพื่อเป็นการเปิดเผยเรื่องราวของมนุษย์ต่างดาวที่มาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์โลก และให้รับรู้ถึงเทคโนโลยี ที่จะมีการนำมาช่วยเหลือได้จริงในวิกฤติที่จะเกิดขึ้นนั้น

    อุปกรณ์เทคโนโลยีจากต่างดาว ผลิตหลายแบบ หลายชนิด และมีประสิทธิภาพเพื่อการใช้งานได้จริง ผลิตมามากมายเพื่อแจกให้มนุษย์โลกได้นำไปช่วยเหลือในยามวิกฤติ มีตัวอย่างอุปกรณ์หลายชนิดที่นำมาให้ทดลองใช้แล้ว ในผู้ฝึกรุ่นแรก ที่เขากะลา ซึ่งในรุ่นถัดมา สิ่งเหล่านี้ ได้มีการนำมาให้ใช้ มาให้เห็น มาให้พบเจอ เพื่อเป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เขากะลารุ่นแรกพบเจอนั้น มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และได้มีการนำอุปกรณ์นั้นมาให้รุ่นต่อไปได้รับทราบด้วยเช่นกัน

    เรื่องของมิติ เป็นเรื่องที่มีการพบเห็นมากในช่วงนี้ มีการพบเห็นมิติทับซ้อนกันมากมายในช่วงนี้ เข้าออกมิติเป็นว่าเล่น เห็นบุคคลจากต่างมิติอยู่บ่อยๆ เห็นภพภูมิต่างๆที่อยู่คนละมิติกับท่าน ซึ่งอาจเป็นงานที่รับมาเพื่อทำหน้าที่นำพาบุคคลอื่นๆ ไปยังมิติต่างๆ ที่ปลอดภัยในช่วงวิกฤติก็เป็นได้

    เรื่องมิติ มีการทำให้เห็นอย่างต่อเนื่องมากมาย แม้รถหายทั้งคัน ยังช่วยกันเดินหา เดินผ่านรถไปมาก็ไม่เจอ จนจะแจ้งความรถหาย รถก็โผล่มาให้เห็นตรงจุดเดิมนั่นเอง ซึ่งระบบบอกว่า อยู่คนละมิติ จึงรู้ว่าเรื่องของมิติ มีการเปิดให้เห็นได้ ให้เข้า-ออกได้ ซึ่งอาจจำเป็นใช้ในช่วงวิกฤติ (เคยพบเจอมาแล้วด้วยตนเอง และผู้ฝึกหลายท่านในช่วงฝึกใช้อุปกรณ์)

    หรือการย้ายมวลสาร คือการสลายมวลสารจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง เรื่องนี้ระบบทำให้เห็นหลายครั้ง ย้ายทั้งวัตถุ ทั้งเงิน ทั้งแหวน ทั้งสิ่งของ ทั้งอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆ ไปไว้อีกที่หนึ่ง ทำบ่อยๆเป็นประจำ ซึ่งอาจมีการนำมาใช้ในช่วงวิกฤติ การที่จะเดินทางไปยังจุดต่างๆ การที่จะให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อาจถูกสลายมวลสารแล้วส่งไปยังจุดนั้นๆได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกใดๆ (อุปกรณ์นี้ได้พบเจอด้วยตนเองและผู้ฝึกอื่น)

    มองทะลุกำแพง คืออยู่นอกห้อง มองเข้าไปในห้องเห็นผู้ที่อยู่ในห้องว่ากำลังทำอะไร มองด้วยตาเนื้อทะลุผ่านกำแพงปูนอย่างหนาได้ พอเปิดประตูเข้าไป คนอยู่ในห้องก็กำลังทำสิ่งที่มองเห็นอยู่ ระบบทำให้ผู้ฝึกเห็นอุปกรณ์ที่มองผ่านทะลุวัตถุได้ โดยทำให้เห็นเป็นตัวอย่าง (มีตัวอย่างแล้ว) และอีกท่าน อยู่ตึกชั้น 3 ใน 5 ชั้น นอนหงายบนเตียงในตอนกลางคืน มองทะลุเพดานห้องเห็นดาวเต็มท้องฟ้า เห็นพระจันทร์ จึงตกใจว่าทำไมจึงมองเห็นได้ มองทะลุเพดานชั้น 4 ชั้น 5 ขึ้นไป พอออกมาดูที่ระเบียงก็เห็นดาวและพระจันทร์อย่างที่มองเห็นในห้องเหมือนกัน(มีตัวอย่างแล้ว)

    การรักษาพยาบาล ก็มีตัวอย่างให้เห็นแล้วด้วยอุปกรณ์การแพทย์ ในรุ่นแรกก็มีให้เห็นแต่ไม่ค่อยเด่นชัดนัก เพราะส่วนใหญ่จะรักษาตัวเองมากกว่า เลยไม่ค่อยเห็นได้ชัดเหมือนรุ่น 2 นี้(มีตัวอย่างแล้ว)บางท่านมีไฟฟ้าพลังงานมากมายในร่างกาย ท่านอาจจะเป็นผู้ที่ได้รับการสื่อสารให้ทำงานร่วมกับพลังงานในรูปแบบใหม่ที่ สามารถพบได้ หาได้ อยู่ได้ ใช้ได้ โดยไม่ต้องใช้พลังงานแบบเดิม บางครั้งเหมือนล่องลอย เหมือนเหาะเหิน เหมือนฝัน เหมือนจริงสลับกันไป ท่านอาจมาทำงานแบบไม่ต้องใช้กายเนื้อ ทำงานด้วยกายใน อาจสะดวกกับงานของท่านก็เป็นได้(มีตัวอย่างแล้ว)

    ซึ่งกรณีนี้ พี่สุดใจ (ผู้เขียนค่ะ ไม่ใช่เจ้าของบล็อก) เคยเจออุปกรณ์มาแล้ว พอลืมตาจะหยุด พอหลับตา ก็จะเคลื่อนที่ผ่านสถานที่ต่างๆ เหมือนเรายืนอยู่บนลากเลื่อน แล้วลอยไปเรื่อยๆ ตอนแรกจะเป็นช่องกำแพงแคบๆ แล้วเราเลื่อนผ่านไป พอออกจากกำแพง ก็จะผ่านแม่น้ำ ผ่านถนนที่มีบ้านสองฟากข้าง ผ่านบ้านเรือนแปลกๆที่ไม่เคยเห็น บ้านใหญ่ๆ มากมาย แต่ไม่พบคนพักอาศัย เห็นแต่ถนน อาคารบ้านเรือน แต่ไม่ใช่ประเทศไทย ไปหลายสถานที่ ฝึกใช้อุปกรณ์นี้ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ แล้วอาการเหล่านี้ก็หายไป

    หรือบางครั้งการที่นอนหลับ กายเนื้อนอนหลับไปแล้ว แต่สติภายในยังตื่นอยู่ ยังนอนดูกายเนื้อที่นอนหลับอยู่ เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ บางคนอาจเคยออกจากขันธ์ 5 ไปข้างนอกได้ ไปพบเจอเรื่องต่างๆได้ แล้วกลับมา แต่บางคนยังออกไปจากขันธ์ 5 ไม่ได้ จึงนอนดูขันธ์หลับ เรียกว่าอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ได้ติดกัน ซึ่งกรณีนี้ พี่สุดใจเป็นอยู่ ตั้งแต่ในช่วงฝึกเมื่อ 10 ปีก่อนบ่อยมาก และหลังฝึกเสร็จ หายไปช่วงหนึ่ง และตอนนี้ก็ยังคงเป็นอยู่ในบางครั้ง ซึ่งนั่นหมายความว่า งานข้างหน้าที่ต้องทำอาจไม่พร้อมที่จะพากายหยาบไปด้วย

    บางท่านกายเนื้อนอนหลับ แต่ผู้ดูมีสติเห็นการนอนหลับนั้น แล้วเมื่อถึงเวลาจะลุกออกไปนอกห้อง ลุกขึ้นมาแล้วเปิดประตู เปิดไม่ได้ หันไปอ้าวยังนอนอยู่บนเตียง กลับไปนอนใหม่แล้วลุกไปเปิดประตู เปิดไม่ได้ กายเนื้อยังไม่ลุกขึ้น ลงไปนอนใหม่ ครั้งที่ 3 จึงลุกมาพร้อมกันแล้วเปิดประตูออกมาได้ (มีตัวอย่างแล้ว)

    บางครั้งมีการเห็นภาพผ่านจอคล้ายจอทีวี ซึ่งเป็นกรอบสี่เหลี่ยมอยู่ด้านหน้าตนเอง ซึ่งในช่วงฝึกเรียนรู้อุปกรณ์ จะมีการติดตั้งอุปกรณ์นี้ให้ผู้ฝึก 2 ได้ทดลองใช้ เรียกว่า มีการฉายภาพให้ชมตลอดเวลา แต่ตอนนั้น ฉายเป็นภาพยนต์ฝรั่งจอหนึ่ง ภาพยนต์จีนจอหนึ่ง ผู้ฝึกก็ไม่ได้เห็นความวิเศษแต่อย่างใด แต่ต้องปล่อยวาง หากเกิดรำคาญจอด้านหน้าที่ส่งแต่ภาพมาเรื่อย ก็ต้องฝึกสติแยกออกมาจากอารมณ์เหล่านั้น เรียกว่ามีสติเห็นอุปกรณ์กำลังทำงานนั่นเอง ในตอนนี้ อุปกรณ์นี้มีการติดตั้งให้เขากะลารุ่น 2 ได้ทดลองใช้แล้วหลายท่าน และนำไปทำกิจกรรม โดยเห็นภาพผ่านจอ และพัฒนาอุปกรณ์ไปเรื่อยๆตามการปล่อยวาง

    อุปกรณ์แปลภาษา มีการติดตั้งอุปกรณ์แปลภาษา จากผู้ฝึกที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ พอให้ประมวลพลังรับคลื่นจากต่างดาว บุคคลนี้พูดภาษาอังกฤษตลอด 1 ชั่วโมง พูดคุย หัวเราะ ร้องเพลงด้วยภาษาอังกฤษทั้งหมด และเป็นภาษาอังกฤษที่เป็นคนต่างชาติพูด เหมือนดูสารคดีดิสคอปเวอรี่ ที่ไม่ได้แปลไทย คือสำเนียงการพูดเหมือนคนชาตินั้นพูดเอง เป็นอุปกรณ์ที่อาจต้องสื่อสารกับชาวตะวันตก หากติดตั้งกับท่านใด ไม่ต้องกลัวว่าจะพูดกับต่างชาติไม่ได้ เพราะอุปกรณ์มีหลายภาษา (อุปกรณ์นี้เคยเห็นมาแล้วช่วงฝึก)

    มองเห็นจากทางด้านหลัง มองเห็นได้แม้ไม่ได้หันหน้าไปดู (มีตัวอย่างแล้ว) เดินอยู่บนพื้นในบ้าน มีความรู้สึกว่าตัวเบาๆ ไม่มีน้ำหนัก เลยก้มมองเท้า ปรากฏว่าเท้าไม่ติดพื้น ลอยขึ้นมาประมาณ 1 คืบ จึงตกใจรีบหาที่เกาะเพราะกลัวล้ม (มีตัวอย่างมาแล้ว) จะเดินไปด้านหน้า แต่ถอยหลัง ยิ่งก้าวเท่าไร แต่มีแรงดึงมหาศาลให้ถอยกลับไปด้านหลัง แม้ว่าจะมีคนช่วยกันดึง 2 - 3 คน ดึงมือให้มาข้างหน้า แต่สู้แรงที่ดึงอยู่ให้ถอยไปด้านหลังไม่ได้ จึงต้องปล่อยให้ถอยเลื่อนถอยหลัง เลื่อนถอยได้โดยไม่ได้ก้าวขา นั่นคือมีพลังงานมหาศาลที่เคลื่อนย้ายวัตถุได้เอง (มีตัวอย่างแล้วพี่สุดใจเอง)

    อากาศร้อน แต่กลับหนาวมากเหมือนอยู่เมืองนอก ต้องใช้ผ้าห่มคลุมหลายผืนก็ไม่หาย หนาวมาจากด้านใน เหมือนนอนอยู่ในหิมะ (มีตัวอย่างแล้ว) บางท่านไปต่างประเทศ เจออากาศหนาวเพราะอยู่เมืองนอก หิมะตก แต่กลับร้อนมากจากภายใน เพราะฝันว่ามนุษย์ต่างดาวให้กินขนมรูปสามเหลี่ยมในตอนกลางคืน พอเช้าขึ้นมารู้สึกร้อนข้างใน จึงต้องถอดเสื้อโค๊ตพาดแขน เหลือแต่เสื้อแขนสั้น เดินอยู่ท่ามกลางหิมะ คนมองกันอย่างแปลกใจ แม้แต่ฝรั่งยังงง (มีตัวอย่างแล้ว)

    อาจจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์นี้ไปทำงานยังภูมิอากาศที่แตกต่างกันไป เพื่อผู้ทำงานจะได้ทำงานได้โดยอากาศร้อนหนาว ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด รู้ความคิดคนอื่น ความคิดของคนนั้นถูกส่งมาก่อนแล้ว ก่อนที่จะเดินเข้ามาพูดให้ฟังหรือพูดอย่างหนึ่งแต่ด้านในคิดอีกอย่าง ก็รู้ (มีตัวอย่างแล้ว) ได้ยินเสียงคนพูดถึงเขา แต่กลุ่มผู้พูดอยู่อีกตึกหนึ่ง แต่พูดแล้วได้ยินมาถึง จึงนำสิ่งที่เขากำลังพูดถึงไปให้ เขาก็ตกใจทำไมรู้ (มีตัวอย่างแล้ว) มีตัวอย่างอีกมากมายที่ได้เคยพบ ได้เคยเห็น ได้เคยมีพยานพบเจอและทดสอบ ทดลองใช้อุปกรณ์เหล่านี้มาก่อนแล้ว

    สิ่งเหล่านี้ หากเป็นการฝึกสมาธิ หรือปฏิบัติทางธรรม อาจจะเรียกอภิญญาหรือความสามารถพิเศษ หรือแนวอิทธิปฏิหาริย์ นั่นเป็นเรื่องธรรมดาที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ที่ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ฝึกสมาธิ ก็ย่อมมีได้ เห็นได้ เป็นได้ ตามกลไกของธรรมชาติ แต่สิ่งนี้ ผู้ที่ปฏิบัติจนสามารถมีอภิญญาได้ เห็นได้ สัมผัสได้นั่นต้องใช้เวลานานมากกว่าที่จะมีการรู้ การเห็น การสัมผัสสิ่งต่างๆได้สักท่านหนึ่ง เรียกว่า.... ไม่ทันเวลา เพราะกว่าที่จะฝึก จะให้มีสมาธิแน่วแน่จนเกิดมีอภิญญา มีความสามารถพิเศษจากการฝึกจิต ฝึกสมาธิแบบนี้นั้น มันต้องใช้เวลามาก

    แล้วภัยพิบัติมันรอไม่ได้ จึงต้องมีการใช้อุปกรณ์ให้ทำงานแทน อุปกรณ์ที่เป็นเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากและใช้งานได้จริง

    โดยผู้ใช้งานนั้น ก็เพียงทำความเข้าใจให้ตรง เรียกว่ามาเรียนรู้ ทำความเข้าใจ แล้วฝึกการใช้เล็กน้อย ก็ทำงานได้แล้วไม่ยาก เหมือนจะเดินทางไปเชียงใหม่ทั้งครอบครัว ถ้าเดินไป 1 เดือนจึงจะถึง เรียกว่าไปด้วยตนเอง แต่ถ้าให้ยืมอุปกรณ์ คือให้ยืมรถยนต์เพื่อเดินทาง รถยนต์คืออุปกรณ์ คือเทคโนโลยี สามารถพาไปได้จริง ถึงในวันเดียว ถ้าคนๆนี้ขับรถเป็น คือสามารถขับรถได้ ก็นำรถยนต์หรืออุปกรณ์ไปใช้ได้เลย คือไปถึงเชียงใหม่ได้เลยทั้งครอบครัว คือพาผู้อื่นไปด้วยได้นั่นเอง รถยนต์คืออุปกรณ์ การขับเป็น คือการปล่อยวาง ฝึกปล่อยวางให้เป็น ก็คือฝึกขับรถยนต์ให้เป็นนั่นเอง

    ส่วนตัวอุปกรณ์หรือตัวรถยนต์ ไม่ต้องไปผลิตเอง เพราะผู้ผลิตคือโรงงานรถยนต์ เขาทำหน้าที่ผลิตมาให้ ผู้ให้ยืมคือเพื่อนของคนคนนี้ คนขับ ก็คือผู้ใช้งานคือต้องขับเป็นด้วยนั่นเอง หากขับไม่เป็น รถก็จอดตรงหน้าแต่ไม่มีปัญญานำไป หากปล่อยวางไม่ได้ อุปกรณ์ที่นำไปให้ใช้ ช่วยคนอื่นได้ แต่ให้โทษกับตนเอง คือยึดมั่นถือมั่นมากกว่าเดิม ดังนั้นการเตรียมแจกอุปกรณ์ เพื่อนำมาให้ใช้ จึงไม่ได้เป็นเรื่องยากของมนุษย์ต่างดาว

    แต่สิ่งที่ยากก็คือ อาจต้องมีการทำความเข้าใจให้ตรงกับกลไกธรรมชาติ คือการปล่อยวาง ละอัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ไปพร้อมกันด้วย เพราะไม่อย่างนั้น จะไปยึดเอาอุปกรณ์นั้นว่าเป็นฉันทำเอง ฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันดี นี่คือโทษทางธรรม เพราะฉันเดิมที่ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ก็ยึดไว้แน่นอยู่แล้ว พอมีฤทธิ์เดช มีของวิเศษเพิ่มเข้าไป ฉันตัวนี้จะใหญ่ขึ้นมา อัตตาตัวตนจะมากมาย แล้วก็จะยึดไว้อย่างเหนียวแน่น ยึดมากกว่าเดิม ตัวตนมากกว่าเดิม นี่คือสวนทางกับการปล่อยวาง ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5

    แล้วจะได้ประโยชน์อะไร เพราะยิ่งทำไป ตัวตนก็จะยิ่งใหญ่มากกว่าเดิม คนที่มีฤทธิ์เดชอยู่อีกมากมายในโลกใบนี้เขาก็ยังคงดำเนินตามแนวทางของเขาเหล่านั้น ตามการยึดมั่นถือมั่นในฤทธิ์เดชนั้นๆ บุคคลนั้นๆ ....จึงอาจมิได้เกี่ยวกันกับงานของระบบ เพราะระบบมาวางโครงข่ายเพื่อยังประโยชน์ตนแก่ผู้ทำงาน และให้ประโยชน์ท่าน คือผู้ที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือ แม้บุคคลที่ระบบวางไว้ เขาอาจจะไม่เคยรู้จักเขากะลา ไม่เคยเข้าใจเรื่องระบบ แต่มีการรับข้อมูลมาโดยตรงจากจักรวาลนั้น ก็จะเป็นแนวเดียวกัน คือทำเพื่อให้ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น และปล่อยวางไปพร้อมๆกัน นั่นคือผู้ที่สื่อสารลงมากับบุคคลนั้นๆโดยตรง ก็จะสอนและให้ประโยชน์ตนพร้อมๆกันไปด้วย

    ระบบต่างดาวที่เขากะลา จึงจะย้ำเสมอว่า นี่เป็นอุปกรณ์ เป็นเทคโนโลยีจากต่างดาว ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ หรือสิ่งวิเศษใดๆ อย่าได้ยึดติด รู้ เข้าใจ แล้วปล่อยวาง เขานำมาเพื่อเป็นอุปกรณ์เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ผู้กำลังเดือดร้อนในวิกฤติ ข้างหน้า อย่ายึดติด เพราะนี่คือโครงการช่วยเหลือภัยพิบัติโลก โดยสมาชิกกลุ่มสากลจากหลายดวงดาว ไม่ใช่มาทำเล่นๆ ไม่ใช่นำจานบินมาให้เห็น โฉบไปโฉบมา เพื่อให้ดูเล่นเพลินๆ ให้ตระหนักให้ดีว่า ท่านมีความสำคัญแค่ไหน สิ่งที่เงินซื้อไม่ได้ จึงมาหาท่าน มาให้เห็น มายืนยัน คนมีเงินร้อยล้านพันล้าน ยังไปจ้างจานบินมาบินให้ดูไม่ได้เลย

    แต่ท่านได้รับโอกาส ...ได้รับความไว้วางใจ ได้รับสิทธิพิเศษในการได้เห็นจานบิน ได้รับอุปกรณ์ ได้มีโอกาสช่วยเหลือคนอื่นๆอีกมากมาย แล้วประโยชน์ตนก็ได้ คือเข้าใจกลไกของขันธ์ 5 ละอัตตาตัวตน ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 ได้ในระดับที่เบาบางจากทุกข์ มีการยกระดับจิตให้เข้าสู่กลไกธรรมชาติ เอื้อต่อการออกจากอุปาทานขันธ์ 5 นั่นเอง ดังนั้น แนวทางการปฏิบัติเพื่อการปล่อยวาง การละการยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์ 5 จึงเป็นแนวทางหลักของการทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวที่เขากะลา..... ในโครงการนี้

    กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย (เขากะลา)

    ที่มา กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) - Index
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2012
  19. Spammer

    Spammer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    976
    ค่าพลัง:
    +3,498
    เอกสารความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวและสึนามิ & วีดีโอคลิปความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวและสึนามิ

    ขออนุญาตโพสอีกครั้ง (ครั้งสุดท้ายของปีนี้) ไว้ทบทวนกันก่อนที่ภัยธรรมชาติอาจจะมาถึงครับ

    คลิปวีดีโอการเตรียมการรับมือและความรู้เกี่ยวกับแผ่นดินไหวและสึนามิ
     
  20. undersea12000

    undersea12000 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +1,494
    ------

    ผมได้ตรวจกับอาจารย์ที่ผมเชื่อถือ ได้รับการยืนยันว่า
    1. ใช่
    Messiah นั้นก็คือ พระศรีอารย์นั่นเอง

    และ
    2. พระเยซูก็เป็นอวตารปางหนึ่งของพระศรีอารย์
     

แชร์หน้านี้

Loading...