ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    เมื่อวานได้ดำเนินการจนบรรลุวัตถุประสงค์ข้างต้นแล้ว โดยได้ทำให้คนอยากบวชได้บวชเป็นพระสมตามความประสงค์ทั้ง 4 รูป แล้ว โดยผมได้แจ้งให้ทุกท่านทราบว่า ปัจจัยที่นำมาช่วยในการบวชนี้ เป็นปัจจัยที่หลายคนส่งมาช่วย ดังนั้น เมื่อสวดมนต์ไหว้พระในแต่ละวันเสร็จแล้ว ช่วยระลึกถึงผู้ที่มีส่วนช่วยในครั้งนี้ด้วย ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง ส่วนรูปถ่ายและใบอนุโมทนาบัตร จะได้ทยอยนำมาลงให้ดูกันครับ สุดท้าย เหนือสิ่งอื่นใด หลวงพี่ทั้ง 4 ได้รับปากว่าจะได้ตั้งใจปฏิบัติทั้งในแง่การเรียนนักธรรม และฝึกภาวนา ตามพระธรรมคำสั่งสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย ผมจึงได้มอบพระหลวงปู่ทวดของวังหน้าให้เป็นกำลังใจไปคนละ 1 องค์ครับ ขอแจ้งให้ทราบแค่นี้ก่อน

    พันวฤทธิ์
    22/6/52




    [​IMG]





    พร้อมนี้ก่อนจบการแจ้งข้อมูล ผมจึงขออนุญาตต่อผู้ที่บริจาคปัจจัยมาที่จะขอถวาย กุศลและผลบุญที่เกิดขึ้่นทั้งหมดของผมเองนับตั้งแต่การที่ได้ตั้งใจรับศีล ฟังธรรม ประเคนเครื่องบริขารแด่พระที่ทุนนิธิฯ เป็นเจ้าภาพ ตลอดจนความตั้งใจต่างที่เกิดขึ้นในงานนี้ให้แก่ผู้ที่ได้บริจาคปัจจัยมาทุกท่าน และสุดท้าย ข้าพเจ้าขอถวายกุศลและผลบุญของข้าพเจ้าทั้งหมดแด่ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี เนื่องในวันคล้ายมรณภาพแห่งท่านเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2415 ครบ 137 ปี เพื่อเกิดชาติใด ฉันใด ก็ให้ได้เกื้อกูลกัน เป็นครูอาจารย์กัน จนกว่า จะเข้าถึงซึ่งฝั่งพระนิพพานด้วยเทอญ.

    ใครจะอธิษฐานข้างต้นก็ได้ครับ เพราะทุกคนที่บริจาคเงินเข้าทุนนิธิฯ มา ไม่ว่ามาก ว่าน้อย บุญเสมอกัน ทำได้อย่างเดียวกันครับ เพราะบุญเกิดจากเจตนาแต่ต้นแล้ว "จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน" ใครทำบุญมาก มีความปิติมาก ยินดีมาก ไม่เดือดร้อน ผลบุญก็ย่อมได้มาก ใครทำบุญน้อย แต่จิตใจมีความปิติ มาก ยินดีมาก ผลบุญก็ต้องได้มากกว่า ผู้ที่ทำบุญมาก แต่จิตคิดเสียดายครับ เพราะองค์ประกอบไม่ครบตามบุญกิริยาวัตถุครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    คำสอนของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี เรื่องบุญ


    [​IMG]
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    อานิสงส์ของการสวดมนต์ (โดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี) <hr style="color: rgb(204, 204, 204);" size="1"> <!-- / icon and title --> <!-- message --> อานิสงส์ของการสวดมนต์
    เทศนาโดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี

    ดังปรากฏในงานของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี จางวางมหาดเล็กในรัชกาลที่ 4 ที่ได้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จโตมาเทศน์ที่บ้าน

    ครั้นพลบค่ำ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโตพร้อมลูกศิษย์ได้เดินทางจากวั ดระฆังมายังบ้านของท่านเจ้าพระยาสรรเพชรภักดี ซึ่งในขณะนั้นมีอุบาสก อุบาสิกา นั่งพับเพียบเรียบร้อยกันเป็นจำนวนมาก ด้วยต้องการสดับรับฟังการเทศน์ของท่านเจ้าประคุณ ณ ที่เรือนของท่านเจ้าพระยา


    เจ้าประคุณสมเด็จโต ได้ขึ้นนั่งบนธรรมาสน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวบูชาพระรัตนตรัย เมื่อจบแล้ว ท่านจึงเทศน์ “ เรื่อง อานิสงส์ของการสวดมนต์ ”


    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ได้กล่าวว่ายังมีคนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การสวดมนต์มีประโยชน์น้อย และเสียเวลามากหรือฟังไม่รู้เรื่อง ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย

    เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร


    การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์


    ที่อาตมากล่าวเช่นนี้ มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ

    • เมื่อฟังธรรม
    • เมื่อแสดงธรรม
    • เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
    • เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
    • เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ


    การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบั ติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้ งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม


    การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ ง 3 นั่น คือ


    • กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
    • ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
    • วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว


    อาตมาภาพ ขอรับรองแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน


    การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น


    *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวน จิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด


    *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก

    ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช ่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเข ตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม


    ดูก่อน.. ท่านเจ้าพระยาและอุบาสก อุบาสิกาในที่นี้ การสวดมนต์เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดีจะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล..


    จากหนังสือ อมตะธรรม สมเด็จโต พรหมรังสี
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    คติธรรมคำสอน ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )


    เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

    ท่าน เจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต ) กล่าวว่า เคล็ดลับสู่ความสำเร็จสุดยอดในทางธรรม คือ จะต้องมีสัจจะอันแน่วแน่ และมีขันติธรรมอันมั่นคง จึงจะฝ่าฟันอุปสรรค บรรลุความสำเร็จได้ อาตมามีกฎอยู่ว่า เช้าตีห้าไม่ว่าฝนจะตก ฟ้าจะร้อง อากาศจะหนาว ต้องตื่นทันที ไม่มีการผัดเวลา แล้วเข้าสรงน้ำ ชำระกายให้สะอาด แล้วจึงได้สวดมนต์และปฏิบัติสมถกรรมฐานหนึ่งชั่วโมง พอหกโมงตรงก็ออกบิณฑบาต เพื่อปฏิบัติตามปฏิปทาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ฝึกจิตให้ได้ผลต้องตรงต่อเวลา

    กลับ จากบิณฑบาตแล้ว ก็เอาอาหารตั้งไว้ ตักน้ำใส่ตุ่ม เสร็จแล้วฉันอาหารเช้า โดยปกติอาตมาฉันมื้อเดียวเว้นไว้มีกิจนิมนต์ จึงฉันสองมื้อ สี่โมงเช้าถึงเที่ยง ถ้ามีรายการไปเทศน์ ก็ไปเทศน์ตามที่นัดไว้ วันไหนไม่ติดเทศน์ก็จะปิดประตูกุฏิทันที ไม่ให้ใครๆเข้าไป ในช่วงเวลานั้นเป็นเวลาศึกษาตำรา เวลาบ่ายโมงจึงออกรับแขก บ่ายสามโมงไม่ว่าใครจะมาอาตมาจะให้ออกจากกุฏิไปหมด เพราะถึงเวลาปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ฉะนั้น จุดสำคัญจงจำไว้ เราจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ต้องมีสัจจะเพื่อตน โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร ถึงเวลาทำสมาธิต้องทำ ไม่มีการผัดผ่อนใดๆ ทั้งสิน

    หลักการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน

    1.จะต้องมีสัจจะต่อตนเอง
    2.จะต้องไม่คล้อยตามอารมณ์ของมนุษย์
    3. พยายามตัดงานในด้านสังคมออก และไม่นัดหมายใครในเวลาปฏิบัติกรรมฐาน ดังนั้นเมื่อจะเป็นนักปฏิบัติธรรมจำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์ของเรา เพื่อฝึกจิตให้เข้มแข็ง

    ทางแห่งความหลุดพ้น

    เจ้า ประคุณสมเด็จฯ มักจะกล่าวกับสานุศิษย์ทั้งหลายอยู่เสมอว่า ชีวิตมนุษย์อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยปีก็ต้องตายและถูกหามเข้าป่าช้า ดังนั้น จึงควรประพฤติปฏิบัติอยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ท่านเปรียบเทียบว่า มนุษย์อาบน้ำ ชำระกายวันละสองครั้ง เพื่อกำจัดเหงื่อไคลสิ่งโสโครกที่เกาะร่างกาย แต่ไม่เคยคิดจะชำระจิตให้สะอาดแม้เพียงนาที ด้วยเหตุนี้ ทำให้จิตใจของมนุษย์ ยุคปัจจุบันเศร้าหมองเคร่งเครียดและดุดัน ก่อให้เกิดปัญหาความพิการในสังคมความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งเกิดความขัดแย้ง และกลายเป็นสงครามมนุษย์ฆ่ามนุษย์ด้วยกัน

    แต่งใจ

    ขอ ให้ท่านได้พิจารณาไตร่ตรองให้จงดีเถิดว่า ร่างกายของเรานี้ไฉนจึงต้องชำระทุกวันทั้งเช้าและเย็น จะขาดเสียไม่ได้ทั้งที่หมั่นทำความสะอาดอยู่เป็นนิจ แต่ยังมีกลิ่นไม่น่าอภิรมย์ออกมา แม้จะพยายามหาของหอมมาทาทับ ก็ปกปิดกลิ่นนั้นไม่ได้ใจของเราล่ะ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าร่างกาย เป็นผู้สั่งบัญชางาน ให้กายแท้ๆ มีใครเอาใจใส่ชำระสิ่งสกปรกออกบ้าง ตั้งแต่เล็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มันสั่งสมสิ่งไม่ดีไว้มากเพียงใด หรือว่ามองไม่เห็นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้อง ทำความสะอาดหรือ?

    กรรมลิขิต

    เรา ทั้งหลายเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติแล้ว ล้วนแต่มีกรรมผูกพันกันมาทั้งสิ้น ผูกพันในความเป็นมิตรบ้างเป็นศัตรูบ้าง แต่ละชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามกรรมวิบากของตนที่ได้กระทำไว้ ทุกชีวิตล้วนมีกรรมเป็นเครื่องลิขิต

    อดีตกรรม ถ้ากรรมดี เสวยอยู่
    ปัจจุบันกรรม สร้างกรรมชั่ว ย่อมลบล้าง
    อดีตกรรม กรรมแห่งอกุศล วิบากตน
    ปัจจุบัน สร้างกรรมดี ย่อมผดุง

    เรื่องกฎแห่งกรรม ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว เขาถือว่าเป็นกฎแห่งปัจจังตัง ผู้ที่ต้องการรู้ ต้องทำเอง รู้เอง ถึงเอง แล้วจึงจะเข้าใจ

    นักบุญ

    การ ทำบุญก็ดี การทำสิ่งใดก็ดี ถ้าเป็นการทำตนให้ละทิฏฐิมานะ ทำเพื่อให้จิตเบิกบาน ย่อมเสวยบุญนั้นในปรภพ มนุษย์ทุกวันนี้ทำแบบมีกิเลส ดังนั้น บางคนนึกว่าเข้าสร้างโบสถ์เป็นหลังๆ แล้วเขาจะไปสวรรค์หรือเปล่า เขาตายไปอาจจะต้องตกนรก เพราะอะไรเล่า เพราะถ้าเขาสร้างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ เป็นการทำเพื่อเอาบุญบังหน้าในการเสวยความสุขส่วนตัวก็มี บางคนอาจเรียกได้ว่าหน้าเนื้อใจเสือ คือข้างหน้าเป็นนักบุญ ข้างหลังเป็นนักปล้น

    ละความตระหนี่มีสุข

    ดัง นั้นบุญที่เขาทำนี้ถือว่า ไม่เป็นสุข หากมาจากการก่อกรรม บุญนั้น จึงมีกระแสคลื่นน้อยกว่าบาปที่เขาทำเอาไว้หากมีใครเข้าใจคำว่า บุญ นี้ดีแล้ว การทำบุญนี้จุดแรกในการทำก็เพื่อไม่ให้เรานี้เป็นคนตระหนี่ รู้จักเสียสละเพื่อความสุขของผู้อื่น ธรรมดาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เมื่อมีทุกข์ก็ควรจะทุกข์ด้วย เมื่อมีความสุขก็ควรสุขด้วยกัน

    อย่าเอาเปรียบเทวดา

    ใน การทำบุญ สิ่งที่จะได้ก็คือ ระหว่างเราผู้เป็นมนุษย์ เรารู้ว่าสิ่งที่เราทำนี้จะเป็นมงคล ทำให้จิตใจเบิกบานดี นี่คือการเสวยผลแห่งบุญในปัจจุบัน ทีนี้การทำบุญเพื่อจะเอาผลตอบแทนนั้น มนุษย์นี้ออกจะเอาเปรียบเทวดา ทำบุญครั้งใด ก็ปรารถนาเอาวิมานหนึ่งหลังสองหลัง การทำบุญแบบนี้เรียกว่า ทำเพราะหวังผลตอบแทนด้วยความโลภ บุญนั้นก็ย่อมจะไม่มีผล ท่านอย่าลืมว่า ในโลกวิญญาณเขามีกระแสทิพย์รับทราบในการทำของมนุษย์แต่ละคนเขามีห้องเก็บบุญ และบาปแห่งหนึ่งอันเป็นที่เก็บบุญและบาปของใครต่อใครและของเรื่องราวนั้นๆ กรรมของใครก็จะติดตามความเคลื่อนไหวของตนๆนั้น ไปตลอดระหว่างที่เขายังไม่สิ้นอายุขัย

    บุญบริสุทธิ์

    การ ที่สอนให้ทำบุญโดยไม่ปรารถนานั้น ก็เพื่อให้กระแสบุญนั้นบริสุทธิเป็นขั้นที่นึ่ง จะได้ตามให้ผลทันในปัจจุบันชาติ แต่ถ้าตามไม่ทันในปัจจุบันชาติ ก็ติดตามไปให้เสวยผลในปรภพ คือ เมื่อสิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ฉะนั้น เขาจึงสอนไม่ให้ทำบุญเอาหน้า ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทน สิ่งดีที่ท่านทำไปย่อมได้รับสนองดีแน่นอน

    สั่งสมบารมี

    โดย เฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับนักปฏิบัติธรรมแล้ว การทำบุญทำทานย่อมเป็นการส่งเสริมการปฏิบัติจิตให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้น เป็นบารมีอย่างหนึ่ง ในบารมีสิบทัศที่ต้องสั่งสม เพื่อให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน

    เมตตาบารมี

    การ ทำบุญให้ทานเพียงแต่เรียกว่า ทานบารมี หากบำเพ็ญสมาธิจิตจนได้ญาณบารมี และโดยเฉพาะการบำเพ็ญทุกอย่างนั้น ถ้าท่านให้โดยไม่มีเจตนาแห่งการให้ ให้สักแต่ว่าให้เขา ท่านก็ย่อมได้กุศลเรียกว่าไม่มากและทัศนคติของอาตมาว่าการบำเพ็ญเมตตาบารมี ในภาวนาบารมีนั้นได้กุศลกรรมกว่าการให้ทาน

    แผ่เมตตาจิต

    ทุก สิ่งทุกอย่างที่จะสัมฤทธิ์ผลนั้น เกิดจากกรรม 3 อย่าง คือ มโนกรรม เป็นใหญ่ แล้วค่อยแสดงออกมาทางวจีกรรม หรือกายกรรมที่เป็นรูป การบำเพ็ญสมาธิจิตเป็นกุศลดีกว่า เพราะว่า การแผ่เมตตา 1 ครั้ง ได้กุศลมากกว่าสร้างโบสถ์ 1 หลัง ขณะจิตที่แผ่เมตตานั้น จะเกิดอารมณ์แจ่มใส สรรพสัตว์ไม่มีโทษภัย ตัวท่านก็ไม่มีโทษภัย ฉะนั้น เขาจึงว่านามธรรมมีความสำคัญกว่า

    อานิสงส์การแผ่เมตตา

    ผู้ ปฏิบัติธรรมนั้น ต้องรู้จักคำว่า แผ่เมตตา คือต้องเข้าใจว่า ความวิเวกวังเวงแห่งการคิดนึกของเราแต่ละบุคคลนั้น มีกระแสแห่งธาตุไฟผสมอยู่ในจิตและวิญญาณกระจายออกไป เมื่อจิตของเรามีเจตนาบริสุทธิ์ เมื่อจิตของเราเป็นมิตรกับทุกคน เมื่อนั้นเขาก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา เสมือนหนึ่งเราให้เขากินอาหาร คนที่กินอาหารนั้นย่อมคิดถึงคุณของเรา หรืออีกนัยหนึ่งว่าเราผูกมิตรกับเขาๆก็ย่อมเป็นมิตรกับเรา แม้แต่คนอันธพาล เราแผ่เมตตาจิตให้ทุกๆวัน สักวันหนึ่งเขาก็ต้องเป็นมิตรกับเราจนได้ เมื่อจิตเรามีเจตนาดีต่อดวงวิญญาณทุกๆดวง ดวงวิญญาณทุกๆดวงย่อมรู้กระแสแห่งจิตของเรา เรียกว่ามนุษย์เรานี้มีกระแสธาตุไฟออกจากสังขาร เพราะเป็นพลังแห่งการนั่งสมาธิจิต วิญญาณจะสงบ ธาตุทั้ง 4 นั้น จะเสมอแล้วจะเปล่งเป็นพลังงานออกไป ฉะนั้น ผู้ที่นั่งสมาธิปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ จิตแน่วแน่แล้ว โรคที่เป็นอยู่มันจะหายไป ถ้าสังขารนั้นไม่ใช่จะพังเต็มทีแล้ว คือไม่ถึงวาระสิ้นอายุขัย หรือว่าสังขารนั้นร่วงโรยเกินไปแล้ว ก็จะรักษาให้มันกระชุ่มกระชวยได้หรือจะให้มันสบายหายเป็นปกติดั่งเดิมได้

    ประโยชน์จากการฝึกจิต

    ผู้ ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนมีสมาธิแน่วแน่ เมื่อจิตนิ่งก็รู้ตน เริ่มพิจารณาตน รู้ตนเองได้ ปัญญาก็เกิดขึ้น ปัญญานี้เรียกว่า ปัญญาภายในจากจิตวิญญาณ ซึ่งเราจะใช้ปัญญานี้ได้แน่นอน เมื่อเกิดมีปัญหาขึ้นในชีวิตตลอดระยะเวลาอันยาวนานข้างหน้า นี่คือประโยชน์ของการฝึกจิตแล้ว คุณของสมาธิยังเป็นพลังป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัย เจ็บป่วยได้ กล่าวคือ การบำเพ็ญจิต จนจิตสงบนิ่งแล้ว ระบบต่างๆทางประสาทจะได้รับการพักผ่อน เป็นการปรับธาตุในกายให้เกิดพลังจิตเข้มแข็ง กายเนื้อก็จะแข็งแรงกระชุ่มกระชวยด้วย โลหิตในร่างกายจะหมุนเวียนสะดวกขึ้น ความตึงเครียดตามร่างกายและประสาทต่างๆ จะผ่อนคลายเป็นปกติ โรคต่างๆจะลดน้อยลงโดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง หายป่วยได้ด้วยการฝึกจิตและเดินจงกรม

    คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ( โต พรหมรังสี )


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2009
  5. katicat

    katicat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กันยายน 2008
    โพสต์:
    1,112
    ค่าพลัง:
    +524
    โอนปัจจัยร่วมเจ้าภาพอุปสมบทหมู่ รุ่นที่ ๑๐ วัดเนินตอง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี 1 องค์ จำนวน 5000.55 บาท วันนี้ค่ะ ขออนุโมทนาบุญทุกท่านด้วยค่ะ
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    พี่ได้ดำเนินการตามความประสงค์ของเธอให้เรียบร้อยแล้วจนเป็นองค์พระ ทั้งบุญและกุศลใดที่เธอนึกไว้ ก็คงจะสมความปรารถนาเช่นกัน.....



    [​IMG]


    ขอให้มีอารมณ์ที่ปีติในบุญเช่นเจ้าหนูนี่น๊ะน้องรัก
    (เค้าโมทนาบุญให้ เห็นม่ะ)





     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2009
  7. ต้นแก้ว

    ต้นแก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2007
    โพสต์:
    828
    ค่าพลัง:
    +3,569
    โอนเงินร่วมบุญกับทุนนิธิฯ 150 บาท 21/06/52 อนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วย
     
  8. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ทางคณะกรรมการขอโมทนาบุญกับคุณ ต้นแก้วด้วยครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  9. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    วันนี้ผมและครอบครัว
    ได้ร่วมทำบุญจำนวนเงิน 200 บาทเช่นเคยครับ
    ขอโมทนาบุญด้วยนะครับ
     
  10. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    เหรียญนาคปรกไตรมาส หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
    [​IMG][​IMG]
    ตอนแรกได้ยินมาจากหลายท่านว่าถ้าทุนทรัพย์ไม่พอ แต่อยากได้พระหลวงปู่ทิม ให้ไปเช่าเหรียญนาคปรกไตรมาสก่อน เพราะพุทธคุณและประสบการณ์ล้นเหลือ แถมหลวงปู่ทิมยังกำชับคุณชินพรให้ทำเนื้อทองแดงไว้เยอะๆ เผื่อวันหน้าคนที่มีเงินน้อยก็ยังสามารถเช่าได้..พอผมไปพบบทความในนิตยสาร ร่มโพธิ์ ฉบับที่ ๙๔ ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๔๑ คอลัมภ์ อักขระมหัศจรรย์ ของคุณ กีรติ...ก็ถึงบางอ้อครับว่าทำไม ค่อยๆอ่านมานะครับ
    เหรียญนี้เป็นพิมพ์ "อุ"สั้นครับ พิเศษที่มี ๓โค้ด--อิ นะแอล และศาลา เหรียญยังมีผิวไฟเดิมๆสภาพเดิมๆเลยครับ
    [​IMG]
    อักขะในรูปยันต์ใบพัดตรงกลางเหรียญ คือ นะอิสวาสุ อิสวาสุ เป็นหัวใจแก้ว ๓ ประการ .
    ประการที่ ๑ อิ ย่อจาก อิติปิโสภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ฯลฯพุทโธภะคะวาติ.
    ประการที่ ๒ สวา ย่อจาก สวากขาโต ภะคะวะตาธัมโม ฯลฯ วิญญูหิติ
    ประการที่ ๓ สุ ย่อจาก สุปฏิปันโน ภะคะวะโต ฯลฯ โลกัสสาติ
    [​IMG]
    [​IMG]
    อักขระล้อมชั้นในด้านบน อ่านตรงกลางว่า นะชาลิติ อ่านสองข้างว่า อุตทัง อัตโท
    นะชาลิติ หรือ นะชาลีติ เป็นหัวใจพระฉิมพลี ถอดมาจากคาถาธรณีปริตรที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทานให้พระอานนท์ เริ่มจาก ชาโล มหาชาโล ชาลัง มหาชาลัง ชาลิเต มหาชาลิเต ชาลิตัง มหาชาลิตัง มุตเต มุตเต สัมปัตเต มุตตัง มุตตัง สัมปัตตัง สุตัง คะมิติ สุตังคะมิติ มัคคะยีติ ทิฎฐิลา ทัณฑะลา มัณฑะลา โรคิลากะระลา ทุพพะลา ริตติ ริตติ กิตติ กิตติ มิตติ มิตติ จิตติ จิตติ มุตติ มุตติ จุตติ จุตติ ธาระณี ธาระณีติ อิทังธาระณะ ปะริตตัง. ท่านย่อเหลือ ๔ พยางค์ คือ นะชาลิติ เรียกว่าหัวใจ นิยมใช้ในทางเกิดโชคลาภ เมตตามหานิยม ค้าขายง่ายคล่อง และป้องกันภัยกันผีด้วย
    คำว่า อุตทัง อัตโท หรือ อุทธัง อัทโธ เป็นหัวใจมหาอุด ท่านเอามาจากบทกรณียะเมตตะสุตตัง ท่อนท้าย ฯลฯ เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปะริมาณัง อุทธังอะโธ จะติริยัญจะ ฯลฯ ท่านเอาอุทธัง อัทโธนี้มาใช้เป็นคาถามหาอุด โดยออกเสียงให้เป็นอุทธัง อัทโธ เป็นการอุดอัดปากกระบอกปืน
    [​IMG]
    อักขระด้านใต้ยันต์ใบพัด อ่านว่า สีหะนาทัง เป็นหัวใจราชสีห์ ใช้ในทางตบะเดชะเกิดอำนาจ ทั้งทางประจัญศัตรูและสู่โรงศาล
    [​IMG]
    อักขระถัดออกไปอีกหนึ่งรอบ รอบที่สองนับจากด้านนอก อ่านว่า อิติปิโสวิเสเสอิ อิเสเสพุทธะนาเมอิ อิเมนาพุทธะตังโสอิ อิโสตังพุทธะปิติอิ เป็นพระคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า ดีทางเมตตาและป้องกันภัย
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    อักขระรอบนอกสุด มี 3 คาถาเรียงกันจากทางขวาดังนี้
    อักขระ อยู่รอบนอกจากบน วนขวา อ่านว่า มะอะอุ (รูปแรก)เป็นหัวใจพระไตรปิฎก หมายถึง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มะ มาจากคำว่า มนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ
    อะ มาจากคำว่า อกาลิโก เอหิปัสสิโก
    อุ มาจาก อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ฯลฯ
    บางอาจารย์ก็กล่าวว่า อะอุมะ คือ อะ มาจาก อะระหัง หมายถึง พระพุทธ
    อุ มาจาก อุตตรธรรม หมายถึง พระธรรม
    มะ มาจาก มหาสังฆ หมายถึง พระสงฆ์
    ยังมีกล่าวไว้อีกว่า เป็นนามอนุสรณ์ย่อของสามอสีติมหาสาวกผู้นำในการทำปฐมสังคายนาพระไตรปิฎก คือ มะ หมายถึง พระมหากัสสป
    อะ หมายถึง พระอานนท์
    อุ หมายถึง พระอุบาลี
    รวมความแล้ว เป็นหัวใจพระไตรปิฎกทั้งนั้น เป็นคาถาใช้ได้ทุกทาง
    อักขระถัดมา (รูปที่สอง)อ่านว่า นะมะพะทะ เป็นหัวใจในธาตุทั้งสี่ คือ น้ำดินลมไฟ ช่วยหนุนให้ทุกคาถาที่ร่วมรายการเกิดอิทธิปาฎิหารย์
    อักขระถัดมา (รูปที่สาม) อ่านว่า นะมะนะอะ นอกอนะกะ กอ ออนออะ นะอะกะอัง เป็นหัวใจพระเจ้า ๑๖ พระองค์ ดีทางคงกระพันเมตตา
    อัขระสุดท้าย (รูปที่สี่) อ่านว่า พุทธะสังมิ มุมิมิ พุท คือพุทธัง ธะคือ ธัมมัง สังคือสังฆัง มิคือคำท้ายของ สรณังคัจฉามิ เอามารวมกัน ๔ กถาเป็นคาถาว่า พุทธะสังมิ ดีทางป้องกันภัยและเมตตามหานิยม
    เหรียญเดียวมีพุทธคุณครบทุกด้าน..อย่างนี้น่าจะหามาติดตัวบ้างไหมครับ
    ที่มาจาก : http://www.amuletsinthai.com
    ผมขออนุญาตนำมาเผยแพร่และขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มิถุนายน 2009
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    โมทนาและสาธุบุญด้วยครับ พอดีปุ่มโมทนาในกระทู้ไม่รู้ไปไหน คงไม่เป็นไรน๊ะครับ (ใครเป็นเหมือนผมบ้าง)


    [​IMG]


     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    ธรรมะผูกใจ

    เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ..
    ของมนุษย์ทุกคน..
    ได้แก่..น้ำใจ..

    น้ำใจที่งดงาม..
    มักแสดงออกมาจากความบริสุทธิ์ใจ..
    ของผู้ที่มีจิตใจงดงามตามไปด้วย..

    น้ำใจที่ประกอบด้วยธรรม..
    คือ..ความเมตตา..
    ย่อมเป็นจิตใจที่งดงาม..
    ควรแก่การเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว..
    ผูกพันระหว่างกัน..

    คนเราหากปราศจากซึ่งน้ำใจ..
    ย่อมทำให้สถานที่นั้น ๆ..
    แห้งแล้ง..แห้งผาก..
    กลายเป็นสถานที่ที่ไม่น่าอภิรมย์ยินดี..

    แต่หากที่ใด ๆ ก็ตาม..
    ที่มีคนมีน้ำใจอยู่..
    แม้เป็นสถานที่แห้งแล้ง..
    ก็ย่อมสามารถชุ่มชื่นภายในจิตใจ..
    เพราะได้น้ำใจที่งดงาม..
    ที่ต่างฝ่ายต่างแสดงออกต่อกัน..
    ด้วยความบริสุทธิ์ใจ..

    ต้นไม้..ต้องการน้ำ..ฉันใด..
    คนเราย่อมต้องการน้ำใจจากผู้อื่นหยิบยื่นให้..ฉันนั้น..

    ธรรมะเป็นเครื่องผูกใจ..
    ย่อมสร้างความงดงามภายในจิตใจของบุคคลนั้น..ฉันใด..

    น้ำใจที่งดงาม..
    ย่อมเป็นเครื่องประสานมิตรภาพที่งดงาม..
    ระหว่างกันและกัน..ฉันนั้น..

    ดอกไม้ที่งดงาม..มีเกสรรสหวาน..
    ย่อมเป็นที่ต้องการแก่มวลภุมรินทร์..ฉันใด..

    ธรรมะเครื่องผูกใจ..
    มีน้ำใจที่งดงาม..
    ที่แสดงความอ่อนหวานและอ่อนโยน..
    จากจิตใจที่บริสุทธิ์..
    ย่อมเป็นที่ต้องการแก่มวลมนุษยชาติ..ฉันนั้น..

    น้ำดื่ม..น้ำคลอง..
    ยังมีวันหมดลดลงได้..ฉันใด..
    น้ำใสใจจริง..ยิ่งให้ยิ่งเพิ่ม..
    ไม่มีวันหมดจากหัวใจของผู้ที่ให้..ฉันนั้น..



    บทความ..โดย..ชายน้อย..
    ที่มา : dhammathai.org
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    [​IMG]

    สุขใจ..ที่ได้ให้

    การที่เราทำความดี..
    โดยไม่หวังผลตอบแทน..จากสิ่งที่เราได้กระทำ..
    หรือจากบุคคลที่เราทำให้..
    ย่อมก่อให้เกิดความสุขใจที่ได้ให้..
    เป็นความสุขใจที่ได้ทำ..

    หลายคนอาจสงสัยว่า..
    ความสุขเกิดจากผู้รับหรือผู้ให้..
    คำตอบ..คือ..
    เกิดขึ้นได้จากทั้ง ๒ ฝ่าย..นั่นก็คือ..
    ผู้ให้..สุขใจที่ได้ให้..
    ผู้รับ..สุขใจที่ได้รับ..

    จิตใจของผู้ให้..
    ย่อมอยู่สูงกว่ามือของผู้รับ..ฉันใด..

    ความสุขใจที่เกิดขึ้นจาการให้..
    ย่อมเป็นความสุขใจที่ยิ่งใหญ่และงดงาม..ฉันนั้น..

    หลายคนอาจไม่เคยสัมผัส..
    กับความสุขจากการเป็นผู้ให้..
    เพราะภาพแห่งรอยยิ้มและคำขอบคุณ..
    คือ..ความงดงามที่ยิ่งใหญ่ที่ผู้ให้ได้รับ..

    หากเราได้เรียนรู้..
    ฝึกการเป็นผู้ให้..และให้อย่างถูกวิธี..
    ก็ย่อมจะสร้างความสุขใจได้อย่างแท้จริง..

    แต่เมื่อใด..
    ที่เราทำความดีแล้วไม่หวังผลตอบแทน..
    การทำความดีของเรา..
    ก็จะได้รับผลดี..
    คือ..ความสุขใจที่ได้ทำเป็นเครื่องตอบแทน..

    การทำความดี..
    จึงไม่จำเป็นว่า..จะต้องได้รับผล..
    เหมือนกับสิ่งที่เราได้ให้..ได้กระทำ..
    เช่น..เราให้อาหารและเงินทองแก่ผู้ยากไร้..
    เราก็มักคิดว่า..สักวันหนึ่ง..
    เราก็จะต้องได้รับอาหารและเงินทองจากผู้อื่น..
    นั่นเป้นความเข้าใจที่ผิด..
    เพราะคุณค่าแห่งความดีที่แท้จริง..
    ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งของที่เราจะได้รับเป็นเครื่องตอบแทน..
    แต่เป็นความสุขใจทุกครั้งที่เราได้ทำ-ได้ให้ต่างหาก..



    บทความ..โดย..ชายน้อย..

    ที่มา : dhammathai.org
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105



    [​IMG]

    มาลดทิฐิมานะของตัวเอง...กันเถอะ!!!

    ที่ยอดบนต้นไม้ มีใบเขียวชอุ่มเหลืองอ่อน
    พลิกพลิ้วไหวไปตามแรงลม
    ไล่ลำต้นต่ำลงมามีสะเก็ดเปลือกไม้แข็งขรุขะ

    คือ ความจริงว่า
    ของอ่อนอยู่ข้างบน ของแข็งอยู่ข้างล่าง
    ดุจเดียวกัน คนที่อ่อนน้อมถ่อมตนไม่ถือตัว
    แม้อยู่ในที่ต่ำแต่ใจก็สูง
    คนที่มีทิฐิมานะแข็งกระด้าง แม้อยู่ในที่สูงแต่ใจก็ต่ำ


    การแสดงอาการอันอ่อนน้อมค้อมเคราพ
    ไม่มีอะไรสูญเสียหรอก นอกจากทิฐิมานะ
    และทิฐิมานะก็ไม่เคยให้อะไร นอกจากความด้านกระด้าง

    ถ้าไม่บรรเทาถอนมันจะฝังติดตัวแน่นขวางกั้นทุกอย่าง
    แสงสว่างทางพระนิพพาน ก็อย่าหวังเลย

    คนถือดีดื้อรั้นดันทุรังด้วยทิฐิ
    จะรองรับอะไรได้ มีแต่จะล้นทะลักออกมา
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105

    [​IMG]

    ธรรมะคำกลอน ท่านพุทธทาส
    ว่าด้วยเรื่อง บาปใหญ่-บาปลึก


    ท่านสอนถึง คน...หากคิดว่า...
    ตนเองดีกว่าคนอื่นแล้วไซร้...
    ขอให้นึกว่า เพียงแต่ดีกว่า..
    คนที่มีบาปใหญ่กว่าเท่านั้น..


    เพราะ..ตนเอง...ก็ยังเป็นคนบาปอยู่

    เขายึดติดซ้าย..เรายึดติดขวา
    มันยังติด...ด้วยกันทั้งคู่
    ไม่มีใครดีกว่าใครเลย


    ยิ่งทำให้ห่าง..หนทาง
    ไปนิพพานมากยิ่งขึ้น...


    ๕๕.ปญฺจปญฺญาส...บาปใหญ่-บาปเล็ก


    ๐ คิดว่าดี กว่าเขา ซิเราแย่
    มันเพียงแต่ ดีกว่าคน ที่บาปใหญ่
    ส่วนตัวเอง บาปลึก นึกให้ไกล
    มันบาปเบา อยู่เมื่อไร ให้นึกดู


    ๐ เขาติดซ้าย เราติดขวา ถ้ามานึก
    มันยังติด เหลือลึก กันทั้งคู่
    แม้ติดซ้าย เลวกว่า ไม่น่าดู
    แต่ติดขวา มันก็หรู อยู่เมื่อไร


    ๐ มันเพียงแต่ ดีกว่าคน ที่ยังเลว
    ส่วนตัวเอง ก็ยังเหลว ไม่ไปไหน
    เฝ้าเกลียดซ้าย รักขวา เป็นบ้าใจ
    มันก็ไพล่ พลัดห่าง ทางนิพพาน ฯ


    พุทธทาสภิกขุ
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,790
    ค่าพลัง:
    +16,105
    หลวงพ่อฤาษี ถูกลองดี ต่อหน้าหลวงพ่อปาน


    <!-- Main --><CENTER>หลวงพ่อไปเที่ยวสวรรค์-นรกเป็นปกติ
    ท่านชอบปฏิปทาของพระโมคคัลลาน์และพระมาลัย
    พบเทวดาองค์ไหนก็จะสอบถามประวัติความเป็นมาของเขา
    เลยเป็นเหตุให้ท่านถูกลองดีต่อหน้าหลวงพ่อปาน

    [​IMG]
    </CENTER>

    ทีนี้ก็มาคุยถึงปฏิปทาที่อยู่ที่วัด
    หลวงพ่อปาน ท่านก็คุยแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทฟังว่า
    "พระ ๓ องค์นี่เขาเก่ง เขาฝึกธุดงค์เข้าไปอยู่ในป่า
    กินข้าวกับเทวดา กับนางฟ้า เขาสามารถทำได้"

    แล้วความจริงก็เปิดเผยขึ้นมา
    เพราะว่าเวลาที่อาตมาไปบิณฑบาต ตั้งแต่เริ่มห่มผ้า
    ก็ว่า อิติปิโส ภควาฯ เรื่อย และเวลาบิณฑบาตก็ว่าเรื่อยไป
    จนกว่าจะกลับ ทำอย่างนี้เป็นปกติ

    หลวงพ่อปาน ท่านก็คุยกับบรรดาชาวบ้านให้เขาฟัง บอกว่า


    "พระ ๓ องค์นี่เขาไปบิณฑบาตมา แต่เขาไม่กินหรอก
    เขาถวายพระหมด ก็เป็นสังฆทานไป
    แต่เขาเอง เขาก็อยู่ในที่ของเขาในป่าช้า
    เขาก็บิณฑบาตของเขากินตอนเพล
    เขาทำอย่างนี้เป็นปกติ ก็ถือว่าเขาตั้งใจจริง"

    แล้วท่านก็คุยต่อไปว่า


    " ๓ องค์นี่ เขาคุยกับเทวดา คุยกับนางฟ้า คุยกับพรหมเป็นปกติ"

    ญาติโยมที่ได้ฟัง ก็ต่างคนต่างมอง ต่างคนต่างสนใจ เป็นกรณีพิเศษ

    อาตมาบางเวลาก็คุยกัน ๓ องค์
    บางเวลาก็แยกกันคุยกับเทวดาบ้าง พรหมบ้าง นางฟ้าบ้าง
    ภุมเทวดาที่เป็นท่านเจ้าที่บ้าง ท่านท้าวมหาราชบ้าง
    ใครต่อใครตามเรื่องตามราว

    บางคราวเราก็ย่องไปเที่ยวนรกบ้าง ย่องไปเที่ยวสวรรค์บ้าง
    ตามความพอใจ
    เพราะว่าชอบใจในปฏิปทาของท่านพระโมคคัลลาน์ และพระมาลัย

    ทีนี้การย่องไปเที่ยวนรก-สวรรค์ มันก็ไม่พ้นสายตาของหลวงพ่อปาน
    พอตอนเช้าที่มานมัสการท่าน ท่านมักจะถามว่า
    "เมื่อคืนนี้ไปที่นั่นมาใช่ไหม? ไปที่นี่มาใช่ไหม?"

    เป็นอันว่าหลวงพ่อปาน ท่านรู้ทุกขณะ ก็ถามท่านว่า
    "หลวงพ่อทราบได้อย่างไร? ครับ"

    ท่านก็บอกว่า
    "ฉั้นไม่ได้สนใจเธอ ฉันก็สนใจในเรื่องของฉัน แต่ว่าเทวดาเขาบอก"

    คือว่า ท่านเจ้าที่ เทวดาที่อารักขาวัด มีทั้งภุมเทวดา มีทั้งอากาศเทวดา
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทวดาชั้นจาตุมหาราชมีมาก เทวดาชั้นสูงก็มีเยอะ
    เขาก็รายงานให้ท่านทราบว่า ๓ องค์ไปพบคนนั้นบ้าง ไปพบคนนี้บ้าง

    ทีนี้การไปพบของพวกเรา บรรดาท่านพุทธบริษัท ไม่พบเฉยๆ
    ชอบถามประวัติความเป็นมาของเขา

    และเรื่องนี้เป็นเหตุอีกอันหนึ่ง ที่หลวงพ่อปาน ท่านก็ชอบคุยกับแขก
    ที่มารักษาโรคบ้าง แขกที่มาคุยกับท่านบ้าง ท่านบอกว่า

    "๓ องค์นี่ เขาชอบปฏิบัติตามแบบปฏิปทาของ พระโมคคัลลาน์ กับ พระมาลัย ชอบถามโน่น ถามนี่"

    ทีนี้บรรดาญาติโยมทั้งหลายก็อยากจะถามบ้างว่า
    พ่อฉันตายแล้วไปไหน แม่ฉันตายแล้วไปไหน
    แต่เมื่อเขาถามอย่างนี้ก็ไม่ตอบ

    หลวงพ่อปาน ท่านก็บอกว่า "ถ้ารู้ก็ตอบเขาเถอะ"

    ก็เลยบอกว่า


    "ผมยังดีไม่พอ ผมยังมีความเลวอยู่มาก ผมยังตอบเวลานี้ไม่ได้
    ถ้าจะให้ตอบ ผิดหรือถูกไม่รับทราบ ไม่ยืนยัน
    แต่ก็ขอบรรดาญาติโยมทุกท่านที่ต้องการรู้
    ไปจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยก่อน
    และเขียนคำถามมาได้อย่างมากคนละไม่เกิน ๓ ข้อ
    แล้วมารับได้ในวันรุ่งขึ้น หรือวันต่อไป"

    หลวงพ่อปาน บอก " เออ.. ก็ดี "

    เป็นอันว่าเมื่อเขาเขียนมา เราก็ต้องถามว่า
    รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ผิวพรรณเป็นอย่างไร ต้องซักกันก่อน
    แต่ความจริงถ้าจะบอกเวลานั้นก็บอกได้ แต่มันก็ไม่แน่นอนนัก
    เพราะจับได้ว่าบางคนนี่ยังไม่ตาย
    ก็ย่องมาถามว่า เวลานี้เขาตายแล้วไปไหน
    ตอนนี้นิวรณ์มันก็เกิด บรรดาท่านพุทธบริษัท นี่มันยังเลวอยู่นะ

    ก็มีอยู่คนหนึ่งเขาถามว่า


    "ญาติของผมที่ตายแล้ว รูปร่างเป็นอย่างนี้ ชื่อนี้ เวลานี้อยู่ที่ไหน?"

    อาตมาก็มองหน้าหลวงพ่อปาน หลวงพ่อท่านก็ยิ้ม
    ในเมื่อท่านยิ้มแสดงว่าท่านไม่ขัดคอ

    ก็เลยบอกว่า

    "โยม ถ้าโยมมีนิสัยโกหกแบบนี้ อย่าพูดกับอาตมาต่อไปนะ
    เพราะอาตมานี่เพิ่งบวช น้อยพรรษา กิเลสในความเป็นฆราวาสยังมีมาก
    ในสมัยเมื่อเป็นฆราวาสนั้น ถ้าไม่ชอบใจใครมักจะเตะทันที
    แต่เวลานี้เกรงใจผ้าเหลืองนะโยมนะ ถ้าไม่เกรงใจ ประเดี๋ยวเตะแล้ว"

    หลวงพ่อปานท่านก็หัวเราะกั้กๆ แล้วบอกว่า


    "เออ..ไอ้ลิงดำมันพูดตรงไปตรงมาดี หลวงพ่อชอบ"

    ท่านก็เลยไปสวดอีตาคนนั้นว่า

    "ทำไมต้องมาลองพระแบบนี้ ไอ้แกนี่เลวขนาดนี้เชียวหรือ
    นี่ต่อหน้าคนประมาณ ๒ - ๓๐๐ คน แกยังโกหกพระ
    ไอ้คนที่แกถาม มันยังเลี้ยงควายอยู่
    เวลานี้ที่แกถามนี่ มันเลี้ยงควายอยู่ มันตายที่ไหน"

    เล่นเอาตานั่นแกกราบ แกก็จำใจกราบขอขมาโทษ ก็บอกว่า


    "โยม การกราบของโยมนี่ไม่ใช่ศรัทธาแท้นะ มันเป็นการจำใจกราบ อาตมาไม่รับหรอก ไอ้กราบเลวๆ แบบนี้"

    เห็นไหมญาติโยมพุทธบริษัท ความเลวของอาตมายังมีอยู่มาก
    มันมีอารมณ์ไม่พอใจ ในที่สุดก็ต้องหันไปจับภาพพระพุทธเจ้า
    เมื่อจับภาพพระพุทธเจ้า ท่านมีสภาพแจ่มใสดี จิตใจก็ชุ่มชื่น เห็นท่านยิ้มก็ชุ่มชื่น

    ก็เลยคัดเอารายชื่อที่เขาเขียนถามมาแบบตรงไปตรงมา
    แล้วแบ่งกัน ๓ องค์

    เมื่อถึงเวลากลางคืน เวลาที่เจริญพระกรรมฐาน
    เราก็ทำตามเรื่องตามราวของเราให้มันเสร็จ ไม่ไปห่วงงานของเขา เขาจะให้มาขนาดไหน นี่มันเรื่องของเขา
    เราจะรู้หรือไม่รู้ พบหรือไม่พบ ไม่มีความจำเป็น
    เพราะไม่ได้บวชมาเป็นทาสคนประเภทนี้

    แต่ว่าพอวาระจะเลิกจริงๆ ก็ลองคิดดูว่า
    คนนี้เวลานี้อยู่ที่ไหน ก็ปรากฏว่าภาพคนนั้นปรากฏขึ้นมาข้างหน้า

    ก็ถามความเป็นมาของเขาว่า เมื่อสมัยมีชีวิตอยู่
    มีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง ที่ลูกหลานมีความเบื่อ

    หรือว่าเวลาเมื่อป่วย ก่อนจะตายมีอาการอย่างไร
    ที่ลูกหลานเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จำได้ชัดๆ

    เมื่อเขาบอกแล้ว ก็ถามว่า เวลานี้อยู่ที่ไหน เขาก็บอกที่อยู่ของเขา
    ถ้าหากว่าเขาอยู่ในนรก เขาจะบอกว่า เขาทำกรรมประเภทนั้น ประเภทนี้
    ที่ลูกหลานเห็นชัด และกรรมประเภทนี้ทำให้เขาลงนรกขุมนั้น ขุมนี้
    แล้วก็ดูนรก เขามีทุกขเวทนาขนาดไหน

    ถ้าเขาเป็นเทวดา เขาเป็นนางฟ้า
    เขาจะบอกว่า ก่อนจะตาย เขานึกถึงบุญอย่างนี้ บุญประเภทนี้

    บางคนลูกหลานรู้ บางคนลูกหลานไม่รู้ เขาก็เลยบอกว่า
    บุญที่ลูกหลานรู้เป็นอย่างนี้ เขาเคยทำอย่างนี้

    แต่ว่าเวลาจะตายจริงๆ ส่วนใหญ่คนที่ไปสวรรค์
    มักจะใช้คำภาวนาว่า "พุทโธ"
    บางรายปากก็ขยับไม่ได้ แต่ใจยังนึก "พุทโธ" อยู่
    แล้วเขาก็ตายไป เขาก็ไปสวรรค์กัน


    เมื่อทราบเหตุผลดีแล้ว ก็จดบันทึก ตามที่เขาบอกมา
    ตอนเช้าก่อนจะไปบอกกับบรรดาเจ้าของปัญหาที่ถาม
    อาตมาก็ต้องไปอ่านรายงานให้หลวงพ่อปานทราบก่อน
    แล้วก็ถามท่านว่า "แบบนี้ถูกต้องไหมครับ"

    บางรายหลวงพ่อปานท่านก็ตอบว่า "ถูกต้องแล้ว"

    บางรายท่านก็บอกว่า "เดี๋ยวก่อน เรียกเขามาก่อน"

    ท่านเรียกเขามาแล้ว ท่านก็สอบถาม ตามความเป็นจริง
    แล้วท่านก็ยืนยันว่า "ถูกต้อง ให้เขาได้"

    อาการอย่างนี้ก็ทำเฉพาะกิจ ไม่มากมายนัก
    มีบางรายที่เขาเชื่อ เขาก็ถาม ที่เขาไม่เชื่อ เขาก็ไม่ถาม

    แต่ถ้าไปถามหลวงพ่อปานเข้า ท่านก็บอกว่า ไม่มีเวลาจะบอก
    แต่เวลาที่อาตมา หรืออีก ๒ องค์เขียนไปให้เขา
    ท่านบอก ท่านยืนยันว่าตรงตามความเป็นจริง......



    <CENTER>[​IMG] จากบอร์ดพลังจิต</CENTER>
     
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    ผมขออนุญาตนำภาพที่ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ได้เดินทางไปเป็นเจ้าภาพและร่วมงานอุปสมบทหมู่รุ่นที่ 10 ที่วัดเนินตอง จ.ชลบุรี เมื่อวัน อาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน 2552 มาให้ทุกท่านที่ได้ร่วมกันเป็นเจ้าภาพงานอุปสมบทหมู่ครั้งนี้ได่ร่วมโมทนาบุญกันนะครับ แต่ต้องขออภัยด้วยที่โพสรูปค่อนข้างล่าช้าเนื่องจากระบบอินเตอร์เตเมื่อช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาค่อนข้างมีปัญหาครับมาชมกันเลยดีกว่าครับ

    เริ่มออกเดินทางจาก กทม. 5.30 น

    [​IMG]
    บริเวณปากทางเข้าวัดเนินตองครับ



    [​IMG]
    ถึงหน้าวัดแล้วล่ะครับ เวลาตอนนั้นก็ประมาณ 7.45 น.อากาศดีจริงครับ
    ผู้มาร่วมงานทยอยกันมาเรื่อย


    [​IMG]

    ประธานทุนนิธิฯของเรามอบเงินที่เป็นค่าเจ้าภาพงานบวชพระ 4 รูปจำนวน 20000 บาท ให้แก่ท่านเจ้าอาวาสวัดเนินตอง



    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]

    ไตรจีวร เครื่องอัฐบริขารต่างที่จะใช้ในการอุปสมบทพระภิกษุ 18 รูป เห็นแล้วน่าชื่นใจครับ



    [​IMG]

    ประธานทุนนิธิฯและภรรยาถ่ายหน้าไตรจีวร เครื่องอัฐบริขารต่างที่จะใช้ในการอุปสมบท



    [​IMG]

    [​IMG]

    เงินโปรยทานที่เตรียมไว้ให้นาคโปรยเป็นทาน ก่อนที่จะเข้าไปอุปสมบทในพระอุโบสถ




    [​IMG]

    บรรดาเจ้าภาพและแขกเหรื่อที่มาร่วมงานในครั้งนี้
     
  18. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293
    [​IMG]




    [​IMG]

    [​IMG]

    ประธานทุนนิธิฯและรองประธานทุนนิธิฯกำลังช่วยกันอุ้มไตรจีวร และเครื่องอัฐบริขารต่างที่จะใช้ในการอุปสมบท



    [​IMG]

    บรรดาพ่อนาคและขบวนแห่เดินเวียนรอบโบสถ์ 3 รอบก่อนจะเข้าสู่พระอุโบสถ


    [​IMG]

    พ่อนาคกล่าวคำขอขมาต่อเสมาหน้าพระอุโบสถ



    [​IMG]

    หลังจากนั้นก็พากันโปรยทานบริเวณด้านหน้าพระอุโบสถ ช่วงนี้แหละครับทั้งสนุกและชุลมุนกันที่สุด



    [​IMG]

    พระประธานและพระสาวกภายในพระอุโบสถ ที่จะทำการอุปสมบทหมู่ในครั้งนี้ งดงามและเข้มขลังน่าศรัทธา ภาพจิตรกรรมรอบภายในพระ
    อุโบสถก็สวยงามมาก



    [​IMG]

    บรรดาพ่อนาคทั้งหลายกล่าวคำขอบรรพชาเป็นสามเณร ก่อนที่จะขออุปสมบท ต่อหน้าพระอุปัชฌาย์เป็นลำดับต่อไป


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSCF3027.jpg
      DSCF3027.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94.3 KB
      เปิดดู:
      2,241
    • DSCF3033.jpg
      DSCF3033.jpg
      ขนาดไฟล์:
      90.4 KB
      เปิดดู:
      953
    • DSCF3056.jpg
      DSCF3056.jpg
      ขนาดไฟล์:
      115.9 KB
      เปิดดู:
      1,107
    • DSCF3059.jpg
      DSCF3059.jpg
      ขนาดไฟล์:
      115.4 KB
      เปิดดู:
      1,252
    • DSCF3045.jpg
      DSCF3045.jpg
      ขนาดไฟล์:
      94 KB
      เปิดดู:
      991
    • DSCF3079.jpg
      DSCF3079.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.3 KB
      เปิดดู:
      1,094
    • DSCF3042.jpg
      DSCF3042.jpg
      ขนาดไฟล์:
      80.4 KB
      เปิดดู:
      1,090
    • DSCF3080.jpg
      DSCF3080.jpg
      ขนาดไฟล์:
      89.7 KB
      เปิดดู:
      1,076
    • DSCF3086.jpg
      DSCF3086.jpg
      ขนาดไฟล์:
      101.8 KB
      เปิดดู:
      1,121
    • DSCF3096.jpg
      DSCF3096.jpg
      ขนาดไฟล์:
      105.6 KB
      เปิดดู:
      958
  19. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [music]http://palungjit.org/attachments/a.80413/[/music]
    fly_pig
    โมทนาครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    918
    ค่าพลัง:
    +4,293

    [​IMG]

    หลังจากอุปสมบทเสร็จพระภิกษุใหม่ออกมาหน้าพระอุโบสถให้ญาติโยมได้ทำบุญและชื่นชมกับพระใหม่กันทั่วหน้า


    [​IMG]

    พระภิกษุใหม่รับฉลองฉันภัตตาหารเพลจากบรรดาญาติโยม ที่นำมาถวาย


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ในงานเดียวกันนี้ทางวัดก็ได้จัดให้มีการแจกทุนการศึกษาให้กับนักเรียนและนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ด้วยครับ


    [​IMG]

    ประธานทุนนิธิฯและภรรยา และเจ้าภาพทุกท่านกำลังถวายเครื่องอัฐบริขารให้กับพระภิกษุใหม่


    [​IMG]

    พระภิกษุใหม่ 4 รูปที่ทางทุนนิธิฯเป็นเจ้าภาพบวชให้ในครั้งนี้ แต่ละองค์ดูผ่องใสเมื่อมาอยู่ในผ้ากาสาสพัตร์ ขอให้ทุกๆท่านจงเจริญยิ่งในธรรมของพระพุทธองค์ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ

    ขอให้พวกเราโปรดได้โมทนาบุญในครั้งนี้ร่วมกันด้วยนะครับ
    โมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...