ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

อนุโมทนาค่ะคุณพี่

งดงามและไพเราะมากค่ะ

 

ทุกอาณาจักรมีขึ้นก็มีลงครับ แม้แต่อาณาจักรใหญ่ๆเช่นโรมัน อียิปต์ก็ไม่เว้น

นี่คงเป็นไปตามหลักพระไตรลักษณ์กระมังครับ

แต่ผมขอภาวนาให้ยังมี คนดีศรีรัตนโกสินทร์ ครับ

และผมเชื่อว่า ในหลวง ร.9 ท่านก็เป็นหนึ่งใน คนดีศรีรัตนโกสินทร์ครับ

 

อ่านแล้ว ต้องนั่งนิ่งขึงตะลึงไป
ทุกบทกลอนล้วนถ่ายทอดความรู้สึกในใจที่แม้แต่เราเองยังไม่อาจสามารถร้อยเรียงออกมาได้ครบถ้อยกระทงความและไพเราะจับใจเยี่ยงนี้ สุดที่จะเอ่ยคำใดได้ นอกจาก ขอบคุณ ขอบคุณ และขอบคุณ คุณดอกไม้เบื้องบน มากจริงๆ


"จึ่งตั้งจิต..อธิษฐาน..ผ่าน.. คมดาบ
อีกทั้งรอย..โลหิตอาบ..ทวน.. สั่นไหว
มาดแม้นว่า....กระหม่อมฉัน... เกิดภพใด
ขออย่าไกล...แผ่นดินธรรม... นามพระองค์"

สาธุ ขออนุโมทนา
ขอกราบแทบพระบาท พระนเรศเจ้า

 

ขนาดคนอ่านยังน้ำตาไหล.....

แล้วคนเขียนจะยิ่งขนาดไหน..กันเล่า !

"ทุกอักษรที่กรีดกรายปลายน้ำหมึก...
มัน.."เจ็บ" ลึก ใครมิรู้ ..ดูมิเห็น
มิอยากเขียนให้มัน "เจ็บ"กว่าที่เป็น
จำใจเค้น "ความเจ็บมา."..ครายืนคำ..

"กวีเย้ยจันทร์"์

 

อนุโมทนา....

ขอนำบุญกุศลที่ทำมา เพื่อร่วมภาวนาด้วยคน ค่ะ

 

ขอบคุณครับ

เราต้องไม่ทิ้งความหวังแม้ในเวลาที่ดูเหมือนจะสิ้นหวังถึงขีดสุด

เพราะถ้าทิ้งความหวังไปแล้วก็มีแต่จะแพ้ครับ

จะแพ้หรือชนะ ตายหรือรอด เราก็ต้องพยายามให้ดีที่สุดครับ

 

http://76.nationchannel.com/playvideo.php?id=106689

 

วันนี้พี่ดอกไม้ทำหนูน้ำตาไหลหลายรอบแล้วนะ
ในความรู้สึกของทางสายธาตุ รู้สึกรับรู้ได้ว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงตรากตรำมากเกินปุถุชนคนธรรมดาจะทำได้จริงๆ

วันนี้คุยกับลูกค้าเรื่องเมืองต่างๆที่เกิดเหตุภัยพิบัติ แม้จะมีหลายๆชาติยื่นมือเข้าช่วยเหลือแล้ว แต่รัฐบาลหรือผู้ปกครองของเขาไม่รักประชาชนจริงๆ ของช่วยเหลือจึงยังไม่ถึงมือผู้ประสบภัยอย่างทั่วถึง มัวแต่เล่นการเมืองและขัดผลประโยชน์กันอยู่

ทางสายธาตุขอภาวนาร่วมกับพี่ดอกไม้ คุณไก่เหลืองฯ พวกเราจะต้องมีคนดีศรีรัตนโกสินทร์เกิดขึ้นแน่ๆ คนไทยจึงจะร่มเย็นเป็นสุข เหมือนทุกวันนนี้ที่ได้อยู่ใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลมหาราช ของชาวไทย

ขอร่วมหวังและร่วมภาวนา วันพรุ่งนี้จะไปภาวนาสวดมนต์ที่วัดปราสาท นัดกับคุณรุ้งแล้ว ไปร่วมสวดมนต์เปิดบารมีวัด บารมีพระเจ้าปราสาททองก็ไม่ใช่ธรรมดา บารมีของพระองค์ท่านร่วมกับบารมีบูรพกษัตริย์พระองค์อื่นๆ สามารถคุ้มครองประเทศได้เช่นกัน ทางสายธาตุเชื่อเช่นนั้นค่ะ

 

พ.ศ. ๒๕๔๗ -๒๕๖๗ เป็นยุคที่ ๘ จะมีความเจริญทางวัตถุเพิ่มขึ้นแต่ทางด้านจิตใจเสื่อมลง ธรรมชาติก็จะเสื่อมโทรมลง ผู้คนจะนิยมทำคุณไสยใช้อำนาจมนต์ดำทำร้ายกันจะเกิดโรคระบาดและโรคร้ายแรงที่ไม่สามารถรักษาได้ เหล่าภูตผีปีศาจจะเข้าสิ่งสู่จิตใจคน ทำให้ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง เกิดความแตกสามัคคีจิตใจคนวิปริต ดินฟ้าอากาศวิปริตจะเกิดภัยธรรมชาติที่ไม่มีใครคาดคิด ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว แผ่นดินถล่มทรุดตัว น้ำท่วมใหญ่ คนมีความร่ำรวยเพิ่มขึ้นแต่จะเห็นกับตัวมากขึ้น จะลืมคุณธรรมประดุจว่าภูตผีปีสาจเข้าสิงใจคน

คนในยุคนี้จะมีความเชื่อด้านจิตวิญญาณกันมาก มีทั้งเชื่อในทางที่ถูกและทางที่ผิด ผู้ทีเชื่อในทางที่ผิดจะหันไปเล่นไสยศาสตร์มนต์ดำเพื่อเอาชนะคนอื่น วิธีแก้อาถรรพ์ยุคนี้ ต้องบูชาสิ่งที่มีอำนาจกำราบปราบภูตผีปีศาจโดยต้องบูชาเทพเจ้าที่มีลักษณะเป็นเทพอสูร ซึ่งมีพระอิศวรอวตารเป็นพระไภรว (พระพิราพ) พระอุมาอวตาลเป็นพระแม่กาลี ท้าวเวสสุวรรณ และพระราหู

ในช่วงโลกเข้าสู่ยุคที่ ๘ นี้ เป็นยุคที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ความรุ่งเรืองพร้อมกับภัยจากภูผีปีศาจ อำนาจแห่งเทพอสูรดังกล่าวย่อมเป็นพลังที่สามารถต้านทานทำลายล้างอัปมงคลทั้งหลายขจัดภัยจากมนต์ดำ ขจัดมารร้ายที่ออกมารังควานผู้คนทั้งหลายได้

การมองอะไรแต่ภายนอกไม่อาจตัดสินได้ว่าดีหรือร้าย สิ่งที่ควรตัอสินคือ คุณธรรมที่ซ้อนอยู่ภายใน ในตำนานและวรรณคดีไม่ว่าของไทยหรือต่างชาติจะเห็นว่าบางครั้งคุณงามความดี จะอยู่ในรูปสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาแต่บางครั้งสิ่งไม่ดีกลับปรากฏในรูปกายงามสะอาดสะอ้าน เช่นเดียวกันคติการนับถืออสูรหรือยักษ์จะช่วยปกป้องคุ้มครองให้ปลอดภัยจากวิญญาณร้ายได้ และจะอนุโมทนากับการทำบุญทำกุศลของเรา ยังมีเทพอสูรอื่นๆ ที่น่านับถือในคุณงามความดีแต่ไม่เป็นที่รู้จักเพราะมนุษย์มักมองแต่รูปภายนอกหรือเพียงแค่ชื่อว่า "อสูร" หรือ "ยักษ์" ก็กลัวไม่กล้านับถือจึงไม่ไคร่ได้รู้เรื่องราวที่น่าสนใจของอสูรอีกหลายด้านด้วยกัน การทำบุญทำกุศลแล้วอุทิศผลไห้เทพอสูรก็เป็นสิริมงคลเช่นกัน

พระราหูท่านเป็นเทพอสูรที่ไม่ธรรมดาเลยนะครับ พระราหูได้รับพระพุทธพยากรณ์จากพระศรีศากยมุนีสมณโคตมะอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอสุรินทร์ราหูจักได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลเบื้องหน้า แลในอดีตองค์อสุรินทร์ราหูเคยบำเพ็ญทานบารมีแบบที่พระเวสสันดรโพธิสัตว์เคยทำมา ในพระชาตินั้น อสุรินทร์ราหูโพธิสัตว์และพระชายาบำเพ็ญพรตในป่า มียักษ์ตนหนึ่งมาขอลูกของอสุรินทร์ราหูโพธิสัตว์และพระชายาเพื่อกินเป็นอาหาร ลูกนั้นเป็นที่รักยิ่งของอสุรินทร์ราหูโพธิสัตว์และพระชายาอีกทั้งยังมีวัยที่เล็กนัก แต่ด้วยคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระโพธิญาณ อสุรินทร์ราหูโพธิสัตว์และพระชายาก็เต็มใจที่เสียสละให้ลูกที่ยังเล็กนั้นเป็นทานแก่ยักษ์ตนนั้น ยักษ์เมื่อได้รับลูกของอสุริทร์ราหูโพธิสัตว์และพระชายาก็กัดกินเด็กต่อหน้าต่อตาเป็นอาหาร แต่อสุรินทร์ราหูโพธิสัตว์และพระชายาก็ไม่เสียใจกลับยินดีไม่มีความโกรธ ให้ทานแก่ยักษ์ด้วยจิตอันสูงสุดยากแก่สามัญมนุษย์จะพึงมี

หากจะนับถึงพระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ถัดจากพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระศรีอริยเมตรไตรย์บรมโพธิสัตว์(พระอชิตเถระพระราชโอรสพระเจ้าอชาตศัตรู) เป็นองค์แรก ต่อจากนั้นมีพระรามโพธิสัตว์เป็นองค์ที่สอง พระธรรมราชโพธิสัตว์(พระเจ้าปัสเสนทิโกศล)เป็นองค์ที่สาม พระธรรมสามีโพธิสัตว์(ท้าววสวัตตีมาราธิราช)เป็นองค์ที่สี่ และพระนารทะโพธิสัตว์(ท้าวอสุรินทร์ราหู)เป็นองค์ที่ห้า อันว่าต้นไม้ตรัสรู้ของพระนารทะโพธิสัตว์(อสุรินทร์ราหู)นี้เป็นไม้แก่นจันทน์แดง


พระราหูเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภด้วยค่ะ คล้ายกับไฉ่ซิ่งเอี๊ยะของคนจีน บางตำราก็บอกว่าคือเทพองค์เดียวกัน อย่างไรก็ตามเข้ายุค 8 แล้ว บูชาเทพราหูไว้อาจได้เป็นจ่อซัว หรือเจ้าสัวบ้างก็ได้ค่ะท่าน 五五五五 (หัวเราะแบบจีนแท้)

​

ไฉ่ซิ่งเอี๊ยะภาคใจดี​

​

ไฉ่ซิ่งเอี๊ยะภาคปราบมาร​

 

คาถาบูชาไฉ่ซิ่งเอี๊ยะ สวดแบบทิเบต

[ame="http://www.youtube.com/watch?v=8ZOyR97ZdEo&feature=player_embedded"]YouTube - Dzambhala - Kubera Mantra[/ame]

"โอม ชัมภาลา จนเลน ไนเยน สวาหะ" "ชัมภาลา" ก็คือ ชัมภล นั่นเอง และในภาษาอังกฤษที่เรียกรูปเคารพของท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ ก็เขียนทับศัพท์ว่า "JAMBHALA"
​

ในความเห็นของทางสายธาตุ

ภาคท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ คงเหมือนไฉ่ซิ่งเอี๊ยภาคใจดี
ภาคพระราหู คงเหมือนไฉ่ซิ่งเอี๊ยภาคปราบมาร

คล้ายๆพระแม่อุมาเทวีพระมเหสีของพระศิวะ ที่ทรงมีภาคปราบมารคือพระแม่กาลี​

 

<TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD class=contentheading width="100%">สมเด็จพระนเรศวรฯ กับชาวบ้านไทใหญ่ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top>เรื่องโดย : นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว

นอกจากความนับถือศรัทธาในอานุภาพบารมีของสมเด็จพระนเรศวรฯ ที่ยึดกุมจิตใจของทหารกู้ชาติไทใหญ่แล้ว เราไม่ค่อยได้รู้หรือมองเห็นความสัมพันธ์ของชาวบ้านไทใหญ่ที่มีกับสมเด็จพระ นเรศวรฯ กันมากนัก

แต่เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๔๘ ที่ผ่านมา ทางกลุ่มผู้นำ SSA ส่งข่าวมาว่า ได้มีการพบพระบรมรูปหล่อสำริดของสมเด็จพระนเรศวรฯ ขนาดประมาณนิ้วหัวแม่โป้ง และคนพบพระบรมรูปหล่อนี้ได้ติดต่อมาที่ดอยไตแลง เพื่อนำมามอบให้กับพันเอกเจ้ายอดศึก

ชาวบ้านไทใหญ่คนนี้เล่าว่า เมื่อเดือนเมษายน หน้าแล้ง เขาออกจากบ้านไปเผาไร่ทางตะวันออกของฝั่งคง (ริมน้ำสาละวิน) เพื่อเตรียมผืนดินไว้ทำไร่ช่วงหน้าฝนที่จะมาถึง ในขณะเผาไร่มีกอหญ้ากอวัชพืชที่ไม่ยอมติดไฟอยู่กระจุกหนึ่ง จะเผากี่ครั้งไฟก็ลามไปไม่ถึง ด้วยความสงสัยเขาจึงไปถางกอวัชพืชนี้ออก และรื้อหมากหินในบริเวณนั้น เพียงขุดลงไปจอบแรก ก็พบพระบรมรูปหล่อสำริดของสมเด็จพระนเรศวรฯ จมดินอยู่

เขาเอาพระบรมรูปหล่อสำริดนี้กลับมาบ้าน ทดลองยิงด้วยปืนลูกซอง แต่ปืนกลับยิงไม่ออก

ยามค่ำคืน เขาหลับฝัน มีคนมาบอกให้เอาไปมอบให้เจ้ายอดศึกผู้นำของ SSA ที่ดอยไตแลง แต่ขณะนั้นเกิดสงครามระหว่างกองกำลังว้าแดงและไทใหญ่ รอบดอยไตแลงมีการสู้รบอย่างหนัก กว่าเขาจะไปถึงและมอบพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรฯ ให้เจ้ายอดศึกได้ดังตั้งใจ ก็ล่วงเข้าเดือนกรกฎาคมไปแล้ว

ภาพถ่ายที่ทาง SSA ส่งมาพร้อมรายละเอียดของรูป บอกให้รู้ว่า พระบรมรูปหล่อนี้มีขนาดสูงไม่เกิน ๓ นิ้วฟุต เป็นรูปสมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงยืนถือคนโทหยาดน้ำ และมีอักษรไทยปัจจุบันจารึกไว้ว่า พระนเรศวรมหาราช เชียงดาว

ซึ่งพอจะคาดประมาณได้ว่า อายุเก่าแก่ที่สุดของพระบรมรูปหล่อนี้ น่าจะอยู่ในสมัยซึ่งมีการสร้างเจดีย์สมเด็จพระนเรศวรฯ ที่ตำบลเมืองงาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ ๓๖ ปีที่ผ่านมา

แม้จะไม่ใช่ของเก่าแก่อายุเป็นร้อยปี แต่ในความเชื่อถือศรัทธาของชาวบ้านไทใหญ่ ประกอบกับเรื่องเล่าของอานุภาพ ไฟไม่ไหม้-ปืนยิงไม่ออก ที่ผูกพันมากับพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรฯ ก็ทำให้ชาวบ้านไทใหญ่คนหนึ่งเดินทางเสี่ยงตายฝ่าสนามรบที่ยังเต็มไปด้วยการปะทะระหว่างกองกำลังว้าแดงและ SSA ดั้นด้นมาถึงดอยไตแลง เพื่อสนองตอบต่อเจตนารมณ์ของพระบรมรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรฯ ที่ตั้งใจจะมาอยู่ในความครอบครองของผู้นำของพวกเขา ดังความฝันที่ชี้นำให้เดินทางมาถึงกองบัญชาการใหญ่ของ SSA ได้อย่างปลอดภัย

เรื่องเล่านี้โจษขานอยู่ในหมู่ประชาชนและทหารไทใหญ่ และในสถานการณ์สู้รบอันหนักหน่วงระหว่างว้าแดงและไทใหญ่ในห้วงเวลาปัจจุบัน การปรากฏขึ้นของพระบรมรูปหล่อสำริดสมเด็จพระนเรศวรฯ ยิ่งช่วยตอกย้ำว่า สมเด็จพระนเรศวรฯ ทรงแผ่บารมีมาคุ้มครองทหารกู้ชาติไทใหญ่อย่างแน่แท้

ความเชื่อมั่นศรัทธาของคนไทใหญ่ที่มีต่อสมเด็จพระนเรศวรฯ นั้น มีรากฐานสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการปกครองระบอบ "เจ้าฟ้า" ของไทใหญ่ที่สืบทอดมาเป็นพันปี แต่เพิ่งถูกทำลายหมดสิ้นไปกับการยึดอำนาจในสหภาพพม่าของนายพลเนวินเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๕

แม้ปัจจุบันนี้ เจ้าฟ้าของไทใหญ่จะดับสูญ เชื้อสายเจ้าฟ้ากระจัดกระจายไปอยู่คนละทิศละทาง แต่ศรัทธาอันหยั่งรากลึกมาเป็นพันปีในจิตใจคนไทใหญ่ไม่เคยสูญหาย หลักฐานปรากฏชัดในทุกบ้านของทหาร SSA หรือกระทั่งบนเวทีงานฉลองปีใหม่ของไทใหญ่ สูงสุดแห่งการเคารพบูชานั้นคือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ตระหง่านสง่าอยู่กลางยอดดอยไตแลง

พันเอกเจ้ายอดศึกกล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า ..

"คนไทใหญ่ทั้งสมัยนี้ทั้งสมัยโบราณเชื่อถือพระนเรศวรฯ คนยุคนี้เชื่อถือพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนทุกบ้านมีรูปในหลวง-พระราชินี เพราะถ้าดูประวัติศาสตร์คนเชื้อชาติไท คนไทใหญ่ คนไทย คนลาว คนไทในเวียดนาม คนไทในจีนเป็นเชื้อสายเดียวกัน แล้วปัจจุบัน พระเจ้าอยู่หัวมีในประเทศไทยองค์เดียว ไทใหญ่จึงเคารพรักและเชื่อถือพระองค์มาก"

เดินอยู่ในบ้านคนไทใหญ่ แหงนมองผนังห้อง ใกล้หิ้งบูชาพระ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างยิ่งที่จะได้พบรูปในหลวง-พระราชินี ประดับอยู่โดยถ้วนทั่ว ไม่ต่างอะไรจากบ้านคนไทย ส่วนความเชื่อในพระราชวงศ์นั้น คนไทใหญ่ยิ่ง "เหมือน" สุดๆ กับคนไทย ชนิดไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักน้อย

ครูเคอแสน นักประวัติศาสตร์และเลขาธิการของสภากอบกู้รัฐฉานเล่าให้ฟังว่า เมื่อ ๑๐ กว่าปีก่อน ครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนฯ เสด็จเยือนพม่า และเสด็จไปที่เมืองตองจี คนไทใหญ่ตื่นเต้นกันมาก รู้สึกเหมือนเจ้าฟ้าของตนกลับบ้าน ใครสามารถไปรับเสด็จได้ก็พากันออกไป ส่วนคนที่ไม่มีโอกาส ต่างก็จ้องตาเป๋งไปที่ทีวีพม่า คอยดูภาพถ่ายทอดการเสด็จเยือนพม่าครั้งนั้นของสมเด็จพระเทพรัตนฯ อย่างปลาบปลื้ม แต่ที่คนไทใหญ่ตั้งใจดูๆ จ้องๆ กันอย่างละเอียดก็คือ "หมายเลข" ของเครื่องบินพระที่นั่งนั่นแหละ ครูเคอแสนเล่าว่าปีนั้นคนตองจีแห่ซื้อเลขเด็ดและถูก "หวย" ตัวเลขเครื่องบินสมเด็จพระเทพรัตนฯ กันทั้งเมือง จนเจ้ามือหวยแทบจะล่มจมไปเลย ครูยังบอกอีกด้วยว่าที่จำได้แม่นเพราะเพื่อนของครูในมหาวิทยาลัยตองจีได้เงินจากหวยในคราวนั้นเป็นหมื่นจ๊าด!

ด้วยรากฐานทางวัฒนธรรมที่ใกล้เคียงกัน แม้ระบบเจ้าฟ้าจะล่มสลาย แต่ความเชื่อถือศรัทธาในระบบกษัตริย์ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทใหญ่มาเป็นพันปี ความรู้สึกของคนไทใหญ่ คนไทย หรือกระทั่งคนลาว คนเขมร จึงไม่ได้ต่างกันเลยสักน้อย สำหรับคนไทใหญ่ สถาบันกษัตริย์ยังเป็นศูนย์รวมของจิตใจ เป็นแบบอย่างทางศีลธรรมอันดีงาม และเป็นสัญลักษณ์ของบารมีที่จะปกแผ่พระราชอำนาจมาปกป้องคุ้มครองพวกเขา เมื่อไม่มีเจ้าฟ้า ความรักความศรัทธานี้ก็ได้ทุ่มเทสู่กษัตริย์ไทยอย่างมั่นคงและเต็มที่ โดยเฉพาะในยามซึ่งพวกเขาต้องประสบกับชะตากรรมอันขมขื่น และต้องการขวัญกำลังใจในช่วงเวลาของการกอบกู้เอกราชของชาติไทใหญ่ อันลำบากตรากตรำในยุคปัจจุบัน

นับเป็นเวลาเกือบ ๕๐ ปีแล้วที่รัฐไทยได้สถาปนาความเชื่อเรื่องสมเด็จพระนเรศวรฯ กษัตริย์นักรบลงสู่กองทัพกู้ชาติไทใหญ่ และความเชื่อมั่นศรัทธานี้ก็ได้ฝังรากลึกอย่างมั่นคงจากพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ระหว่างไทยสยามกับไทใหญ่ที่มีร่วมกันมา การต่อสู้กู้ชาติของคนไทใหญ่ผูกพันกับตำนานของสมเด็จพระนเรศวรฯ มาตั้งแต่เริ่มแรก จนแม้นักธุรกิจการเมืองยุคนี้จะผลักดันนโยบายให้เมินเฉยต่อพวกเขา

แต่สำหรับนักรบไทใหญ่แล้ว ศรัทธาสูงสุดที่มีให้สมเด็จพระนเรศวรฯ ยังฝังลึกอยู่เต็มหัวใจ ด้วยความเชื่อมั่นว่า ในยามออกรบทำสงครามกู้ชาติ ในยามมืดมิดสิ้นหวัง สมเด็จพระนเรศวรฯ ยังทรงปกป้องคุ้มครองคนไทใหญ่เสมอ

พระองค์ไม่เคยทรงทอดทิ้งพวกเขา……</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

หนาว??? ไม่สบายละเปล่า

เอ...ถึงขั้นเพ้อแล้ว น้องเรา

Take care of yourself.

 

ก๊อปมาฝากกันครับ 555555

 

แน่นอน ... แม้เวลาจะล่วงไปนานเพียงใด........

แต่ ...ด้วยความผูกพันแห่งคำมั่นที่สองพระองค์ทรงมีต่อกัน

...............ณ กาลเวลาหนึ่ง.............................

". เจ้าฟ้าขุนหอคำไตย ..". พระองค์นั้น.

จึงไม่เคย..ทรงเสด็จห่างไกล.. จาก "กองทัพไต "เลย

 

หากตองเจนี้ไซร้ ไม่มีองค์พระนเรศ ไฉนเลยจะยืนหยัดถึงโกสินทธ์

 

เป็นหวัดดอกไม้2010 เสียแว้วววววววblack_pig

 

๕๕๕๕๕๕ พี่จงรักภักดีสอนหมวดเจี๊ยบตีกอล์ฟ

 

สาธุ สาธุ สาธุ
;ปรบมือ

 

[ame=http://www.youtube.com/watch?v=5u4Pd0eoKtI&feature=player_embedded]YouTube - เทิดไท้ พระสุพรรณกัลยา (3)[/ame]

ปรับรูปขอนำเสนออีกหนึ่งเวอร์ชั่นค่ะ
​

ทางสายธาตุออกจะเห็นด้วยกับพี่จงรักภักดีที่ว่า สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยาทรงประทับอยู่ที่หงสาวดีในอีกพระฐานะหนึ่งคือ SPY หรือ สายลับ หรือ อุปนิขขิต เพื่อหาข่าวสารการทัพส่งเข้ามาเมืองไทย พระองค์ท่านท่านทรงพลีพระชนม์ชีพอยู่ที่นั่นโดยรู้พระองค์ตลอดว่าคงไม่ได้เสด็จกลับอโยธยาอีกแล้ว ทรงสละพระชนม์ชีพเพื่อชาติด้วยความเต็มพระทัยของพระองค์เอง เป็นความเสียสละอย่างใหญ่หลวงของลูกผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งต่อแผ่นดิน ชาวไทยจะไม่มีวันลืมพระองค์ สมเด็จพระพี่นางของมหาราชจอมราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ ​