ผู้ชอบสวดมนต์...ห้ามพลาด

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย Denverguy, 23 ธันวาคม 2009.

  1. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    เห็นด้วยครับ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตครับ....ความคิดเห็นแต่ละคนอาจจะต่างกันได้ครับ อย่าคิดว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด แน่นอนเป็นกฏเกณฑ์ตายตัว นอกเสียจากคำสอนของพระศาสดาครับ...เจริญในธรรมครับ
     
  2. saipote

    saipote เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2009
    โพสต์:
    6,115
    ค่าพลัง:
    +9,778
    อนุโมทนาสาธุค่ะ เห็นด้วยกับคุณ Narong ค่ะ เคยได้ยินมาเหมือนกัน ว่าถึงเราจะสวดมนต์ผิดยังไงเทวดาท่านก็ลงมาอนุโมทนาบุญเหมือนกัน เพราะช่วงที่เราสวดนั้นเราตั้งใจสวดมันเลยเป็นบุญ
     
  3. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ถ้าผมจะบอกว่า คนที่เขาคุยกับเทวดาได้ เขาเล่ามาว่าเทวดา ท่านตำหนิมาก เรื่องการสวดมนต์ผิดอักขร ทำให้ภาษาเพี้ยนไป ยกตัวอย่างเช่น เด็กไทยสมัยนี้ สะกดภาษาไทยกันผิดๆ เพี้ยน่ ทั้งภาษาพูดและเขียน ผิดๆ ถูก จะมีราชบัณฑิตผู้เชี่ยวชาญภาษาไทย ออกมาชมเหรอ ว่าเออ ถึงเด็กพวกนี้จะพูดผิดๆ ถูก สะกดเขียนผิดไปก็เถอะ แต่พวกเขาก็ยังตั้งใจใช้ภาษาไทยกัน ไม่พูดไทยคำอังกฤษคำก็ดีถมไปแล้ว ยังงั้นหรือ

    ตรรกะ มันยังไงๆ อยู่นะครับ เออ ถึงเขาจะทำผิด เขาก็ตั้งใจทำดีที่สุด ก็ให้ผ่านๆ ไปงั้นเหรอ..มันก็จะมิยิ่ง หนักขึ้นๆ ทุกวันหรือครับ... หรือคิดกันว่าไงบ้าง เอ่ย
     
  4. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ก็คำสอนของพระพุทธองค์ไงครับ ท่านเป็นผู้กล่าวเอง ว่าให้ใช้ภาษาท้องถิ่นของตน ในการสวดมนต์นะครับ...พุทธพจน์จากพระไตรปิฏกนะครับ..ว่ามิให้ดูถูกภาษาถิ่นตัวเอง.. ผู้สวดมนต์แบบไม่รู้เรื่อง ก็จะพกเอาความไม่รู้เรื่องติดตัวไป.. จะเสี่ยงเอาความตั้งใจดีแบบผิดๆปฏิบัติต่อไปหรือจะแก้ไข ให้ถูกต้อง ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลละครับ ผมเพียงเอาพระไตรปิฎกมากางให้ได้รับทราบกัน ก็เลือกเดินเอานะครับ จะเดินกางแผนที่หาขุมทรัพย์ด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจ แล้วจะเดินทางถึงไหม อันนี้ก็พิจารณากัน แปลซะให้เข้าใจ พิจารณาตามคำสอนนั้นๆ น้อมเขามาในกาย ในจิต ธรรมบทใด บาทใด มันถึงจิตถึงใจ กินใจพิจารณาแล้วเห็นตามได้ชัดเจน ธรรมบทนั้นละครับเหมาะสำหรับตน เฉพาะตน นำธรรมบทนั้น มาเป็นดั่งเรือโดยสาร เพื่อนำพาเราไปถึงฝั่ง เมื่อถึงฝั่งแล้ว ก็ย่อมต้องสละเรื่องนั้น ไม่ไปยึดติดกับเรือนั้น จึงจะเข้าถึงฝั่งได้ฉันใด...ฉันนั้น
     
  5. ศิษย์ธรรมเทพ

    ศิษย์ธรรมเทพ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    324
    ค่าพลัง:
    +786
    ท่านที่ไม่เคยทำมาก่อนอาจจะคิดว่าสวดแบบงูๆปลาๆ นกแก้วนกขุนทองไม่มีประโยชน์ ผมเป็นอีกคนที่สวดมนต์มาแต่เล็กๆ ก็คือสวดตั้งแต่ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นใครหรือภาษาบาลีเป็นภาษาอะไร สวดไปในเวลาที่ ไปวัดบ้างหละ ก่อนนอนบ้างหละ หรือตอนที่นอนไม่หลับบ้างหละ พอนอนไม่หลับตอนเด็กๆจะกลัวคุณพ่อก็บอกให้สวดมนต์ในใจเดี๋ยวก็หลับลงได้ มาบัดนี้ผมเข้าใจได้แล้วหละว่าอย่างน้อยการสวดมนต์ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจอะไรในข้อความนั้นๆ เป็นการน้อมนำจิตที่ฟุ้งซ่านให้สงบลง เป็นการน้อมนำจิตเข้าสู่กระแสแห่งธรรม ด้วยเพราะพื้นฐานในการปฏิบัติของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน จิตมาจากสภาวะที่ใด หรือ แวดล้อมแบบใด (โลภ โกรธ หลง) ก็ใช้บทสวด พุทธมนต์ พุทธปริตเป็นตัวน้อมนำให้จิตสงบลงได้ หลังจากนั้นผู้สวดมนต์เป็น ก็จะรู้เองได้ว่าบทสวดนั้นๆ มีอานุภาพอย่างไร มีคุณวิเศษอย่างไร ผมจะยกตัวอย่าง สิ่งที่ผมรู้โดยไม่อ่าน สิ่งที่ผมรู้ได้จากการสวดมนต์ที่ไม่ต้องมานั่งรู้ความหมายหรือคำแปล เช่น บารมี ๑๐ ที่พระศาสดาทรงแสดงนั้นไม่ใช่การแสดงว่าพระองค์ทรงบารมีแค่ไหน แต่เป็นสอนให้คนรู้จักการสร้าง หรือ ปฏิบัติอย่างหนึ่งก่อนเพื่อให้เกิดหนทางในการปฏิบัติต่อไปได้ เช่น สัจจะบารมี ทรงแสดงไว้ก่อน อธิษฐานบารมี เพราะถ้าไม่สร้างสัจจะที่มั่นคงแล้วอธิษฐานจะเกิดไม่ได้เป็นได้ก็เพียงการขอแบบลมลมแล้งแล้งเท่านั้น เป็นต้น

    การสวดมนต์ก็เป็นการสอนเพื่อให้ทำดีซะก่อน หากทำได้แล้วความดีต่างๆ ก็จะตามมาเอง (ผมเน้นว่าทำได้แล้วนะ) ก็เหมือนการสร้างบารมีใน บารมี ๑๐ นั้นแหละที่ต้องมีลำดับเพื่อให้เกิดผลต่อเนื่อง อย่าไปทำให้คนที่ยังรู้น้อย หรือ เริ่มศึกษาเค้ารู้สึกว่าสับสน การสอนให้ทำก่อนเหมือนสอนเด็ก ต้องให้ทำตามซะก่อน สิ่งที่ท่านเจ้าของกระทู้ต้องการจะสื่อด้วยความหวังดีนั้น เหมาะสำหรับพวกที่ advance สักหน่อย แต่ท่านที่เพิ่งเริ่มสวดไปเถอะครับแล้วก็ทำให้จริงแล้วจะรู้ถึงอานิสงค์ของบทสวดมนต์ที่เราสวดเองแหละ

    สาธุ
     
  6. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ กับบทความข้างบน

    แต่ สำหรับบทความ ของคุณdenverguy ที่ว่าการสวดมนต์ที่ไม่รู้ความหมาย สวดผิดอักขระบ้าง ฯลฯ

    "ต้องได้บาป ต้องไปรับโทษในนรก - เปรต - สัตว์เดรัจฉาน
    เมื่อได้หมุนวนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ก็เป็นมนุษย์ที่มีสติ - ปัญญาไม่ดี
    เรียนรู้อะไรก็เข้าใจยากมาก เงอะงะๆ เซ่อๆซึมๆ
    สาเหตุก็เพราะได้สร้างความงงงวย - งมงาย - ไม่รู้เรื่อง
    เหยียบย่ำตัวเองเอาไว้แล้วเรียบร้อยในคราวนี้ด้วยการสวดมนต์คือคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบผิดๆ"

    มันจะขนาดนั้นเลยหรือ แค่ไม่รู้ความหมาย และผิดอักขระบ้าง ต้องตกนรก ฯลฯ เลยหรือ...
    ผมว่าหลักสำคัญเราได้ปฏิบัติธรรมได้สมควรแก่ธรรมแล้วหรือไม่ต่างหาก เช่น ทาน ศีล ภาวนา
    ทำได้ครบถ้วนและสมควรแก่ธรรมแล้วหรือยัง ตัวของ ทาน ศีล ภาวนา นี้แหละคือหลักในการปฏิบัติ
    ของศาสนาพุทธ ส่วนการสวดมนต์เป็นเครื่องมือ ช่วยให้การปฏิบัติเข้าสู่ ทาน ศีล ภาวนา เป็นไป
    โดยง่ายขึ้น สมบูรณ์ขึ้น เพราะฉนั้นถ้าตั้งหลักว่า ต้องสวดมนต์ให้ถูกต้องตามอักขระเป๊ะ ผิดไม่ได้
    เลย และต้องรู้ความหมายทุกตัวอักษร ฯลฯ ไม่งั้นตกนรก ฯลฯ ...จริงแน่หรือ .....?????
    ผู้มีปัญญาทั้งหลายพิจารณากันเอาเองเถิด ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2009
  7. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ครับมันเป็นเช่นนั้น เป็นตามกฎธรรมชาติ..ที่ผมยกมาทั้งหมด มาจากพระไตรปิฎก เป็นคำของพุทธองค์ ไม่ใช่คำของผมเอง..ไปหาอ่านเอาได้ ตามหน้าที่ลงไว้..ตามนั้นครับ.. พระองค์ตรัสไว้อย่างนั้น คำพระพุทธองค์ เป็นหนึ่งไม่มีสอง แน่ที่ท่านเตือน ท่านห้ามนั้นเพราะท่านรู้ท่านเห็นจริงดังนั้น..จึงเตือนด้วยเมตตา.. ส่วนท่านจะเชื่อตามพุทธองค์ หรือจะเชื่อตามที่คุณเห็นว่าน่าจะดีอย่างนั้นๆ อย่างที่ชั้นเห็นก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละบุคคล จะเลือกเชื่อพุทธองค์หรือไม่ ท่านก็ไม่ได้บังคับให้มาเชื่อท่าน ก็ลองพิจารณากันเองนะครับ.. ทั้งหมดที่ผมยกมา ก็มาจากพระไตรปิฎก ผมถึงอยากให้ทุกคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ ให้มาศึกษาพระไตรปิฎกกันจริงๆ จังๆ แล้วนำไปปฏิบัติ ผลดีย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติตามได้เห็นเอง..ด้วย กาย วาจา ใจ ของท่านเอง...
     
  8. จิตนิพพาน

    จิตนิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +414
    เป็นห่วงกับการชี้โทษของการสวดมนต์ อย่างเกินจริง..

    ตอนนี้ผมว่ามีความสับสนมาก ผมพบว่าบทความเกี่ยวกับการสวดมนต์ที่ไม่ถูก
    แล้วต้องเป็นบาป ต้องตกอบายภูมิ ฯลฯ มีอยู่หลายเวป หลายห้อง หลายกระทู้

    ผมมองว่าเป็นผลลบ และทำให้ชาวพุทธบางส่วน เกิดความรู้สึกที่ไม่ดี
    ต่อการสวดมนต์ .. ทำให้การชักจูงพุทธศาสนิกชนรุ่นต่อๆไป เข้าหาพระศาสนา
    ทำได้ยาก บรรดาลูกๆหลานๆ ตัวเล็กๆ ที่สวดมนต์ ตามพ่อ แม่ ก็เริ่มไม่สบายใจ
    และพบว่าบางกระทู้มีการยกพระไตรปิฏก มาอ้างกันอย่างละเอียด แล้วชี้ให้เห็นถึง
    โทษ แห่งการสวดมนต์อย่างน่ากลัว ซึ่งผมมองได้ 2 ด้าน

    1. เป็นการเอาพระไตรปิฏกมาโยงกัน ตัดต่อกัน เชื่อมโยง โดยมีวัตถุประสงค์
    เพื่อให้ตรงกับแนวคิด ของตนเองในเหตุผลนี้

    2. ปรากฏหลักฐานตามพระไตรปิฏกจริง แต่นัยของความหมาย
    หรือจุดประสงค์ไม่ใช่ ตามบทความที่เขียน (สื่อให้เห็นโทษอย่างมหันต์ของ
    ผู้ที่มีจิตศรัทธาสวดมนต์ ไม่รู้ความหมาย และผิดอักขระ )

    ในความเห็นของผม ผมว่าการสวดมนต์ เราอาจจะรู้ความหมายบ้างไม่รู้บ้าง
    หรืออาจผิดอักขระบ้าง แล้วต้องมารับโทษภัยจากการที่เราทำดี ประพฤติดี
    ตรงกันข้าม ผู้ที่อยู่เฉยๆ กิเสลเต็มตัวไม่ทำอะไรเลย ไม่เสี่ยงกับบาปบุญคุณโทษ
    ไม่เสี่ยงกับการตกนรก ...มองอย่างไรก็ขัดกับความรู้สึก และปัญญาของชาวพุทธ

    ผมเองยอมรับว่าไม่มีความสัดทัด และเข้าใจในพระไตรปิฏกอย่างลึกซึ้ง
    แต่เป็นห่วงมากกับกรณีอย่างนี้ และเมื่อมีการสอบถามจากผู้ที่เริ่มเข้ามาในศาสนา..
    ก็ไม่รู้ที่จะหาเหตุผลมาหักล้างบทความนี้ได้อย่างไร..ได้แต่แนะนำว่าถ้าทำดี จิตใจดี
    เจตตนาดี ก็จะไม่ผิด...ผมเชื่อว่าในเวปนี้มีผู้ทรงความรู้ในด้านพระไตรปิฏกเยอาะมาก
    ขอได้โปรดช่วยกันชี้แนะ ว่าพระไตรปิฏกที่นำมาอ้าง ถูกต้องหรือไม่อย่างไม่
    หรือถูกต้องแล้ว นัยของความหมาย เป็นไปตามที่เจ้าของกระทู้ว่าหรือไม่ .....

    ผมเชื่อว่าทุกคนในกระทู้มีความปราถนาดี ที่จะสืบสอดพระศาสนา
    แต่บางมุมมองหรือวิธีการกระทำ อาจจะส่งผลในด้านตรงข้ามก็ได้.....
    ให้ลองพิจารณาดูให้รอบคอบ มองในทุกๆมุม ชั่งใจในผลดีผลเสียที่จะได้รับ .....
    ทั้งนี้ก็เพื่อศาสนาพุทธของเราเอง หาใช่อย่างอื่นไม่..........<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ครับผมเห็นดีด้วยที่คุณพยายาม สนใจใฝ่รู้ ว่าอะไรคือสิ่งถูกสิ่งผิด พระไตรปิฎกที่ผมยกมานั้น เป็นชุด 91 เล่ม ของมหามกุฎราชวิทยาลัย
    ให้ลองไปอ่านดูว่าผมไปตัดทอนมาเพื่อประโยชน์ตนหรือไม่ได้เต็มที่ ผมให้ตักเตือนด้วยธรรมของพระพุทธองค์เต็มที่ แต่มิใช่ยกเอาความเห็นตน หรือครูอาจารย์รุ่นหลัง..ซึ่งเป็นศิษย์ของพุทธองค์..มาหักล้างคำสอนของพระศาสดา
    การสวดมนต์ด้วยความเข้าใจ ด้วยภาษาไทยเราเอง ประโยชน์ย่อมมีมากกว่าโทษแน่ เพราะเราเข้าใจได้ในทันที..คิดพิจารณาตามคำสอนในบทสวดได้ทันที หากเป็นภาษาบาลีที่เราไม่เข้าใจ จะนำมาปฏิบัติตามให้เห็นตามคำสอนของพุทธองค์ได้อย่างไร..จริงไหมครับ.. โทษที่จะได้รับมันเป็นไปตามกฏธรรมชาติ พระพุทธองค์ ท่านเตือนไว้แล้ว จะเชื่อกันหรือไม่ก็แล้ว จุดประสงค์ผม ที่มาเผยแพร่เพราะต้องการเห็นศาสนาเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป..ให้พุทธบริษัทสี่ เข้มแข็ง รักษาธรรมวินัย ให้เจริญขึ้นมากอีกครั้ง..ก็เท่านั้น
     
  10. จิตนิพพาน

    จิตนิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +414
    พระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา โดยขบฟันด้วยฟัน กลั้นหายใจและอดอาหาร หลังจากทดลองมา 6 ปี ก็ยังไม่พบทางพ้นทุกข์ จึงทรงเลิกบำเพ็ญทุกรกิริยา หันมาบำรุงพระวรกายโดยปกติตามพระราชดำริว่า <Q>"เหมือนสายพิณควรจะขึงพอดีจึงจะได้เสียงที่ไพเราะ"</Q> ซึ่งพระอินทร์ได้เสด็จลงมาดีดพิณถวาย พิณสายหนึ่งขึงไว้ตึงเกินไป พอถูกดีดก็ขาดผึงออกจากกัน .....

    จึงพิจารณาเห็นทางสายกลางว่า เป็นหนทางที่จะนำไปสู่พระโพธิญาณได้ .......
     
  11. จิตนิพพาน

    จิตนิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +414
    กาลมาสูตร 10 ประการ

    ๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา ๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา

    ๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ ๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา

    ๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา ๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา

    ๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล

    ๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน

    ๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้

    ๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
    .........................................................................

    พระพุทธองค์สอนให้ชาวพุทธ เป็นผู้มีปัญญา
    เป็นผู้มีเหตุมีผล ไม่หลงงมงาย..

    .....เมื่อปฏิบัติอย่างถูกต้องก็จะรู้แจ้งแก่ใจของตนเอง..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2010
  12. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    กาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล ในสมัยพุทธกาล เป็นที่อยู่ของพวกชาวกาลามโคตรหรือกาลามชน เป็นหมู่บ้านทางผ่านระหว่างเมืองในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าได้เคยเสด็จผ่านมาแล้วได้ทรงแสดงกาลามสูตร แก่กลุ่มคนเหล่านี้จนยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา
    เอาลองอ่านแล้วมาวิเคราะห์กัน เหตุใดเล่าพระองค์จึงทรงแสดงพระสูตรนี้ เพราะชาวกาลามะ เป็นพวกนอกศาสนานับถือสิ่งอื่นๆ นอกศาสนาพุทธ ท่านจึงแสดงพระสูตรนี้ เพื่อให้เขาพิจารณาพอเขาเปิดใจรับฟัง ท่านก็แสดงธรรมอันชาวกาลามะ เข้าใจยอมรับทำให้พวกเขาหันมานับถือศาสนาพุทธ และกาลามสูตรท่านก็แสดงแต่เฉพาะกับชาวกาลามะ ซึ่งเป็นพวกนอกศาสนา ส่วนพวกเราเรียกตัวเองว่าชาวพุทธ ย่อมแสดงว่ายอมรับในพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์แล้ว จึงควรเร่งศึกษาคำสอนของพระองค์ในพระไตรปิฎก มิใช่เอากาลามสูตรนี้มาใช้กับตัวเอง หรือเพื่อประโยชน์ตนเอง เช่นเรื่องใดเราไม่อยากเชื่อไม่ยอมรับ ก็เอาบทกาลามสูตรนี้ มาเป็นข้ออ้างหาความชอบให้ตัวเองที่จะต้องได้ไม่ต้องทำตามเพราะไม่ชอบใจ ทั้งที่เป็นหลักความจริงในศาสนาพุทธนี้
    ตกลงคุณจะเป็นชาวพุทธหรือชาวกาลามะ
    หากเรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ ย่อมเรียนพระธรรมในพระไตรปิฎก สิ่งใดในนั้นบอกว่าผิด ละเลิกเสีย ปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกเพื่อความเจริญแก่ตนและพระศาสนามิใช่ พระไตรปิฎกบอกผิด แต่เราชอบแบบนี้ ก็จะไม่ยอมรับด้วยการอ้างเอากาลามสูตรนี้มาอ้าง ทั้งที่ตัวเองเรียกตัวเองว่าชาวพุทธแล้วมิใช่ชาวกาลามะ
    ฉะนั้นผมก็ยังยืนยันตามพระไตรปิฎก ผู้ใดยังคิดจะสวดก็เชิญแต่ควรทำให้ถูก แปลให้เข้าใจ แล้วจะสวดแบบไทยหรือบาลี แบบไหนคิดว่าง่าย ถูกต้องไม่ผิดพลาดก็เลือกทำเอาครับผม
     
  13. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐ (๓๙๐)
    ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง
    [๓๙๒] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมากประ-
    ทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวก
    ป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลาย
    ของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่
    เราทำแล้วของเรา เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้า
    เก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธ-
    เจ้า ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือการถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็น
    พระพุทธเจ้า ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็น
    แม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพ
    หลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
    ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจก
    พุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น
    เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส
    หลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เรา
    จึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะการกล่าวตู่พระเถระ
    นามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึง
    ท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน
    ถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผล
    กรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่
    เป็นจริง เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา
    สอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้
    น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มากมาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้
    ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภค
    กาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้น มาณพ
    ทั้งปวง เที่ยวไปภิกษาในสกุลๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีพวกนี้
    มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำ
    กล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ในกาลก่อน เราได้ฆ่า
    พี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และ
    บด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน
    ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด ในกาลก่อน
    เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟ
    เผา (ดัก) ไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัต
    จึงชักชวนนายขมังธนู ผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา ในกาลก่อน เรา
    เป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนีแม้
    กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีอันดุร้าย วิ่ง
    แล่นเข้าไปในคอก (ท้อง) เขา (วงกต) เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ ใน
    กาลก่อน เราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วย
    หอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก
    ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของ
    เราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป ในกาลก่อนเราเป็นเด็ก
    (ลูก) ของชาวประมงอยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว
    เกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ)
    ได้มีแล้วแก่เราในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน พระเจ้าวิฏฏุภะ
    ฆ่าแล้ว เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้า
    พระนามว่าผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากิน
    ข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่
    ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน ในกาลนั้น เมื่อนักมวย
    กำลังชกกัน เราได้ห้ามบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความ
    ทุกข์ที่หลัง (ปวดหลัง) ได้มีแล้วแก่เรา เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค
    ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร (ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกา-
    พาธจึงมีแก่เรา

    เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า
    กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยาก
    อย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก
    (ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุ
    โพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอัน
    บุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด

    (บัดนี้)เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้า-
    โศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุ
    กำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุ
    สงฆ์ ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล.

    อ่านให้หมดนะครับ แล้วพิจารณาเอา ด้วยวิบากกรรมเก่าของท่านหรอกถึงต้องทรงมาบำเพ็ญทุกกรกิริยา และหากคุณเห็นว่าพระธรรมวินัยสิ่งใดในพระไตรปิฎก อันบันทึกพระธรรมคำสอนของพระองค์ท่าน ไม่ตรงกับชอบของคุณ แล้วจะมาเรียกตัวเองว่าชาวพุทธให้เหนื่อยทำไม หากทำตามสิ่งที่ ท่านทรงเห็นแล้วว่า อะไรควรทำแล้วเกิดประโยชน์ท่านก็แนะแนวไว้ให้ สิ่งใดไม่ควรทำแล้วจะเกิดโทษท่านก็ห้ามไว้แล้ว
    ยังจะฝ่าฝืนพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นดั่งพระธรรมนูญ เทียบกับทางโลก ก็เป็นดังรัฐธรรมนูญ กฏหมายสูงสุด ผู้ใดจะฝ่าฝืนมิได้ ผู้ใดทำการฝ่าฝืนย่อมได้รับการลงโทษ
    แล้วพวกเราผู้มีดวงตาอันสั้นนัก ไม่ยาวไกลดังพุทธองค์ ยังจะมาฝืนคำสั่งสอนของท่าน เพื่อให้เกิดโทษกับตนและพระศาสนา ทำไมกันเล่า คิดพิจารณาด้วย ไม่ต้องเชื่อ ไตร่ตรองให้ดี
     
  14. จิตนิพพาน

    จิตนิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    233
    ค่าพลัง:
    +414
    ผมได้โพสมาพอสมควรแล้วครับ ที่เหลือ ก็เป็นหน้าที่ของผู้เข้าดูเข้าชมเวป
    จะเป็นผู้พิจารณา ครับ....


    กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ได้ล่วงเกินผู้ใด
    ผมขออโหสิกรรมด้วย สำหรับผมได้สวดมนต์
    แผ่เมตตา และอโหสิกรรม ให้เจ้ากรรมนายเวร
    และทุกๆท่าน ทุกๆวันแล้วครับ......

    ขอให้มีความสุข ความเจริญทุกๆท่าน ด้วยครับ
     
  15. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,300
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,126
    สวดมนต์เด็กกับสวดมนต์ผู้ใหญ่

    ขออนุญาติแสดงความคิดเห็นครับ ถูกผิดคงไม่ว่ากันนะ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ผมเห็นด้วยที่เวลาสวดควรจะสวดให้ถูกต้องตามเสียงอักขระและควรจะรู้ความหมาย ผมว่าเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็คงเหมือนกับ การพูดภาษาไทยของเรามั้งครับ คือถ้าเราออกเสียงไม่ถูก ความหมายก็คงผิดเพี้ยนไป ผมขอยกตัวอย่าง เรื่องจริงครับ คือลูกสาวของผม ตอน 3 ขวบแกพูดไม่ค่อยชัดและก็ไม่ค่อยจะถูกคำเสียด้วยซ้ำ "แกบอกว่า จับมีด จับมีด ไอ้เราก็งง !จับทำไมว่ะมีด พอค่อย ๆถาม ก็เลยถึงบางอ้อว่า อ๋อ จับมือนั่นเอง "<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    และก็เห็นด้วยว่าถ้ายังไม่รู้หรือไม่สะดวกเรื่องหลักการ ก็สวดไปก่อนผมว่าอย่างน้อยก็ได้สมาธิ แล้วเราค่อยๆเรียนรู้วิธีการที่ถูกต้อง คงเหมือนกับเด็กนักเรียนมั้งครับ ที่ใหม่ ๆ ยังพูดไม่คล่อง ยังเขียนไม่ถูก ก็ต้องค่อย ๆ หัดไปก่อน ล้มลุกคลุกคลานไปอาจมีเจ็บตัวบ้าง ก็ต้องอาศัยพ่อแม่ และคุณครูเป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือและชี้แนะแก้ไขไปก่อน ว่าจะต้องยืนแบบไหน นั่งท่าไหน พูดอย่างไง เขียนแบบไหน ถึงจะไม่ล้ม ถึงจะทำได้ถูกวิธีสามารถพึ่งตัวเองได้ <o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ผมว่าโดยทั่วๆไปนั้น คงไม่มีเด็กคนไหน พูดได้ชัด ในครั้งแรกที่ส่งเสียงได้<o:p></o:p>
    คงไม่มีเด็กคนไหนที่เขียนตัวหนังสือได้ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก แต่หลังจากนั้นเติบโตขึ้นมามีวุฒิภาวะ เหมาะสมแล้ว ถ้ายังพูดออกเสียงไม่ถูก พูดไม่ชัด หรือเขียนหนังสือไม่ถูก ยังเขียนผิดถูกๆอยู่ ผมว่าก็น่าคิดนะครับ ว่าควรจะต้องเร่งรีบแก้ไข แสดงว่าที่ผ่านมานั้น น่าจะมีความผิดปกติอะไรอยู่<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    สวัสดีปีใหม่ครับ <o:p></o:p>
    ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยรักษาเพื่อน ๆ ทุกคนที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นในเรื่องการสวดมนต์นี้ครับ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  16. upanya

    upanya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2006
    โพสต์:
    900
    ค่าพลัง:
    +1,035

    เห็นด้วยกับความเห็นนี้ครับ
    การสวดมนต์ด้วยภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ตายแล้ว จะสามารถคงความหมายเดิมไว้ได้
    ความหมายจะไม่เปลี่ยน เหมือนภาษาไทยปัจจุบัน แค่10ปีก็เปลี่ยนความหมายแล้ว
    แต่จะดีกว่าถ้าเราทราบความหมายด้วย แม้จะเป็นความหมายโดยรวมๆก็ตาม

    หากจะสวดแต่บาลีก็ไม่ได้เป็นความผิดชั่วร้ายอะไร
    อย่างน้อยก็ยังรักษาคำสอนไว้ให้ใครที่อยากรู้ไปแปลได้ในภายหลัง
     
  17. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    สิ่งที่ผมยกมา ก็จากพระไตรปิฎก เป็นคำสอนชี้ทางแก่พุทธศาสนิกชน สิ่งใดควรทำ มิควรทำก็ยกมาให้อ่าน ให้พิจารณากันแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่แต่ละท่านจะน้อมนำไปประพฤติ ปฏิบัติกันหรือไม่ ก็ลองใคร่ครวญ ศึกษาเพิ่มเติมเอาได้ครับ ว่าสิ่งใดควรมิควร เพราะเหตุใด ทุกสิ่งมีเหตุมีปัจจัย ท่านจึงได้ตรัสหรือบัญญัติเอาไว้
     
  18. apichai53

    apichai53 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    630
    ค่าพลัง:
    +2,261
    พระไตรปิฏกยังไม่ตีความก็ยังเป็นธรรมะพระพุทธเจ้าอยู่
    ตีความแล้วต้องดูอีกใครตีความ กิเลสมันตีความ
    หรือพระอริยะตีความ หรือยกมากล่าว

    พระวินัยหละ ตีความออกมาจากกิเลส
    ก็เป็นกิเลสทั้งหมด เพราะกิเลสมันเป็นคนอ่านและตีความ
    .........................................................

    แต่ถ้าเอาชาวป่าชาวเขาไปพิพากษา ตัดสินโทษแล้วสิ่งใด
    จะเกิดขึ้น ชาวป่าชาวเขาไม่รู้กฏหมาย ไม่เป็นที่ยอมรับ
    โดยสมมุติของทนาย ของโจทย์ ของจำเลย สิ่งใดจะเกิดขึ้น<!-- google_ad_section_end -->

    เชกเช่น เอากิเลสไปตีความพระวินัย พระธรรม พระไตรปิฏก

    กิเลสมันไม่รู้ธรรม ไม่รู้วินัย ไม่เข้าใจธรรมะ แค่อ่านหนังสือ
    และแปลบาลีออก

    เปรียบเหมือนเอาชาวป่าไปพิพากษา ไม่มีผิด
    ชาวป่าไม่รู้กฏหมาย ไม่รู้ธรรมเนียมประเพณี
    ศีลธรรมของคนเมือง แต่อ่านหนังสืออก ก็ฉันนั้น




    ************************************************

    ผมขออนุญาตยกบทความของท่าน เสขะ บุคคล (ซึ่งได้โพส
    ไว้ในห้องพระพุทธศาสนาสำหรับผู้เริ่มต้น)ให้ชาวพุทธในห้องนี้
    ได้อ่านเพื่อประกอบการพิจารณา

    ........อนุโมทนาสาธุครับ

    link ที่มา
    http://palungjit.org/threads/การเกิดขึ้นของพระพุทธรูปครั้งแรกในโลก.219497/page-13
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2010
  19. Denverguy

    Denverguy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    358
    ค่าพลัง:
    +129
    ผู้ใดสงสัย ไปหาอ่านเอาจากพระไตรปิฎก ฉบับ 91 เล่ม ของมหามกุฏราชวิทยาลัย ไม่มีตัดตอน ดัดแปลงใดๆ อ่านแล้วพิจารณาได้ด้วยตนเอง

    หากไม่ใช้ กิเลสตนเอง ตีความก็จะเข้าใจในธรรมอันพระพุทธองค์กล่าวไว้ดีแล้ว ได้เอง อย่าเพิ่งเชื่อใคร ขอให้ศึกษาด้วยตนเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มกราคม 2010
  20. TUK2800

    TUK2800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    1,766
    ค่าพลัง:
    +1,161
    อนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ<!-- google_ad_section_end -->

    การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน><O:p></O:p>
    การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ
    กายมีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
    ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
    วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา
    ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่งซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว<O:p></O:p><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --> <!-- / message -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...