หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. ----

    ---- สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +22
    ผมเองก็เหมือนกับคุณ Phoobes ที่มีความสนใจในการปฏิบัติธรรม ฝึกสมาธิ แต่ก็ไม่มีความก้าวหน้า หรือ ได้รับรู้ถึงสิ่งวิเศษใด ๆ เลย ผมได้เข้ามาบอร์ดนี้ก็ได้แ่ต่อ่านบทความเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของท่านอื่น ๆ รู้สึกว่าทุกท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมจริง ๆ ผิดกับตัวผมที่ยังไม่รู้ว่าจะย่ำอยู่กับที่ไปอีกนานแค่ไหน
     
  2. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG]
    พิมพ์เหมือนกันกับองค์ขวามือ แต่คนละเนื้อ
    (แบ่งปันมาจากคุณทรงกลด999)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 สิงหาคม 2013
  3. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388

    เมื่อหลายเดือนก่อน ผมก็คิดเช่นนี้แหละครับ
    ก้าวเดินไปด้วยกันในวันนี้...ยังไงก็ต้องถึงเหมือนกันครับ


    ปริยัติ – ปฏิบัติ – ปฏิเวธ

    ปริยัติ – ปฏิบัติ – ปฏิเวธ เป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา

    ปริยัติ เป็นชื่อเรียกคำสอนทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้
    ปฏิบัติ ปฏิบัติตนตามนัยที่พระองค์ทรงสอนไว้
    ปฏิเวธ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเองภายในใจของผู้ปฏิบัติ เป็นของเฉพาะแต่ละบุคคลไม่ใช่ของเกิดได้ในสาธารณะทั่วไป
     
  4. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ. ศรีเชียงใหม่ จ. หนองคาย
    วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๑๖

    ปริยัติ – ปฏิบัติ – ปฏิเวธ เป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา

    <O:p</O:p
    ปริยัติ เป็นชื่อเรียกคำสอนทั้งปวงที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้<O:p</O:p
    ปฏิบัติ ปฏิบัติตนตามนัยที่พระองค์ทรงสอนไว้<O:p</O:p
    ปฏิเวธ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเองภายในใจของผู้ปฏิบัติ เป็นของเฉพาะแต่ละบุคคลไม่ใช่ของเกิดได้ในสาธารณะทั่วไป

    ทีนี้จะพูดถึงหลักความจริงแล้วมันจะกลับกันจากความเข้าใจของคนทั่วไป คือ ปริยัติ เกิดมาจากปฏิเวธ ปฏิเวธ จะเกิดได้เพราะปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่ถึงปฏิเวธ ไม่มีปฏิเวธ เมื่อไม่มีปฏิเวธ คือไม่รู้แจ้งเห็นจริงก็บัญญัติไม่ถูก (บัญญัติ ก็คือปริยัติ) บัญญัติไม่ถูกก็ไม่มีปริยัติ เมื่อพูดตามความเป็นจริงแล้วมันต้องเป็นอย่างนั้น
    <O:p</O:p
    ที่ท่านตั้งเป็นแนวไว้ว่า ปริยัติ – ปฏิบัติ – ปฏิเวธ คือเรียนรู้เสียก่อน เมื่อรู้เรื่องแล้วจึงค่อยปฏิบัติ ปฏิบัติได้แล้วจึงค่อยถึงปฏิเวธ อันนี้ก็จริงอยู่แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องไปเรียนให้มาก ๆ จนได้นักธรรม ตรี โท เอก เป็นมหาเปรียญเสียก่อนแล้ว จึงค่อยปฏิบัติไม่ใช่อย่างนั้น การเรียนนั้นไม่ต้องไปเรียนตามตำรับตำราอะไรมากมาย คือเราเข้าหาสำนักครูอาจารย์หรือผู้ที่ท่านจะอธิบายธรรมะข้อใดบทใดให้ฟังก็ตามเรียกว่า การฟัง นั่นแหละนับว่าเป็นการเรียนในที่นี้ เมื่อเรียนแล้วก็เกิดความเข้าใจและเห็นคุณประโยชน์ในการเรียนจึงตั้งใจปฏิบัติตาม เมื่อเราปฏิบัติด้วยตนเองแล้วจึงเกิดปฏิเวธในธรรมปริยัติข้อนั้น ๆ ขึ้นมา ดังนั้นปริยัติต้องออกมาจากปฏิเวธแน่นอน
    <O:p</O:p
    คำว่า ศึกษาธรรมะ นั้นไม่ใช่การเรียนปริยัติ ถ้าพิจารณาให้ดีจะเห็นว่าศึกษาปริยัตินั้นอันหนึ่ง ศึกษาธรรมะก็อีกอันหนึ่งแตกต่างกัน โดยมากเข้าใจกันว่า ศึกษาธรรมะ คือ ศึกษาตามตำรับตำราบทบัญญัติและพระธรรมคำสอนต่างๆ ของพระพุทธเจ้า เมื่อได้แล้วก็เป็นปฏิเวธ แต่การศึกษาอันที่จะนำให้เกิดปฏิเวธนั้นไม่ใช่ศึกษาแต่ปริยัติดังที่เข้าใจกันเช่นนั้น หากเป็นการศึกษาอุบายแยบคายโดยเฉพาะในการที่จะปฏิบัติด้วยตนเองเพื่อให้เกิดปฏิเวธ
    <O:p</O:p
    ในสมัยพุทธกาลเมื่อยังไม่ได้ทรงบัญญัติพระธรรมคำสอนเลย แต่สาวกได้ฟังพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าตรัสบางองค์เพียงบาทคาถาเดียวก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ สามเณรลูกศิษย์พระสารีบุตรยังไม่ได้ฟังเทศน์ด้วยซ้ำ ขณะปลงผมจะบรรพชาเท่านั้นก็ได้บรรลุพระอรหันต์แล้ว นี่แสดงว่าการศึกษาธรรมะที่แท้จริงกับการศึกษาปริยัติเป็นคนละเรื่องกัน ที่ศึกษาในปริยัติก็จริงอยู่แต่ยังไม่ถูกทีเดียว ต้องศึกษาแนวทางปฏิบัติด้วยถึงจะถูกโดยสมบูรณ์
    <O:p</O:p
    ปฏิบัติการศึกษาที่จะให้เกิดการปฏิบัตินั้น จะศึกษาบัญญัติแล้วนำมาปฏิบัติก็ได้ แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องไปศึกษามากมายเพียงหยิบยกเอาอุบายอันใดอันหนึ่งขึ้นมาพิจารณาก็เรียกว่าศึกษา หรือไม่ได้ศึกษาบัญญัติแต่มันเกิดเองรู้เองก็เรียกว่าการศึกษาเหมือนกัน การที่จะรู้เองเช่นนั้นมีได้ในบางคน เช่นมองดูตัวของเรานี้เวลามันจะเกิดอุบายขึ้นมาก็ไม่รู้ตัว โดยที่เราไม่ได้คิดไม่ได้ตั้งใจที่จะให้มันเป็น แต่ว่ามันปรากฏขึ้นมาเองภายใน มันวิตกวูบขึ้นมา เอ๊ะ ! ตัวอันนี้มันเป็นตัวอะไรนี่ ที่เรียกว่าคน คนนั้นมันอยู่ตรงไหนกัน ส่วนที่เกิดขึ้นมาเองอันนี้มันเป็นอุบายที่ถูกใจของเรา ถูกนิสัยของเราแล้ว เมื่อสนใจเรื่องนั้นใจก็ปักมั่นแน่วแน่คิดค้นแต่ในเรื่องนั้นเรื่องเดียว จนกระทั่งมันรู้ชัดขึ้นมาตามความเป็นจริง อันนั้นแหละเรียกว่า แยบคาย
    <O:p</O:p
    อุบาย คือที่เราจับได้ในเบื้องต้นและมีแยบคาย คือพิจารณาจนเกิดผลนั่นแหละ คือ การศึกษาธรรมะ เวลามันเกิดเฉพาะของใครของมัน ไม่มีใครสอนถูก มันรู้ชัดเห็นชัดเอาจริงๆ ทีเดียว แยบคายจึงเป็นของสำคัญยิ่งกว่าอุบาย คือด้วยปัญญาขั้นละเอียด
    <O:p</O:p
    สำหรับผู้ที่ไม่เกิดเองเป็นเองก็ต้องอาศัยแนวทางปฏิบัติ คือยกเอาอุบายขึ้นมาพิจารณาจนให้เกิดแยบคาย อุบายในการภาวนาท่านกล่าวไว้มีมากมายเรียกว่ากัมมัฏฐาน ๔๐ เช่นพิจารณา อุสุภะ อานาปานสติ กายคตาสติ สติปัฏฐานสี่ ฯลฯ เป็นต้น อุบาย เป็นเพียงสิ่งที่ใช้นำจิตให้มาอยู่ในอารมณ์อันเดียว เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิแล้วจะมี แยบคาย เกิดขึ้น รู้ชัดเห็นชัดตามเป็นจริงด้วยตนเอง เรียกว่า ปฏิเวธเกิดขึ้นแล้วในบุคคลนั้น
    <O:p</O:p
    ปฏิเวธ เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นมาเฉพาะตน เช่นพิจารณากายของเราจนกระทั่งเห็นกายนี้เป็นกองทุกข์ทั้งหมด ความรู้ชัดที่เกิดขึ้นเองนี้บางคนไม่ได้เรียนปริยัติเสียด้วยซ้ำ แต่เขาพิจารณาเห็นโทษเห็นภัยในวัฏฏะจริง ๆ มองดูสิ่งใด ๆ ในโลกนี้เห็นว่าเป็นทุกข์ภัยทั้งนั้นมีแต่ความเดือดร้อนตลอดเวลา แม้แต่ตัวของเราเองจะดูตรงไหน ๆ ก็เป็นแต่ก้อนทุกข์มีแต่โรคภัยไข้เจ็บตลอดเวลา เกิดโรคได้ทุกส่วนที่ตา หู จมูก ลิ้น ฯลฯ แม้แต่เส้นผมแต่ละเส้น ๆ ก็มีโรคประจำอยู่ ความรู้เห็นเช่นนี้ไม่ได้ไปศึกษาที่ไหน มันเกิดขึ้นโดยตนเอง เมื่อรู้เห็นเช่นนี้แล้วมีผลให้เกิดความเบื่อหน่ายคลายเสียจากความยินดีพอใจในอัตภาพร่างกายของตน หายหลงกายอันนี้เห็นว่าของอันนี้ไม่จีรังถาวร ของอันนี้ไม่ใช่ตนไม่ใช่ตัว ปล่อยวางลงได้ ใจเข้าถึงความสงบเป็นสมาธิแน่วแน่เต็มที่เรียกว่า ปฏิเวธ เกิดขึ้นแล้ว
    <O:p</O:p
    ความเป็นจริงนั้นจิตมันอยู่ในอารมณ์อันเดียวแล้วละอุปาทานที่มันเป็นทุกข์นั่นแหละ มันไม่ได้ส่งสายไปที่อื่นมันแน่วแน่อยู่แต่ในเรื่องทุกข์นั้น ขณะนั้นจิตสงบลงแล้วมันจึงค่อยเห็นชัดแจ้งขึ้นมา ถ้าจิตไม่สงบก็ไม่เห็นชัด อย่างเช่นเราเรียนรู้กัน เรื่องอาการ ๓๒ สวดกันอยู่บ่อย ๆ คล่องปากทีเดียว แต่จิตมันไม่อยู่มันส่งสายไม่แน่วแน่ลงเฉพาะในเรื่องเดียว ก็เลยเป็นสักแต่ว่าสวดไม่ทำให้เกิดความสลดสังเวช ไม่เป็นเหตุให้เบื่อหน่ายคลายความพอใจในรูปอัตภาพ เช่นนี้เรียกว่าปฏิเวธยังไม่เกิดเป็นเพียงเรียนตามปริยัติ ท่องจำปริยัติ เป็นสัญญาไม่ใช่ปฏิเวธ การที่จะเกิดปฏิเวธขึ้นนั้น จิตต้องมีสมาธิเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดสมาธิและปฏิเวธ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นสมาธิเลย มันเข้าถึงสมาธิและเกิดปฏิเวธโดยไม่รู้ตัว เหตุนี้จึงเคยพูดเสมอว่า แยบคายของแต่ละบุคคลนั้นเป็นของสำคัญที่สุด คือมองดูของสิ่งเดียวกันเห็นเหมือนกันหมดทุกคนนั้นแหละ แต่ว่าบางคนไม่มีแยบคายที่จะประคองจิตให้มันแน่วแน่อยู่ในอารมณ์อันเดียว จนกระทั่งจิตเห็นชัดขึ้นมาตามความเป็นจริง
    <O:p</O:p
    ปริยัติพอปฏิเวธเกิดขึ้นมาแล้วทีนี้จะพูดอะไรบัญญัติอะไรก็ถูกต้องตามเป็นจริงทุกประการ แต่จะต้องบัญญัติใหม่เสียก่อน เพราะความรู้ตามเป็นจริงนั้นจะพูดให้คนที่ไม่รู้ตามเป็นจริงเข้าใจยาก ต้องมาเรียบเรียงคำพูดใหม่เสียก่อนจึงจะเข้าใจเป็นเรื่องเป็นราว ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ทั้งหมดที่เรียกว่าปริยัติ เช่นคำว่า ขันธ์ห้า, อายตนะ ทีแรกเขาไม่ได้เรียกว่าขันธ์ห้า เขาเรียกว่าคน ครั้นเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ความเป็นจริงว่ามันเป็นอย่างนี้ ๆ ต่างหากจึงได้ทรงแยก “ คน “ ออกเป็นขันธ์ คือ ขันธ์ห้า บางทีทรงแยกเป็น ธาตุสี่ และบางทีเป็น อายตนะ เป็น อินทรีย์
    <O:p</O:p
    ทำไมจึงทรงแยกอย่างนั้น นั่นคือความแยบคายของพระองค์ พระปัญญาเฉียบแหลมของพระองค์ คำว่าแหลมในที่นี้ทั้งแหลมทั้งลึกทั้งละเอียด เช่นทรงเห็นชัดแจ้งตลอดในสรีระร่างกายอันนี้ว่าแท้จริงไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ มันเป็นเพียงก้อนธาตุประชุมกัน พร้อมกับที่ทรงเห็นว่าเป็นก้อนธาตุประชุมกันก็ทรงเห็นการแตกสลายดับไปของก้อนธาตุอันนั้นร่วมไปด้วย จึงได้ทรงสมมติบัญญัติร่างกายอันนี้ว่า รูป รูปก็คือ ของสลายแตกดับ คำว่า รูป ในที่นี้เลยครอบไว้หมดทั้งเกิดและดับ หรือรูปก็คือลบนั่นเอง เป็นรูปขึ้นมาแล้วก็ลบหาย ( สลาย ) ไป นี่เป็นแยบคายของพระองค์
    <O:p</O:p
    คำว่า ขันธ์ หมายถึงจับกันเป็นก้อน เป็นกลุ่ม เป็นหมู่ ดังนั้นที่พระองค์ทรงแยกคนออกเป็นขันธ์ ก็คือ สิ่งที่ข้นแข็งจับกันเป็นก้อนมองเห็นได้เรียกว่า รูป และส่วนที่ละเอียดมองไม่เห็น แต่ก็มีอยู่เรียกว่า นาม ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเมื่อทั้งสองส่วนมาประชุมกันเข้าจึงเป็น ขันธ์ห้า หมายถึงห้ากองนี่เอง ทั้งห้ากองนี่ต่างก็เป็นสิ่งที่ไม่คงทนเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเหมือน ๆ กัน รูปนั้นเกิดดับช้าหน่อย ส่วนเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณนั้น เกิดดับเร็วกว่ารูป
    <O:p</O:p
    ถ้าพิจารณาตามจนเห็นชัดจริง ๆ แล้ว จะเห็นว่าพระพุทธองค์ทรงรอบรู้อย่างละเอียดละออและลึกซึ้งลงไปถึงที่สุด โดยที่ไม่ทรงศึกษามาจากสำนักไหนจากอาจารย์ใดเลย วิชชาของพระองค์จึงน่าสรรเสริญยิ่งนัก เมื่อตรัสรู้แล้วก็ทรงบัญญัติขึ้น บัญญัติของพระองค์สมจริงเป็นความจริงอยู่อย่างนั้นอยู่ตลอดกาล แม้ใครจะเกิดมาภายหลังอีกกี่ร้อยกี่พันปี กี่ภพกี่ชาติก็ตาม หากมาศึกษาพิจารณาค้นคว้าบัญญัติของพระองค์นี้แล้ว ไม่มีผิดแผกแตกต่างกันเลย ตรงทุกสิ่งทุกประการ แต่เรายังไม่ทันเห็นจริงด้วยตนเองเท่านั้นแหละ
    <O:p</O:p
    คำสั่งสอนของพระองค์ที่เราศึกษากันอยู่ทุกวันนี้ก็ยังไม่ลึกซึ้งเข้าไปถึงความรู้อันแท้จริงของพระองค์ ยกตัวอย่างอันเดิมคือ รูป นี่แหละ พระองค์ตรัสไว้ว่า รูป เป็นก้อนธาตุมาประชุมกัน เกิดขึ้นแล้วมีแตกสลายดับไป ลองนำมาพิจารณาดูเถิดบรรดารูปที่ปรากฏเห็นได้ด้วยสายตาของเราในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นรูปมนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ ภูเขา ฯลฯ มันเหมือนกันหมด คือ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นก้อนธาตุ เกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องดับสลายไป แม้แต่พื้นปฐพีกว้างใหญ่อันนี้ก็มีวันหนึ่งข้างหน้าที่มันจะสลาย (มีอธิบายไว้ถึงเรื่องการแตกสลายของโลกในหนังสือไตรโลกวิตถาร ) มันตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ที่เขาศึกษากันในปัจจุบันนี้ พระพุทธองค์ก็ไม่ได้ทรงศึกษาเล่าเรียนวิทยาศาสตร์อย่างพวกเรา ทำไมพระองค์จึงไปทรงทราบถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด และตรงกับของเขาอย่างจริงจังด้วยสิ่งที่พระองค์ตรัสไว้ยังมีอีกมากที่วิชาวิทยาศาสตร์และวิชาแพทย์ปัจจุบันนี้ก็ยังเข้าไปไม่ถึง จึงว่าพระปัญญาของพระองค์น่าสรรเสริญยิ่งนัก แทงตลอดถึงที่สุดในทุกสิ่ง
    <O:p</O:p
    ทีนี้ บัญญัติ ทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธองค์ก็ไม่ให้เอาเช่น ขันธ์ห้า นี่แหละ พระองค์ไม่ได้ทรงสอนให้เอา ไม่เป็นของเอา ทรงสอนให้รู้จักต่างหาก ทรงสอนให้รู้จักเรื่องสรีระร่างกาย ให้รู้จักส่วนประกอบและหน้าที่ของมัน หน้าที่ของมันเป็นอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติ รูปมันก็เกิด – ดับ นามก็เกิด - ดับ หน้าที่ของอายตนะก็เกิด – ดับเหมือนกัน
    <O:p</O:p
    ตา สำหรับมองรูป เห็นรูปนี้แล้วพอเห็นรูปใหม่รูปอันเก่าก็ดับไปหมดไป หูได้ยินเสียงก็เช่นเดียวกัน ได้ยินแล้วก็ดับไปหมดไป จมูกดมกลิ่น ลิ้นรับรส กายรับสัมผัสต่าง ๆ ใจคิดถึงเรื่องต่าง ๆ อารมณ์ต่าง ๆ ก็เกิด – ดับเหมือนกันทั้งนั้น เรื่องแรกเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเรื่องใหม่ก็เกิดขึ้นมาอีก วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา แล้วจะเอาอะไรมาเป็นเราเป็นของเรา มันไม่มีของเราสักอย่าง มันทำหน้าที่ของมันต่างหาก เมื่อเราเห็นเช่นนี้แล้วมันก็คลายเสียจากความยึดถือ ความยึดมั่นว่าตัวเราตัวเขา ของเราของเขา ก็จะมาเข้าใน สภาวะธรรม
    <O:p</O:p
    ถ้าลงถึง สภาวะธรรมแล้วก็ถึงที่สุดไม่มีทางไป เพราะมันเป็นอยู่อย่างนั้นตามธรรมชาติของมัน เมื่อเราไม่เอาขันธ์ มาเป็นตัวเราของเราแล้ว การปฏิบัติก็ไม่มีอะไรอีก เพราะจุดหมายปลายทางของการปฏิบัติก็คือ ให้ปล่อยวางจากความยึดมั่น สำคัญเอาขันธ์ว่าเป็นตัวเราของเรา อันการที่จะปล่อยวางได้นั่นซิมันยากนักหนา เพราะเราถือว่าเป็นตัวตนของเรามานานแสนนานแล้ว พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พิจารณาหลายด้านหลายทาง ให้พิจารณาแยกแยะออกไปเสียอย่าให้เป็นตัวคน จึงได้บัญญัติให้เป็นชื่อไว้แต่ละอย่างๆเป็นสัดเป็นส่วนต่างก็ทำหน้าที่ของมันตามเรื่องของมัน เมื่อแยกอย่างนี้มันก็จะไม่เป็นคน ไม่เป็นตัวเป็นตน จิตมันก็จะปล่อยวาง
    <O:p</O:p
    เมื่อเราปฏิบัติกันจริงๆจัง ๆ พิจารณาจนเกิดปัญญาเห็นความจริงดังที่อธิบายมาแล้วมันต้องวาง เมื่อปล่อยวางแล้วก็เรียกว่าเห็นธรรม เข้าถึงธรรมได้ธรรม เลยกลายเป็นธรรมขึ้นมานี่แหละที่เรียกว่าเรียนปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ ที่ต้องแท้
    <O:p</O:p
    จึงเล่าเรียนปริยัติจากตำราต่างๆแล้วอย่าไปถือเอาเป็นของจริง อันนั้นเป็นแนวทางที่จะให้ถึงของจริง เข้าถึงของจริงในที่นี้คือ รู้จักหน้าที่ของมัน มันเป็นจริงอยู่อย่างนั้น แล้วมันจะปล่อยวางเอง<O:p</O:p
    ปล่อยวางแล้วทีนี้มันจะได้อะไร ?<O:p</O:p
    เราจะทราบว่าอันคำว่าปล่อยวาง นั้นแหละมันยังมีเหลืออยู่ มันยังมีคำว่าไม่มีอะไร ผู้รู้ อันนี้มันปรากฏขึ้นมาเมื่อจิตสงบเท่านั้น ถ้าจิตไม่สงบคือยังไม่ปล่อยวางอุปาทาน ผู้รู้ อันนี้จะไม่ปรากฏ เพราะมันไปยึดเอาบัญญัติตำราไว้หมด เมื่อเราวางบัญญัติได้ สำรอกบัญญัติออกหมดแล้ว จิตสงบจะปรากฏแต่ ผู้รู้ อยู่ อันเดียว แล้วจึงค่อยมาชำระผู้รู้ นั้นอีก มันจะมีอะไรสำคัญเกิดมาที่ตรงนั้น ต้องชำระกันตรงนั้น
    <O:p</O:p
    สรุป การศึกษาธรรมมะ เบื้องต้นท่านตั้งเป็นแนวไว้คือ ปริยัติ-ปฏิบัติ-ปฏิเวธ หากมาพิจารณาดูมันจะย้อนกลับตรงกันข้าม คือ ปฏิเวธ แล้วจึงมาบัญญัติ ปริยัติ ที่ตั้งเป็นปริยัติไว้เพื่ออะไร เพื่อจะรู้ของจริงตามเป็นจริง เช่น ธาตุ – ขันธ์ – อายตนะ เป็นต้น แล้วจะไม่เข้าไปยึดถือ ถ้ายังยึดอยู่ยังใช้ไม่ได้ ยังรู้ไม่ถูก หากนำมาพิจารณาจนกระทั่งเห็นลงเป็น สภาวะธรรม มันเป็นจริงเช่นนั้นแล้วจะปล่อยวางไม่ยึด มันก็ว่าง นั่นแลเรียกว่า ปฏิบัติ
    <O:p</O:p
    เมื่อรู้จักว่าว่างมันก็ยังมี ผู้รู้ ว่าว่างเหลืออยู่ ยังยึดผู้ว่างอยู่ก็ต้องชำระว่าผู้ว่างนั้นอีกทีหนึ่ง การปฏิบัติต้องให้มันมีหลักอย่างนี้ ไม่ใช่ปฏิบัติอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าผิดๆถูกๆ แล้วแต่มันจะเป็นไปอย่างไร แล้วแต่ว่ามันจะถึงอะไร แบบนั้นมันเป็นการเสียเวลาเปล่า ถึงแม้ว่าภาวนาเป็นหลักแล้วหากจับหลักไม่ถูกหรือไม่มีหลักการภาวนาก็สามารถที่จะเสื่อมเร็วไม่ค่อยจะเจริญก้าวหน้า
    <O:p</O:p
    ถ้าหากปฏิบัติเข้าถึงธรรมของจริงแล้ว ธรรมทั้งหลายมันไปรวมกันได้ไม่ว่าพิจารณาอะไร เช่นพูดถึง ปริยัติ – ปฏิบัติ-ปฏิเวธ ก็เข้าถึงธรรมได้เหมือนกัน พูดถึงเรื่องกรรม กรรมดี กรรมชั่ว กรรมไม่ดีไม่ชั่ว ก็เข้าถึงธรรมได้ พิจารณาเกิด-ดับ ก็เข้าถึงธรรมได้ ฯลฯ ตกลงสิ่งทั้งปวงก็เลยเป็นธรรมทั้งหมด เมื่อเป็นธรรมแล้วก็หมดเรื่อง เพราะไม่ใช่อะไรทั้งหมด เรียกว่า ธรรม คือของว่างเปล่า ไม่มีสาระ เมื่อไม่มีสาระใจก็ไม่เข้าไปยึด ใจว่างหมดทุกสิ่ง และไม่เข้าไปยึดอะไรอีก<O:p</O:p

    อธิบายเรื่อง ปริยัติ – ปฏิบัติ- ปฏิเวธ มาในวันนี้ก็ยุติเพียงเท่านี้ เอวํ ฯ<O:p</O:p

    ทุกๆคนเมื่อได้อ่านธรรมบรรยายนี้<O:p</O:p
    ขอให้จดจำนำเอาไปใช้ นำไปพิจารณา
    ปรับปรุงตนให้เข้ากับธรรม จนให้บรรลุ
    เห็นแจ้งในใจด้วยตนเองจึงจะเป็นของตัว<O:p</O:p

    พระนิโรธรังสี<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2011
  5. สมาชิกธรรม

    สมาชิกธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2011
    โพสต์:
    751
    ค่าพลัง:
    +1,308
    ต้องให้คุณแม่...เช็คชื่อและเวลาเข้าเยี่ยมครับ ว่าใครไม่มารายงานตัวมั้ง...หึหึ และในที่สุดฤทธิ์ทางใจก็บังเกิดขึ้นกับกลุ่มนักรบธรรมแล้วนะครับ...ขอแสดงความยินดีกับทุกๆท่านในความก้าวหน้าทุกๆประการ.....สาธุ
     
  6. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    หุหุ...คนอยู่ใกล้ กำลังส่งแรง คงไม่ค่อยขาดหรือมาสาย
    แต่คนอยู่ไกล...แถมกำลังส่งก็อ่อนด้วยนี่ซีเนาะ :'( คงสีแดงเพรียบ!
     
  7. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ทราบมาว่า

    เพื่อนธรรมท่านใหม่ที่พึ่งทำบุญก้อนใหญ่...ท่านส่งจิตไปขอพระปฐวีธาตุถึงภูดานไห

    ใครรู้ตัวโปรดยกมือขึ้น (หุหุ 55):cool:
     
  8. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    กำหนดการเข้าเยี่ยมกราบคารวะพ่อแม่ครูอาจารย์ของผม
    (ไม่สงวนลิขสิทธิ์)
    ภาคเช้า 05:00 ทำวัตรเช้า
    ภาคค่ำ ประมาณ 19:00 ทำวัตรเย็น
    ภาคดึก 22:00-23:00
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2011
  9. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ท่าน ดร.นนต์ ทดลองอัญเชิญประคำเหล็กไหลไพลดำ 5 เส้น (62.5x5(x)) ไม่รู้ปรับธาตุไหวหรือเปล่าหนอ?

    ทางฟากฝั่ง ท่าน ดร. วันนี้ก็หามาได้อีกแล้ว 2 เส้น รวมเป็น 5 เส้น เท่ากันแล้วจ่ะ :cool:

    ปล: ยังมีปริมาณเพียงพอ...หาได้อีกครับ แต่ไม่รู้จะไปหาที่ไหนนี่จิ :)
     
  10. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    เมื่อคืนลองใส่สร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำห้าเส้นพร้อมองค์พระพุทธปฐวีธาตุ พลังจะวิ่งเข้ามาให้รู้ ผมละวางเร็ว อีกทั้งได้ปรับคลื่นสมดุลย์ไว้เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีปัญหา จึงขออธิษฐานใช้พลังรักษาอาการบางอย่าง รู้สึกเย็นมากๆๆๆๆๆ

    อนึ่ง... เมื่อคืนผมน้อมจิตไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์(เป็นกิจวัตร) แต่คืนนี้พิเศษเพื่อขอความเมตตาให้ท่านสงเคราะห์รับรองบางอย่างที่ได้เกิดขึ้น..... ความเย็นปีติแผ่ซ่านมาเร็วมาก และมีนัยบางอย่าง...

    นับตั้งแต่ครบเจ็ดวันจากการกลับมาจากภูดานไหด้วยแรงจิตอธิษฐาน ตอนเช้าขณะยืนพิจารณาน้ำตกไหลในบ่อน้ำหน้าบ้าน ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายออกอากาศได้ ณ บัดนี้ กระแสความเย็นที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้น ก็ยังคงอยู่ไม่เคยเหือดแห้งไปจากกายของผมเลย

    ด้วยพระบารมีของพ่อแม่ครูอาจารย์นั้น มากมายจนสุดจะประมาณ กอปรกับบุญบารมีของเราที่ได้ร่วมบำเพ็ญมากับพ่อแม่ครูอาจารย์ เมื่อครบวงรอบ อะไรก็เกิดขึ้นได้ กิจข้างหน้าใหญ่หลวงนัก จงเร่งความเพียรและรีบเข้าหาพ่อแม่ครูอาจารย์โดยไวนะครับ

    ขอเจริญในธรรม

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 พฤศจิกายน 2011
  11. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ความจริง ย่อมไม่กลัว ความไม่จริง
    ในเมื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ของเราทำเป็นตัวอย่างแล้ว พวกเราเหล่านักรบธรรมจึงชอบแล้ว ที่จะดำเนินตามรอยของพ่อแม่ครูอาจารย์ ซึ่งเสมือนเป็นการเจริญรอยตามพระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั่นเอง ธรรมนั้นเป็นอันเดียวกัน การเปิดเผยความจริงบางอย่างที่เพียงพอต่อพื้นธรรมของผู้แสวงหาธรรมนั้น ย่อมไม่ผิด และสมควรแล้ว

    เมื่อเราปฏิบัติมาดีมาชอบได้ระยะหนึ่ง ความระลึกรู้บางอย่างเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากลังเลสงสัยในตัวเอง ค่อยๆเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง จนในที่สุด เมื่อมันตกผลึกแล้ว ความจริง ความเชื่อมั่น ความไม่ลังเลสงสัย ความศรัทธา ความระลึกรู้บุญคุณของพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ย่อมหลั่งไหลออกมาโดยอัตโนมัติ ความปีติมิมีวันเหือดหาย

    ท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่กำลังเดินเข้าสู่กระแสมรรค
    ใครจะรู้บ้างหนอว่า จะมีอริยะบุคคลเกิดขึ้นที่ภูดานไหจำนวนกี่องค์ (พ่อแม่ครูอาจารย์ใช้คำว่า อรหันต์)
    ขออนุโมทนาสาธุด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 สิงหาคม 2011
  12. nontayan

    nontayan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    832
    ค่าพลัง:
    +976
    ท่านสมาชิกธรรม ก็ฝันดีแล้ว คงเป็นไปตามนั้น เหมาะสมกับคนแล้วครับ ขออนุโมทนา
     
  13. manopk

    manopk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +61
    สวัสดีครับ ขอบคุณมากครับที่กรุณา ปฐวีธาตุใช่ที่พ่อแม่ครูอาจารย์กล่าวว่าให้ผมไปรับที่วัดหรือเปล่าครับ ผมคิดว่าจะไปรับที่วัดนะครับอาจจะช้าบ้างแต่ไปแน่นอน ถ้ามีเรื่องที่ไม่สามารถบอกได้ส่งข่าวหลังไมค์ด้วยนะครับ:VO
    พรุ่งนี้ช่วงบ่ายว่าจะโทรไปสอบถามกับแม่ชมถ้าผมยังไม่นอนนะครับ สัปดาห์นี้เข้ากะดึกง่วงมาก
     
  14. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ไม่ใช่ครับ ผมมอบของส่วนตัวผม ที่ได้รับจากพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านทำให้ครับ
    ตอนนี้ก็...แบ่งๆกันไปก่อนครับ

    ทำงานเป็นกะ...รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
     
  15. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    โมทนาสาธุครับ
    คนจริงไม่ทิ้งธรรม(และเพื่อนธรรม) :cool:
     
  16. naicharty

    naicharty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +394
    ถูกต้องแล้ว ปฐวีธาตุของคุณเก๋ พ่อแม่ครูอาจารย์เตรียมไว้ให้แล้ว เอาไว้คุณเก๋มาที่ภูดานไหแล้วค่อยรับจากมือท่านครับ...
    ช่วงนี้ทำงานกะดึกก็รักษาสุขภาพด้วยนะ...ขอให้เจริญในธรรม
     
  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ขอบคุณพระฤาษีมากที่ทำให้ผมหลุดจากอาการมึนๆ...จากฌานค้างครับ :cool:

    อย่าขำผมนะครับ เพราะผมกดอาการนี้ไว้ตั้งแต่เช้า เล่นงานผมเป็นพักๆ พอได้พูดคุยกับพระฤาษีราวๆ 5 นาที ก็โล่งโปร่งไปหมด

    ต้องโฆษณาครับ ท่านมีดีจริงๆ ก็เลยขอล้วงความลับสักหน่อย ปรากฏว่าห้อย
    TOP1,4 และกริ่งปวเรศอีก 5 องค์! :cool: เต็มยศนายพลเลยทีเดียว หุหุ...
     
  18. manopk

    manopk Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +61
    ขอบคุณพี่ๆทุกๆท่านนะครับที่เป็นห่วง
    ผมคงต้องเร่งชั่วโมงบินแล้วเดี๋ยวตามไม่ทัน
     
  19. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    เห็นด้วยเลยครับ เกรงว่าต่อไปจะไม่ได้ใกล้ชิดท่านขนาดนี้แล้ว

    เวลา...มีเหมือนกันแต่ใช้ไม่เหมือนกัน
     
  20. Phoobes

    Phoobes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,181
    กราบขอบพระคุณ ท่านดร.นนท์ ท่านsomlati ท่านIT Man และทุกท่านแม้ไม่ได้เอ่ยนาม ที่ให้กำลังใจและให้ความรู้สึกอบอุ่น อยู่เสมอๆ ประดุจพ่อแม่พี่น้อง ญาติธรรม การได้มารู้จักกันเชื่อว่าไม่ใช่ความบังเอิญ ลึกๆภายในใจเหมือนมีวาระอะไรอยู่ ซึ่งบางท่านทราบดี บางท่านรู้สึกได้
    ในระยะเวลาอันใกล้คงได้พบกันพร้อมหน้านะครับ ความกระวนกระวายในใจปรารถนาจะได้ไปกราบพ่อแม่ครูอาจารย์เกิดขึ้นบ่อยหลังจากพลาดโอกาสคราวก่อน แต่ก็รอโอกาสที่จะไปพร้อมๆกับเหล่านักรบธรรมในคราวหน้า เมื่อใดที่กลองธรรมเภรีลั่นดังขึ้นเราคงรวมอยู่กันพร้อมหน้า และท้ายที่สุดได้กลับไปรวมกันกับต้นธาตุธรรมของเราในเร็ววัน ขออนุโมทนาในธรรมปฏิบัติของทุกๆท่าน และความเจริญในธรรมปรากฏมีแก่ทุกท่าน ทุกประการเทอญ
    ในส่วนจริตที่คล้ายคลึงกัน ชอบเหมือนกัน เป็นผู้หนึ่งที่ขอมีส่วนในสร้อยประคำเหล็กไหลไพลดำด้วยหนึ่งคนครับ หากปรากฏมีมาถึง จะว่าไปก็สำเร็จแล้วในจินตนาการว่ามีคล้องคออยู่ รอของจริงครับ(ยังติดของเดิมอยู่เหมือนกัน) และความปรารถนาในพระปฐวีธาตุคงรอโอกาสที่ได้ไปกราบท่านพ่อแม่ครูอาจารย์ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...