ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมได้โอนเงินบริจาคจำนวน 2,000.-บาท

    2/12/2010 08:52 น.tmb internet banking


    ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศล จากการร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

    อุทิศให้แก่อาม่า คื้อเจ็ง แซ่ซิ่ม.ขอให้อาม่าได้รับผลบุญกุศลนี้และอนุโมทนาบุญ

    กุศลแก่ข้าพเจ้าด้วยอำนาจบุญนี้ด้วยเทอญ

    <!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  2. pinkpink

    pinkpink เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    1,246
    ค่าพลัง:
    +11,631
    ร่วมบุญกับทุนนิธิ ของเดือน ธันวาคม 2553

    <STYLE>@font-face { font-family: SimSun;}@font-face { font-family: Angsana New;}@font-face { font-family: Tahoma;}@font-face { font-family: ;}P.MsoNormal { FONT-SIZE: 12pt; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Times New Roman"}LI.MsoNormal { FONT-SIZE: 12pt; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Times New Roman"}DIV.MsoNormal { FONT-SIZE: 12pt; MARGIN: 0cm 0cm 0pt; FONT-FAMILY: "Times New Roman"}DIV.Section1 { page: Section1}</STYLE>โอนเงิน เข้าบัญชี 348-123-245-9
    สถานที่ 6661 ลำดับ 8639
    วันที่ 2 ธค 2553 เวลา 13:27 น. จำนวน 1000 บาท

    อนุโมทนาในบุญอันเป็นมหากุศลของทุกท่านค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->
     
  3. ไชยชุมพล

    ไชยชุมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +1,873
    วันนี้ทำการโอนเงินเพื่อร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ สองรายการดังนี้ครับ
    1) จำนวน 1,000 บาท เงินเข้าวันที่ 4 ธ.ค. เวลา 19.44 น.
    2) จำนวน 300 บาท เงินเข้าวันที่ 8 ธ.ค. เย็น ๆ ครับ
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

    [​IMG][​IMG]


    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=0LWYVRlOIXs"]YouTube - เพลง ทรงพระเจริญ[/ame]




     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    พระองค์ทรงเป็นดั่งแสงส่องไทย

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=pxYbj_V5a-c&feature=related"]YouTube - เพลง องค์แสงส่องไทย[/ame]


     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    หากจะทำดีต้องไม่ท้อ ทำแล้วแต่ไม่ดีพอ ก็ยังถือว่าได้ทำ ไม่ทำอะไรแล้วบอกว่าทำไม่ได้ ความหมายก็คือไม่ได้ทำ...

    มาดูสุดยอดโฆษณากัน (ไม่ต้องสนใจว่าโฆษณาของใคร แต่นำมาลงไว้เพื่อเตือนใจกันเท่านั้นเอง)

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=7fVJutKa2GM&feature=related"]YouTube - สุดยอดโฆษณา ดูแล้วซึ้งดี[/ame]​


    หากเด็กคนนี้ท้อถอยตั้งแต่แรก เธอจะไม่ได้อะไรเลย...ความดีก็เช่นกัน หากท้อเพราะว่าทำยากแล้ว ในที่สุดก็จะไม่ได้ทำความดีเช่นกัน ผมและคณะกรรมการทุนนิธิฯ ทุกท่านขอสนับสนุนทุกคนที่ทำความดี

    พันวฤทธิ์
    5/12/53




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2010
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เหรียญในหลวงที่หลวงตาบัวได้เคยอธิษฐานจิตไว้ด้วย

    [​IMG]

    เหรียญเสมา 3 รอบมหาราช ปี 06 เนื้อเงิน(หายากมาก) ไม่ตอก สว.และตอก สว.

    เหรียญรัชการที่ 9 เนื้อเงิน

    ครบ 3 รอบ ปี06 สภาพน่าเก็บครับ
    เหรียญอนุสรณ์มหาราช หรือที่คนชอบเรียกว่า
    เหรียญเสมา 3 รอบ รัชกาลที่ 9
    มีคนอีกจำนวนมากที่ไม่รู้ว่า เหรียญนี้ไม่ใช่แค่เป็นเหรียญที่ระลึก
    ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระชนมายุครบ 3 รอบ
    เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2506เท่านั้น
    แท้จริงเป็นเหรียญที่ได้ผ่านพิธีการปลุกเสกอย่างยิ่งใหญ่
    ณ อุโบสถวัดราชบพิธ ถึง 2 วาระด้วยกัน
    โดยพระคณาจารย์ที่โด่งดังในปี 2506 ซึ่งพระเครื่องของท่านเหล่านั้น
    ปัจจุบันเราเล่นหากันเป็นแสนเป็นล้าน เช่น อาจารย์ทิม วัดช้างไห้
    ผู้สร้างหลวงพ่อทวดอันลือลั่น หลวงพ่อเงินวัดดอนยายหอม
    หลวงพ่อเต๋ พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ ฯลฯ
    ใครที่รู้แล้วก็ถือเป็นการทบทวนความจำนะครับ
    ส่วนใครที่ยังไม่รู้ ...เมื่ออ่านพิธีการปลุกเสกแล้วก็รีบหานะครัับ

    ใช้คุ้มครองตนเองเหมือนพระเครื่อง..แถมเป็นมงคลที่ยิ่งใหญ่กับชีวิตอีกด้วย

    เหรียญอนุสรณ์ม
    หาราช สร้างในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเฉลิมพระชนม์พรรษาครบ 3 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2506

    เหรียญเสมา (รูปอาร์มหรือโล่ห์) ขนาด 1.8 X 1.6 ซ.ม. เป็นเนื้ออัลปาก้า (เนื้อเงินและทองคำก็มี) ผ่านพิธีปลุกเสกใหญ่ ณ อุโบสถวัดราชบพิธ 2 วาระด้วยกัน


    1. ครั้งแรกวันที่ 29-30 พ.ย.2506


    2. และระหว่างวันที่ 5-6-7 เมษายน 2507


    รายนามพระคณาจารย์ที่ได้
    รับอาราธนามานั่งปรกบริกรรม วันที่ 29-30 พฤศจิกายน 2506 ณ พระอุโบสถวัดราชบพิธ (พิธีครั้งที่ 1)

    1. หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา


    2. หลวงพ่อพระครูโพธิสารประสาธน์ วัดโพธิสัมพันธ์ บางละมุง ชลบุรี


    3. หลวงพ่อพระวรพจรน์ปัญญาจารย์ วัดอรัญญิกาวาส ชลบุรี


    4. หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน แม่ทะ ลำปาง


    5. หลวงพ่อพระราชหระสิทธิคุณ วัดราชธานี สุโขทัย


    6. หลวงพ่อเงิน (พระราชธรรมาภรณ์ )วัดดอนยายหอม นครปฐม


    7. หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม นครปฐม


    8. พ่อท่านคล้าย วัดสวนขวัญ ฉวาง นครศรีธรรมราช


    9. พระครูวิสัยโสภณ (อาจารย์ทิม) วัดช้างไห้ ปัตตานี


    รายนามพระคณาจารย์ที่ปลุกเสกวันที่ 5 เมษายน 2507


    1. พระสุเมธมุนี เจ้าคณะวัดบางหลวง ปทุมธานี


    2. พระสุนทรศีลสมาจาร (หลวงพ่อผล) วัดหนัง ธนบุรี


    3. พระครูปลัดบุญรอด วัดประดู่พัฒนาราม นครศรีธรรมราช


    4. หลวงพ่อทบ วัดสว่างอรุณ ชนแดน เพชรบูรณ์


    5. พระครูนนทกิจวิมล ( หลวงพ่อชื่น) วัดตำหนักเหนือ นนทบุรี


    6.
    หลวงพ่อบัว วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี

    7. พระครูพุทธมนต์วราจารย์ (พระปลัดสุพจน์) วัดสุทัศน์ พระนคร


    8. พระครูบวรธรรมกิจ (หลวงปู่เทียน) วัดโบสถ์เชียงราก ปทุมธานี


    9. หลวงพ่อหอม วัดขากหมาก ระยอง


    รายนามพระคณาจารย์ที่ปลุกเสกวันที่ 6 เมษายน 2507


    1. พระครูพิทักษ์วิการกิจ (หลวงพ่อสา) วัดราชนัดดา พระนคร


    2. พระครูสถาพรพุทธมนต์(หลวงพ่อสำเนียง) วัดเวฬุวนาราม บางเลน นครปฐม


    3. พระครูธรรมิตรนุรักษ์ วัดเขาหลัก ท่าศาลา นครศรีธรรมราช


    4. พระครูรักขิตวันมุนี (หลวงพ่อถีร์) วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี


    5. พระเทพสังวรวิมล (หลวงพ่อเจียง) วัดเจริญสุขาราม สมุทรสงคราม


    6. หลวงพ่อสำเภา วัดหงส์รัตนาราม บางกอกใหญ่ ธนบุรี


    7. พระครูบาวัง วัด
    บ้านเด่น จ.ตาก

    8. พระมุจรินทร์โมลี (หลวงปู่ดำ) วัดมุจรินทร์ หนองจิก ปัตตานี


    รายนามพระคณาจารย์ที่ปลุกเสกวันที่ 7 เมษายน 2507


    1. หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก บางไทร อยุธยา


    2. พระครูโพธิสารประสาธน์ (อาจารย์บุญมี) วัดโพธิสัมพันธ์ ชลบุรี


    3. พระวราพจน์ปัญญาจารย์ (หลวงพ่อวัดป่า) วัดอรัญญิกาวาส ชลบุรี


    4. หลวงพ่อเมือง วัดท่าแหน แม่ทะ ลำปาง


    5. พระราชประสิทธิคุณ (หลวงพ่อทิม) วัดราชธานี สุโขทัย


    6. พระราชธรรมาภรณ์ (หลวงพ่อเงิน) วัดดอนยายหอม นครปฐม


    7. หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม นครปฐม


    8. พระมงคลเทพมุนี (หลวงพ่อเมี้ยน) วัดพระเชตุพน พระนคร


    9. พระครูวิสัยโสภณ (อาจารย์ทิม) วัดช้างไห้ โคกโพธิ์ ปัตตานี


    การเริ่มพิธีนั้น พระเจริญคาถาภารวาณจะ ตั้งแต่เวลา 15.00 น.ของแต่ละวัน พระคณาจารย์ทุกรูปจะผลัดเปลี่ยนกันนั่งปรกบริกรรมกันตลอดเวลา จนตลอดรุ่งของทุกวัน จนถึงเช้าตรู่วันที่ 8 เมษายน 2507 เวลา 6.00 น. พระอาจารย์ที่นั่งปรกวันที่สามทั้งหมดทุกรูปประชุมพร้อมกัน ปลุกเสกเงียบเป็น เวลา 30 นาที พอครบเวลาตามที่กำหนด เจ้าหน้าที่ลั่นฆ้องชัย พราหมณ์ เป่าสังข์แกว่งบัณเฑาะว์ ปี่พาทย์
    ทำเพลง 3 ลา พระคณาจารย์ทุกรูปประพรมน้ำพุทธมนต์เหรียญเสมาทั้งหมดที่เข้าพิธี เสร็จแล้วเจิม พระพิธีธรรมเจริญคาถาดับเทียนชัย สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ดับเทียนชัย พราหมณ์เริ่มพิธีเบิกแว่นเวียนเทียนสมโภชเป็นเสร็จการพิธี

    ขอขอบคุณ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2010
  8. benyapa

    benyapa ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    1,088
    ค่าพลัง:
    +5,431
    ขอบพระคุณโฆษณาที่พี่เสือนำมาฝากนะคะ เรียกน้ำตาได้เลยค่ะ

    เอ เหรียญนี้จะไปหาบูชาได้ที่ไหนคะพี่เสือ ปูอยากได้บูชาสักเหรียญอ่ะค่ะ
     
  9. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,967
    ค่าพลัง:
    +5,665
    ผมชอบเหรียญขวาสุด มีเข็มติดด้วย อยากได้บูชาครับ ถ้าไม่สูงเกินไป
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105



    เสียใจด้วยครับ ตอนนี้มีอยู่เพียงเหรียญเดียวเท่านั้น แถมตอกโค๊ต "สว" ด้วย เหรียญรูปแบบนี้ หากใครได้มีโอกาสดูหนังเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัวที่ตอนนี้ยังคงฉายที่ DTY หรือโทรทัศน์เพื่อการศึกษา จะเห็นได้ว่า 1 ใน 7 เรื่อง ที่ผู้แสดงเป็นร้อยตรี ตชด. รอดตายมาได้ก็เพราะเหรียญนี้ หรือบางทีเราจะเห็นตำรวจชอบแขวนเหรียญรุ่นนี้เหน็บข้างอกเสื้อไว้ด้วยครับ โดยเฉพาะตำรวจจราจรในกทม.หรือต่างจังหวัด เจอบ่อยครับ

    สำหรับหนังเทิดทูนในหลวงทั้ง 7 เรื่องนี้ ดีมากๆ ครับหากใครได้ดูแล้วรับรองได้น้ำตาซึม แต่บางทีก็มีตลกแบบน่ารักๆ ด้วย เช่นเรื่อง อาม่า ลองชมกันดูน๊ะครับ
     
  11. ไชยชุมพล

    ไชยชุมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +1,873
    เมื่อวันที่ 3/12/53 คุณแม่ได้ทำการโอนเงินเพื่อร่วมทำบุญกับทุนนิธิ ฯ ประจำเดือน จำนวน 500 บาทเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ
     
  12. Limtied

    Limtied เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    822
    ค่าพลัง:
    +3,662
    นางดวงใจ ไตรสิริโชค วันนี้โอนเงิน (ตามสลิปธนาคาร) ร่วมบุญ

    บริจาคเข้า บัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation) บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส) บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF0594.jpg
      DSCF0594.jpg
      ขนาดไฟล์:
      834.2 KB
      เปิดดู:
      89
  13. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    ผม ภรรยา และครอบครัว ได้ร่วมทำบุญด้วยครับ
    ดังสลิบโอนเงินครับ
    ขอบคุณครับ
    มหาโมทนาบุญด้วยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Pratom.jpg
      Pratom.jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.1 KB
      เปิดดู:
      104
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    แนะนำพระเครื่องดีมาฝากกันรุ่นนึง แต่มาอ่านเนื้อเรื่องนี้ก่อนครับ

    เหล็กไหลฤาเหล็กเหลวไหล
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์


    เรื่อง ของธาตุมหัศจรรย์ที่ใคร ๆต่างก็ใฝ่หาอยากมีไว้ในครอบครอง แร่ใดคงไม่มีความหมายเท่ากับแร่ “เหล็กไหล” โลหะที่ผู้คนต่างเชื่อถือว่าศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์นานาประการ
    ใน ยุคปัจจุบันมีหลายคนที่ออกมาแสดงตนเป็นผู้รู้เกี่ยวกับเรื่องของเหล็กไหล บ้างก็ว่าเคยเห็น บ้างก็ว่าเคยสัมผัสถึงแหล่ง ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ คนที่บอกว่ามีอยู่ในครอบครอง สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้มีศรัทธาในเหล็กไหลว่าเป็นของมีอยู่จริง ละสร้างความหงุดหงิดให้กับคนที่ไม่เชื่อว่ามีอยู่จริงเป็นยิ่งนัก

    ใครจะชี้ชัดลงไปได้
    เข้าใจว่าจะยาก

    มี ศิษย์หลวงปู่ผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น ท่านหนึ่งเคยทำใจกล้า ออกปากถามหลวงปู่ว่าเหล็กไหลมีจริงหรือไม่ ท่านตอบกลับในทันที

    “มีจริง”

    ยังแถมอีกว่า

    “ให้ไปดูที่หัวลำโพงสิ ไหลขึ้นเหนือก็ได้ ไหลลงใต้ก็ได้ มีให้ดูอยู่ทุกวัน”

    ศิษย์คนนั้นคงหมดกำลังใจค้นคว้าเรื่องเหล็กไหลไปอีกนาน

    ผม เองไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่าย แต่จะให้ปฏิเสธทีเดียวก็ใช่ที่ เพราะเรื่องของเหล็กไหลถ้าไม่มีเค้ามูลอยู่จริงบ้างละก็ คนพูดจะพูดเรื่องนี้มาจากไหน จะกล่าวลอย ๆ ขึ้นด้วยสาเหตุอะไร ทว่า ผมเองก็ไม่มีปัญญาที่จะตะลุยเข้าป่า บุกถ้ำ ค้นหาเหล็กไหลเพื่อเอามาไว้ในครอบครองแล้วประกาศให้โลกรู้ว่าเป็นของมีอยู่ จริง ผมจึงคิดหาทางลัดด้วยการถามคนที่เคยบุกป่าฝ่าดงมาโชกโชนแล้ว และที่สำคัญต้องเป็นคนมีศีลมีสัตย์พอที่จะไว้เนื้อเชื่อใจในถ้อยคำได้

    ก็คงไม่พ้นครูบาอาจารย์

    คราวที่หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วัดอัมพวัน อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี คิดจัดสร้างพระผงขึ้นเป็นพุทธานุสสติในปี พ.ศ. 2510 ท่าน ก็ได้เสาะแสวงหาของมงคลต่าง ๆมาผสมเป็นองค์พระ ทั้งที่เป็นของศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติ และเป็นของที่สร้างขึ้นด้วยมือผู้ทรงวิทยาคุณ ผมจะไม่กล่าวถึงของอื่น ๆ ที่มีมากมายเป็นร้อยชนิด แต่จะกล่าวถึงของสูงค่าในถ้ำเขาหลวง จ.นครสวรรค์ ที่หลวงพ่อดั้นด้นไปเอานั้นคือ “เหล็กไหล”

    เมื่อ หลวงพ่อจุดเทียนเดินเข้าไปในถ้ำ ผู้รักษาด่านแรกคือ งูใหญ่น้อยมากมาย ทั้งจงอาง งูเห่า งูสามเหลี่ยม ล้วนชูคอแผ่พังพานกันสลอนประมาณไม่ได้ว่ามีสักกี่ร้อยกี่พันตัว หากหลวงพ่อก็มิได้หวั่นไหว ด้วยใจท่านซื่อตรงต่อตนเองชนิด “สักขี ภูโต” คือเอาตนเองเป็นพยานได้ว่า ไม่ได้มาที่นี่เพราะความโลภโมโทสันแต่อย่างใด ที่จะมาเชิญของศักดิ์สิทธิ์ก็เพื่อสร้างอุทเทสิกเจดีย์สืบทอดพระศาสนาเท่า นั้น

    คิดดังนั้นแล้วท่านก็แผ่เมตตาออกไปอย่างไม่มีประมาณ ปรากฏว่าอสรพิษผู้ดุดันกลับหลบหลีกให้โดยดี ไม่มีอาการข่มขู่คุกคามเช่นทีแรก ครั้นท่านเดินลึกเข้าไปในถ้ำก็ต้องตะลึงลาน ด้วยบัดนี้ ผนังถ้ำตรงหน้าล้วนแล้วไปด้วยแร่ธาตุชนิดหนึ่ง มีลักษณะเป็นมันเลื่อมวาววับฝังตัวอยู่ตามแผ่นหินเปล่งประกายล้อแสงเทียน อยู่ไปมา

    จิตที่ฝึกฝนมานานปีบอกให้ท่านทราบว่าสิ่งนี้คือ “เหล็กไหล” เมื่อท่านเข้าที่กำหนดขอผู้เป็นเจ้าของ ปรากฏว่าผู้ดูแลรักษาไม่ยอมยกให้ เพราะเหล็กไหลแท้เป็นของที่มีอานุภาพมาก ผู้ครอบครองต้องล้นพ้นด้วยบารมี และประกอบบุพกรรมกับกับเทพผู้รักษาอยู่เท่านั้น

    แต่ผู้ดูแลก็อนุญาตให้นำ “ขี้เหล็กไหล” ซึ่งเป็นธาตุที่สำรอกออกมาจากเหล็กไหลไปได้ และอานุภาพของขี้เหล็กไหลนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตัวเหล็กไหลแท้สักเท่าใด

    หลวง พ่อจรัญจึงขูดแคะขี้เหล็กไหลจากผนังถ้ำมาในปริมาณที่มากพอสมควร จากนั้นก็นำมาสร้างพระเนื้อดินผสมผงขึ้นสำเร็จในปี พ.ศ. 2511 ใครที่ได้พระชุดนี้ไว้ในครอบครอง ก็ชื่อว่ามีบุญเก่าใช่ย่อยเหมือนกัน

    พูดถึงเรื่องหลวงพ่อจรัญไปพบเหล็กไหลจนได้ขี้เหล็กไหลมา ก็ให้นึกถึงเรื่อง ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ วัดเจติยาคิรีวิหาร (ภูทอก) อ.ศรีวิไล จ.หนองคาย ซึ่งท่านก็ได้พบเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับหลวงพ่อจรัญเช่นกัน

    ในช่วงสงครามเวียดนาม ท่านพระอาจารย์จวน ได้ขึ้นไปบำเพ็ญเพียรอยู่ในถ้ำบูชา บนภูวัว ซึ่งเป็นภูเขาที่มีความลี้ลับอัศจรรย์อยู่หลายประการ วันนั้นเครื่องบินพันธมิตรที่จะทิ้งระเบิดยังฝั่งเวียดนามได้บินกลับมาพร้อม ระเบิด 4 ลูก

    เมื่อจะลงจอดยังสนามบินต้องปลดระเบิดให้หมดเสียก่อน มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายได้ บริเวณภูวัวเป็นป่าทึบ เครื่องบินพันธมิตรเห็นปลอดคนจึงปลดระเบิดลงในป่าทันที

    ลูกแรกตกลงไปในเหวไม่ไกลจากถ้ำบูชาเท่าใดนัก เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวราวป่าจะถล่มถลาย ไม่นานนักเสียง “ตุ้บ” หนัก ๆเหมือนกระทุ้งดินจนธรณีสะเทือนก็มาลั่นอยู่บริเวณถ้ำถึง 3 ครั้งด้วยกัน ท่านอาจารย์จึงออกไปดู ปรากฏ ว่าเป็นระเบิดขนาดใหญ่ 3 ลูกหล่นมาปักดินอยู่ใกล้ถ้ำ แน่ละว่าหากระเบิดทั้ง 3 ลูกทำงานตรงตามหน้าที่ ภูวัวบริเวณนั้นทั้งแถบย่อมแหลกรานถล่มราบเป็นหน้ากลอง

    รวมถึงถ้ำบูชา และท่านอาจารย์

    ใน คืนหนึ่ง ณ ถ้ำบูชา ท่านพระอาจารย์จวนปรากฏเห็นนิมิตเห็นเทพบุตรตนหนึ่ง มีรัศมีเรืองรองสวยงามนัก เข้ามาน้อมอภิวาท แล้วกล่าวถวายของสำคัญให้สิ่งหนึ่งนั้นคือ “ขี้เหล็กไหล” โดยที่พวกเขาปรารถนาจะบำเพ็ญทานบารมีกับท่าน จึงขอให้ท่านอาจารย์เก็บไปแจกผู้มีศรัทธาด้วย

    รุ่ง ขึ้นท่านก็เดินไปดูยังสถานที่ที่ปรากฏในนิมิตพบว่าเป็นหลืบถ้ำ และมีวัตถุบางอย่างไหลเลื่อนตกลงมา เมื่อกำหนดดูท่านก็ทราบว่าสิ่งนี้เป็น “ขี้เหล็กไหล” วัตถุธรรมชาติที่ทรงอานุภาพไม่แพ้เหล็กไหล เพียงมีรูปร่างสีสันที่ไม่งดงามเท่าและไม่อาจเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เคลื่อนที่ไปมาได้เองดังเช่น เหล็กไหล

    ท่าน เก็บมาได้เกือบเต็มย่าม เมื่อแจกจ่ายออกไปก็ปรากฏอานุภาพคุ้มครองป้องกันภัย ปัดเป่าอันตรายให้แก่ผู้พกพาได้อย่างน่าอัศจรรย์ เป็นเหตุให้มีคนแสวงหากันมาก หน้าถ้ำบูชา ภูวัว จ.หนองคาย
    [​IMG]


    หลืบหิน ด้านหลังพระพุทธรูปนี้แหละ ที่ขี้เหล็กไหลเคลื่อนตัวออกมาหาท่านพระอาจารย์จวน
    [​IMG]




    ไม่อาจชี้ชัดได้ว่าที่ลูกระเบิดไม่แตกในวันนั้นเป็นด้วยบุญ บารมีของท่านพระอาจารย์จวนโดยเฉพาะ หรือด้วยอำนาจอันมหาศาลของขี้เหล็กไหลในถ้ำนั้น

    นี่เป็นอีกเรื่องที่ ยืนยันได้ถึงความยากลำบากในการจะได้เหล็กไหลแท้สักก้อนมาบูชา เพราะแม้แต่ผู้ทรงคุณธรรมพร้อมมูลดัง หลวงพ่อจรัญ และท่านพระอาจารย์จวน ก็ยังไม่สามารถนำเอาเหล็กไหลแท้มาไว้ในครอบครองได้

    หรือท่านจะไม่เอาเองก็ไม่ทราบ

    ราว ปี พ.ศ. 2518 นายแพทย์ปัญญา ส่งสัมพันธ์ เจ้าของ ร.พ.แพทย์ปัญญา ได้เดินทางไปยังเกาะล้าน จ.ชลบุรี พร้อมด้วยหลวงพ่อมั่น (คนละองค์กับท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต) เพื่อไปทำพิธีเชิญแร่เกาะล้าน หรืออีกนัยหนึ่งคือ แร่เหล็กไหล ธาตุอาถรรพณ์ นั่นเอง ซึ่งผู้คุ้มครองรักษาที่นี่เป็นเทวดาฝ่ายยักษ์ เป็นที่เลื่องลือกันว่าท่านทั้งหวงของ และ “ดุ”

    เรียกง่าย ๆว่า เฮี้ยน

    ขนาด ทางวัดเอาแร่เกาะล้านติดไว้ตามเจดีย์ในวัด คนไปแงะไปงัดหมายจะเอาไปบูชา ยังถึงแก่ม้วยมรณาไปง่าย ๆ เล่นเอาคนหวาดสยองไม่กล้าแตะต้องสักหลาย

    เมื่อ หลวงพ่อมั่น กับ นพ.ปัญญา และคณะ เดินทางไปถึงก็ทำพิธีบวงสรวงบูชาเจ้าที่สวดมนต์ภาวนาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก็เกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นเมื่อมีคลื่นขนาดใหญ่ผิดปกติซัดสาดเข้าสู่ฝั่ง ดังสนั่น พอเกลียวคลื่นซาตัวถอยลงจากหาด ทุกคนก็ต้องตะลึงเมื่อพบวัตถุสีดำบ้าง สีปีกแมลงทับบ้าง วางระเกะระกะอยู่บนพื้นทรายเต็มไปหมด

    น่า อัศจรรย์นักที่ก้อนแร่เหล่านี้ขึ้นมาจากน้ำตามคลื่นมาได้ เพราะแร่แต่ละก้อนหนักอึ้งตึงมือเมื่อยามจับบอกให้รู้ถึงน้ำหนักในแต่ละก้อน ว่าไม่ใช่น้อยเลย โดยเฉพาะก้อนหนึ่งมีลักษณะคล้ายดังเศียรหนุมาน คล้ายกันเสียจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นของเกิดแต่ธรรมชาติ ที่สำคัญขนาดเท่าหัวคน ทั้งหนักจนยกเกือบไม่ขึ้นอย่างนี้

    ตามคลื่นมาบนบกได้อย่างไร!!

    เมื่อคณะคุณหมอได้ของมงคลอย่างนี้แล้วก็พากันกลับมาทำพิธีสมโภชที่กรุงเทพฯ อีกครั้ง โดยนิมนต์ ท่านพระอาจารย์วัน อุตตโม ท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ กับ พระเถรานุเถระซึ่งเป็นที่นับถือมาด้วยอีกหลายองค์ เฉพาะท่านพระอาจารย์จวน เมื่อได้เห็นก้อนแร่และพิจารณาจนแน่ใจแล้ว ท่านก็บอกกับ นพ.ปัญญา ว่าสิ่งนี้คือ

    “โคตรเหล็กไหล”

    เมื่อ แจกออกไปก็มีประสบการณ์ทางมหาอุด คงกระพัน แคล้วคลาด ให้เห็นกันบ่อย ๆ เช่น ตำรวจคนหนึ่งถูกล้อมยิงรถจิ๊ปโดยพวก ผกค. เพื่อนตำรวจที่มาด้วยกันตายเรียบไม่เหลือ มีเพียงเขาคนเดียวที่ลูกปืนเฉี่ยวไปเฉี่ยวมาไม่ถูกสักนัด ยิงตอบโต้จนผู้ร้ายล่าถอยไปได้ทั้งเนื้อทั้งตัวไม่ได้แขวนอะไรเลย

    แต่ในปากอมโคตรเหล็กไหลอยู่ก้อนหนึ่ง

    ผม ยังโง่ ยังเป็นผู้เบาปัญญาไม่ฉลาดล้ำ จึงไม่อาจสรุปได้ว่าเหล็กไหลเป็นของมีอยู่จริงหรือไม่ แต่จากที่ครูบาอาจารย์ได้พบเห็นก็คงเป็นแนวทางในการตัดสินใจให้ท่านผู้อ่าน ได้บ้างกระมัง

    บทความจากเนาวรัตน์ดอทคอม


     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <table align="center" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="830"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table style="width: 822px; height: 865px;" border="0" cellpadding="5" cellspacing="5"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#000000" height="197" valign="middle">
    [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="left" valign="top">
    </td> </tr> <tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="5" cellspacing="5" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" bgcolor="#000000" height="197" valign="middle"> [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td class="tx_4" align="left" valign="top">

    [​IMG]


    พระพุทธนฤมิตโชค ปางตรัสรู้ (กวางใหญ่)หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
    </td> </tr> <tr style="font-size: 12pt; font-family: Times New Roman;"> <td class="tx_4" align="left" valign="top"> [รายละเอียด] ท่านพระ ครูภาวนาวิสุทธิ์ แห่งสำนักวิปัสสนา วัดอัมพวัน ต.บ้านแป้ง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ได้สร้างพระเครื่องให้ชื่อว่า "พระพุทธนฤมิตโชค" เป็นพระนั่งสมาธิอยู่ในพื้นฐานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่งเป็นพระปางประทานพร (แบบอินเดีย) ยกมือขวาประทานพร ทั้ง ๒ แบบองค์พระนั่งภายใต้ต้นอัมพฤกษ์ (ต้นมะม่วง) หมายถึงนามวัดอัมพวันอันเป็นสถานที่อุบัติพระนี้ภายใต้ฐานที่ประทับนั่ง มีรูปพระธรรมจักรกับรูปกวางหมอบ หมายถึงการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า กำลังจะเริ่มหมุนต่อไป ซึ่งจะมีผลแผ่ไพศาลฉายแสง แสดงความร่มเย็นเป็นสุขไปยังเวไนยสรรพสัตว์ทุกถ้วนหน้า อย่างไม่มีประมาณ เพื่อความรู้แจ้งเห็นจริงในพระเครื่องที่สร้างขึ้นนี้ตามควร จึงขอนำเรื่องความเป็นมาสำหรับท่านที่เคารพนับถือได้ศึกษาเพิ่มพูนศรัทธาใน องค์ผู้สร้างประวัติความเป็นมา ย่อมเป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า พระเครื่องรางของขลังต่าง ๆ นั้น เป็นที่นิยมนับถือของคนไทยชาวพุทธมาแต่โบราณ สำหรับมีไว้ประจำตัวเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ ทำให้ใจอบอุ่นเหมือนมีเพื่อนคอยคุ้มครอง ทั้งเพื่อเป็นสิริมงคลขจัดปัดเป่าสิ่งที่ตนไม่พึงปรารถนาให้ห่างไกล เป็นสัญลักษณ์เครื่องหมายให้เห็นว่าผู้นับถือเป็นผู้เทิดทูนพระพุทธองค์ซึ่ง เป็นศาสดาเอกในโลก ผลแห่งการอภิวาทนั้น ย่อมอำนวยให้สำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา นอกจากนั้นพระเครื่องรางยังช่วยเผยแพร่ผดุงส่งเสริมพระบวรพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งฟุ้งขจรสืบต่อไปในอนาคตอย่างไม่มีของเขตอาศัย มูลเหตุนี้เป็นที่ตั้งบวกกับผลแห่งการรบเร้ากระตุ้นเตือนของบรรดาคณะ ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย เป็นพลังดลใจให้ท่านพระครูฯ ได้เกิดเมตตากรุณาธรรมเสียสละเวลารวบรวมแร่และผงวิเศษจากแหล่งศักดิ์สิทธิ์ ต่าง ๆ ด้วยความวิริยะอุตสาหะอย่างยอดเยี่ยม ยากที่ปุถุชนคนธรรมดาจะกระทำได้ นำมาคุลีการบดผสม (บดด้วยไฟฟ้า) ปลุกเสกเป็นรูปพระพิมพ์ขึ้นเมื่อ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๑๑ ตรงกับเดือน ๑๑ วันอังคาร แรม ๙ ค่ำ อันเป็นฤกษ์งามยามดีที่ให้ปฏิสนธิการอุบัติขึ้นในโลกของพระพุทธนฤมิตโชค จุดประสงค์ ขั้นแรกพระคุณเจ้าท่านพระครู ดำริจะสร้างพระอุโบสถใหม่ จะนำพระนี้เข้าบรรจุไว้ในชุกชีใต้แท่นพระประธานเพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนาไป ชั่วกาลนาน มิได้มุ่งหมายจะจำหน่ายจ่ายแจกหาผลประโยชน์ด้วยประการใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เมื่อทำสำเร็จเป็นองค์พระขึ้นแล้ว มีนักปราชญ์บางท่านสามารถทราบล่วงรู้ถึงสรรพคุณว่าพระนี้มีพุทธานุภาพดีเลิศ ไม่ควรจะนำของดี ๆ เช่นนี้ไปฝังดินจมทรายเสียหมด แนะนำให้แบ่งส่วนจ่ายแจกแก่สาธุชนผู้ใจบุญ (ที่มาช่วยบริจาคสร้างอุโบสถ) ไว้สักการบูชาบ้างก็จะอำนวยประโยชน์อย่างมหาศาล เมื่อเป็นเช่นนี้พระคุณท่านจึงตกลงใจคล้อยตาม คือจะจ่ายแจกส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งจะบรรจุไว้ตามเจตนาเดิม แบบและขนาดของพระพิมพ์ เดิมตั้งใจทำเพียงแบบและขนาดเดียว คือเป็นปางสมาธิเกศเปลวเพลิงประทับนั่งใต้ต้นมะม่วงบนฐานบัวหงายแนวตรง ใต้ฐานด้านหน้าเป็นรูปพระธรรมจักร มีกวางหมอบสองตัว กรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาด ๒.๔x๓.๗x๐.๔ ซม. ด้านหลังมีตัวอักษรจารึก "วัดอัมพวัน สิงห์บุรี" เมื่อนำพระไปให้ช่างที่พระนครแกะพิมพ์และทดลองพิมพ์แบบสำเร็จ ส่งมาให้ดูเป็นตัวอย่าง จะเป็นเพราะเทพเจ้าเข้าดลใจหรืออย่างไรก็เหลือสัณนิษฐาน พลันก็นึกอยากได้พระปางพระทานพรทรงอินเดีย (ซึ่งมีแบบอยู่แล้ว) นึกตำหนิแบบที่ ๑ ว่ารูปกวางหมอบที่ทำไปแล้วนั้นยังไม่เป็นที่พอใจ คิดไว้แต่ในใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะเดินทางเข้าพระนครให้ช่างแก้ไขและทำแบบใหม่ วันรุ่งขึ้นจึงเดินทางเข้าพระนครกับผู้ติดตามอีกหลายท่าน เมื่อไปถึงยังมิทันพูดอะไร นายช่างบอกว่า เมื่อคืนผมนอนไม่หลับตลอดคืน เฝ้าแกะพิมพ์พระให้ท่านพระครูใหม่พร้อมกับนำมาให้ดู พอท่านพระครูเห็นเข้าเท่านั้นถึงกับขนลุก นึกว่านี่อะไรกันเหตุไรช่างทำเหมือนกับที่คิดไว้ไม่ผิดเพี้ยนประจักษ์ต่อ หน้าผู้ติดตามทุกคน จึงตอบนายช่างไปว่า ที่มานี้ก็เพื่อจะให้ทำพิมพ์อย่างนี้และกวางแบบนี้นี่แหละ (ดูแบบที่ ๒) จึงตกลงให้ทำพิมพ์ที่ ๒ ขึ้นอีกนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่ทุกท่านควรทราบไว้บำรุงศรัทธาส่วนหนึ่ง ด้วย พระแบบที่ ๒ นั้นเรียกว่า ปางประทานพร เกศบัวตูม มีอักษรขอม ๒ แถว ทางดิ่งนั้นคือ หัวใจพรพระ ๘ บท (พา มา นา อุ กะ สะ นะ ทุ) นอกนั้นมีลักษณะเหมือนแบบที่ ๑ ทุกอย่าง แต่มีขนาดเล็กกว่า มีขนาด ๒.๓x๓.๒x๐.๕ ซม. เนื้อพระทั้งหมดเป็นผงผสมแร่เคลือบน้ำมันสีน้ำตาลอ่อน บางองค์มีสีเขียวปะปนบ้าง เนื้อของพระพิมพ์แกร่งมาก ผงวิเศษและการได้มา ผงที่นำมาผสมพระพิมพ์ครั้งนี้ มี ๑๖ อย่าง ที่พระคุณเจ้าไปนำมาด้วยตนเอง ๑. แร่เศรษฐีป้อมเพชร ได้จาก จ.กำแพงเพชร (แดนเศรษฐีโบราณ) ๒. แร่ทรหด ได้จากถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ๓. แร่เม็ดมะขาม ได้จากเจดีย์วัดประสาท เจดีย์หักบ้านแป้ง จ.สิงห์บุรี ๔. แร่ขวานฟ้า ได้จากอาจารย์หล่ำ บ้านเตาอิฐ จ.สิงห์บุรี ๕. แร่ข้าวตอกพระร่วง ได้จาก จ.สุโขทัย ๖. แร่ขี้เหล็กไหล ได้จากเขาหลวง จ.นครสวรรค์ ๗. แร่สังคะวานร ได้จากวัดไม้แดง ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี ๘. อิฐดอกจันทร์ ได้จากวัดไม้แดง ค่ายบางระจัน จ.สิงห์บุรี ๙. คตปลวก ได้จาก โคกดินวัดพระปรางค์มุนี จ.สิงห์บุรี ๑๐.คตไม้สัก ได้จากพงพญาเย็น จ.นครราชสีมา ๑๑.ขี้ปรอท ได้จาก จ.เพชรบูรณ์ ๑๒.ผงกรุพระ ได้จากวัดพระธาตุ จ.ชัยนาท ๑๓.ผงกรุพระ ได้จากหลวงพ่อจาด จ.ปราจีนบุรี ๑๔.ผงกรุพระ ได้จากพระอาจารย์ ๑๐๘ วัดพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ๑๕.ผงกรุพระ ได้จากพระครูวินิจสุตคุณ วัดเสาธงทอง จ.อ่างทอง ๑๖.ผงกรุพระ ได้จากพระครูเปลี่ยน วัดสามปลื้ม จ.พระนคร

    ตลาดพระดอทคอม



    แนะนำให้แล้ว ไปตามล่าเอาเองครับ อย่าให้หลุดมือ


    </td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2010
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ในส่วนของขี้เหล็กไหลนั้น ผมเองได้มีวาสนามีแขวนไว้ติดตัว 1 ก้อน (เท่าก้อนกรวดขนาดปลายนิ้วก้อย) เมื่อวานได้มีโอกาสได้เพิ่มมาอีก 1 ก้อน และได้เห็นผู้ที่เลี้ยงเหล็กไหลด้วยน้ำผึ้งจนตัวอ้วนพีอีก จึงกล้ายืนยันได้ว่าเหล็กไหลนั้นมีจริง แถมพลังนั้นไม่ธรรมดา แรงสุดๆ ด้วยเช่นกัน สาเหตุก็คือเทวดาที่รักษานั้นเป็นเทพพรหมชั้นสูงบางท่านผ่านการเป็นพระสยามเทวาธิราชมาก็มี การมอบเหล็กไหลให้ผู้ที่ครอบครองนั้น จะต้องมีการประสิทธิประสาทจากผู้ทรงคุณธรรมในทางจิตขั้นสูงสุดด้วยเช่นกัน เพราะเทพพรหมนั้นท่านจะได้มารักษาตัวเรา สร้างบารมีร่วมกับเรา ไม่ใช่จะครอบครองกันแบบบูชาพระพิมพ์ทั่วไป เหล็กไหลที่ได้มานั้นยังเป็นส่วนน้อยเมื่อเทียบกับที่ๆ ยังมีอยู่ บางคนหามาชั่วชีวิตไม่เคยเจอ ยังไงๆ ก็หาบูชาพระข้างต้นไปก่อนครับ สักวันหากมีโอกาสท่านก็อาจจะได้ครอบครองก็ได้ แม้จะเป็นเพียงขี้เหล็กไหลก็ตามที...

     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ขอขอบคุณทุกๆ ท่าน ที่บริจาคปัจจัยเพื่อรักษาพระสงฆ์ที่อาพาธตาม รพ. ต่างๆ โดยผ่านทุนนิธิฯ นี้มาด้วยครับ และขอให้ทุกท่านมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงปราศจากทุกข์ฺ โศรกและโรคภัยด้วยอานิสงส์แห่งทานนี้ด้วยเทอญ...

    [​IMG]


     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #1d0900 2px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #1d0900 2px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #1d0900 2px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #1d0900 2px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD class=content colSpan=2>รำลึกถึงอุปลมณี....แก้วมณีแห่งเมืองอุบล


    </TD></TR><TR><TD class=content vAlign=top align=middle width=650 colSpan=2>

    <HR>[​IMG]

    รำลึกถึงอุปลมณี แก้วมณีแห่งเมืองอุบล
    โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก


    ทุกข์มี เพราะยึด
    ทุกข์ยืด เพราะอยาก
    ทุกข์มาก เพราะพลอย
    ทุกข์น้อย เพราะหยุด
    ทุกข์หลุด เพราะปล่อย

    ข้อความข้างต้นนั้นเป็นคติพจน์สำคัญบทหนึ่ง ของพระเถระผู้เป็นอาจารย์วิปัสสนาชื่อก้อง เป็นที่เคารพยกย่องขอประชาชนทั่วประเทศ ตลอดถึงนานาประเทศด้วย พระคุณเจ้าที่ว่านี้คือ พระโพธิญาณเถร อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองป่าพง ตำบลโนนผึ้ง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี หรือที่รู้จักกันในนาม “หลวงพ่อชา สุภัทโท”

    หลวงพ่อชา ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพท่าน ในวันเสาร์ที่ 16 มกราคม ในปีถัดมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณ ล้นเกล้า ล้นกระหม่อม เหล่าศิษยานุศิษย์ตลอดถึงพุทธศาสนิกชนผู้ศรัทธาเลื่อมใสในปฏิปทาของหลวงพ่อทั้งในและต่างประเทศ ต่างก็หลั่งไหลไปยังจังหวัดอุบลราชธานี จุดหมายปลายทางคือวัดหนองป่าพง เพื่อร่วมงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน

    ว่ากันว่า รถทัวร์ รถไฟ เครื่องบิน ถูกจองที่นั่งกันเต็มเอี้ยด ผู้คนหลั่งไหลไปมืดฟ้ามัวดิน จนบริเวณวัดหนองป่าพงแทบไม่มีที่ให้ยืน วันนั้นโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 ได้ถ่ายทอดสด ให้ผู้ชมได้ชมบรรยากาศของงานทั่วประเทศ ผมได้รับเกียรติเป็นพิธีกรบรรยายออกอากาศคนหนึ่งร่วมกับพิธีกรของโทรทัศน์ช่อง 11 คือคุณรวงทอง ยศธำรง นับเป็นบุญของผมที่ได้มีโอกาสร่วมงานบุญกุศลครั้งนี้ โดยไม่คาดคิดมาก่อน

    และยังจำควันหลงจากงานนี้ดี เมื่อคุณรวงทองถามผมว่า พระราชทินนามของ “หลวงพ่อชา สุภัทโท” อ่านว่าอย่างไร ผมบอกให้เธออ่านว่า “พระ-โพ-ทิ-ยาน-เถน” เธออ่านตามผมบอกมีท่านผู้รู้บางท่านติงว่า อ่านผิด ต้องอ่านว่า “เถ-ระ” ส่วน “เถน” นั้นหมายถึง “มหาโจร” ไม่เชื่อขอให้เปิดพจนานุกรมดูได้

    ผมต้องชี้แจงว่า เถน ถ้าเป็นศัพท์เขียนอย่างนี้แปลว่าขโมย นั้นใช่แล้ว แต่ “เถน” ที่เป็นคำอ่านของ “โพธิญาณเถร” ถึงจะอ่านออกเสียงว่า “เถน” มิได้แปลว่า ขโมย

    สมณศักดิ์ที่ลงท้ายด้วยคำว่า “เถน” เป็นสมณศักดิ์ที่พระราชทานแก่พระวิปัสสนาจารย์ เช่น พระอุดมวิชาญาณเถร, พระวิสุทธิสารเถร, พระพรหมยานเถร คำอ่านที่ถูกท่านอ่าน “เถน” ทั้งนั้น ถ้าต้องการให้อ่าน “เถระ” จะต้องประวิสรรชนีย์ว่า “เถระ” ครับ

    ขอนั่งยันนอนยันว่า พระโพธิญาณเถร อ่านว่า “พระ-โพ-ทิ-ยาน-เถน” ถูกต้องแล้ว ท่านลุง “ประสก” ผู้ล่วงลับก็คงได้รับคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ได้เขียนบทความยืนยันเช่นเดียวกับผมว่า คำนี้อ่านว่า “พระ-โพ-ทิ-ยาน-เถน” แล้วหยอดท้ายด้วยสำนวนเฉพาะตัวว่า อ่านอย่างนี้ “ถูกที่สุดในโลก” !

    ภูมิทางปริยัติของหลวงพ่อจบแค่นักธรรมเอก แต่ท่านคิดว่าพื้นความรู้แค่นี้เพียงพอแล้ว จึงแสวงหาอาจารย์วิปัสสนาผู้จะช่วยแนะนำวิธีปฏิบัติ รู้ว่ามีอาจารย์ดีที่ไหนก็ดั้นดันไปหา เช่น หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นต้น

    น่าสังเกตว่าหลวงปู่มั่นเป็นธรรมยุต หลวงพ่อชาเป็นมหานิกาย กระนั้นหลวงปู่มั่นก็ยินดีถ่ายทอด เทคนิควิธีการปฏิบัติให้ และไม่ชวนให้บวชแปลงเป็นธรรมยุตดังเคยชวนอาจารย์รูปอื่น ท่านกลับเทศน์สอนหลวงพ่อชาว่า “ไม่ต้องสงสัยในนิกายทั้งสอง” นิกายนั้นนิกายนี้เป็นเพียงเปลือกนอกที่ผู้หนาด้วยกิเลสหลงยึดติด และคนเขลาเท่านั้นหลงบูชา

    หลวงพ่อชาตระหนักว่าการปฏิบัติจะไม่ก้าวหน้าถ้าหากรักษาศีลไม่บริสุทธิ์ จึงพยายามรักษาศีลและวัตรอย่างเคร่งครัด ฉันอาหารมื้อเดียว ไม่จับต้องเงินทอง และไม่มีไว้ครอบครองจวบจนอายุขัย ไม่หน้าไหว้หลังหลอก ทำทีเคร่งต่อหน้าคน พอโยมคล้อยหลังก็งัด “ปัจจัย” ออกมานับ เอาก้านธูปเขี่ยหนึ่งร้อย...สองร้อย...ห้าร้อย...พันหนึ่ง...จนคนเขาแอบตั้งฉายาว่า “หลวงเขี่ย”

    ความเคร่งครัดเอาจริงเอาจังในการปฏิบัติ ทำให้มีผู้ศรัทธามามอบตัวเป็นศิษย์ รับการอบรมจากท่านมากขึ้นตามลำดับ รวมถึง ชาวต่างประเทศจำนวนไม่น้อย ศิษย์เหล่านี้แยกย้ายกันไปตั้งสาขา ขึ้นทั้งในและต่างประเทศจำนวนร้อยกว่าแห่ง

    สาขาหนึ่งมีพระฝรั่งล้วนชื่อ วัดป่านานาชาติแห่งหนึ่ง อยู่ประเทศออสเตรเลียแห่งหนึ่ง อยู่ที่ประเทศอิตาลีห่างจากสำนักวาติกันไม่กี่ก้าว อีกสามแห่งอยู่ที่ประเทศอังกฤษ

    น่าอัศจรรย์ก็คือ หลวงพ่อพูดภาษาฝรั่งไม่ได้ ศิษย์พูดไทยไม่ได้ แต่อาจารย์ก็ถ่ายทอดธรรมแก่ศิษย์ได้ นี่กระมั่งที่ท่านว่า “ถ่ายทอดจากใจถึงใจ” สัจธรรมไม่จำเป็นต้องสื่อผ่านภาษา ย่อมเป็นที่รับรู้กันได้กระจ่างยิ่งกว่าใช้ภาษาถ่ายทอดเสียอีก

    ท่านเขมธัมโม ศิษย์เอกรูปหนึ่งเล่าว่า วันหนึ่งมีขอนไม้ขวางทางเดิน หลวงพ่อบอกให้ศิษย์ช่วยกันหามออกโดยหลวงพ่อยกปลายข้างหนึ่ง ศิษย์ยกอีกข้างหนึ่ง ขณะยกหลวงพ่อพูดว่า “หนักไหมๆ” หลังจากโยนขอนไม้ลงข้างทางแล้ว หลวงพ่อถามว่า “เบาไหมๆ” ศิษย์ก็ได้แต่ตอบว่า “ครับๆ” หลวงพ่อแบมือทั้งสองข้าง พูดดังๆ ว่า “เบา สบาย” ต่อมาจึงรู้ว่า หลวงพ่อท่านกำลังสอนธรรมให้

    เมื่อไปอังกฤษ หลวงพ่อพาศิษย์ออกบิณฑบาตสร้างความฮือฮาไปทั่ว ร่ำๆ จะถูกตำรวจจับข้อหาว่า ทำผิดกฎหมาย เพราะออกขอทาน (ฝรั่งไม่รู้ว่าบิณฑบาตกับขอทานไม่เหมือนกัน) ร้อนถึงทนายคนหนึ่งช่วยชี้แจงว่านี้เป็นธรรมเนียมของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จึงรอดตัวไป

    [​IMG]
    เจดีย์วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี


    เมื่อศิษย์ถามว่าท้วงว่า “ถึงออกบิณฑบาตก็ไม่มีคนใส่”

    หลวงพ่อตอบอย่างเฉียบคมว่า “เราบิณฑบาตเอาคน ไม่ได้หวังเอาข้าว”

    และการ “บิณฑบาตเอาคน” ของหลวงพ่อก็ได้ผล หลังจากวันนั้น ฝรั่งมายืนรอใส่บาตรกันมาก หน้าหลายตา และหันมาสนใจในพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และนับวันจะเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ เพราะได้ศิษย์ฝรั่งกลับไปตั้งวัดสอนฝรั่งด้วยกัน ย่อมจะได้ผลกว่าส่งพระไทยไปตั้งวัดสอนฝรั่งเพราะธรรมทูตไท ส่งไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังต่างแดนกี่ชุดๆ ทำได้แค่สนองความต้องการ ของชาวพุทธไทย ด้านพิธีกรรมเท่านั้นเอง

    จำได้ว่า คืนก่อนวันพระราชทานเพลิงศพ รายการทีวียกกองไปถ่ายทอดสดที่วัดหนองป่าพง พิธีกรถามพระลูกศิษย์หลวงพ่อชาว่า

    “หลวงพ่อชามีดีอะไร พระฝรั่งจึงเคารพนับถือท่านเหลือเกิน”

    น่าแปลก ที่คำตอบแทนที่จะเป็นเรื่องมหัศจรรย์อื่นๆ กลับเป็นเรื่องธรรมดาๆ พื้นๆ คือ หลวงพ่อชาเป็นพระมีเมตตา

    ศิษย์ฝรั่งอีกรูปหนึ่งอุปมาว่า “หลวงพ่อเหมือนกับพระที่มีความสุขนั่งอยู่บนใบบัว” ทำให้มองเห็นภาพ ใบหน้ากลมๆ ยิ้มละไมอยู่เสมอ

    ใช่แล้ว กบอ้วนนี้ช่างมีความสุขเหลือเกิน !

    เมตตากรุณาที่ฉายออกทางใบหน้าท่าทาง เป็นผลสัมฤทธิ์แห่งการปฏิบัติ

    คนเรานั้นอาจแสดงเมตตากรุณาผ่านคำพูดคำสอนอันไพเราะเพราะพริ้งได้ แต่คนที่ได้เรียนรู้และปฏิบัติจนได้สัมผัสผลแห่งการปฏิบัตินั้น ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขา “เป็นเมตตากรุณา”

    หลวงพ่อชาเป็นพระจัดอยู่ในประเภทหลังนี้ ไม่ว่าพระจีน พระไทย คงได้มีเมตตากรุณาแล้ว ย่อมเป็นที่รักเคารพของคนทั้งหลาย

    เมื่อถามถึงเทคนิคการสอนของหลวงพ่อชา ศิษย์ทั้งหลายต่างเห็นพ้องต้องกันว่า หลวงพ่อสอนธรรมใช้ภาษาง่ายๆ แต่ลึกซึ้ง เช่นสอนว่า

    สุนัขนอนอยู่บนกองข้าวเปลือก มันหิว มันก็กระโจนออกจากกองข้างเปลือก วิ่งหาเศษอาหารกิน ทั้งๆ ที่มันนอนทับอาหารอยู่ แต่มันไม่รู้จัก อาหารมันมีอยู่แต่มันกินไม่ได้ เหมือนกับคนที่เรียนรู้ปริยัติมากๆ แต่ไม่รู้จักเอาความรู้นั้นมาปฏิบัติให้เกิดผล โง่ไม่ต่างจากสุนัขนอนอยู่บนกองข้าวเปลือกดอก ท่านว่าอย่างนั้น

    คำสอนง่ายๆ แต่ยิ่งคิดตามก็ยิ่งลึกล้ำคัมภีร์ภาพเช่นที่ว่านี้ ศิษยานุศิษย์ได้รวบรวมพิมพ์เป็นหนังสือเล่มใหญ่ชื่อ อุปลมณี หนาถึง 584 แจกเป็นบรรณาการในงานพระราชทานเพลิงศพของท่าน ถามว่า จะหาอ่านได้ที่ไหน ผมก็ได้แต่บอกไปว่า ไม่ทราบ ผมก็มีอยู่เล่มเดียว ใครอยากดู ให้ดูได้ แต่ห้ามยืม เพราะผมหวงมากเปิดอ่านอยู่เสมอ

    [​IMG]
    ท่านเขมธัมโม


    ได้เอ่ยถึงศิษย์รุ่นแรกรูปหนึ่งชื่อ ท่านเขมธัมโม ท่านรูปนี้ได้ไปเปิดสำนัก “วัดป่าสันติธรรม” (Watpah Santidhamma) อยู่ที่เมืองวอริค (warwick) ประเทศอังกฤษ ทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะสอนกรรมฐานแก่นักโทษ ไม่เลือกศาสนาใด ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และรัฐบาลเป็นอย่างดี สามารถสร้าง “คุกเปิด” แห่งแรกขึ้นในสหราชอาณาจักร เอานักโทษมาสวดมนต์ฝึกกรรมฐาน จัดตั้ง “องค์การองคุลิมาล” ขึ้นช่วยเหลือนักโทษให้กลับเนื้อกลับตัว งานของท่านได้รับการยอมรับทั่วไป จนสมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษได้พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้น O.B.E. นับเป็นพระในพระพุทธศาสนารูปแรกที่ได้รับเกียรตินี้ ทางคณะสงฆ์ไทยได้ขอพระราชทานสมณศักดิ์ชั้นพระราชาคณะที่ พระภาวนาวิเทศ เมื่อปีที่ พ.ศ. 2547 ให้กับท่าน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://www.puttawet.com/index.php?l...=1&Category=puttawetcom&thispage=1&No=1385887
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #1d0900 2px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #1d0900 2px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #1d0900 2px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #1d0900 2px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD class=content colSpan=2>กรรมแห่งความริษยา


    [​IMG]

    </TD></TR><TR><TD class=content vAlign=top align=middle width=650 colSpan=2>

    กรรมแห่งความริษยา

    ความริษยาเกิดจากการขาดมุทิตา (ที่มีลักษณะคือความชื่นชม) หมายความว่า พลอยยินดีในความสุขหรือความสำเร็จของผู้อื่น มุทิตานี้ทำได้ยากกว่ากรุณา บางคนมีเมตตาปรารถนาดี มีความกรุณาสงสาร แต่เจริญมุทิตาไม่ได้ เพราะเราทุกคนมีอนุสัยกิเลสคือความริษยานอนเนืองอยู่ในกระแสจิต น้อยคนนักที่จะกำจัดความริษยานั้นได้

    จะต้องฝึกฝนไปเรื่อยๆ จึงจะบรรเทาลงได้ การฝึกฝนนั้นก็ต้องประกอบด้วยโยนิโสมนสิการ คือทำความเข้าใจด้วยเหตุผลว่าความริษยาไม่ก่อให้เกิดคุณใดๆ ผู้มีความริษยานั้นจะได้รับผลคือขาดบริวาร แต่ผู้ที่เจริญมุทิตาโดยกำจัดความริษยาได้ย่อมจะได้รับอานิสงส์คือ มีบริวารห้อมล้อม มีมิตรสหายห้อมล้อม ความริษยานั้นก่อให้เกิดโทษในปัจจุบันและภพต่อไป ไม่ว่าเกิดกับผู้ใดก็ทำให้ผู้นั้นตกต่ำไปตลอด

    ยกตัวอย่างกรรมแห่งความริษยาจากพระไตรปิฎก

    มีเรื่องเล่าว่าในสมัยพุทธกาล มีพระอรหันต์รูปหนึ่งนามว่า “โลสกติสสะ” ตอนท่านถือปฏิสนธิในครรภ์มารดา บิดามารดาก็ได้รับทุกข์แสนสาหัส บ้านของท่านเกิดไฟไหม้จนสิ้นเนื้อประดาตัว แต่พวกท่านก็อดทนเลี้ยงดูจนเติบใหญ่รู้ความ เมื่อเดินไปไหนมาไหนได้ก็ถูกทอดทิ้งเป็นขอทานอยู่ข้างถนน

    วันหนึ่งพระสารีบุตรเถระ เห็นเข้าก็สงสาร พระสารีบุตรได้หยั่งรู้ว่าเด็กคนนี้เคยสั่งสมบารมีธรรมมาในชาติปางก่อน จึงได้นำตัวมาวัดแล้วให้บวชเป็นสามเณร ต่อมาท่านอุปสมบทเป็นพระภิกษุชื่อโลสกติสสะ ภายหลังเจริญวิปัสสนากรรมฐานแล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์

    ตั้งแต่ท่านเกิดมาจนกระทั่งบรรลุอรหัตผล ไม่เคยกินอิ่มแม้สักวันหนึ่งเลย ทั้งนี้เพราะเวลาที่ท่านบิณฑบาตอยู่ เมื่อคนใส่บาตรท่านแล้วอาหารหายไปเองก็มี หรือแม้จะมีอาหารอยู่พียงเล็กน้อยแต่คนอื่นกลับเห็นอาหารอยู่เต็มบาตรเลยไม่ถวายอีกก็มี ซึ่งอกุศลกรรมนี้เป็นผลของความริษยา

    เรื่องราวในอดีตชาติของพระภิกษุชื่อโลสกติสสะ มีว่า สมัยหนึ่งเมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก พระโลสกติสสะนี้เคยบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นภิกษุผู้ทรงศีล วันหนึ่งพบพระเถระรูปหนึ่งที่เป็นพระอรหันต์เดินทางมาจากแดนไกล พระโลสกติสสะไม่ทราบว่าพระรูปนี้สำเร็จสมณกิจแล้ว ท่านเกรงว่าโยมอุปฏฐากจะเลื่อมใสพระอาคันตุกะรูปใหม่ ด้วยความริษยาจึงแกล้งทำให้พระอาคันตุกะนั้นอดอาหารหนึ่งมื้อ ผลกรรมนี้ส่งผลให้ท่านตกนรกเป็นเวลานาน แล้วมาเกิดเป็นคนที่ไม่เคยกินอิ่มเลย

    เมื่อท่านใกล้นิพพาน พระสารีบุตรหยั่งรู้ว่าท่านจะนิพพานในวันนั้น จึงใช้คนนำอาหารไปให้ท่าน เพื่อจะได้ฉันอาหารอิ่มก่อนนิพพาน แต่ด้วยผลกรรมเก่าทำให้คนนำอาหารลืมเสียแล้วเททิ้ง ต่อมาพระสารีบุตรนึกขึ้นได้ให้คนไปถามว่าฉันอาหารหรือยัง ท่านตอบว่าวันนี้ไม่ได้ฉันอะไร พระสารีบุตรจึงนำยาจตุมธุไปให้ท่านฉัน โดยพระสารีบุตรได้จับบาตรไว้ตลอดเวลาที่ท่านฉันอยู่ หากไม่จับไว้ยาจตุมธุอาจหายไปจากบาตรด้วยผลกรรม พระโลสกติสสะฉันอิ่มวันนั้นเพียงวันเดียวแล้วปรินิพพานในวันนั้นเอง

    จะเห็นว่าผลของความริษยานั้นส่งผลในปัจจุบันและอนาคต สามารถติดตามให้ผลจนถึงช่วงเวลาที่จะนิพพานอีกด้วย และที่ผลของความริษยาที่เกิดขึ้นกับพระโลสกติสสะอย่างรุนแรง ทำให้ถึงกับตกนรกและมีผลมาจนถึงวันแห่งปรินิพพานนั้น เพราะท่านทำกรรมที่เกิดจากความริษยากับพระอรหันต์นั่นเอง

    การทำกรรมไม่ดีกับผู้มีศีล ผู้มีบุญ ผู้มีคุณ ผู้เป็นพระสุปฏิปันโนขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ จึงเป็นบาปมากกว่าผู้ทุศีล ผู้ไม่มีบุญ ผู้ไม่มีคุณ แต่จะทำกรรมไม่ดีกับใครก็ตามเป็นบาปทั้งหมด จะบาปมากบาปน้อยก็แล้วแต่มีเจตนาหรือไม่มีเจตนา จะทำกับผู้มีคุณสูงหรือทำกับผู้ไม่มีคุณสูง ผลแห่งกรรมจะได้รับแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัยนั่นเอง

    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://www.puttawet.com/index.php?l...=1&Category=puttawetcom&thispage=1&No=1385879
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <TABLE style="BORDER-RIGHT: #1d0900 2px solid; PADDING-RIGHT: 10px; BORDER-TOP: #1d0900 2px solid; PADDING-LEFT: 10px; PADDING-BOTTOM: 10px; BORDER-LEFT: #1d0900 2px solid; PADDING-TOP: 10px; BORDER-BOTTOM: #1d0900 2px solid" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD class=content colSpan=2>ธรรมะเย็นใจ

    [​IMG]


    </TD></TR><TR><TD class=content vAlign=top align=middle width=650 colSpan=2>

    ธรรมะเย็นใจ : สอนใจตัวเองก่อน

    เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่

    มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก

    สมมติว่าเราเป็นพ่อแม่มีลูก

    เมื่อลูกทำผิดจริง ๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก

    สอนใจตัวเองให้ระงับอารมณ์ร้อน ให้ใจเย็น ใจดี

    มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว

    และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม

    แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

    เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง

    จึงจะเกิดประโยชน์เป็นการสอน

    ถ้าเราสังเกตุดู บางครั้งใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน

    แต่ความเป็ฯจริงแล้วเราเพียงอยากระบายอารมณ์ของเรา

    สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ

    เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา


    ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน พูดคำเดียวกัน นั่นคือโกรธ



    ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือ



    สอน



    เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งที่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด



    อย่ายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกและความคิดของตน



    อย่ายินดี อย่ายินร้าย ใจเย็น ๆ ไว้ก่อน



    พยายามอบรมใจตนเองว่า



    ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตนเอง



    ชอบจับผิดแต่คนอื่น






    มองเห็นความผิดของคนอื่นเหมือนภูเขา



    เห็นความผิดตนเท่ารูเข็ม



    ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน



    ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร



    ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน



    ปากของตนเหม็นไม่รู้สึกอะไร


    :


    :



    เรามักทุ่มใจ ไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง



    อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดี ยินร้าย



    พยายามรักษาใจเย็น ใจดี ใจกลาง ๆ



    ปกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากัน หรืออาจจะมากกว่าเขา



    แต่ความรู้สึกของเรามักจะมากกว่าเขา



    และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลยน่ากลัวจริง ๆ



    สังเกตุดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโหว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก



    ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม....ก็อาจจะไม่



    เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ



    อย่าเชื่อความรู้สึกให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลาง ๆ



    ไว้


    :


    :



    อย่าเชื่อความรู้สึก



    อย่าเชื่ออารมณ์



    อย่ายินดียินร้าย


    :


    :



    ธรรมะของพระอาจารย์มิตซูโอะ เควสโก



    วัดสุนันทวนาราม



    บ้านท่าเตียน ตำบลไทรโยค อำเภอไทรโยค จังหวัด



    กาญจนบุรี



    จากหนังสือเหตุสมควรโกรธ....ไม่มีในโลก

    :



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    http://www.puttawet.com/index.php?l...=1&Category=puttawetcom&thispage=2&No=1385526
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ธันวาคม 2010

แชร์หน้านี้

Loading...