ภาระกิจเร่งด่วน...ทำวัดให้เป็นที่พึ่งพิงจากภัยพิบัติ!!!

อย่าลืมหัวเผือกและหัวมันต่อเผือก(เพราะจะเป็นส่วนที่ถูกรังสีน้อยที่สุด)ปลูกแซมกลับหญ้าแฝกโดยเฉพาะมันต่อเผือกยอดอ่อนของมันมาผัดใส่น้ำมันอร่อยอย่าบอกใคร

 

หัวมันจะเป็นอาหารสำรองที่สำคัญในอนาคตต่อไปครับ มีพระอ.สายท่าน ท่านเริ่มลงเตรียมเอาไว้แล้วครับ

 

เอารูปที่หลบภัยในอเมริกามาฝากค่ะ





เป็นภาพของบังเกอร์ใต้ดินที่เมืองคองคอร์ด ในอีสต์เบย์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ช่วงนี้แม้จะผ่านพ้นหน้าร้อนไปแล้ว แต่อากาศยังร้อนมาก ๆ 106 องศาฟาเรนไฮน์ หรือประมาณ 41 องศาบ้านเราค่ะ บางวันขึ้นไปถึง 109 ก็มี




บ้านเราไม่มีที่หลบภัยแบบนี้ เพราะฉะนั้นวัดจึงน่าจะเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ หากทางวัดและพระท่านมีความพร้อม รัฐบาลและประชาชนอย่างเราควรร่วมมือกันจัดการให้วัดมีความพร้อมรองรับหากมีภัยพิบัติเกิดขึ้นนะคะ

อนุโมทนา สาธุ กับทุก ๆท่านที่ช่วยกันเตรียมการและทำงานเพื่อส่วนรวมทุกท่านค่ะ

​

​

 

เรื่องการเตรียมวัดให้เป็นที่พึ่งพิงจากภัยพิบัติ นี่สำคัญมากครับ

ยิ่งมีวัดที่พร้อมรองรับช่วยเหลือเป็นที่พึ่งในยามยากมากเท่าไร ก็ยิ่งช่วยชีวิตคนได้มากเท่านั้น

การเตรียมการสร้าง การถวายวิหารทานและวัตถุทานในช่วงการเตรียมนั้น ก็ยังเป็นบุญเป็นกุศลผลทาน ที่หากไม่เกิดภัยพิบัติก็ยังเป็นบุญ และยามเกิดภัยก็กลับเป็นกุศลต่อไปอีกชั้นหนึ่งครับ

พิจารณาแล้วมีผลดี มีแต่บุญมีแต่กุศล ดังนั้นร่วมใจกันทำ เอาไว้ให้มากๆครับ

 

โครงการชั่งหัวมัน ตามพระราชดำริ
ในหลวงท่านทำโครงการนำร่องมาได้ 6 เดือนเเล้ว ปูทางเรื่องเสบียงยามขาดเเคลนไว้ให้ลูกๆ

 

แหล่งอาหารใต้ดินต่อไปจะมีความสำคัญมาก


การเก็บ การถนอมอาหาร การแปรรูป เป็นองค์ความรู้ที่ทุกชุมชนควรให้ความสำคัญครับ

ยามยังไม่เกิดภัยพิบัติ เป็น การเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต ยามเกิดภัยพิบัติเป็นแหล่งอาหารแห้ง อาหารสำรอง

ตอนนี้แผ่นดินไทยยังมีอาหารอุดมสมบูรณ์อยู่

 

ตอนนี้ผมกำลังค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องของพืชผัก ที่สามารถทดเเทนในยามภัยเเล้งได้เเล้วสามารถทำให้สุขภาพร่างกายเเข็งเเรงได้โดยไม่ต้องทานเนื่อสัตว์ (Panaceae Project)

โดยอาศัยองค์ความรู้จากพื้นที่ที่ประสบภัยอดอยาก (เช่น ประเทศโลกที่ 3 เอธิโอเปีย)

ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหาข้อมูลอยู่ เเต่คิดว่าอีกไม่นานก็คงได้ข้อมูลที่เเน่นอน(เพราะว่ายังค้นคว้าอยู่คนเดียวT^T)

ยกตัวอย่าง

คุณค่าทางอาหารของมะรุม
มะรุมเป็นพืชมหัศจรรย์ มีคุณค่าทางโภชนาการสูงสุด กล่าวถึงในคัมภีร์ใบเบิ้ลว่าเป็นพืชที่รักษาทุกโรค
ใบ มะรุมมีโปรตีนสูงกว่านมสด 2 เท่า การกินใบมะรุมตามชนบทของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศโลกที่ 3 เป็นการเพิ่มโปรตีนคุณภาพสูงราคาถูกให้กับอาหารพื้นบ้าน
นอกจากนี้ มะรุมมีธาตุอาหารปริมาณสูงเป็นพิเศษที่ช่วยป้องกันโรค นั่นคือ

วิตามินเอ บำรุงสายตามีมากกว่าแครอต 3 เท่า
วิตามินซี ช่วยป้องกันหวัด 7 เท่าของส้ม
แคลเซียม บำรุงกระดูกเกิน 3 เท่าของนมสด
โพแทสเซียม บำรุงสมองและระบบประสาท 3 เท่าของกล้วย
ใยอาหารและพลังงาน ไม่สูงมากเหมาะกับผู้ที่ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย
น้ำมันสกัดจากเมล็ดมะรุม มีองค์ประกอบคล้ายน้ำมันมะกอกดีต่อสุขภาพ

สรุปเเล้วจุดประสงค์หลักของการค้นคว้าครั้งนี้คือ การค้นคว้าหาพืชผัก ที่จะสามารถให้ผู้ที่อยู่รอดต่อไปที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ อยู่รอดได้โดยไม่มีการขาดสารอาหารเเละวิตามิน รวมถึงสมุนไพรที่น่าสนใจเกี่ยวกับการรักษาโรคนั่นเอง


ปล2.ขอร้องผู้มีความรู้ด้าน เภสัชศาสตร์ เเพทย์ศาสตร์ พฤกษศาสตร์ หรือผู้มีความรู้ความสนใจด้านสาธาณสุขเเละสุขภาพทั่วไป ท่านใดสนใจโครงการนี้ เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ อยากให้ส่งข้อความมาคุยกันครับ

เพื่อที่จะได้กระจายความรู้ เพื่อที่จะได้นำ พืชที่มีประโยชน์เหล่านี้ ไปปลูกตามสถาณที่หลบภัยต่างๆ โดยไว(เพราะพืชยืนต้นกว่าจะทานได้ต้องใช้เวลา 1ปีขึ้นไป)

เพื่อรอวันที่เกิดภัยพิบัติขึ้น จะได้ไม่เกิดปัญหาเรื่อง การขาดสารอาหาร ต่อไปครับ

 

เรื่องหัวมัน ตอนนี้มีเทคนิคการควั้นกิ่ง สามข้อเพื่อให้กิ่งมันเวลาปักชำปลุก แตกหัวออกสามหัว

นั่นคือเพิ่มผลผลิตขึ้นอีกจากการลงทุนกิ่งมัน 1กิ่ง ออกหัวมันสามหัว ลองหาข้อมูลดูครับ เพิ่มแหล่งอาหารขึ้นอีกสามเท่า

------------------------------------------------------

กรมส่งเสริมการเกษตรกำลังจัดงานที่ ม.เกษตรศาสตร์บางเขน มีเรื่องการปลูกพืชไฮโดรโพนิกค์ พืชไร้ดิน บนรางลำไม้ไผ่ทดแทนรางนำเข้าจากต่างประเทศที่มีราคาแพงครับ น่าสนใจ

เพราะทำให้เราปลูกพืชไร้ดินได้ในราคาที่ถูกลงครับ

 

ปลูกพืชไร้ดินใช้ท่อพีวีซีก็ได้ หรือใช้แผ่นโฟม หรือแผ่นพลาสติกแข็งที่มีรู เช่น กระบะใส่ไข่ หรือผลไม้ แต่ไม่ทราบสัดส่วนของน้ำยาที่ใช้ ถ้าปลูกตามลำน้ำทั่วไปมันจะขึ้นดีหรือไม่

 

ผมกำลังเพาะขยายพันธุ์มันเลือดนกอยู่ครับ คาดว่าน่าจะมีประโยชน์มากในการเป็นอาหารสำรองที่ดี เพราะขยายพันธุ์ง่าย ต้นมันจะเลื้อยขึ้นตามต้นไม้และมีลูกมันเล็กๆติดตามข้อบางข้อของต้นที่เลื้อยขึ้นไป ปกติมันชนิดนี้จะเริ่มงอกในช่วยต้นฤดูฝน และเถาจะแห้งตายในช่วงฤดูหนาว หัวมันจะเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นมากในช่วงที่เถาแห้ง(ถ้าดินมีแร่ธาตุโปตัสเซียมสูงหัวมันจะใหญ่มากหนักได้หลายกิโลกรัม เมื่อขุดในช่วงฤดูร้อน แต่ถ้าแร่ธาตุน้อยจะไม่ค่อยโตเท่าไร) หัวมันที่ติดอยู่กับเถามันที่แห้งตาย จะหล่นลงมาที่พื้นดิน เพื่อรอฝนและงอกในปีถัดไป ดังนั้นถ้านำหัวมันชนิดนี้ไปปลูกตามยอดเขา จะทำให้สามารถขยายพันธุ์กระจายลงมาเองตามทางลาดได้เรื่อยๆ และมากขึ้นทุกปีๆ ถ้าไม่มีชาวบ้านไปขุดกินเสียหมด ก็จะเป็นเสบียงโดยธรรมชาติในยามมีภัยพิบัติที่ดีมากชนิดหนึ่งทีเดียว

ในการทำเป็นอาหารสามารถเอามาต้มใส่น้ำกระทิแบบหวานเย็นอร่อยมากครับ ^^

 

ช่วยกันคิด ช่วยกันทำครับ

ดังนั้นองค์ความรู้จริงๆเราต้องมามองมิติของการปลูกป่า ว่าควรจะสร้างแหล่งอาหาร แหล่งสมุนไพร ไม้ใช้งาน(ไผ่ ไม้ยาง ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้สัก) ไม้ให้อาหารสัตว์(ต้นหว้า ต้นไทร กล้วยป่า เป็นต้นเพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้สัตว์ป่าอยู่ได้ และให้สัตว์ช่วยปลูกป่า โดยนำเมล็ดไปถ่ายยังที่ต่างๆในป่านั้นเอง) ไปในการปลูกป่าพร้อมๆกันไปด้วย

จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด

และหากการสร้างฝาย แม้วบนเขาเวลาเราไปทำกิจกรรมกัน เรานำ โบกาฉิ(ปุ๋ยชีวภาพอัดก้อนแข็ง ค่อยๆละลายปลดปล่อยสารอาหาร) ไปหย่อนไว้หน้าฝายรับน้ำ เมื่อน้ำไหลผ่านฝายแม้วไป ก็จะมีจุลินทรย์ที่มีประโยชน์จากขุนเขา จากใบไม้ที่มาทับถมตรงฝายผ่านไปด้วย

น้ำที่ได้ก็จะนำพาความอุดมสมบูรณ์ลงสู่แหล่งน้ำเบื้องล่างครับ

หากเราคิดด้วย จิตอันพร้อมด้วยเมตตา และความปราณีตแล้ว

ไม่เพียงเป็นป่าไม้ แต่เป็นแหล่งอาหาร สวนสมุนไพร ไม้ใช้งาน อันอุดมสมบูรณ์

ไม่เพียงเป็นฝาย ชะลอน้ำซับน้ำ แต่เป็นโรงงานปุ๋ยที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ป่าและผืนแผ่นดินเบื้องล่าง

 

จากภัยพิบัติทางน้ำที่เกิดขึ้นขณะนี้เห็นชัดเจนว่า วัดเป็นที่พึ่งจากภัยพิบัติได้ในหลายพื้นที่ และหากวัดนั้นมีความพร้อมก็ย่อมช่วยผู้คนโดยรอบได้มากขึ้นตามไปด้วย


หลังภัยพิบัติรอบนี้ เราจำเป็นต้องฟื้นฟู ความเสียหายจากภัยพิบัติ

หากเรานำวิกฤตให้เป็นโอกาส

เราฟื้นฟูพร้อมการพัฒนา เพื่อเป็นงานแนวรุก เตรียมวัด พัฒนาวัดให้เป็นศูนย์ในการพัฒนาชุมชนตามแนวทางความพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในขณะที่ทำให้วัดพร้อมในการช่วยเหลือ และเป็นศูนย์กลางยามเกิดภัยพิบัติได้อีก ประการหนึ่ง

ดังนั้นงบประมาณที่เราต้องนำลงไป(ทั้งภาครัฐและที่เอกชนลงไปช่วย)

จึงไม่เป็นเพียงการ "ซ่อม" แต่เป็นการ "สร้าง" การพัฒนาต่อยอด ต่อไป

แนวคิดนี้จะเกิดประโยชน์ในภัยพิบัติระลอกใหม่ ที่กำลังทะยอยเกิดขึ้น

 

<table id="post2343809" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175">คนมีกิเลส
สมาชิก



วันที่สมัคร: Oct 2006
สถานที่: ก.ท.ม.
ข้อความ: 4,075
Groans: 14
Groaned at 29 Times in 26 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 7,879
ได้รับอนุโมทนา 47,957 ครั้ง ใน 4,029 โพส
พลังการให้คะแนน: 2288


</td> <td class="alt1" id="td_post_2343809" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> <center>สืบทอดกิจกรรมโบราณ ปฏิบัติธรรมแนว "บวร" ๐ บ.หมายถึง บ้าน ว.หมายถึง วัด ร.หมายถึง โรงเรียน

</center>
<hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1">
สืบทอดกิจกรรมโบราณ ปฏิบัติธรรมแนว "บวร" ๐ บ.หมายถึง บ้าน ว.หมายถึง วัด ร.หมายถึง โรงเรียน


พระเทพญาณวิศิษฎ์ เจ้าอาวาสวัดพระราม ๙





คมชัดลึก :วัด พระราม 9 ได้สืบทอดกิจกรรมโบราณ ทั้งวันขึ้นปีใหม่ เข้าพรรษา ออกพรรษา วิสาฆบูชา มาฆบูชา พระเป็นผู้นำในด้านนี้จึงต้องคิดต้องทำให้ถูกต้องตามจารีต วัดพระรามเก้าพอถึงวันมาฆบูชาเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่งก็จะมี การจัดตั้งแต่ต้นด้วยการเจริญทานด้วยการตักบาตรข้าวสารอาหารแห้งก็จะทำให้มี การเจริญศีล คือการบวชเลขธรรมะ ประพฤติ ปฏิบัติ เช้า-เย็น เพราะวัดยังไม่มีที่พัก การบวชเลขธรรมะศึกษาธรรมก็เกิดปัญญา เกิดความรู้ความเข้าใจ จะเป็นคนสูงอายุส่วนใหญ่ที่มานั่งปฏิบัติธรรม ศาสนาพุทธจะสอนเรื่องศีล สมาธิ ปัญญา เรามีความรู้เรื่องศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะรู้สูงขึ้นไป ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา จะสอดคล้องกันเข้ามา กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มนักศึกษาเข้ามาในวัด บางกลุ่มก็แต่งตัวไม่ค่อยสุภาพเข้ามาในวัดก็มีผลกระทบต่อสังคมบ้างเหมือนกัน
เมื่อเป็นวัดขึ้นมาแล้วตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีแนวเริ่มไว้เป็นกรณีพิเศษ เมื่อมีวัดขึ้นมาแล้วต้องปฏิบัติธรรม บวร บ.หมายถึง บ้าน ว.หมายถึง วัด ร.หมายถึง โรงเรียน หรือราชการ ความหมายของบ้าน วัด โรงเรียน ก็ทรงมีพระราชดำริว่าวัดจะเกิดขึ้นได้ต้องมีบ้านถ้าไม่มีบ้านไม่มีญาติโยม สร้างวัดขึ้นมาโดดๆ พระก็อยู่ไม่ได้ถ้าบวชมา พระต้องมีชีวิตอยู่เนื่องด้วยชาวบ้าน พระต้องออกบิณฑบาต ต้องโปรดสัตว์ ต้องอยู่ด้วยการทำนุบำรุงด้วยชาวบ้าน เพราะฉะนั้นมีวัดก็ต้องมีบ้านก่อน เมื่อมีบ้าน มีวัด มีโรงเรียน เรียกว่าเป็นสามพันสาน มีหลักค้ำกันอยู่ ที่จะค้ำกันอยู่ได้อย่างไรก็ด้วยการสร้างความรู้สึกที่มีต่อกันด้วยความเป็น วัด เป็นบ้าน เป็นโรงเรียน เป็นศูนย์ราชการด้วยการนำแนวพระราชดำริคือ รู้รักสามัคคี มาเป็นตัวอุ้ม สามพันสานให้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข รู้ หมายความว่า ทุกวัด ทุกบ้าน ทุกราชการ ต่างก็มีความรู้กันในสิ่งที่ถูกต้อง ให้เป็นไปเพื่อความรักต่อกันเมื่อมีความรู้ที่ถูกต้องแล้วรู้จักที่จะ ปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องในความเป็นวัด เป็นบ้าน เป็นศูนย์ราชการ เป็นโรงเรียน นอกจากจะเป็นโรงเรียนแล้วยังเป็นราชการที่เกี่ยวข้องด้วย ร่วมกันระหว่าง บ้าน วัด โรงเรียน ก็มาผสานสามัคคี ให้รู้รักสามัคคี เมื่อเราทุกคนอยู่ในความรู้รักสามัคคีแล้ว จะเป็นเหตุทำให้บ้าน วัด โรงเรียน เกิดความเจริญ เกิดการพัฒนา บางคนก็ร่วมกันคิดร่วมกันพัฒนาเพื่อจะยังวัด บ้าน ให้มีความเจริญ บ้านก็มีแต่ความสุข เพื่อจะยังส่วนที่จะเป็นเยาวชนที่กำลังศึกษาเล่าเรียน ให้เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักศีลธรรม รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน (พูดภาษาชาวบ้านว่า รักวัดเช่นใด ก็ให้รักบ้านเช่นนั้น รักบ้านเช่นใด ก็ให้รักส่วนราชการ/โรงเรียนเช่นนั้น ต่างคนก็ให้รักซึ่งกันและกันเพื่อจะยังความสุขความปรารถนา) เป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้ให้วัดพระรามเก้ากาญจนาภิเษก ประเด็นที่ 1 ประเด็นที่ 2 ก็มีกิจกรรมหลายกิจกรรมแต่กิจกรรมที่จะสร้างความรักให้เกิดขึ้นคือ เช้าขึ้นมาพระก็จะออกไปบิณฑบาตตามหมู่บ้านไม่ใช่ว่าพระออกไปบินบาตไม่ใช่แต่ หลับตาอย่างเดียว ต้องพูดจากับญาติโยมบ้าง ก็ทำให้เกิดความรู้สึกกับวัด บ้านก็เกิดความรักต่อวัด วันสำคัญทางศาสนาหรือวันปกติก็นำข้าวปลาอาหารมากมายมาถวายพระสงฆ์ หรือการมีงานกุศลก็มาช่วยกันพัฒนาวัดช่วยกันตกแต่งวัดให้เป็นที่รื่นรมย์ ชาวบ้านมาแสดงออก วัดเป็นสถานที่ตั้ง แต่วัดก็จะเป็นสถานที่จะก่อให้เกิดความเสื่อมหรือความเจริญ เช่น วัดมีกิจกรรมงานขึ้นปีใหม่ วันมาฆบูชา เป็นวันที่ประชาชนมารวมกันที่วัด เราก็แจ้งราชการว่าวัดจะทำการอย่างไรทำให้มีส่วนร่วมระหว่างวัดกับราชการก็ จะแนบแน่นขึ้น ก็จะเป็นการสร้างความสามัคคี ระหว่างวัด กับราชการ ตามแนวพระราชดำริอีกอย่างหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่งคือกิจกรรมข้าวก้นบาตร เกิดจากความรู้สึก พระฉันไม่หมด ก็มีของเหลือ แต่ของเหลืออย่างมีคุณค่า มีนักเรียนอยู่ข้างวัดก็กำหนดให้นักเรียนมากินข้าวที่วัดเรียกว่ากินข้าวก้น บาตร นักเรียนจะผลัดกันมาวันละห้อง ห้องละประมาณ 40 คน จะมากินข้าวหลังพระฉันเพลเสร็จ เมื่อเด็กกินข้าวเสร็จแล้ว จะสร้างกิจกรรมให้เด็ก โน้มน้าวให้มีศีลธรรม ก่อนจะกินข้าวก็ต้องนมัสการพระรัตนตรัย การทำกิจกรรมเช่นนี้จะทำให้เด็กรู้สึกดีในพระพุทธศาสนาในเบื้องต้น




__________________
เ
</td></tr></tbody></table>

 

<table id="post4002786" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175">city
สมาชิก



วันที่สมัคร: Sep 2004
สถานที่: จามจุรีสแควร์
ข้อความ: 133
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 3,679
ได้รับอนุโมทนา 1,262 ครั้ง ใน 125 โพส
พลังการให้คะแนน: 118


</td> <td class="alt1" id="td_post_4002786" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> พี่ เล็กครับ ผมโทรไปกราบเรียนพระอาจารย์ เรียบร้อยแล้วครับ ว่าจะขอให้ทางกลุ่มเป็นเจ้าภาพร่วมกันเพื่อให้สมาชิกเวปพลังจิตทุกๆคนมีส่วน ร่วมและได้บุญในครั้งนี้ด้วยกัน

ท่านไม่มีปัญหาครับ รับทราบและผมได้สอบถามเรื่องพระบรมฯสมเด็จองค์ปฐมที่ท่านอธิษฐานจิตและขอ บารมีฯเพื่อสงเคราะห์ในทุกด้านโดยมุ่งเน้นเรื่องลาภและความคล่องตัวทางการ เงินแก่ลูกศิษย์และผู้ครอบครองว่ามีพอแจกไหมจะให้ผมเอาไปเพิ่มรึเปล่า ท่านบอกว่าเตรียมไว้ให้เยอะ พอ และท่านได้สั่งพิมพ์หนังสือธรรมมะคำสอนของหลวงตาฯไว้แจกให้ผู้ร่วมงานเป็น เงินมากกว่าหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นบาท เพื่อเตรียมแจกจ่ายแก่ญาติโยมที่มางาน และบอกให้ผมบอกบุญกับทุกๆท่านว่าถ้าใครอยากร่วมทำบุญพิมพ์หนังสือธรรมมะแจก จ่ายเป็นธรรมทานกับอาจารย์ก็ให้รวมรวมกันมาได้เลย เท่าไหร่ก็ได้

ส่วนงานด้านโครงการ "บวร" ท่านบอกว่าปีนี้เป็นปีที่สองที่ท่านทำเอง และทำงานอย่างเต็มตัว โดยเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่าง ซึ่งผลที่จะได้รับนั้นมากมายนัก ทั้งผลผลิตและรายได้คือ ตัวเงิน หลายสิบล้านแน่นอน ดังนั้น ปีหน้าคงต้องหาและจัดตั้งคณะกรรมการ มาดูแลให้เป็นกิจจะลักษณะ รวมทั้งผู้ที่จะดูแลด้วยครับ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนงานที่เห็นด้วยก็เตรียมออกใบประกาศยกย่อง ส่วนชาวบ้านที่ไม่เห็นด้วยก็เริ่มหาเสียงและแนวร่วมเพื่อขับไล่ ถ้าท่านใดสนใจ ลองไปดูและเยี่ยมชมได้นะครับ
__________________
จงทำความดีเพื่อความดี ทำดีให้ดีปรากฏ
</td></tr></tbody></table>

 

สองวันที่ผ่านมา ทีมงานเดินทางลงพื้นที่ด้วยทุนทรัพย์ของตนเอง ไปยังจังหวัดลพบุรี เข้าไปยังพื้นที่ประสพภัย นำน้ำเอมไซม์ ไปมอบให้สาธารณะสุขจังหวัดเพื่อลดกลิ่นเหม็นจากน้ำเน่าเสียที่ท่วมขัง

แจกมาม่า แจกอาหาร เสื้อผ้าห่ม

ไปพูดคุยสัมภาษณ์ ผู้ประสบภัย ผู้ทำงานพื้นที่ เพื่อรับทราบสถานการณ์จริง เพื่อนำมาปรับใช้กับโครงการ บ ว ร

เดินทางไปกราบเรียน ท่านเจ้าอาวาส วัดมงคลชัยพัฒนา(วัดต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียงแห่งแรกขององค์พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว) ซึ่งท่านเมตตารับเป็นพระอาจารย์ที่ปรึกษาให้ครับ

วันนี้คุณหนิงก็ได้เดินทางไปถวายสังฆทานที่บ้านอนุสาวรีย์หลวงพี่เล็ก และกราบเรียนท่านเรื่องงาน โครงการ บ ว ร ท่านก็ได้เมตตารับ และบอกว่าให้เร่งดำเนินการไปเลย อย่ามัวแต่พูด หรือเสียเวลา จะไม่ทัน

ตอนนี้งานต้องเร่งอย่างมากครับ

เหตุผลเพราะ น้ำท่วมยังไม่จบ จนวันนี้ หลายที่ยังท่วมเป็นเดือนๆแล้ว

ผู้คนที่เสียสละ จิตอาสาที่มาแพ๊คของแจกก็ เริ่มอ่อนแรงลงไป

ในขณะที่การช่วยเหลือแบบ "รอ " และ "ขอ" ก็ยังมีอีกมาก แถมไม่ทั่วถึง

ต้องรีบพลิกมาเป็น การจุดจิตสำนึกให้ แต่ละชุมชน เตรียมความพร้อมล่วงหน้า รวมตัวกันช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา

วัดร่วมกับชุมชน ทำธนาคารข้าวสาร ทำโรงปุ๋ยชีวภาพ ทำโรงสีชุมชน
ทำโรงครัว โรงทาน
สร้าง หรือปรับปรุงระบบน้ำดื่มสะอาดในวัด
สร้างวิหารเสนาสนะเอาไว้ปฏิบัติธรรม

ปลูกป่ายาสมุนไพร ป่าอาหาร กินได้ โตเร็ว ให้กับภูเขาและป่าชุมชน

ทำฝายแม้วไว้ดัก ไว้พัก ไว้ชะลอน้ำ
ขุดลอกคู คลอง ลำราง ทางน้ำ ยามหน้าแล้ง เพิ่มพื้นที่น้ำไว้ใช้ ยามหน้าน้ำ น้ำผ่านได้ไม่ท่วมขัง

ยามเกิดภัยพิบัติ ก็พลอยได้ใช้ ไม่ต้องรอความช่วยเหลือ

พอชาวบ้านได้เกี่ยวพันกับพระกับวัดมากขึ้นก็พลอย ได้ซึมซับธรรมมะไปด้วย

พอชาวบ้านได้นำแนวคิดในหลวงไปใช้ก็พลอยจงรักภักดียิ่งขึ้น

พอชาวบ้านได้ร่วมใจ ได้เสียสละทำเพื่อส่วนรวมด้วยกัน ก็เกิดความรัก ความสามัคคี มีความสำนึกรักท้องถิ่น บ้านตนยิ่งขึ้น

 

วัดมงคลชัยพัฒนา ตำบลเขาดินพัฒนา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี

โครงการ บ ว ร
 
  "...ให้วัด โรงเรียน ราชการ และมูลนิธิร่วมกัน โครงการนี้เป็นโครงการที่สามารถผนึกกำลัง
ต้องไม่ลงทุนมากนัก ทำเหมือนชาวบ้านทำ ยอมให้เสียไปบ้าง ถ้าลงทุนทำมากไป
หลวงจะทำได้ แต่ชาวบ้านทำไม่ได้…"

 พระราชดำรัสของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๓๖

คณะพลังจิตพิชิตภัยพิบัติได้นำโครงการศานติบุรีที่น้อมนำโครงการ บ ว ร
ในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาสานต่อเพื่อประสานให้บ้านอันหมายถึง
ประชาชน วัด และราชการต่าง ๆ ได้ทำงานร่วมกันเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในยามปกติ
และในยามเกิดภัยพิบัติ

วัดมงคลชัยพัฒนา เป็นวัดสำคัญในโครงการ บ ว ร ที่คณะเราเข้าไปเยี่ยมชม
เพื่อเรียนปรึกษาในเรื่องข้อมูล และกราบเรียนเชิญเพื่อให้พระครูมงคลรัตนวัฒน์ และพระมหาสายชล เป็นที่ปรึกษาโครงการและเรียนขอคำแนะนำในด้านต่าง ๆ
พร้อมทั้งถวายพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่วัดมงคลชัยพัฒนา






ในพ.ศ. ๒๕๓๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้หน่วยงานต่างๆ
ช่วยกันจัดทำโครงการพัฒนาตาม "ทฤษฎีใหม่" โดยเริ่มที่ “วัดมงคล” เป็นแห่งแรก
ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนาม วัดมงคล ซึ่งเป็นต้นแบบของการพัฒนา
แบบใหม่ตามพระราชดำริว่า วัดมงคลชัยพัฒนา เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2535 เป็นต้นมา

เดิมสภาพพื้นที่บริเวณรอบ ๆ วัดเป็นท้องทุ่งกว้างที่ประสบปัญหาความแห้งแล้ง
ขาดแคลนน้ำในการทำเกษตร ราษฎรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา
แต่ประสบปัญหาผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำนาโดยอาศัยน้ำฝนเพียงปีละ 1 ครั้ง
ผลผลิตมีความแปรปรวน ในปีที่ฝนดี ได้ผลผลิตข้าวประมาณ 30-40 ถังต่อไร่
ในปีที่ฝนแล้ง ได้ผลผลิตเพียง 3-4 ถังต่อไร่ เพราะเป็นพื้นที่แห้งแล้ง
ขาดแคลนน้ำในระบบชลประทาน ประกอบกับดินขาดความอุดมสมบูรณ์
เนื่องจากปลูกพืชชนิดเดียวกันมาเป็นระยะเวลานานปราศจากการปรับปรุงดิน
และการจัดสรรน้ำเท่าที่ควร ทำให้การประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้ผลผลิตต่ำ
ส่งผลให้ครอบครัวขาดรายได้ที่มั่นคง อันเป็นรากฐานของปัญหาอุปสรรคต่อการพัฒนา
ประเทศ

เมื่อปี พ.ศ. 2531 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชกระแสให้กรรมการมูลนิธิ
ชัยพัฒนา พิจารณาจัดซื้อที่ดินที่ติดกับวัดมงคล และมีผู้บริจาคที่ดินบริเวณดังกล่าวรวม   
32 - 0 - 47 ไร่    เพื่อนำมาพัฒนาการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่  
ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยให้ใช้สถานที่ดังกล่าวดำเนิน
โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
เพื่อให้เป็นศูนย์สาธิตการดำเนินเกษตรทฤษฎีใหม่อย่างเป็นรูปธรรม
สามารถให้เกษตรกรนำไปประยุกต์ใช้ปฏิบัติในพื้นที่ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างพออยู่พอกิน    
นับเป็นจุดกำเนิดของเกษตรทฤษฎีใหม่แห่งแรกในประเทศไทย



โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณวัดมงคลชัยพัฒนา จึงได้ทดลองและให้ความรู้แก่ราษฎร
รวมทั้งขยายผลสู่พื้นที่เกษตรกร ในระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๐-๒๕๔๓ โครงการได้จัดอบรม
การจัดการที่ดินและน้ำตามแนว "ทฤษฎีใหม่" พร้อมทั้งส่งเสริมพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์
และการขุดสระเก็บน้ำประจำไร่นา เพราะหากเกษตรกรมีแหล่งน้ำสำรองไว้ใช้ในฤดูแล้ง
หรือระหว่างฝนทิ้งช่วง จะเป็นโอกาสให้ไม้ผลและไม้ยืนต้นมีน้ำหล่อเลี้ยงได้ตลอด
รวมทั้งการปลูกพืชตระกูลถั่วสลับหมุนเวียนกับการปลูกข้าว เป็นการบำรุงให้ดินดีขึ้น




  จัดทำระบบส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำห้วยหินขาว มาเก็บกักในสระน้ำประจำไร่นา
ช่วยทำให้พื้นดินมีความชุ่มชื้น ระดับน้ำใต้ดินก็สูงขึ้น ดังนั้น พืชสวนที่ให้ผลผลิตทั้งปี
ส่งผลให้ผลผลิตข้าวสูงขึ้นมาก



บนพื้นที่กว่า ๓๒ ไร่ ของโครงการเป็นแปลงเกษตรผสมผสานแะแปลงทฤษฎีใหม่
ซึ่งสถานีทดลองพืชไร่พระพุทธบาทได้ปลูกพืชต่างๆ ทั้งไม้ยืนต้น ไม้ผล พืชไร่ พืชสวน
สวนสมุนไพร และสวนพันธุ์ไม้หอม รวมทั้งการประมง และเลี้ยงสัตว์ ที่เน้นการปรับปรุงบำรุงดิน
ทดลองและสาธิตการปลูกพืชชนิดต่างๆ อาทิ สวนพืชตระกูลมะ สวนสมุนไพร
สวนไม้ผลในที่ดอน แปลงทดสอบการปลูกไม้ต่างระดับในสภาพยกร่องพร้อมกับปลูกหญ้าแฝก
เพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน และอนุรักษ์ดินและน้ำ
เพื่อให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจได้เข้ามาศึกษา และนำไปใช้ในพื้นที่ของตนเอง



พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานดำริให้ทำการทดลอง "ทฤษฎีใหม่"
ในหลักการง่ายๆโดยเริ่มจากสภาพความจริงที่ว่าราษฎร หนึ่งครอบครัวมีที่ดินประมาณ
10 - 15 ไร่ให้แบ่งที่ดินนั้นออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนที่หนึ่ง ที่ดินร้อยละ 30 ให้ขุดเป็นสระน้ำ
มีความลึก 4 เมตร ขนาดบรรจุน้ำได้โดยประมาณ 10,000 ม.

ส่วนที่สอง ที่ดินร้อยละ 60 สำหรับพื้นที่ทำการเกษตร โดยปลูกข้าวร้อยละ 30
และปลูกพืชไร่พืชสวนร้อยละ 30 ส่วนที่สามที่ดิน
ร้อยละ 10 สำหรับสร้างที่อยู่อาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ 







เกษตรอินทรีย์ และการจัดการน้ำและดินอย่างเหมาะสมทำให้ดินที่แปลงเกษตรทฤษฎีใหม่
มีความชุ่มชื้น เราสามารถเห็นคราบของไส้เดือนทั่วบริเวณทางเดิน



คุณอำนาจ เจ้าหน้าที่มูลนิธิชัยพัฒนาเมตตาให้ความรู้เรื่องต่าง ๆ
พร้อมวาดภาพเทคนิคการขุดสระน้ำ ขุดตรงไหน ขุดอย่างไรให้พวกเราได้ฟังกัน
จะนำเสนอรายละเอียดต่อไปค่ะ​

 

หลังจากที่คณะเรากราบเรียนเชิญเพื่อให้พระครูมงคลรัตนวัฒน์(เจ้าอาวาส) และพระมหาสายชล เป็นที่ปรึกษาโครงการและเรียนขอคำแนะนำในด้านต่าง ๆพร้อมทั้งถวายพระบรมสารีริกธาตุ แด่พระอาจารย์แล้ว ท่านเมตตารับเป็นที่ปรึกษาให้ และเมตตาเล่าเรื่องราวความเป็นมาของวัด ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ และความเปลี่ยนแปลงเรื่อยมาของวัดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งท่านเห็นดีด้วยกับโครงการที่พวกเราทำ และทางคณะได้กราบเรียนถามถึงปัญหาและความช่วยเหลือที่อยากให้กลุ่มเราประสานงานให้ ท่านเล่าว่า เวลาไปงานต่างๆพระเถระและครูบาอาจารย์ส่วนมาก ท่านสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับทางวัดและโครงการของในหลวง เรื่องอื่นท่านไม่เป็นห่วง

ท่านห่วงและเน้นย้ำเรื่องการปฏิบัติกรรมฐาน และอยากให้ทางวัดมงคลชัยพัฒนาเป็นสำนักปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นที่พึ่งพิง แก่ชาวบ้านและประชาชนใกล้เคียงในเขตนี้ ซึ่งพระอาจารย์ท่านก็ดำเนินงานในด้านนี้มาโดยตลอด มีการสร้างอาคารเป็นโรงเรียนสอนเด็กก่อนวัยเรียน ปูตัวหนอนทางเท้า ให้ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถเดินจงกรมได้อย่างสะดวก สร้างอาคารใหม่ เพื่อให้เพียงพอแก่ผู้ปฏิบัติธรรม โดยในเบื้องต้นโครงการที่ท่านทำอยู่ขณะนี้ คือโครงการเข้าวัดวันอาทิตย์ เพื่อให้ชาวบ้านได้เข้ามาทำกิจกรรมและถวายสังฆทานที่วัดเพื่อปลูกฝังศีลธรรมและความอบอุ่นให้แก่ครอบครัว
และโครงการต่อไปที่ท่านอยากจะทำและยังไม่พร้อมคือ โครงการบวชเนกขัมมะทุกวันศุกร์เย็นแล้วลาบวชวันอาทิตย์บ่าย เพื่อปลูกฝังศีลธรรมให้งอกงามและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับจิตใจแก่ชาวบ้านและพุทธศาสนิกชนที่สนใจทั่วไป แต่สถานที่ท่านยังไม่พร้อม เพราะกำลังปรับปรุงและซ่อมแซมอยู่ ส่วนอีกเรื่องคือ โรงทาน ซึ่งตรงนี้ หากว่าคณะเรารวมกลุ่มกันทำก็คงจะได้ รอธรรมมะจัดสรรและเวลาสะดวกกันนะครับ

ซึ่งท่านก็เน้นย้ำเรื่องการปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ ทุกองค์ก็เน้นเรื่องนี้ ว่าสุดท้ายก็ต้อง ฝึกจิตใจ

ซึ่งสมาชิกในกลุ่มและคณะเราต่างก็รู้กัน เพราะครูบาอาจารย์หลายๆท่านก็ พูดเช่นเดียวกัน หากแม้เราช่วยให้เขารอดพ้นจากภัยพิบัติ จากภัยอันตรายที่จะเกิดในอนาคต ให้ที่อยู่ ที่กิน ที่นอนแก่เขา แต่ถ้าลูกเมีย ครอบครัวเขาตาย หรือเห็นศพผู้คน นอนตายเกลื่อน เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นศพ ถ้าคนที่ไม่ได้อบรมจิตใจ ฝึกกรรมฐาน ไม่ยอมรับในกฏของไตรลักษณ์ ไม่ยอมรับในสิ่งที่สูญเสียไปและภัยที่ประสบ เขาเหล่านั้นก็จะอยู่ไม่ได้ ไม่บ้า ก็ฟั่นเฟือน

น้ำท่วมในครั้งนี้ก็มีให้เห็นกันพอสมควร บางคนน้ำท่วมบ้าน จนต้องขึ้นไปอยู่บนหลังคา กว่าเจ้าหน้าที่จะมาพบและให้การช่วยเหลือนำสิ่งของมาให้ก็ผ่านไปหลายวัน แต่เมื่อเจ้าหน้าที่มาช่วยแล้วก็ไม่ยอมไปอยู่ตามสถานที่ๆเจ้าหน้าที่จัดให้เพราะห่วงบ้านและข้าวของจะสูญหาย บางรายสูญเสียบุคคลอันที่เป็นที่รักก็ร้องไห้ฟูมฟาย กลิ้งเกลือกตามพื้นดิน ไม่ยอมไปไหน ในอนาคตเมื่อมีภัยซ้ำซ้อน ยากที่จะช่วยเหลือบุคคลเหล่านี้ได้ เหตุนี้ท่านจึงเน้นย้ำเรื่องการ ฝึกสติและจิตใจ คือต้องเตรียมพร้อมได้ทุกขณะทั้งเวลาหลับและตื่น

ขอเชิญเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคี เพื่อสมทบทุนซื้อที่ดินถวายวัดป่าบ้านหาด(วัดตัวอย่าง โครงการ “บวร” ที่จ.ขอนแก่น)

 

ขอบคุณพี่เมืองที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ

อนุโมทนาสาธุค่ะ

 

<table id="post4015596" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 0px 1px 1px; border-style: solid none solid solid; border-color: rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> เมื่อวานนี้, 10:43 PM </td> <td class="thead" style="font-weight: normal; border-width: 1px 1px 1px 0px; border-style: solid solid solid none; border-color: rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> #18 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px; border-style: none solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255);" width="175"> city
สมาชิก



วันที่สมัคร: Sep 2004
สถานที่: จามจุรีสแควร์
ข้อความ: 138
Groans: 0
Groaned at 0 Times in 0 Posts
ได้ให้อนุโมทนา: 3,716
ได้รับอนุโมทนา 1,292 ครั้ง ใน 133 โพส
พลังการให้คะแนน: 120


</td> <td class="alt1" id="td_post_4015596" style="border-right: 1px solid rgb(255, 255, 255);"> วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมไปช่วยบริจาคสิ่งของช่วยน้ำท่วมที่ลพบุรี กับทีมงาน พลังจิตพิชิตภัยพิบัติ
และไปดูงาน "บวร" โดยไปดูงานต้นแบบที่วัดมงคลชัยพัฒนา ที่ในหลวงท่านเมตตา จัดทำ
ให้วัดแห่งนี้เป็นโครงการต้นแบบที่จะทำวัดให้เป็นที่พึ่งของชุมชน โดยมุ่งเน้นโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ สร้างอาชีพและรายได้ให้แก่เกษตรกรและผู้คนในชุมชนก่อน โดยให้วัด
เป็นจุดศูนย์กลาง เพราะจะได้ผูกพันและง่ายในการที่จะอบรมจิตใจ ตลอดจน ศีลธรรมมีการปฏิบัติธรรมในที่สุด นอกเหนือจากความรู้ต่างๆที่เจ้าหน้าที่จากกรมวิชาการเกษตรจะถ่ายทอดความรู้ ให้

ซึ่งพระอาจารย์เจ้าอาวาส(ขออภัย ครับจำชื่อท่านไม่ได้) ได้เมตตารับเป็นที่ปรึกษา และเห็นดีในโครงการบวร ที่กลุ่มเราดำเนินงานกันอยู่ เพื่อให้ชาวบ้านมีที่พึ่ง ทั้งในยามปกติ
และยามเกิดภัยพิบัติ โดยท่านเองก็กำลังทำโครงการดึงญาติโยมเข้าวัดวันอาทิตย์ มีกิจกรรม
และถวายสังฆทาน ซึ่งท้ายที่สุดท่านอยากจะทำเป็นโครงการบวชเนกขัมมะ ในวันศุกร์เย็น
สึกวันอาทิตย์บ่าย เพื่อฝึกกรรมฐาน แต่ยังติดปัญหาเรื่องสถานที่และอาหารที่จะเลี้ยงผู้มาปฏิบัติธรรม
ซึ่งท่านย้ำเป็นครั้งสุดท้าย ว่าสุดท้ายก็ต้อง ฝึกจิตใจ

ซึ่งสมาชิกในกลุ่มต่างก็รู้กัน เพราะครูบาอาจารย์หลายๆท่านก็ พูดเช่นเดียวกัน
หากแม้เราช่วยให้เขารอดพ้นจากภัยพิบัติ จากภัยอันตรายที่จะเกิดในอนาคต
ให้ที่อยู่ ที่กิน ที่นอนแก่เขา แต่ถ้าลูกเมีย ครอบครัวเขาตาย หรือเห็นศพผู้คน
นอนตายเกลื่อน เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นศพ ถ้าคนที่ไม่ได้อบรมจิตใจ ฝึกกรรมฐาน
ไม่ยอมรับในกฏของไตรลักษณ์ และอริยสัจ4
เขาเหล่านั้นก็อยู่ไม่ได้ ไม่บ้า ก็ฟั่นเฟือน

ใครที่อยากรู้เรื่องงานของกลุ่มหรือชมรม พลังจิตพิชิตภัยพิบัติ เข้าไปดูได้ในห้องภัยพิบัติ
นะครับ ทั้งในส่วนงาน "บวร",งานพระธาตุ,งานถวายมหาสังฆทานทุกเดือนที่บ้านสายลม,
งานสอนสมาธิของอาจารย์คณานันท์ ก็อยู่ในห้องนี้เข้าไปอ่านกันได้ครับ

อ่านและศึกษาเพื่อรู้ รู้เพื่อความไม่ประมาท รู้เพื่อความเตรียมพร้อม
พร้อมที่จะต่อสู้และรับมือในสิ่งที่จะเกิด เมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้วเราจะไม่ตื่นเต้น
ตื่นกลัวและพร้อมที่จะเผชิญกับมัน

ขอความสุข ความสวัสดีจงมีแก่ทุกท่าน
__________________
จงทำความดีเพื่อความดี ทำดีให้ดีปรากฏ
</td> </tr> <tr> <td class="alt2" style="border-width: 0px 1px 1px; border-style: none solid solid; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255);"> </td> <td class="alt1" style="border-width: 0px 1px 1px 0px; border-style: none solid solid none; border-color: -moz-use-text-color rgb(255, 255, 255) rgb(255, 255, 255) -moz-use-text-color;" align="right"> </td></tr></tbody></table>

 

ภูเก็ตนำร่อง 4 วัดคุมเข้มไข้เลือดออกระบาด