ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    สืบหาพระเครื่องดีสัปดาห์นี้แทนที่จะมาวันศุกร์กลางคืน เหมือนทุกคืน แต่มาเสาร์กลางคืน อันเนื่องมาจาก เครื่องที่ใช้ประจำถูก w32 ผู้ที่ไม่ได้รับเชิญมาฝังตัวอยู่ ทำให้อืดยืด ไม่สามารถใช้งานได้อาจจะลงโปรแกรมใหม่ทั้งหมด หรือส่งมือดีลงไปเชือด เลยต้องใช้เครื่องสำรองแทน ขอเริ่มเลยก็แล้วกันครับ สัปดาห์นี้เป็นพระกลางกรุง แถวหัวลำโพง ปัจจุบันท่านมรณะภาพไปเรียบร้อยแล้ว ผมเคยได้รับแจกผ้ายันต์ "ดอกบัวบาน" จากท่านมาผืนหนึ่ง ปัจจุบันใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์ด้วยดีครับ ท่านดีจริงๆ ลองมาดูประวัติพร้อมพระเครื่องของท่านดีกว่าครับ

    พระวิมลธรรมภาณ (ฐิตปุญญเถร หลวงปู่วิเวียร บุญมาก)


    [​IMG]

    พระวิมลธรรมภาณ (ฐิตปุญญเถร หลวงปู่วิเวียร บุญมาก)
    วัดดวงแข กรุงเทพมหานคร
    • • • • • • • • • • • • • • • • • • • •

    ชาติภูมิและการศึกษาเบื้องต้น

    ท่าน เจ้าคุณพระวิมลธรรมภาณ มีนามเดิมว่า สังเวียน บุญมาก กำเนิด ณ บ้านหมู่ที่ 8 ตำบลบ้านแก่ง อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2464 ตรงกับวันพุธ ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 12 ปีระกา โยมบิดาชื่อ กริ่ม บุญมาก โยมมารดาชื่อ พริ้ง บุญมาก มีพี่น้องรวมด้วยกัน 6 คน คือ

    1. นางขาว เหมพิจิตร
    2. นางสาวละออง บุญมาก
    3. นางน้ำค้าง บุญมาก
    4. นางน้ำผึ้ง บุญมาก
    5. พระพรหมมุนี (ปุญญารามเถร หลวงปู่วิชมัย บุญมาก) วัดบวรนิเวศวิหาร
    6. พระวิมลธรรมภาณ (ฐิตปุญญเถร หลวงปู่วิเวียร บุญมาก) วัดดวงแข

    เมื่อ เยาว์วัยได้รับการศึกษาเบื้องต้น ณ โรงเรียนประชาบาลวัดบ้านแก่ง อันเป็นวัดใกล้บ้านจนจบชั้นประถมปีที่ 4 แล้วได้ทำการศึกษาต่อจนจบวิชาครูเกษตรกรรมที่จังหวัดนครสวรรค์ ครั้น พ.ศ. 2482 ได้เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เมื่ออายุได้ 18 ปีและได้ทำการบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดดวงแข โดยมีเจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ (ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2482 เมื่อบรรพชาเป็นสามเณรแล้วได้อยู่จำพรรษาที่วัดดวงแข ศึกษาพระปริยัติธรรมและสอบไล่ได้นักธรรมโทเมื่อ พ.ศ. 2484
    [​IMG]
    อุปสมบทและการศึกษาวิชาวิปัสสนากัมมัฎฐานพระเวทวิทยาคม

    พ. ศ. 2484 อายุครบอุปสมบท ได้อุปสมบทที่วัดดวงแข โดยเจ้าพระคุณสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ วัดบวรนิเวศ ทรงเป็นพระอุปฌาย์ พระสุพจนมุนี (ต่อมาได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระพรหมมุนี สุวจเถรผิน ธรรมประทีป) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดรัตน์ (ต่อมาได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระญาณวิสุทธิเถร) วัดดวงแขเป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2484 และในคราวอุปสมบทนี้เองได้เปลี่ยนชื่อจากสังเวียน มาเป็นวิเวียรสืบมา หลังจากอุปสมบทแล้วได้ทำการสอบบาลีประโยค 3 แต่ปรากฏว่าสอบตกจึงได้เดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยเข้าพักอาศัยอยู่กับท่านพระครูนิวุตถ์พรหมจรรย์ (หลวงพ่ออยู่) เจ้าอาวาสวัดบ้านแก่งหรือบิดาบุญธรรม และนี่คือวิถีชีวิตของหลวงปู่ที่ได้เปลี่ยนแปลงใหม่เมื่อเสียใจกับการสอบตก ในการสอบบาลี หลวงพ่ออยู่ก็เลยให้หันเหชีวิตมาในแนวทางปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฎฐานศึกษาพระ เวทย์วิทยาคมจากหลวงพ่ออยู่แทนจนสำเร็จ (หลวงพ่ออยู่ วัดบ้านแก่งเป็นศิษย์เอกของ 3 พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยก่อนคือศิษย์ของท่านพระครูวิมลคุณากร หรือหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท พระครูพิสิสถสมถคุณหรือหลวงปู่เฮง วัดเขาดิน จังหวัดนครสวรรค์ และพระครูนิวาสธรรมขันธ์หรือหลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ จังหวัดนครสวรรค์) วิชาของ 3 พระอาจารย์นี้หลวงพ่ออยู่ วัดบ้านแก่งได้ถ่ายทอดให้หลวงปู่วิเวียรจนหมดสิ้น ตำราพระเวทย์เหล่านี้หลวงปู่วิเวียรได้เคยเล่าให้ฟังว่าปัจจุบันนี้ยังอยู่ ที่วัดบ้านแก่ง จังหวัดนครสวรรค์ หลวงปู่ได้เดินทางขึ้น-ล่องระหว่างวัดดวงแข กับวัดบ้านแก่งเวลาเข้าพรรษาจะอยู่ที่วัดดวงแข พอออกพรรษาจะมาอยู่ที่วัดบ้านแก่งเพื่อศึกษาพระเวทย์ต่างๆ กับหลวงพ่อตั้งแต่ พ.ศ. 2485 ถึง พ.ศ. 2491 ซึ่งเป็นปีที่หลวงพ่ออยู่มรณภาพ
    [​IMG]
    หลวง พ่ออยู่เกิดเมื่อ พ.ศ. 2419 มรณภาพ พ.ศ. 2491 สมณศักดิ์ครั้งสุดท้ายของหลวงพ่ออยู่คือ พระครูนิวุตถ์พรหมจรรย์ รวมอายุได้ 72 ปีเศษ เมื่อจัดการงานศพของหลวงพ่ออยู่เสร็จแล้วหลวงปู่ก็ได้เดินทางกลับมา วัดดวงแขเพื่อทบทวนพระเวทย์วิทยาต่างๆ จนถึงประมาณปี พ.ศ. 2495 หลวงปู่เล่าให้ฟังว่าในวันหนึ่งมีพระภิกษุชรารูปหนึ่งได้เดินเข้ามาในวัดดวง แข และได้มาขออนุญาตพัก 1 คืน วันรุ่งขึ้นจะนั่งรถไฟเดินทางไปจังหวัดนครราชสีมา หลวงปู่ก็จัดที่พักให้ที่ศาลาสูง (ปัจจุบันรื้อไปแล้ว) หลวงปู่ก็จัดการกวาดวัดต่อไปจนเวลาประมาณเกือบ 2 ทุ่ม หลวงปู่กวาดวัดเสร็จก็สรงน้ำเพื่อที่จะสวดมนต์ทำวัตร พระภิกษุชรารูปนั้นก็ได้กวักมือเรียกหลวงปู่ไปพบบอกว่าเดี๋ยวสวดมนต์ทำวัตร ด้วยกัน เมื่อทั้งสองรูปพร้อมแล้วพระภิกษุชรารูปนั้นก็บอกว่าปลงอาบัติก่อนผมก็เป็น พระธรรมยุติเหมือนกับท่านบวชมาตั้งแต่เป็นเณร เมื่อปลงอาบัติเสร็จแล้วก็เริ่มสวดมนต์กันจนจบหลวงปู่บอกว่าพระภิกษุชรารูป นี้สวดมนต์ได้เพราะมากอักขระชัดเจนสวดเก่งมาก เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้วก็ให้นั่งกัมมัฏฐาน กันนั่งอยู่ได้ประมาณครึ่งชั่วโมง พระภิกษุรูปนั้นก็สั่งให้หยุดนั่ง และสอบถามประวัติหลวงปู่ว่าใครอบรมสั่งสอนวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐานให้ หลวงปู่บอกว่าท่านพระครูนิวุตถ์พรหมจรรย์ (หลวงพ่ออยู่) วัดบ้านแก่งจังหวัดนครสวรรค์สอนให้ พระภิกษุชรารูปรูปนั้นก็ยกมือขึ้นไหว้แล้วพูดว่าท่านหลวงพ่ออยู่นี้เก่ง มากอบรมศิษย์ได้ถึงขนาดนี้ แล้วพระภิกษุชรารูปนั้นก็บอกว่าตัวของท่านคือพระอาจารย์สิงห์แห่งโคราช
    [​IMG]
    เมื่อ หลวงปู่ทราบก็ก้มลงกราบเท้าพระอาจารย์สิงห์ขอขมาท่านที่ไม่ทราบว่าท่านคือ ใคร พระอาจารย์สิงห์เลยบอกให้หลวงปู่ไปจัดดอกไม้ธูปเทียนผ้าขาวน้ำเปล่าอีก 1 แก้ว มาเมื่อหลวงปู่จัดเครื่องเหล่านี้มาแล้ว พระอาจารย์สิงห์ก็ให้หลวงปู่ถวายท่านเพื่อทำการศึกษาวิชาพระเวทย์วิทยาต่าง ๆ และได้อบรมสั่งสอนวิปัสสนากัมมัฏฐานต่อจนสำเร็จในวิชาของท่านพระอาจารย์ สิงห์ ในครั้งนั้นพระอาจารย์สิงห์ได้อยู่พักที่วัดดวงแข 10 วัน ได้สอนให้หลวงปู่เขียนอักขระเลขยันต์ต่าง ๆ มากมาย

    หลวงปู่บอกว่า วิชากัมมัฏฐานของพระอาจารย์สิงห์นั้นเป็นวิชาที่ลึกซึ้งมากต้องใช้เวลา นานกว่า 5 ปี ถึงเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านแนะนำมา ในระหว่างที่ศึกษาอยู่กับพระอาจารย์สิงห์นั้นพระอาจารย์สิงห์ได้เล่าให้ฟัง ถึงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับพระอาจารย์มั่น และพระอาจารย์ต่าง ๆ ถ้าหากว่าหลวงปู่เดินทางผ่านไปก็ให้ไปกราบพบครูบาอาจารย์เหล่านั้นได้ เมื่อพระอาจารย์สิงห์เดินทางกลับไปจังหวัดนครราชสีมาแล้ว หลวงปู่ก็ได้พบกับพระอาจารย์สิงห์อีกหลายครั้งด้วยกันที่วัดบรมนิวาส และที่วัดปทุมวนาราม จ. กทม. และที่ต่างจังหวัดอีกหลายครั้ง และเคยร่วมธุดงค์ไปกับพระอาจารย์สิงห์ถึงประเทศลาว ต่อมาในปี พ.ศ. 2500 เศษหลวงปู่ได้ถูกนิมนต์ไปนั่งสวดพุทธาภิเศกที่วัดบวรนิเวศวิหา รและได้ไปพบกับหลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม จังหวัดชลบุรี ที่มานั่งปรกปลุกเสกที่วัดบวรนิเวศวิหารและหลวงปู่ได้เคยไปศึกษาวิชาการลบผง จากหลวงพ่อโด่ หลวงพ่อโด่บอกว่าถ้ามีเวลาให้ไปกราบพบพระอาจารย์ท่านหนึ่งที่มีความรู้ความ สามารถเก่งมากคือหวงปู่ทิม วัดระหารไร่นันเอง แต่หลวงปู่ไม่เคยได้ไปกราบพบหลวงปู่ทิมเลยแต่ก็ให้ความเคราพนับถือหลวงปู่ ทิมมาร่วมพิธีทุกครั้งไป

    หลวงปู่เล่าไปให้ฟังว่าหลวงพ่อโด่เก่ง มาก ปลุกเสกพระหรือปลัดถึงกับลอยได้วิ่งได้เลยทีเดียว นับได้ว่าพระอาจารย์ของหลวงปู่ ที่หลวงปู่ได้ศึกษาเล่าเรียนมามีอยู่เท่านี้ส่วนที่หลวงปู่ให้ความเครา พนับถือมีอยู่หลายรูปด้วยกัน แต่ที่เห็นหลวงปู่พูดถึงบ่อย ๆ ก็มีหลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ จ.ระยอง หลวงปู่อยู่วัดใหม่หนองพระอง จ.สมุทรสาคร หลวงพ่อสนิท วัดศีลขันธาราม จ.อ่างทอง (หลวงพ่อสนิทเป็นสหายทางธรรมกันมาตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อสนิท ยังอยู่ที่วัดเทพศิรินทราวาสและเคยมาฉันอาหารหลับนอนที่วัดดวงแขบ่อย) และหลวงปู่บุญญฤทธิ์พระอาจารย์สายกัมมัฏฐานที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกันมาก ถ้าหลวงปู่บุญญฤทธิ์มากรุงเทพฯ ต้องมาหาหลวงปู่วิเวียรทุกครั้งไปหลวงปู่เป็นพระที่มีเมตตาสูง ท่านจะให้ความอนุเคราะห์แก่ผู้ยากจนตลอดเวลา จนเป้นที่ทราบของพระเถรผู้ใหญ่หลายท่านตลอดจนบรรดาศิษยานุศิษย์ที่ให้ความ เคราพนับถือ หลวงปู่ท่านถือหลักพรหมวิหาร 4 ใครมาหาท่าน หลวงปู่จะประพรมน้ำพระพุทธมนต์ให้และว่าพระคาถาเพื่อเป็นสิริมงคลให้แล้วจะ พูดว่า เจริญเฮงเฮงกันนะ ทุกครั้งไป ไม่ว่าวัดไหนหน่วยราชการใดมาขอพึ่งท่านหลวงปู่จะช่วยเหลือทุกครั้งไปมิได้ ขาด
    ภารกิจหน้าที่การงานภายในวัด
    [​IMG]
    ท่าน เจ้าคุณพระวิมลธรรมภาณ หรือหลวงปู่วิเชียรได้เริ่มมีบทบาทช่วยเหลือกิจการของทางวัดดวงแขมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2500 หลวงปู่ได้ร่วมกับเจ้าอาวาสวัดดวงแขช่วยกันพัฒนาวัดดวงแขจนเจริญรุ่งเรืองมา จนปัจจุบันนี้ โดยหลวงปู่เป็นแม่งานคอยควบคุมพัฒนาบูรณะวัดมาดดยตลอดเพราะหลวงปู่มีความรู้ ทางด้านช่างก่อสร้างเก่งมาก ท่านคำนวณงานจนผู้รับเหมาต้องยอมแพ้ ปรับปรุงระเบียบการปกครองภายในวัด จัดสรรงบประมาณหาทุนทรัพย์มาบูรณะก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ ภายในวัดแทบทั้งสิ้นไม่วาสจะเป็นการก่อสร้างศาลาการเปรียญทั้งหลายหลัง โรงเรียนพระปริยัติธรรม กุฏิสงฆ์ บูรณะพระอุดบสถและพระวิหารหลวงปู่ปรับปรุงบูรณะจนจำสภาพเก่าไม่ได้ วัดดวงแขได้เปลี่ยนแปลงไปจนผิดหูผิดตาจากสภาพวัดที่ทรุดดทรมกลายมาเป็นวัด ที่ร่มรื่นน่าอยู่อาศัยศึกษาและปฏิบัติ นอกจากนี้หลวงปู่ได้เป็นครูสอนปริยัติธรรมอบรมสั่งสอนพระเณรชาวบ้านมา ตั้งแต่หลวงปู่บวชเป็นพระใหม่ ๆ เป้นอาจารย์สอนกัมมัฏฐานแก่ผู้ที่สนใจจนมีผู้ศึกษาสำเร็จไปแล้ว 300 กว่าท่าน และได้ทำการเทศน์สั่งสอนแนะนำจนเป้นที่ชื่นชอบของพุทธศาสสนิกชนทั่วไป โดยได้รับนิมนต์ให้ไปเทศน์ตามสถานที่ราชการต่าง ๆ เป้นจำนวนมาก หลวงปู่บอกว่าเราอย่าไปสอนเขาเราไปแนะนำให้เขาถึงจะถูกเราเก่งแล้วหรือถึงจะ ไปสอนเขา เราควรพิจารณาดูตัวเราเองก่อนแล้วถึงจะรู้ว่าเราจะไปสอนคนอื่น หลวงปู่จึงเป้นที่เคราพและรักใคร่นับถือของคนทั่วไป
    [​IMG]
    ภารกิจทางคณะสงฆ์

    ใน ด้านการคณะสงฆ์ ท่านเจ้าคุณพระวิมลธรรมภาณ หรือหลวงปู่วิเวียรได้เริ่มมีส่วนเกียวข้องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2502 เริ่มเป็นประธานสงฆ์บูรณะปฏิสังขรณ์วัดดวงแข และท่านเจ้าคุณพระพรหมมุนี(ปุญญรามเถร) ได้แต่งตั้งให้ช่วยการคณะสงฆ์มาตามลำดับต่อไปนี้

    พ.ศ. 2502 เป็นกรรมการตรวจธรรมสนามหลวง
    พ.ศ. 2508 เป็นที่ปรึกษาของท่านเลขาธิการคณะธรรมยุติในสมัยพระเทพวราภรณ์ เป็นเลขาธิการคณะธรรมยุติ
    พ.ศ. 2519 เป็นรองเจ้าอาวาสวัดดวงแข
    พ. ศ. 2522 เป็นที่ปรึกษาของท่านเจ้าคณะภาค 4-5-6-7 (ธรรมยุติ) มีพระธรรมดิลกเป็นเจ้าคณะภาค และเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสวัดดวงแข
    พ.ศ. 2532 เป็นพระวินยาธิการชุดแรกของคณะธรรมยุติ และเป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร มีพระพรหมมุนี เป็นเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร
    พ.ศ. 2535 เป็นเจ้าอาวาสวัดดวงแข

    งานด้านสาธารณูปการ

    นับ แต่ พ.ศ. 2500 เป็นต้นมาท่านเจ้าคุณพระวิมลธรรมภาณหรือหลวงปู่วิเวียร ได้ดำเนินการจัดสร้างและให้ความอุปถัมภ์การก่อสร้างวัดและสาธารณสถานต่าง ๆ ไว้จำนวนมากคือ

    พ.ศ. 2500 ได้พัฒนาวัดดวงแขจนเจริญเท่าทุกวันนี้ (พ.ศ. 2500 - 2536)
    พ. ศ. 2501 อุปถัมภ์วัดบ้านแก่ง จังหวัดนครสวรรค์สร้างศาลาการเปรียญหลังใหญ่จุคนเป็นพัน ๆ คน สร้างกุกิสร้าง 4 หลัง สร้างศาลาดินหลังเล็ก สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรมสูง 3 ชั้น กว้าง 9 เมตร ยาว 32 เมตร บูรณะพระอุโบสถและวิหาร ปรับปรุงฌาปนสถาน (ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 จนถึง พ.ศ. 2536 ไม่ทราบว่าเป็นงบประมาณเท่าไร)
    พ.ศ. 2507 อุปถัมภ์การก่อสร้างถนนรังสิโยทัย จากอำเภอเมืองนครสวรค์ จนถึงอำเภอบรรพตพิสัย จังหวัดนครสวรรค์ โดยทำเป้นถนนลูกรังแล้วมอบให้ทางราชการดำเนินการต่อไปจนสำเร็จเรียบร้อย
    พ.ศ. 2512 อุปภัมภ์การก่อสร้างวัดบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน
    พ.ศ. 2516 จัดสร้างสถานีอนามัยประจำตำบลบ้านแก่ง
    พ. ศ. 2518 จัดสร้างโรงเรียนมัธยมชัชวลิตวิทยาประจำตำบลบ้านแก่ง อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ โดยการบริจาคที่ดินของตระกูลหลวงปู่ และได้จัดซื้อจนครบ 35 ไร่
    พ.ศ. 2526 จัดตั้งศูนย์พัฒนาอบรมเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียนที่ตำบลบ้านแก่ง
    จังหวัดนครสวรรค์
    พ. ศ. 2527 อุปถัมภ์การก่อสร้างวัดเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ วัดมะเกลือ อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ วัดวิชมัยปุญญาราม เขาค้อ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์
    พ.ศ. 2530 จัดตั้งบุญนิธิพุทธเมตตา (เพื่อการศึกษา แบละอาหารกลางวันเด็กนักเรียนยากจน) โครงการนี้จัดดำเนินงานมาตั้งแต่ พ.ศ. 2522 มีเด็กนักเรียนอยู่ในความอุปถัมภ์ 400 คนทุกปี แต่เพิ่งมาจัดตั้งถาวรเมื่อ พ.ศ. 2530
    พ.ศ. 2531 อุปถัมภ์การก่อสร้างวัดแคโรไลนาพุทธจักรวนาราม รัฐแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา ร่วมกับท่านเจ้าคุณพระธรรมดิลก วัดบวรนิเวศวิหาร
    พ. ศ. 2536 จัดสร้างกุฏิสงฆ์ที่วัดดวงแขเป็นอาคารทรงไทยสูง 4 ชั้น กว้าง 9 เมตร ยาว 26 เมตร ราคาค่าก่อสร้าง 7,500,000.00 บาท และสั่งให้บูรณะพระอุโบสถวัดดวงแขอีก โดยให้ใช้งบประมาณจากวัตถุมงคลของหลวงปู่ที่มีอยู่มาเป็นปัจจัยในการบูรณะจะ ต้องใช้เงินประมาณ 10 ล้านบาท
    [​IMG]
    นอก จากนี้ยังมีวัตถุต่าง ๆ สถานที่ราชการต่าง ๆ มาขอความช่วยเหลือ ซึ่งหลวงปู่ก็ให้ความช่วยเหลือไปทุกราย ไม่สามารถที่จะบันทึกเอาไว้ได้ เพราะหลวงปู่สั่งห้ามบันทึกให้ถือว่าหลวงปู่ทำบุญส่วนตัว การให้ทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนหลวงปู่จะจัดทุนให้ทุนละ 500 บาทต่อคน เด็กที่อยู่ในความอุปการะของหลวงปู่มี 400 คนแต่ละปีหลวงปู่จะต้องใช้เงินในการนี้ถึงปีละ 200,000.00 บาท โดยเป็นเงินที่มีคนมานิมนต์หลวงปู่แล้วถวายหลวงปู่มาไม่ว่าจะเป็นงานอะไร เมื่อมีคนถวายมาหลวงปู่สั่งให้เก็บไว้ให้เด็กนักเรียน หลวงปู่ถือว่าเด็กเหล่านี้คือลูกของหลวงปู่ทุกคน ต่อมาหลวงปู่ไม่มีเงิน คณะศิษย์จึงได้พร้อมใจกันจัดตั้งเป็นบุญนิธิถวายหลวงปู่ โดยได้ช่วยเหลือกันมากบ้างน้อยบ้างเมื่อ พ.ศ. 2530 หลวงปู่ได้ตั้งชื่อบุญนินี้ว่า บุญนิธิพุทธเมตตา มีนายนิพนธ์ คันทรง ไวยาวัจกรวัดดวงแขและสมาชิกสภาเขตปทุมวันเป็นประธานกรรมการ สามารถช่วยเหลือเด็กนักเรียนมาโดยตลอด และหลวงปู่ยังให้จัดสร้างห้องแล็ปภาษาอังกฤษให้โรงเรียนวัดดวงแขอีก 1 ห้อง สิ้นเงิน 527,000.00 บาท เมื่อ พ.ศ. 2533

    งานหนังสือ

    [​IMG]
    หลวง ปู่ได้แต่งหนังสือเอาไว้ไม่มากนักเพราะต้องมาพัฒนาวัดเป็นเสียมาก เท่าที่จำได้มีอยู่ไม่เกิน 10 เรื่อง เช่นเรื่องค่าของคน เรื่องวิถีทางของคน เรื่องเด็กน้อย เรื่อง ค.ควาย และ ค. ฅน แต่น่าเสียดายเรื่องนี้ไม่มีการพิมพ์แพร่หลายออกมา เพราะช่างพิมพ์เอาเรื่องนี้จะไปตีพิมพ์ออกมาแต่ป่วยและเสียชีวิตไปต้นฉบับ เลยหายไปด้วย

    สมณศักดิ์

    พ.ศ. 2502 เป็นพระครูปลัดฐานานุกรมพระราชกวี วัดบวรนิเวศวิหาร
    พ.ศ. 2507 เป็นพระครูปลัดฐานานุกรมพระเทพวราภรณ์ วัดบวรนิเวศวิหาร
    พ.ศ. 2516 เป็นพระครูปลัดธรรมจริยวัฒน์ฐานานุกรมพระธรรมดิลก วัดบวรนิเวศวิหาร
    พ.ศ. 2532 เป็นพระครูปลัดสุวัฑฒนพรหมจริยคุณฐานานุกรมพระพรหมมุนี วัดบวรนิเวศวิหาร
    พ.ศ. 2536 เป็นพระราชาคณะที่พระวิมลธรรมภาณ

    หลวงปู่อาพาธ

    พ.ศ. 2524 หลวงปู่อาพาธด้วยโรคเบาหวาน ต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นเวลา ถึง 2 เดือน อาการจึงทุเลาลง จึงกลับวัดดวงแขได้
    [​IMG]
    ต่อ มาปี 2532 อาการโรคเบาหวานกำเริบขึ้นมาอีก เพราะหลวงปู่เดินบิณฑบาต ไปเหยียบเอาเศษเหล็ก จึงเกิดการอับเสบบวมแดง ที่นิ้วหัวแม่เท้าแล้วลามไปถึงหัวเข่าของหลวงปู่ หมดจึงมีความจำเป็น ต้องตัดนิ้วเท้าข้างซ้ายของหลวงปู่ออกทั้งหมด 5 นิ้ว
    ต่อมาปี 2535 เดือนมิถุนายน หลวงปู่มีอาการชัก จึงรีบนำส่งโรงพยาบาล หมอพบว่าหลวงปู่เป็นโรคเนื้องอกในสมอง จนกระทั่งถึงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2537 เวลา 4 ทุ่มตรง เป็นวันตรุษจีน หลวงปู่ก็ละสังขารไปด้วยอาการอันสงบ


    [​IMG]
    <table style="table-layout: fixed;" border="0" width="100%"><tbody><tr> <td colspan="2" class="smalltext" width="100%">
    </td> </tr><tr> <td class="smalltext" id="modified_6809" valign="bottom">
    </td> <td class="smalltext" align="right" valign="bottom">
    </td></tr></tbody></table>
    พระเครื่องของท่านบางส่วนครับ (ราคายังไม่แพง)

    ปิดตาพุทธเมตตา หล่อโบราณ ปี 36

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ขอขอบคุณ คุณthee แห่ง
    เชียงใหม่ - หน้าแรก
    ผู้ที่รวบรวมเรื่องของท่านครับ

     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ปลูกต้นไม้

    <!-- Main -->[SIZE=-1]มีคนมากมายที่อยากประสบความสำเร็จ จึงอยากจะฝากแนวคิดนี้ไว้ เพื่อเป็นแนวทาง ก้าวต่อไป...


    ไม่ใช่เรื่องง่าย และมันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกเช่นกันที่เราจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกับคนอื่น เราจึงต้องเรียนรู้ให้ลึกในทุกๆด้าน ไม่เว้นแม้แต่การพัฒนาจิตใจและความคิดของตนเองเสียใหม่ และทำตัวเป็นน้ำพร่องแก้วอยู่ตลอดเวลา ด้วยการเพิ่มเติมสิ่งที่ยังไม่รู้ เข้า ไปในแก้วน้ำแห่งตน แม้จะเป็นความรู้ระดับ 1 ก็ต้องเริ่มต้นนับกันใหม่โดยไม่ย่อท้อ และไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร หรือเดินตามรอยเท้ารุ่นพี่ทุกฝีก้าว...


    [/SIZE]
    [SIZE=-1]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG][/SIZE]​
    [SIZE=-1]

    [/SIZE][SIZE=-1] เมื่อมีก้าวแรก ถึงจะมีทุกก้าวที่ก้าวตามมา

    เช่นเดียวกับ แรกเริ่มแห่งความมุ่งมั่น ย่อมนำมาซึ่งความสำเร็จ..

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=punfun&month=25-08-2009&group=3&gblog=1
    [/SIZE]
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    <!-- Main -->แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป

    พิษณุ นิลกลัด

    สัปดาห์ สุดท้ายของปี 2548 ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามา ยาวนาน 30 ปี ไม่ใช่ญาติ แต่สนิทนักรักใคร่เสมือนญาติ ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า สวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้ เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา งานสวด 3 คืนมีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คนคือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผมซึ่งเป็นคน นอก เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน สามคนที่เพิ่มเป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น คนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงินงวดละสองใบคนหนึ่ง และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น ทั้งสามคนบอกว่าเกือบมาไม่ทันเผา เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน หลังฌาปนกิจพระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัดว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระ อภิธรรมแล้วหรือยัง พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก

    จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์ ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย แต่ด้วยความที่รักและศรัทธา อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน - แม้กระทั่งวันตาย ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้ เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตาและให้ความเมตตา การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปีทำให้ได้แง่คิดดีๆมาใช้ในการ ดำรงชีวิต

    วันหนึ่งเขารู้ว่าขโมยยก ชุดกอล์ฟของผมไปสองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท เขาปลอบใจผมว่า 'ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมียครอบครัวเขา คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์' เขามีวิธีคิด 'เท่ๆ' แบบผมคิดไม่ได้มากมาย เป็นต้นว่าสุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข ช่วงปีสุดท้ายของชีวิตเขาต่อสู้กับโรคชรา เบา หวาน หัวใจ ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5 เปอร์เซ็นต์โดยไม่ปริปากบ่น แถมยัง สามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์โดยที่ตัวเองต้องหิ้วถุง ปัสสาวะ ไปด้วยตลอดเวลา เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้

    6 เดือนสุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวันนอนบ้านสี่วันสลับกันไป เวลาลูกหลาน หรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที แต่ 10 นาที ที่พูดมีแต่เรื่องสนุกสนาน เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไป เยี่ยมไข้ ทุกคนพูดตรงกันว่า 'คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย ตลกเหมือนเดิม' พอแขกกลับ ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก เขาตอบว่า 'ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก' เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่ บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้านเพราะยังคุย ไม่จบเรื่อง แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์

    4 เดือนสุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนกแนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรงแล้วค่อย กลับบ้าน แต่อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่าขอกลับบ้าน หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า 'ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง คุณหมอไม่รู้หรอกว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร เพราะ พอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน' หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง

    1 เดือนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก เวลาลูก เมียพูดคุยด้วยต้องบอกว่า 'ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที' เขากะพริบตาสองทีทุกครั้ง ! เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย เขายังรับรู้ แต่พูดไม่ได้ นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า 'พ่อสู้นะ' เขาไม่กะพริบตาซะแล้วทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า 'สู้' เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค สู้ชนิดที่หมอออกปากว่า 'คุณลุงแกสู้จริงๆ' ตอนที่วางดอกไม้จันทน์ ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า 'โรคภัยมันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย'

    'แง่ คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป' สอนให้เรารู้ว่า... เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์ และมันสมองมหัศจรรย์ ที่จะสามารถเรียนรู้ แยกแยะเรื่องดีๆและสิ่งร้ายๆในชีวิต!จงใช้โอกาสดีๆที่ร่างกายและจิตใจของเรา ยังทำอะไรๆได้อย่างที่สมองสั่งจงเรียนรู้ และสร้างประโยชน์สุข ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ หากทุกๆครั้งที่เรียนรู้ เราล้ม เราพลาด... อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที .....แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม :)

    group=2&gblog=92]Bloggang.com : hoshikung1 :
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2009
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    เข้าวัดให้เป็น..


    [​IMG]<!-- Main -->
    [SIZE=-1]
    ถ้า หากเราไม่คิดทำความเข้าใจกับตัวเอง ไม่สนใจว่าชีวิตมันคืออะไรกันแน่ ไม่อยากพัฒนาตน การเข้าวัดก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนคนไม่สบายไปรพ. เพื่อบริจาคทรัพย์บำรุงรพ.โดยไม่คิดรักษาโรคของตัวเอ ง เพราะยังไม่เจ็บมากก็เลยเสียดายเวลา โรคของเราคือความทุกข์ สาเหตุสำคัญคือการไม่รู้จักตัวเองก็ถูกหลอกง่าย พร้อมที่จะตกเป็นเหยื่อของสิ่งมายาทั้งหลายอยู่เสมอ มัวแต่ดิ้นรนเพื่อจะได้สิ่งที่ชอบและเลี่ยงสิ่งที่ไม ่ชอบอยู่เสมอ เชื่องมงายในร่างกาย และจิตใจว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็ย่อมไม่เห็นความไม่เที่ยง และความไม่มีเจ้าของของชีวิต

    การปฎิบัต ิธรรมเท่านั้น ที่จะช่วยให้เราเป็นอิสระจากกิเลสได้ การทำบุญอย่างเดียวไม่ปฎิบัติถึงจะทำให้มีสิ่งยึดเหน ี่ยวอยู่ในใจบ้าง แต่มันไม่มั่นคง ลึกๆแล้วเราจะยังคงอยู่ในสภาพเดิม คือเคว้งคว้างอยู่เหมือนเรือเล็กๆ กลางทะเลอันกว้างใหญ่ มีเข็มทิศก็ใช้ไม่ค่อยเป็น มีสมอก็ไม่รู้จักทอด เอาแต่ประดับประดาเรือก่อนอับปาง ชาวพุทธเราควรสนใจวิธีอุดรู วิธีวิดน้ำบ้าง จะได้เอาตัวรอดได้ หากไม่สนใจศึกษาเรื่องตัวเอง เข้าวัดแล้วสักแต่ว่าไหว้พระพอเป็นพิธี ทำบุญบำรุงวัดตามประเพณี แล้วออกไปชมต้นไม้บ้างก่อนกลับ ไม่ใช้ว่าไม่ดี ดีอยู่หรอก แต่ยังดีไม่พอ ศาสนา ธรรมะเป็นสิ่งที่ต้องน้อมเข้ามาเป็นเครื่องชำระ
    วัดอยู่ได้เพราะ น้ำใจของญาติโยม ลูกศิษย์หลวงพ่อชารังเกลียดการเรี่ยไรที่สุด จึงอยู่ได้ด้วยศรัทธาของญาติโยมโดยแท้ การช่วยทางปัจจัยสี่สำคัญเหมือนกัน แต่พระที่ดีท่านไม่ยินดีในเรื่องนี้ สิ่งที่ท่านยินดีที่สุด ชอบที่สุด คือการเห็นผู้ครองเรือนตั้งใจปฏิบัติธรรม

    ไปวัด ไม่ว่าเพื่อทำบุญสุนทาน ไหว้พระ กราบนมัสการครูบาอาจารย์ หรือไปจำศีลปฏิบัติธรรม พยายามระลึกอยู่เสมอว่าจุดประสงค์ของเรา ควรอยู่ที่ความดีความสงบและปัญญา ระวังอย่าวุ่นบุญก็แล้วกัน หรือร้ายกว่านั้น อย่านั่งในโรงครัวทานอาหารคุยเรื่องทางโลก วิจารณ์เรื่องการบ้านการเมือง พรรคไหนดี พรรคไหนเลว หรือนินทาลูกเขยลูกสะใภ้ อย่าคุยในเรื่องใดที่เพิ่มกิเลสในใจทั้งของผู้พูดและ ผู้ฟัง หรือพูดให้ชาววัดแตกแยกกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็น่าเสียดายเวลาที่สละเข้าวัด เรียกว่าเข้าวัดแต่ไม่ถึงวัด ฉะนั้นมาถึงที่ร่มเย็นอย่าให้มันร้อน ต้องฝึกให้เย็นสิ ตัวเราจึงจะเหมาะกับสถานที่ ให้น้อมนำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาสู่ใจเรา สำรวมกาย วาจา ใจ หาอุบายแก้ข้อบกพร่องที่อยู่ในใจ เสริมสร้างสิ่งที่ดีงามอย่างนี้คือการเข้าวัดที่เข้า ท่า ได้ทั้งวัตรปฏิบัติ ได้ทั้งเครื่องวัดตัวเอง

    ในพระพุทธศาสนา วัดป็นสถานที่สำคัญ แต่ศาสนาที่แท้ไม่ติดอยู่ที่สถานที่ ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัด ไม่ได้อยู่ที่ตู้พระไตรปิฎก ไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่ที่เรา อยู่ที่เราแต่ละคน แผ่นดินไหว หรือผู้ก่อการร้ายบุกเข้ามาวางระเบิดหน้าพระประธานวั ดป่านานาชาติ จนวัดเหลือแต่หลุมลึก ผู้ที่ยังเหลืออยู่ ต้องอดทน อย่าพึ่งโกรธ ศาสนาก็ไม่ได้สูญหายไปกับวัตถุ ชาวพุทธเราควรสร้างวัดให้พอดีแก่กิจของสงฆ์ และช่วยท่านรักษาสิ่งที่สร้างแล้วอย่างดี แต่อย่าพึงลืมว่าวัดเป็นแค่สิ่งที่เอื้อต่อการศึกษาแ ละปฏิบัติธรรม การสร้างศาสนวัตถุก็ได้บุญอยู่หรอก ได้บุญเยอะ แต่ยังไม่ใช่บุญชั้นเยี่ยมคือการสงบจากกิเลส ยังไม่ถึงสิ่งสูงสุดที่เราควรได้รับจากการเป็นชาวพุท ธวัตถุเป็นฐานของการเข้าถึงแก่นแท้ของพระศาสนา
    [/SIZE]
     
  5. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันนี้ เวลา 16.10 น. ผมได้โอนเงินร่วมทำบุญฯ
    จำนวน 200.- บาท ขอโมทนาบุญกับทุกท่านครับ
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105



    [​IMG]


    ถ้าอยากให้จิตใจได้พานพบกับความโปร่งเบาแจ่มใส
    ก็เพียงแต่ลองทวนกระแสความคิดดูบ้าง
    เวลาใจเผลอฟุ้งซ่านไป ก็ให้ดึงกลับมาอยู่กับตัวเอง

    เสน่ห์อย่างหนึ่งของการท่องป่า ได้แก่ การเดินขึ้นไปตามลำน้ำ ยิ่งขึ้นไปไกลเท่าไร ป่าก็ยิ่งเขียวครึ้มและร่มเย็น
    นกและสัตว์ป่านานาชนิดมาแวะเวียนให้เห็นมากขึ้น
    ขณะที่เสียงร้องก็ยิ่งดังชัดเจนจนก้องกังวานไปทั้งไพร

    ถ้าขยันเดินเป็นวันๆ จะพบว่าน้ำในลำธารใสขึ้นเรื่อยๆ
    และเปี่ยมด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
    บางช่วงก็คึกคัก โดยเฉพาะเมื่อไหลผ่านเกาะแก่ง
    บางช่วงก็ผ่อนคลายเหมือนคนเจนโลก

    ความบริสุทธิ์สดใสของป่าเขาลำเนาไพรจะปรากฏชัดเจนขึ้น ก็ต่อเมื่อเราเดินสวนทางกับกระแสน้ำ
    ตรงกันข้ามถ้าเราเดินล่องไปตามลำน้ำเรื่อยๆ ป่าจะยิ่งหดหาย อากาศจะร้อนขึ้น น้ำจะเริ่มขุ่น และมีขยะรกหูรกตามากขึ้น ป่าเขาลำเนาไพรกับจิตใจของเราดูจะไม่ต่างกันในแง่นี้

    ยิ่งเราทวนกระแสความคิดและกิเลสตัณหาของเรามากเท่าไร จิตใจก็ยิ่งสงบเย็น โปร่งเบา
    เพราะได้สัมผัสกับความสุขภายใน
    ซึ่งเปรียบเสมือนน้ำใสที่หล่อเลี้ยงจิตใจ

    การเดินล่องตามลำน้ำ มักจะเป็นการเดินจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ
    จึงไม่ค่อยเหนื่อยแรงฉันใด การตามกระแสความคิดและกิเลสตัณหาก็เป็นเรื่องง่าย ฉันนั้น

    แต่บ่อยครั้งก็นำพาปัญหาต่างๆ มาสู่ชีวิตจิตใจจนหม่นหมองหนักอึ้งไปด้วยความทุกข์

    เพียงแค่ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความคิด จิตใจก็ฟุ้งซ่านวุ่นวายไปได้ง่ายๆ เพราะถูกลากถูลู่ถูกังไปด้วยเรื่องราวร้อยแปด

    ถ้าเป็นเรื่องฝันเฟื่องสนุกสนานก็แล้วไป แต่ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งมันกลับเป็นเรื่องวิตกกังวล โกรธแค้น ขุ่นเคือง ทั้งๆ ที่ผ่านไปแล้ว

    บางเรื่องแม้ไม่แน่ใจว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต
    แต่เรากลับยอมปล่อยให้มันพาจิตใจไปจนกู่ไม่กลับ

    การปล่อยใจไปตามกระแสความคิด
    มักทำให้จิตใจเต็มไปด้วยขยะหรือมลพิษ อันได้แก่
    ความขุ่นข้องหมองใจ วิตกกังวล ขึ้งเคียดชิงชัง

    ยังไม่ต้องพูดถึงการปล่อยชีวิตจิตใจไปตามกระแสกิเลสตัณหา ซึ่งทำให้จิตใจเร่าร้อนด้วยความอยาก
    เหนื่อยล้า เพราะต้องแข่งขันไม่หยุดหย่อน
    และโกรธแค้นที่ไม่ได้สมอยาก

    ถ้าอยากให้จิตใจได้พานพบกับความโปร่งเบาแจ่มใส
    ก็ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนดอก เพียงแต่ลองทวนกระแสความคิดดูบ้าง เวลาใจเผลอฟุ้งซ่านไป ก็ให้ดึงกลับมาอยู่กับตัวเอง

    ถ้าตอนนั้นกำลังทำอะไรอยู่ ก็ให้ใจมาจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น
    แม้สิ่งนั้นจะเป็นแค่กิจวัตรประจำวัน เช่น
    กินข้าว ถูฟัน ทำครัว ล้างจาน ซักผ้า
    ก็อย่ารังเกียจว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ

    หากควรพยายามใส่ใจลงไปในสิ่งนั้นให้ต่อเนื่อง
    แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรอยู่ก็ลองดึงใจมาอยู่ที่ลมหายใจ
    หรือคลึงนิ้วเพื่อเป็นหลักให้จิตมาเกาะ
    จะได้ไม่เถลไถลจนฟุ้งซ่านวุ่นวาย

    การทำเช่นนี้บ่อยๆ จนเป็นนิสัย
    ช่วยให้จิตใจว่างจากความคิดและกิเลสตัณหาได้มากขึ้น
    จึงผ่อนคลายและโปร่งเบา ใจเราจะสงบได้มากขึ้น

    สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความสงบก็คือความสุข
    ช่วยหล่อเลี้ยงจิตใจให้ชุ่มชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ

    ดังน้ำใสกลางใจเรา
    ยิ่งเราทวนกระแสความคิดและกิเลสตัณหามากเท่าไร
    ความสุขก็ยิ่งประณีตประหนึ่งลำธารกลางป่าที่ใสขึ้นเรื่อยๆ

    นักเดินป่าที่เพียรพยายามฟันฝ่าไปถึงต้นน้ำ
    ย่อมพบกับแหล่งน้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้งและใสจนดื่มกินได้ฉันใด

    ผู้ที่ทวนกระแสของจิตใจ
    ในที่สุดย่อมพบกับต้นธารแห่งความสุขภายในอันบริสุทธิ์และไม่มีวันหมดสิ้นฉันนั้น
    เป็นความสุขอันเป็นผลมาจากความว่างแห่งกิเลสตัณหาอย่างสิ้นเชิง

    ถึงคุณไม่คิดใฝ่ฝันจะไปให้ถึงต้นธาร
    แต่จะไม่ลองเดินทางไปสัมผัสกับน้ำใสกลางไพรบ้างหรือไร

    ถึงจะยากลำบากสักหน่อย
    แต่ก็ยังดีกว่าทนอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยมลพิษและน้ำเน่าชั่วนาตาปีมิใช่หรือ

    ______________________________
    จาก ธารน้ำใสกลางใจ โดย รินใจ


    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?t=25299
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    การสวดภาวนา...พลังพิเศษในตัวคุณ



    [​IMG]

    การ สวดมนต์ทำให้เกิดเป็น "พลังงาน" ที่สามารถวัดค่าออกมาได้จริง และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ การสวดมนต์ที่ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพนั้นไม่จำเป็นต้องมาจาก "ผู้มีพลังพิเศษ" หากแต่สามารถเกิดผลขึ้นได้จากปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ นี้เอง



    คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ
    โดย น.พ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย drwithan@hotmail.com

    ผม ได้เขียนถึงเรื่อง "การสวดมนต์" มาสองครั้งแล้วในคอลัมน์นี้ ด้วยเหตุว่ายังมีเรื่องราวของการสวดมนต์ที่คิดว่าน่าสนใจอีกหลายประเด็น อีกทั้งมีท่านผู้อ่านให้การตอบรับค่อนข้างมากมายก็เลยขอเขียนเรื่องนี้ต่อ อีกเพื่อให้ข้อมูลที่เป็นประโยช น์และเพื่อความเข้าใจบางประเด็นที่ผมเกรงว่าอาจจะเบี่ยงเบนไปบ้าง และสิ่งที่ผมอยากจะขอย้ำเตือนในเรื่องของการสวดมนต์สองสามข้อก็คือ



    หนึ่ง ผมต้องการทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านในประเด็นเหล่านี้ โดยอาศัยการอธิบายทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมดของเรื่องจิตใจที่มีความสำคัญยิ่งต่อวิถีชีวิตของ พวกเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ ที่กำลังจะ "ต้องมี" "วิวัฒนาการทางจิตใจ" ด้วยเพื่อก้าวข้ามไปสู่และสามารถใช้ชีวิตดำรงอยู่ "ยุคใหม่" ได้อย่างมีความสุข

    สอง ผมยืนยันว่าการสวดมนต์เป็นเพียง "อุบาย" หนึ่ง เป็นวิธีการหนึ่งในหลายๆ อุบายในหลายๆ วิธีการที่จะนำพวกเราไปสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ตามที่เคยเขียนถึงวิธีการอื่นๆ ในครั้งก่อนๆ มาแล้ว มิได้มีความต้องการให้เห็นลงลึกเกินไปหรือยึดติดเกินไปกับเรื่อง "การสวดมนต์" หรือแม้แต่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ได้นำเสนอมา

    เพราะ วิธีการที่นำเสนอในแต่ละตอนของคอลัมน์นี้ ก็เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในหลายๆ วิธีการ เพราะ "อุบาย" ในการที่นำให้แต่ละท่านเข้าไปสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" นั้นอาจจะไม่เหมือนกัน ความชอบของแต่ละท่านอาจจะไม่เหมือนกัน ไม่มีสูตรตายตัว ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวใดๆ

    แม้แต่ว่าจะสวดบทไหนตอนไหน อยากให้ลองทำและเลือกสรรเอง ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการลองทำจะบอกเองว่าวิธีการนี้ดีกับตัวเรา เหมาะสมกับตัวเราหรือไม่

    สาม ผลของการสวดมนต์นั้นมิได้เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวว่าจะต้องเกิดขึ้นจริงเสมอๆ ด้วยการคิดที่เคยชินของพวกเราแบบลูกสนุกเกอร์สองลูกที่วิ่งชนกันในทิศทาง หนึ่งที่แน่นอนด้วยแรงหนึ่ง ที่เท่าเดิมเสมอแล้วจะเกิดผลแบบนั้นทุกครั้ง

    หาก แต่พวกเราจะต้องมอง "ผลของการสวดมนต์" ในมิติของควอนตัมฟิสิกส์ด้วยว่า มันอาจจะเกิดผลแบบใดก็ได้ เหมือนอย่างอิเล็กตรอนที่อาจจะเป็นสสาร อาจจะเป็นพลังงาน มิใช่ว่าจะต้องเกิดผลจริงทุกครั้ง คือมีมิติของความไม่แน่นอนด้วยเสมอ (ตามหลักความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก Heisenberg"s Uncertainty)

    ข้อมูลในเรื่องการสวดมนต์นั้นไม่ได้จบ เพียงแค่งานของคุณหมออลิซาเบธ ทาร์ก (Elisabeth targ.M.D.) ตามที่ผมได้เขียนถึงไว้ในตอนที่สองเท่านั้น หากแต่ยังมีงานวิจัยของสถาบัน MAHI (Mid-American Heart Institute) ที่ยังน่าสนใจมากก็คือ

    ในเวลา ที่ไล่เลี่ยกับที่คุณหมอทาร์กได้ทำวิจัยเรื่องการสวดมนต์นั้น ในปี 1999 นี้เองทางสถาบัน MAHI ก็ได้ทำงานวิจัยในรูปแบบที่คล้ายๆ กันขึ้นมาด้วยเช่นกัน แต่มีแตกต่างกันและน่าสนใจมากก็คือ

    งานวิจัย ของสถาบัน MAHI นั้นผู้สวดมนต์มิได้เป็น "ผู้มีพลังพิเศษ" เหมือนอย่างที่ในงานวิจัยของคุณหมอทาร์กได้ทำ แต่เป็นบุคคลธรรมดาทั่วไปอย่างเราๆ ท่านๆ นี้เอง เพียงแต่ขอให้มีความเชื่ออยู่บ้างในเรื่องของพลังอำนาจพิเศษที่ว่านี้ก็พอ

    บาง ส่วนของผู้สวดมนต์ก็เป็นเพียงพยาบาลที่ทำงานในสังกัด ผลการศึกษาวิจัยก็ออกมาเป็นที่น่าทึ่งมากว่า ในเวลา 12 เดือนของการศึกษาผู้ป่วยโรคหัวใจในหอผู้ป่วยหนัก (CCU)

    การสวดมนต์ โดยบุคคลธรรมดาแบบเราๆ ท่านๆ นี้ก็สามารถทำให้เกิดผลดีต่อการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยเช่นกัน โดยที่อาการต่างๆ ของผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับการสวดมนต์ให้นั้นมีอาการลดลงมากกว่า 10%

    ทั้ง นี้การประเมินผลเหล่านี้เป็นการประเมินผลจากอายุรแพทย์โรคหัวใจที่มีความ เชี่ยวชาญที่สุดของ MAHI จำนวน 3 ท่าน และการศึกษาเรื่องนี้ของสถาบัน MAHI ได้มีการควบคุมการวิจัยคล้ายกับของคุณหมออลิซาเบธ ทาร์ก ด้วยเพื่อเป็นการตัดความเป็นไปได้เรื่องผลทางจิตวิทยา คือ คณะแพทย์ในสถาบันไม่ทราบว่า คนไข้คนไหนเป็นผู้ถูกสวดมนต์ และคนไข้ทุกคนก็ไม่ทราบว่าจะมีกา รทำวิจัยเรื่องนี้ตลอดการวิจัย

    ผม คิดว่างานทดลองของสถาบัน MAHI ชิ้นนี้จะช่วยทำให้ท่านผู้อ่านเกิดความมั่นใจได้และสามารถนำการสวดมนต์มา ประยุกต์ในชีวิตประจำวันไ ด้จริงๆ เพราะผลการทดลองก็ชี้ชัดว่า

    ผู้ ที่สวดมนต์ให้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นผู้มีพลังอำนาจพิเศษอย่างที่เคยเข้าใจ พูดในอีกนัยหนึ่งก็คือ "พวกเราทุกคน" ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีพลังอำนาจพิเศษกันทั้งนั้น เพียงแต่พวกเราไม่เคยลองใช้ ไม่เชื่อที่จะใช้ ไม่เชื่อที่จะลองทำต่างหาก

    ซึ่ง ตรงนี้จะช่วยให้พวกเราสามารถนำเรื่องการสวดมนต์มาใช้งานได้อย่างจริงๆ จังๆ เสียทีและอาจจะมีประโยชน์ในอีกเรื่องหนึ่งตรงที่อาจจะช่วยให้พวกเราได้หลุด พ้นไปจาก "กรณีมิจฉาชีพ" ต่างๆ ที่อ้างเรื่องความวิเศษพิสดารตามที่คนไทยโดยทั่วไปมักจะตกเป็น "เหยื่อ" ได้อย่างง่ายๆ โดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

    นอกจากนี้ในปี 1991 ยังมีงานทดลองอีกชิ้นหนึ่งที่ช่วยอธิบายเรื่อง "คลื่นพลังงาน" ที่เกิดจากการสวดมนต์นั้นสามารถเดินทางออกจากตัวผู้สวดและออกไป "ก่อผลหรือเกิดผลดี" ภายนอกร่างกายได้

    และผมคิดว่าอาจจะนำมาอธิบาย ถึงสาเหตุที่ทำให้การสวดมนต์นั้นเกิดผลดีต่อสุขภาพของมนุษย์ได้ ก็คืองานวิจัยที่เรียกว่าโครงการกำแพงทองแดง (Copper Wall Project) ของนักวิจัยที่ชื่อเอลเมอร์ กรีน (Elmer Green,Ph.D.) ซึ่งได้ทำการทดลองมาตั้งแต่ช่วงปี 1983 โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจจากข้อมูลเรื่องการฝึกสมาธิของพระชาวทิเบตที่ให้ลูก ศิษย์นั่งหันหน้าเข้าหา กำแพงเรียบ

    การทดลองครั้งนี้ได้นำ "ผู้มีพลังพิเศษ" มาอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมซึ่งผนังทุกด้านนั้นสร้างขึ้นด้วยทองแดง ซึ่งทองแดงนี้จะเป็นตัวกันคลื่นพลังงานจากภายนอกทั้งหมดที่จะมามีผลต่อภายใน ห้องที่มี "ผู้มีพลังพิเศษ" ทำการนั่งสมาธิอยู่เป็นเวลานานครั้งละ 45 นาที ทำการทดลองทั้งหมด 600 ครั้ง

    การวัดกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นวัดด้วย เครื่องวัดกระแสไฟฟ้าแบบพิเศษที่ติดไว้ที่ผนังห้องทั้งสี่ด้านและที่ติด กับตัวของ "ผู้มีพลังพิเศษ" เอง โดยที่กระแสไฟฟ้าที่วัดได้นี้เกิดขึ้นได้โดยไม่มีการเคลื่อนไหวของตัว "ผู้มีพลังพิเศษ" เลย พบว่า

    "ผู้มีพลังพิเศษ" นี้สามารถสร้างให้เกิดกระแสไฟฟ้าที่วัดได้ตั้งแต่ 4-221 โวลต์ในขณะที่เขาถูกขอให้เข้าสู่ "สภาวะ" หนึ่งที่ใช้ในการเยียวยาคนไข้ กระแสไฟฟ้าที่วัดได้นี้มีค่ามากกว่ากระแสไฟฟ้าที่วัดได้จากคลื่นไฟฟ้าจาก หัวใจ (ECG) 10,000 เท่า และมากกว่ากระแสไฟฟ้าที่วัดได้จากคลื่นไฟฟ้าจากสมอง (EEC) 100,000 เท่า

    ยัง มีความน่าแปลกในอีกประเด็นที่เกี่ยวข้องกันกับเรื่องนี้ก็คือวิลเลียม ทิลเลอร์ (William Tiller, Ph.D.) ซึ่งเป็นนักฟิสิกส์ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์เรื่องคลื่นในโครงการนี้พบว่า

    "ตัว ให้กำเนิดพลังงานไฟฟ้า" หรือ "แหล่งพลังงาน" ที่ว่านี้มาจากส่วนหนึ่งของร่างกายของผู้มีพลังงานพิเศษและส่วนของร่างกาย ที่ว่านี้คือ "บริเวณท้องน้อย" ซึ่งไปตรงกับจุดตันเถียนล่างในศาสตร์ของซี่กงนั่นเอง (ในแนวคิดของซี่กงร่างกายมีตันเถียนสามจุดที่เป็นแหล่งของพลังงานซี่ (Chi) คือท้องน้อย หัวใจ และตาที่สาม)

    งานวิจัยทั้งสองชิ้นนี้ พอจะสรุปได้ว่าการสวดมนต์ทำให้เกิดเป็น "พลังงาน" ที่สามารถวัดค่าออกมาได้จริง และสิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ

    การ สวดมนต์ที่ทำให้เกิดผลดีต่อสุขภาพนั้นไม่จำเป็นต้องมาจาก "ผู้มีพลังพิเศษ" หากแต่สามารถเกิดผลขึ้นได้จากปุถุชนธรรมดาอย่างเราๆ ท่านๆ นี้เอง

    --------------------------------------------------------------------------------
    มติชน วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9578

    <!-- e --><!-- e -->
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    สงสารท่านจัง นำไปประมูลแค่เนี๊ยะ...


    <table class="bodystyle" border="1" bordercolor="#333366" cellpadding="2" cellspacing="1" width="598"><tbody><tr height="18"><td colspan="2" bgcolor="#26273c" valign="top" width="496">หลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า พิมพ์อรหันต์น้อยสวยๆสักองค์</td> </tr> <tr height="18"> <td align="middle" bgcolor="#003399" valign="top" width="85">รายละเอียด :</td> <td colspan="2" align="center" bgcolor="#26273c" valign="top"> [​IMG]
    กรุวังหน้าถือเป็นสุดยอดของหลวงปู่เทพโลกอุดร
    ตามประวัติท่านในหนังสือโลกทิพย์
    ์กรมหลวงวังหน้าในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้นิมนต์หลวงปู่เทพโลกอุดรซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่าน
    ให้เมตตาอธิษฐานจิตพระเครื่องให้สักครั้งหนึ่งเพื่อเป็นของวิเศษให้
    เหล่าทหารและข้าราชบริพานและประชาชนทั่วไปได้มีไว้ติดตัว
    คุ้มครองป้องกันภัย เพราะสมเด็จวังหน้าท่านทราบดีว่าพระอาจารย์
    ของท่านนี้มีพลังกระแสจิตที่บริสุทธิ์และวัตถุมงคลที่พระอาจารย์
    อธิษฐานจิตให้นี้เป็นต้องของวิเศษที่มีพลังมาก ด้วยความเมตตาลูกศิษย์
    หลวงปู่ใหญ่ท่านจึงอนุญาตและกล่าวให้จัดพิมพ์พระให้มากที่สุดเพราะจะ
    อธิษฐานจิตพระพิมพ์ต่างๆนี้ให้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
    สมเด็จวังหน้าท่านจึงมีคำสั่งให้เหล่าช่างสิบหมู่ในวังจัดทำพิมพ์พระขึ้นมา
    เป็นจำนวนมากมีหลากหลายพิมพ์มากมายบางพิมพ์ล้อพิมพ์จากพระเครื่อง
    ของพระเกจิดังๆในสมัยนั้นก็มีเพราะประหยัดเวลาในการแกะพิมพ์
    ได้พระเครื่องจำนวนมากมายจัดวางรวมกันกลางสนามกลางแจ้ง
    ได้ฤกษ์งามยามดีที่หลวงปู่โลกอุดรท่านกำหนด
    เป็นคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงหลวงปู่ท่านอธิษฐานจิตในคืนนั้น
    เพียงครั้งเดียวอย่างเต็มกำลัง

    พิมพ์อรหันต์น้อยนี้รูปทรงท่านนั้นมองดูแล้วเมตตาเหลือกำลัง
    พระพลังกระแสแรงมาก ครอบคลุมคุ้มครองบุคคลรอบข้างได้มากกว่าสามคน ป้องกันรังสี และโรคห่าตามตำราที่ท่านกล่าวมา

    เปิดที่ 1550บาท เพิ่มขั้นต่ำ 10บาท
    </td></tr></tbody></table>
    �š�ä����ٻ�Ҿ�� Google ����Ѻhttp://www.siamamulet.net/phpboard/boardimages/00226870.jpg
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ข่าวเครื่องรางของขลังในรอบเดือนสิงหาคมสำหรับผู้ที่ชอบ ลองคลิ๊กอ่านตามหัวข้อครับ (สำหรับบริการให้ความรู้เพียงอย่างเดียวตามประสาคอเดียวกันไม่เกี่ยวกับทุนนิธิฯ ครับผม)

    ข่าวเครื่องรางของขลัง
    ข่าวเครื่องรางของขลัง:ตามติดกระแส"พระเครื่อง เครื่องราง ของขลัง"และ วัตถุมงคลเสริมดวงชะตา วัตถุมงคลเครื่องรางของขลัง เป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน ข่าวเครื่องรางของขลัง สุดยอดของขลังประเภทต่างๆ เครื่องลาง ของขลังมีมากมายแตกต่างกันทั้งรูปแบบและพุทธคุณ สุดยอดเครื่องรางของขลังของไทยมีหลายประเภท
    <script type="text/javascript"><!-- google_ad_client = "pub-1590357468802909"; /* 468x60, ถูกสร้างขึ้นแล้ว 10/30/08 */ google_ad_slot = "2068694350"; google_ad_width = 468; google_ad_height = 60; //--> </script> <script type="text/javascript" src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js"> </script><script src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/expansion_embed.js"></script><script src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></script><script>google_protectAndRun("ads_core.google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</script><ins style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: inline-table; height: 60px; position: relative; visibility: visible; width: 468px;"><ins style="border: medium none ; margin: 0pt; padding: 0pt; display: block; height: 60px; position: relative; visibility: visible; width: 468px;"><iframe allowtransparency="true" hspace="0" id="google_ads_frame1" marginheight="0" marginwidth="0" name="google_ads_frame" src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/ads?client=ca-pub-1590357468802909&output=html&h=60&slotname=2068694350&w=468&lmt=1251641766&flash=10.0.32&url=http%3A%2F%2Fwww.tumsrivichai.com%2F%25E0%25B8%2582%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A7%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B7%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B8%2582%25E0%25B8%25A5%25E0%25B8%25B1%25E0%25B8%2587&ref=http%3A%2F%2Fwww.tumsrivichai.com%2F%25E0%25B8%25AA%25E0%25B8%25B2%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2584%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B7%25E0%25B9%2588%25E0%25B8%25AD%25E0%25B8%2587%25E0%25B9%2584%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%25A2&dt=1251641766894&correlator=1251641766898&jscb=1&frm=0&ga_vid=2071404311.1251641767&ga_sid=1251641767&ga_hid=1751930594&ga_fc=0&u_tz=60&u_his=19&u_java=1&u_h=1024&u_w=1280&u_ah=990&u_aw=1280&u_cd=32&u_nplug=13&u_nmime=60&biw=1256&bih=647&fu=0&ifi=1&dtd=86&xpc=Wa8pxPXhoq&p=http%3A//www.tumsrivichai.com" style="left: 0pt; position: absolute; top: 0pt;" vspace="0" frameborder="0" height="60" scrolling="no" width="468"></iframe></ins></ins>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">กุมารทอง หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน
    กุมารทอง หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน หลวง ปู่ขุ้ยได้สร้าง กุมารทอง รุ่น1 ท่ากวักเรียกเงินและกุมารทองแบมือรับทรัพย์ ทั้งขนาดบูชาและขนาดห้อยคอให้ลูกศิษย์ได้เอาไปใช้กัน หลวงปู่ขุ้ยสื่อญาณกุมารทองให้พ่อแม่ (หมายถึงคนเลี้ยงต้องตั้งชื่อให้ทุกตน) เครื่องรางของขลังที่กำลังมาแรง</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">เหรียญแสตมป์พระพรหม มหายันต์ วัดโบสถ์ดอนพรหม
    เหรียญแสตมป์พระพรหม มหายันต์ วัดโบสถ์ดอนพรหม พระ ครูสังฆรักษ์ธงชัย ชยธัมโม เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ดอนพรหม ได้จัดสร้างวัตถุมงคลเป็น เหรียญแสตมป์พระพรหม มหายันต์ ด้านล่างมีตัวหนังสือเขียนคำว่า ท้าวมหาพรหมธาดา
    </td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">ตะกรุดหญิงรักชายหลง หลวงพ่อจิ วัดหนองหว้า
    ตะกรุด หญิงรักชายหลง หลวงพ่อจิ วัดหนองหว้า ตะกรุดหญิงรักชายหลงจะจารด้วยมหายันต์ มหาเมตตา มหาโชคลาภ มหาป้องกัน มีนะสาลิกาลิ้นทอง ตัวผู้ตัวเมีย ตะกรุดหญิงรักชายหลงเป็นสุดยอดแห่งศาสตร์มหาเมตตามหาเสน่ห์ โชคลาภ</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">พรายวิฬาตาเพชร ลูกกรอกแมวดำ
    พราย วิฬาตาเพชร ลูกกรอกแมวดำ หลวงพ่อบุญเกิด วัดเขาดินสร้างและเสกเป็นกรณีพิเศษ บูชาไว้สู้กระแสเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง พรายวิฬาตาเพชร ลูกกรอกแมวดำ ท่านกำหนดของท่านเองว่าต้องเป็นแบบ มีตะกรุดลงด้วยธาตุทั้งสี่ (เฉพาะพิเศษ) ด้านหลังลงด้วยพระคาถาหัวใจสัตว์ กำกับด้วยนะหัวใจสัตว์ </td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">ตะกรุดพระเจ้า ๕ พระองค์ หลวงปู่เกิด ปัณฑิโต
    ตะกรุด พระเจ้า ๕ พระองค์ จัดสร้างจากแผ่นตะกั่วเก่าของ หลวงปู่เกิด ปัณฑิโตที่ได้เก็บไว้สำหรับจารตะกรุดให้ลูกศิษย์ในสมัยก่อน พระยันต์ใน"ตะกรุดพระเจ้า ๕ พระองค์"นี้เป็นยันต์ที่ไม่ใช่สูตรทางไสยศาสตร์ แต่เป็นปริศนาธรรมทางพุทธศาสตร์</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">ตะกรุดนาคเกี้ยวโลกันต์
    ตะกรุด นาคเกี้ยวโลกันต์ หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน ตะกรุดนาคเกี้ยวโลกันตร์มีอุปเท่ห์ในด้านคุ้มครองป้องกันภัย ท่านใช้วิชานาคเกี้ยวโลกันตร์ปลุกเสก ตะกรุดนาคเกี้ยวโลกันต์ มีขนาด 5 นิ้ว และเมื่อผู้บูชาให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">เหรียญนาคเกี้ยวโลกันตร์ หลวงพ่อบุญเกิด ปัญฑิโต วัดเขาดิน
    เหรียญ นาคเกี้ยวโลกันตร์ หลวงพ่อบุญเกิด ปัญฑิโต วัดเขาดิน จ.ชัยนาท พระครูอุดมชัยกิจ หรือ หลวงพ่อบุญเกิด ปัณฑิโต สร้างเหรียญนาคเกี้ยวโลกันตร์ มาจากนิมิตภาวนาของหลวงพ่อที่เทวดาชั้นจิตพรหมมาบอกให้สร้างเป็นพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ล้อมด้วยพญานาค ๒ ตน</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">พญาหมูมหาเฮง พระครูวิบูลย์ปัญญาวัฒน์
    พญา หมูมหาเฮง พระครูวิบูลย์ปัญญาวัฒน์ (หลวงพ่อผาด วัดบ้านกรวด) พญาหมูมหาเฮง พลิกฟื้นชะตาชีวิตจากร้ายกลายเป็นดี สมัยโบราณเชื่อกันว่าหมูเป็นเครื่องรางของขลังแห่งความสำเร็จความอุดม สมบูรณ์ </td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">ผ้ายันต์ มังคลานุสรณ์ สมโภชพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
    ผ้า ยันต์ มังคลานุสรณ์ สมโภชพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช พิธีใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งครั้งนั้น มีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังร่วมพิธีปลุกเสก ผ้ายันต์มังคลานุสรณ์จำนวนมาก โดยเฉพาะ"พ่อท่านเขียว อินทมุนี" วัดหรงบล จ.นครศรีธรรมราช</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">เจ้าเงาะป่าจินดามณี หลวงปู่แดง ดวงเศรษฐี วัดห้วยฉลอง
    เจ้า เงาะป่าจินดามณี หลวงปู่แดง ดวงเศรษฐี วัดห้วยฉลอง เครื่องรางของขลังที่ทำเป็นหน้ากาก เงาะป่าจินดามณีเรียกทรัพย์ และรูปหล่อเงาะป่าเป่ามนต์เรียกทรัพย์ แต่โบราณถือว่า ครูเงาะป่าเป็นครูที่แรงมาก รูปเงาะป่านั้นท่านว่านอกจากจะดีมากทางโชคลาภเมตตามหานิยมแล้ว
    </td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">กุมารทอง โคตรเฮี้ยนเรียกทรัพย์ ร่ำรวยสมบัติ [​IMG]
    กุมาร ทองโคตรเฮี้ยนเรียกทรัพย์ ร่ำรวยสมบัติ หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้ จ.บุรีรัมย์ได้สร้าง กุมารทอง โคตรเฮี้ยนเรียกทรัพย์ ร่ำรวยสมบัติ หลวงพ่อได้นำมวลสารอาถรรพณ์ อาทิ ขี้เถ้ากองฟอนเผาผีตายท้องกลม ดิน ๗ ป่าช้า ผงไม้ทิ่มผีตายท้องกลม ลูกกรอกตายท้องกลม</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">ขุนช้างมหาเศรษฐี หลวงพ่อสมพงษ์ วัดใหม่ปิ่นเกลียว รุ่นปลดหนี้ เพิ่มทรัพย์
    ขุน ช้างมหาเศรษฐี หลวงพ่อสมพงษ์ วัดใหม่ปิ่นเกลียว รุ่นปลดหนี้ เพิ่มทรัพย์: หลวงพ่อสมพงษ์ได้ปลุกเสก "พระขุนช้างมหาเศรษฐี"ภายในกุฏิใช้ชื่อรุ่นว่า "ปลดหนี้ เพิ่มทรัพย์" ท่านให้เหตุผลว่า ขุนช้างรุ่นนี้นอกจากจะช่วยปลดหนี้ แล้วยังช่วยเพิ่มทรัพย์ให้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">หุ่นพยนต์ปู่มหาเวทย์ หลวงพ่อกอย ธัมมปาโล วัดเขาดินใต้
    หุ่นพยนต์ ปู่มหาเวทย์ หลวงพ่อกอย ธัมมปาโล วัดเขาดินใต้:หุ่นพยนต์ปู่มหาเวทย์ คัมภีร์เขมรโบราณ สุดยอดเครื่องรางอมตะสิ่งมหัศจรรย์วัตถุอาถรรพณ์ยอดเฮี้ยนของ หลวงพ่อกอย ธัมมปาโล วัดเขาดินใต้ หุ่นพยนต์หลวงพ่อกอย เป็น"เครื่องรางของขลัง"ที่ไม่น่ากลัว</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">เหรียญฤๅษีเบิกไพร หลวงพ่ออึ่ง วัดเซิงหวาย
    เห รียญฤๅษีเบิกไพร หลวงพ่ออึ่ง วัดเซิงหวาย พระอาจารย์สุเทพ สุทธสีโล หรือที่รู้จักกันในนามหลวงพ่ออึ่ง วัดเซิงหวาย จัดพิธีไหว้ครูประจำปีขึ้นพร้อมทั้งจัดสร้าง"เครื่องรางของขลัง"เป็นเหรียญ ฤๅษีเบิกไพร หลังจาร ซึ่งเป็นเหรียญรุ่นแรก ทรงกลมเนื้อทองแดงรมดำ ที่หลวงพ่ออึ่งได้สร้างขึ้นมาเพื่อแจกจ่ายเป็นที่ระลึกให้บรรดาลูกศิษย์</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">หุ่นพยนต์ หลวงพ่อสง่า วัดบ้านหมอ
    หุ่นพยนต์ หลวงพ่อสง่า วัดบ้านหมอ การจัดสร้างหุ่นพยนต์ หลวงพ่อสง่า วัดบ้านหม้อ จ.ราชบุรี ได้รวบรวมชนวนจากตะปูที่ใช้ตอกโลงศพที่ถูกเผาไหม้เป็นขี้เถ้าแล้วจากเตาเผา ถึง ๗ วัน พุทธคุณของหุ่นพยนต์นั้น กล่าวคือใช้ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง ภูติผีปิศาจ อีกทั้งแก้คุณไสย</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">ชูชก หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน
    ชู ชก หลวงปู่ขุ้ย วัดซับตะเคียน ประสบการณ์ค้าขายโชคลาภเป็นที่ยอมรับ ปัจจุบัน"ชูชกชิ้นน้ำอ้อยรุ่นแรก"มีราคาแพงมากแล้ว หลวงปู่ขุ้ยจึงให้ทำ"ชูชก หรือตาเฒ่าเจ้าทรัพย์ ชูชกพิมพ์ก้นย้อย-ย่ามยาน" รูปลักษณ์บ่งบอกถึงมีทรัพย์สินเงินทอง จนก้นย้อยและย่ามยานอีรุงตุงนังไปหมด</td></tr> <tr valign="top"><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;">[​IMG]</td><td style="border-bottom: 1px solid rgb(204, 204, 204); padding: 10px;" width="100%">หนังสือ"สุดยอด เครื่องรางของขลังของไทย"
    หนังสือ"สุดยอด เครื่องรางของขลังของไทย" เป็นหนังสือที่รวม สุดยอดเครื่องรางของขลังของไทย ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่นิยมกันมากในปัจจุบัน ในหนังสือจะพูดถึง กำเนิดเครื่องรางของขลัง และประเภทต่างๆของเครื่องราง ที่มีพุทธคุณทั้ง โชคลาภ เมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ มหาอำนาจ คงกระพันชาตรี นิรันตราย</td></tr></tbody></table>
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    แถมให้อีกนิดนึงครับ ที่เหลือตามไปอ่านเองก็แล้วกัน ส่วนผมพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ มาตาปิตุคุณ ครูอุปัชฌาย์คุณ+คาถามหาจักรพรรดิ์+คาถาบูชาท่านท้าวเวส+คาถาหลวงพ่อโอภาสี แค่นี้ก็นอนสุขใจ ไม่เคยฝันลามกจกเปรตเลยครับ



    [​IMG]ประวัติคาถา และความเป็นมาของ พระคาถา [​IMG]
    [​IMG]คาถาหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า
    [​IMG]คาถาบูชาพระแม่โพสพ
    [​IMG]คาถาจตุคาม คาถาจตุคามรามเทพ [​IMG]
    [​IMG]คาถาหลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง
    [​IMG]บทสวดมนต์ ไหว้พระ บูชาพระรัตนตรัย
    [​IMG]คาถาบูชาหุ่นพยนต์ปู่มหาเวทย์ หลวงพ่อกอย วัดเขาดินใต้
    [​IMG]คาถาอัญเชิญพระเครื่อง
    [​IMG]คาถาพระแม่ธรณี
    [​IMG]คาถาแม่พระธรณี
    [​IMG]คาถานะหน้าทอง
    [​IMG]คาถาพระลักษณ์หน้าทอง
    [​IMG]คาถาบูชาหลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน
    [​IMG]โองการเทพชุมนุม
    [​IMG]พระพิฆเนศ คาถาพระพิฆเนศ
    [​IMG]เวทมนต์ คาถา เวทย์มนต์คาถา
    [​IMG]คาถามนต์รัก
    [​IMG]คาถา พญาเงินพญาทอง
    [​IMG]คาถาโพธิบาท
    [​IMG]คาถาบูชาดวงชะตาประจำวันเกิด
    [​IMG]คาถาหลวงพ่อโสธร
    [​IMG]คาถาหลวงปู่มั่น
    [​IMG]คาถาพญายม
    [​IMG]คาถาพญาเต่าเรือน
    [​IMG]คาถาแม่แก้วหน้าม้า
    [​IMG]คาถาอาคมเจ้านายเมตตา
    [​IMG]คาถาบูชาแม่นางกวัก คาถาแม่นางกวัก
    [​IMG]คาถาขุนแผน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 สิงหาคม 2009
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    สุดท้ายในคืนนี้ขออนุโมทนาและสาธุบุญผู้ที่คงเส้นคงวาดุจไม้บรรทัดคนนี้ คุณ natta_pea ผมในนามของคณะกรรมการทุนนิธิฯ ขอขอบคุณมากๆ ครับ และขออวยพรให้ในชีวิตของคุณขอให้ได้พบพานแต่สิ่งที่ดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่พร้อมไปกับพวกเราทุกๆ คนที่ได้มีส่วนร่วมในการบริจาค และมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมของทุนนิธิฯ มาด้วยกันครับ นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ.

    [​IMG]



     
  12. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้ขอนำพระขุนแผนแขนอ่อนรุ่นแรกของ หลวงปู่ชื่น วัดตาอี มาให้ชมกัน ความพิเศษของพระนี้คือสร้างน้อยมากคือแค่56องค์และมีแบบฝั่งตะกรุดคู่ด้านหลังมีแค่22องค์ พระนี้ได้รวบรวมมวลสารที่สำคัญหลายอย่างเช่น ผงนะวนเวียน ผงสามสาวหมู่บ้านกินน้ำบ่อเดียวกัน ผงว่านมหาเสน่ห์มากมาย โดยเฉพาะผงว่านดอกไม้ทองทั้ง12ชนิด

    พระนี้เมื่อออกมาใหม่ๆก็ราคาหลักร้อย แต่ปัจจุบันมีเงินแต่หาพระไม่ได้เพราะใครมีก็เก็บเงียบไม่เปลี่ยนมือง่ายๆ ครับ

    [​IMG]

    พระองค์นี้ผมได้มาเมื่อสมัยหลวงปู่ยังอยู่ มีตะกรุดคู่ด้านหลังเก็บไว้จนลืมในซองเก่าครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    อัฐฐิธาตุและเกษาหลวงปู่ชื่น วัดตาอี

    และต้องขออนุญาตเจ้าของภาพด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 31 สิงหาคม 2009
  13. ลูกปลาใหญ่

    ลูกปลาใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    166
    ค่าพลัง:
    +577
    วันนี้ 01/09/52 เมื่อเวลา 07.22 น. ผมและครอบครัวได้โอนเงินเข้าบัญชีทุนนิธิฯ จำนวน 500 บาท เพื่อร่วมทำบุญประจำเดือนกันยายนครับ
     
  14. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมได้โอนเงินบริจาคจำนวน 2,000.-บาท

    1/09/2552 08.50 tmb bank


    ด้วยบุญอุทิศนี้ให้อาม่า,ป๋า,แม่,อาโกว,ชิน9,น้องๆ,หลานๆ,เพื่อนๆ,บริวาร,ผู้มีพระคุณ,ครู,อาจารย์,คนไทยทุกคน,ลูกค้าทุกคน

    ขอเชิญเพื่อนๆมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  15. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    สวัสดีครับทุกท่าน ผมได้โอนเงินบริจาคจำนวน 2,000.-บาท

    1/09/2009 08 .50 น.โอนผ่าน TMB internet banking


    ด้วยบุญอุทิศนี้ให้อาม่า,ป๋า,แม่,อาโกว,ชิน9,น้องๆ,หลานๆ,เพื่อนๆ,บริวาร,ผู้มีพระคุณ,ครู,อาจารย์,คนไทยทุกคน,ลูกค้าทุกคน,ผู้เช่าบ้านและร้านของชิน9

    ขอเชิญเพื่อนๆมาร่วมอนุโมทนาบุญด้วยกันนะครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    [​IMG]


    [​IMG]<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2009
  17. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    เมื่อวานได้โอนเงินจำนวน1700บาทเข้าบัญชีทุนนิธิฯโดยมีรายละเอียดดังนี้
    คุณพลภัทร ตั้งธาราวิวัฒน์ 1500บาท โดยเป็นเงินที่ได้จากให้บูชาลูกอมหลวงปู่ปัน วัดแม่ยะ และ พระสีวลีหลวงพ่อกวย
    คุณรัดเกล้า ศิริมาตร 200บาท


    รวมเป็นเงิน1700บาทครับ
     
  18. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    โอนเงินร่วมบุญ 522.00 บาท เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม แล้วค่ะ

    โมทนาบุญกับทุกๆท่านค่ะ


    .
     
  19. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เช้านี้ผมได้ฝากเงินเข้าบัญชี3481232459 ทุนนิธิสงฆ์อาพาธเพื่อร่วมทำบุญประจำเดือน กันยายน2552 จำนวน 500บาท
    ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ
     
  20. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    ร่วมบุญเพิ่มเติม ประจำเดือน กย. 2552 ครับ
    ฝากเงิน เข้าบัญชี 348-123-245-9
    วันที่ 3 กย. 2552 เวลา 12:42 น. จำนวน 200 บาท ครับ

    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...