ไม่ใช่นะครับที่มักกล่าวว่า “สมถะเหมือนการหลบภัย วิปัสสนาเหมือนการผจญภัย”

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมภูต, 26 พฤษภาคม 2009.

  1. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    , jinny95, ธรรมภูต , sriaraya5,ธรรมะสวนัง,วิมุตติ, เกสท์, เดินทาง, ๐นัท๐"เอหิปัสสิโก",นิวรณ์*,nanakorn*,k.kwan*,ขันธ์*,Tboon,visutto,albertalos,
    ทำบุญด้วยอะไรกันจ๊ะ ผู้กล้าทั้งหลาย พวงมาลัยร้อยเรียง
    อุ๊ย..ลืมคนนี้ ..กลับตัวกลับใจ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  2. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านทีฯครับ ท่านสงสัยดีแต่พูดหรือนายพักลักจำเขามาพูดเท่านั้น
    การที่จิตรู้ว่ากำลังจะหน่วงเหนี่ยวเอาความคิดมาเป็นอารมณ์นั้น <O:p</O:p
    ก็แสดงว่าจิตมีกำลังสติพอที่จะแยกอารมณ์ออกไป <O:p</O:p
    ไม่ใช่จิตกับความคิดเขาแยกตัวออกจากกันเองอย่างที่พูด<O:p</O:p
    <O:p
    ต้องมีขบวนการที่จิตระลึกรู้ทันอารมณ์และมีกำลังมากพอที่จะสลัดอารมณ์<O:p
    แล้วที่กำลังจะออกไปดื่มสุรา เค้ารู้ทันมั้ย???<O:p
    ตอบได้เลยว่ารู้ทันว่าออกจะออกไปดื่มสุรา<O:p
    แล้วทำไมความคิดนั้นไม่แยกออกไปเองหละ???
    บอกด้วยสิครับว่าฝึกสติให้เพียงพอได้อย่างไร???<O:p
    ถ้าสัมมาสมาธิยังไม่รู้จัก กระโดดไกลเป็นสัมมาทิฐิเหรอ???...ฝันไปได้

    ;aa24

     
  3. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านทีฯครับ อย่าลืมทำตัวตามที่ท่านอาจารย์สอนไว้นะครับ<O:p
    หัดโง่เสียบ้าง ปล่อยวางให้เป็น จะได้ตอบคำถามโง่ๆของผมได้<O:p
    จะได้รู้ว่า คำถามนั้นหนะไม่โง่ ที่โง่นะใคร???<O:p</O:p
    โง่ก็ยอมรับว่าโง่สิ จะได้ฉลาดได้สักวัน<O:p
    <O:p
    จิตที่ปล่อยวางกิเลส จิตเขาก็ย่อมว่าง จะยังหลงความว่างอีกเหรอ???<O:p</O:p
    เราต้องหมั่นเจริญสติให้ต่อเนื่อง ทำอย่างไร???....อย่าพูดลอยๆสิครับ<O:p</O:p
    <O:p
    จิตส่วนจิต ความคิดส่วนความคิดพอเข้าใจ<O:p</O:p
    แต่สติส่วนสติ จิตส่วนจิตนั้นไปเอามาจากไหน<O:p</O:p
    ย้ำๆๆๆๆๆ สติตั้งอยู่ที่ไหน???<O:p</O:p
    <O:p
    ผมไม่ขอให้โชคดี แต่ขอเพียงให้ตอบคำถามก็พอ<O:p</O:p


    ;aa24
     
  4. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    <O:p
    <O:p
    *ท่านเคฯครับ ท่านกำลังสับสนอะไรอยู่ครับ<O:p
    เพราะผมรู้จักตนที่แท้จริงจึงได้ “งง”กับคำพูดของท่าน<O:p
    ที่ท่านพูดนั้นไม่ใชการฝึกตนเข้าสู่ความเป็นกลางต่อการปรุงแต่ง<O:p
    <O:p
    ท่านคิดของท่านเองทั้งนั้น ที่พูดมาเป็นการเข้าไปรู้อารมณ์แล้วทั้งนั้น<O:p
    เป็นกลางตรงไหนครับ การเป็นกลางจริงๆ คือต้องไม่เข้าไปร่วมกับอารมณ์เหล่านั้น

    ;aa24<O:p
     
  5. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192


    *ท่านพูดว่า “ตัวเราเองนี้แหละ คือสิ่งมหัศจรรย์ของโลก”<O:p
    บอกด้วยครับว่าสิ่งนั้นคือ กายที่เปื่อยเน่า หรือจิตที่เป็นธาตุรู้ครับ???<O:p

    ที่ท่านพูดว่า ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นกลางเอง ความรู้สึกของเรามันจะพัฒนาตนเข้าสู่
    ความเป็นกลางด้วยตัวของความรู้สึกเอง”<O:p
    เป็นความรู้สึกล้วนๆนั้น ไม่ใช่นำตนพัฒนาตนเข้าสู่ความเป็นกลางสักหน่อย<O:p
    ในเมื่อยังมีการรู้รับอารมณ์ หลอกตัวเองยังไงก็เข้าสู่ความเป็นกลางไม่ได้หรอกครับ<O:p
    <O:p
    ท่านลองพิจารณาความเป็นกลางให้ดีๆสิครับ<O:p
    ไม่ซ้าย ไม่ขวา ไม่หน้า ไม่หลัง ไม่ล่าง ไม่บน<O:p
    นี่สิครับถึงจะเป็นกลางจริงๆ ไม่เข้าร่วมกับสิ่งเหล่านั้น

    ;aa24
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192

    *ท่านพูดมาข้างบนนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวท่านเท่านั้น
    ก็ยังดีครับที่ยังรู้สึกตัวว่าเป็นยังไง แต่ไม่ใช่ความเป็นกลางครับ

    ผมว่าอินทรีย์(ความเป็นใหญ่) ที่สะสมมาไม่เหมือนกันนะใช่
    แต่เป็นการสะสมตัวปัญหามากกว่าสะสมปัญญาครับ

    ท่านสังเกตดีๆความเป็นไป(ตามความเป็นจริง)สิครับว่า
    ทำไมแต่ละคนจึงมีพฤติกรรมไม่เหมือนกัน เพราะอะไร???
    ใช่เนื่องจากเคยเสพคุ้นกับอารมณ์เหล่านั้น สั่งสมมานาน
    บ่อยๆเนืองๆจนแสดงออกมาเป็นนิสัยใจคอที่แตกต่างกันใช่มั้ยครับ

    ทุกวันนี้ ที่เรามาสนใจพุทธศาสนาก็เพราะว่า
    ต้องการฝึกฝนอบรมจิตให้มีพลังในการสลัดความคุ้นชินต่างๆ
    ที่ดีก็เก็บไว้ใช้ประโยชน์ ที่ไม่ดีสลัดออกไปใช่มั้ย

    ;aa24
     
  7. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    *ท่านก็พูดของท่านเอง อาศัยผู้รู้ไปรู้ ไปรู้อะไร??? ใช่เรื่อง(อารมณ์)ใช่มั้ย
    นั้นไม่ใช่เป็นกลางหรอกครับ เกิดจากท่านคิดเองว่าเป็นกลาง
    การรู้ที่ตัวเอง ก็ยังจัดว่าเป็นเรื่องเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องตัวเอง
    การจะใหัจิตเป็นกลางได้นั้น ต้องรู้อยู่ที่รู้จริงๆ ไม่ใช่รู้อยู่ที่เรื่องครับ

    ;aa24
    <O:p></O:p>
     
  8. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านเคฯ ท่านต้องแยกความรู้สึกกับความจริงออกจากกันให้ได้ชัดเจนครับ
    เพราะความรู้สึกบอกแบบนี้ แต่คนอื่นไม่เห็นด้วยกับเราถมเถไป
    อันนั้นไม่ใช่สาระ สำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อสิ่งที่เรารู้สึกนั้นเกิดไม่ถูกต้อง
    เราจะเสียใจในภายหลังต่างหากครับ


    สตินั้นไม่ใช่อารมณ์ครับ แต่เป็นตัวมรรคครับ
    ที่ท่านต้องปรับความรู้สึกเข้าสู่ความเป็นกลาง
    ก็แสดงว่าท่านรับอารมณ์ไปเรียบร้อยแล้วครับ
    แต่รู้ไม่ทันเท่านั้นเอง มาระลึกรู้สึกตัวได้ในภายหลังครับ

    ผู้รู้ มีหน้าที่รู้ ใช่ครับ ต้องยืนตัวรู้ จึงเรียกว่าผู้รู้
    สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่ผู้ถูกรู้ครับ ทำหน้าที่ให้ถูกรู้ เพื่อปรุงแต่งผู้รู้ให้เสียคุณภาพ
    จะเข้าสู่ความเป็นกลางเองไม่ได้หรอกครับ
    ผู้รู้ไม่ออกไปรู้รับสิ่งที่ถูกรู้ นั้นแหล่ะครับจึงจะเข้าสู่ความเป็นกลาง

    ;aa24</O:p
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    *ท่านเคฯ ครับ อันนี้เป็นความมั่นใจของท่านเอง(สิทธิส่วนบุคคล)
    ผมคงไปบังคับให้ท่านคล้อยตามไม่ได้หรอกครับ
    นอกจากจะยอมเปิดใจเอง ถ้าท่านยังเป็นผู้ที่รักเหตุผลอยู่

    ทุกวันนี้จิตผู้รู้ รู้ผิดจากความเป็นจริง
    ย่อมมีแต่เสพรับอารมณ์เพื่อเพิ่มพูนความหนาของเปลือกมากขึ้น
    มีความสุขที่ได้เสพอารมณ์อย่างต่อเนื่อง ไหลไปตามอารมณ์
    จนกระทั่งจิตคุ้นชินกระด้างกับสิ่งห่อหุ้ม
    จนเฉย(ไม่ใช่วางเฉย)กับอารมณ์เหล่านั้น

    เมื่อเริ่มรู้สึก(เติบใหญ่)มากขึ้นว่าเฉยต่ออารมณ์เหล่านั้น
    จึงกระเสือกกระสนหาอารมณ์ใหม่เพื่อเสพคุ้นจึงเจาะสิ่งห่อหุ้มออกมา

    ก็จะเป็นวัฏฏะแบบนี้ตลอดไปไม่มีวันสิ้นสุด

    ท่านลองจินตนาการเรื่อง ลูกเจี๊ยบที่เจริญเติบโต
    ในเมื่อได้เวลาอันสมควรก็จะเจาะออกมาจากไข่
    ย่อมรับมั๊ยว่า เมื่อลูกเจี๊ยบเติบโตไปเรื่อยๆ
    ถึงเวลาอันควรก็ต้องตายตามกาล

    ท่านมั่นใจของท่านเองเพราะ ความเชื่อถือส่วนตัวของท่านเอง
    โดยไม่เคยที่จะเปิดใจรับสิ่งแตกต่าง ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง
    เพราะคิดเองว่า จิตหนะมันเติบโตเองได้ เปรียบเสมือนว่าจิตสะอาดเองได้

    อย่าลืมนะครับว่า มีพุทธพจน์กล่าวไว้ว่า “ต้องชำระจิตให้บริสุทธิ์”
    เพียงคิดๆๆๆๆๆๆ แล้วจิตสะอาดบริสุทธิ์เองได้ก็ดีสิครับ
    จะมานั่งหลังขดหลังแข็งไปทำมั๊ยให้เสียเวลาครับ

    ท่านก็พิจารณาแบบช้าๆดูบ้างสิครับว่า เพราะอะไรจิตไม่ประภัสสรถาวร
    เพราะจิตที่ถูกอวิชชาครอบงำ จิตจึงมีธรรมชาติชอบออกไปรู้รับอารมณ์ใช่มั้ยครับ???
    ถ้าอบรมฝึกฝนจิต โดยปฏิบัติเจริญสติกรรมฐานภาวนา
    จนกระทั่งจิตมีกำลังสติปัญญา เมื่อมีกิเลสจรมาเรา(จิต)ไม่รับกิเลสเป็นแขกได้มั้ย???

    ;aa24
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    อ้าว! เป็นงั้นไป..
    <O:p
    ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ พวกดูจิตติดคิด จิตหยาบกระด้าง<O:p
    คนพวกนี้อบรมให้จิตอ่อนยาก มากด้วยทิฐิชอบอวดว่ารู้<O:p
    <O:p
    ท่านทีฯครับ ผมถึงได้บอกไงครับว่า<O:p
    ท่านจะเป็นคนแรกที่ผมจะไล่ออก(จากการสอนเด็ก)<O:p
    สอนเอาๆแต่ห้ามถาม พอถามก็ไม่มีคำตอบ<O:p
    <O:p
    ท่านไม่รู้จริงหรือว่าทำไมครูบาอาจารย์จึงบอกท่านว่า ให้ท่านหัดโง่เสียบ้าง<O:p></O:p>
    แถมท่านยังย้ำนักย้ำหนาว่า โง่ก็ยอมโง่สิ ก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าท่านเป็นคนยังไง<O:p
    <O:p
    อย่าลืมแกล้งไม่ตอบคำถามโง่ที่ถามไปหละ เพราะท่านยังไม่ยอมหัดโง่<O:p
    โง่ก็ยอมโง่สิ แล้วท่านจะรู้ว่าคำถานนั้นไม่โง่ ที่โง่หนะใคร คิดว่าน่าจะรู้<O:p
    <O:p
    การปฏิบัติของท่านนั่นแหละ ตัวจริงเสียงจริง<O:p
    เลิกเอาสัญญา จากความคิดที่ตกผลึกมาหลอกตัวเองได้แล้ว<O:p
    ฝึก ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ สัมมาสมาธิเถอะครับ อย่ามัวหลงทางเสียอนาคตอยู่เลย

    ฐานเดิมของจิต(คือปกติ)อยู่ที่ไหน??? บอกให้เค้าหา <O:p
    บอกวิธีด้วยช่วยกันหน่อย อย่าพยายามพูดอะไรที่มันลอยไปลอยมาครับ<O:p
    ที่ท่านว่า“สติอยู่กับปัจจุบันจริง ๆ”นั้นอยู่ที่ไหน???<O:p
    <O:p
    “จิตจะโล่งโปร่งเป็นธรรมชาติ อยู่ในโหมดปกติ”<O:p
    อ้าวไหนพวกดูจิต บอกว่า มีจิตที่ไหนย่อมมีอารมณ์ที่นั่น<O:p
    ที่อภิธรรมพูดว่า “ปกติจิตมีธรรมชาติรู้รับอารมณ์” ขัดกันมั้ยนี่???<O:p</O:p
    <O:p
    ต้องไปหัดดูตอนเขาจะหลงความคิดจนจิตเกิดให้ทัน<O:p
    ใครที่ต้องหัดดูตอนเขาหลง ใครหัดดู ใครหลง???<O:p
    เลิกพูดอะไรที่มันลอยไปลอยมาหาจำเลยไม่ได้สักที<O:p

    ;aa24
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านทีฯ เลิกเถอะครับ อย่าเอาแค่คำบอกเล่า มาบอกเท่านั้น
    เอาวิธีมาด้วยสิครับ

    ฝึกรู้อยู่กับปัจจุบันไปเรื่อย ๆ นะ.....รู้อยู่ปัจจุบันอยู่ตรงไหน???
    อาจจะต้องฝืนใจตนเองบ้าง ฝืนความเคยชิน...ทำยังไง???

    สติปัญญาตั้งอยู่ที่ไหน???
    เมื่อจิตว่างจากกิเลส ยังหลงความว่างเพราะอะไร???
    คำว่ารู้ๆๆๆๆๆๆๆๆ ใครรู้???

    ท่านทีอย่าลืมตอบคำถามโง่ ให้ตรงประเด็นนะครับ
    แล้วอย่าลืมทำตัวอย่างที่ท่านอาจารย์สอนหละ
    หัดทำตัวให้โง่เข้าไว้ จะได้รู้ว่าคำถามหนะไม่โง่...ที่โง่นะใคร???

    ;aa24
     
  12. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เมื่อกี้ฟังธรรม ท่านว่าขันธ์ห้ามันไม่เที่ยง การปฎิบัติมันไม่ได้อยู่กับการทำจิตให้มันเที่ยง มันอยู่ที่ปล่อยวาง ตั้งหาก ^-^
     
  13. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เมื่อกี้ฟังธรรม ท่านว่าขันธ์ห้ามันไม่เที่ยง การปฎิบัติมันไม่ได้อยู่กับการทำจิตให้มันเที่ยง มันอยู่ที่ปล่อยวาง ตั้งหาก ^-^
     
  14. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านอาจานนิฯครับ ผมถึงได้ย้ำเตือนอยู่เนืองๆว่า ถ้าไม่รู้อย่าพยายามอธิบาย
    พอเกิดความเสียหายกับครูบาอาจารย์ แล้วใครรับผิดชอบครับ<O:p
    <O:p
    ท่านอาจารย์ เทสก์ ท่านก็เทศน์ของท่านได้ถูกต้องดีแล้ว<O:p></O:p
    ท่านนิฯอย่ามั่วเอาความคิดตัวเอง เข้าไปสอดแทรกจนเสียหายสิครับ<O:p
    <O:p
    ท่านอย่าพยายามแยก สมถะและวิปัสสนาออกจากสมาธิเลยครับ<O:p
    เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ชอบนักชอบหนาที่จะทำให้เป็นไปได้<O:p
    <O:p
    อย่าวางตัวเก่งกว่าพระบรมครูและครูบาอาจารย์เลยครับ<O:p
    หลวงปู่เทสก์ท่าน กำลังสอนพระภิกษุหรือฆราวาสครับ<O:p
    ท่านพูดว่า “อัปปนาสมาธินั้น เหมือนกับอัปปนาฌาน”<O:p
    ท่านก็พูดอยู่แล้วว่าเหมือนกัน แต่ต่างกันนั้น<O:p
    ท่านพูดไว้ชัดเจนอีกนั้นแหละ แต่ท่านอาจานนิของผม<O:p
    ชอบจริงเลยเรื่องที่ขอโชว์ภูมิบ้าง แยกสมถะกับสมาธิออกจากกัน<O:p
    <O:p
    ก็ของมันแยกกันไม่ได้...ยังไม่รู้เลย(เหมือนหมอที่ไม่มีพื้นฐานเรื่อง anatomy)<O:p

    ถึงได้มองความต่างไม่ออกเรื่องอัปปนาสมาธิ และอัปปนาฌาน
    เชื่อเถอะครับไปหัดฝึกฝนอบรมเจริญสติกรรมฐานให้ชำนาญก่อน<O:p
    <O:p
    วรรคนี้ชี้ให้ดูว่า สมาธิแบบชาวบ้านที่เขาติดกัน คิดว่าเป็นนิพพาน มีอัตตา(ถาม
    หาว่าใครรู้) นั้นเป็นอย่างไร<O:p
    <O:p
    ท่านชี้ตรงนี้ถูกครึ่งเพียงเดียว ตรงพวกพราหมณ์เข้าใจผิดคิดว่าเป็นนิพพานครับ<O:p
    โดยความเป็นจริงนั้น อารมณ์ฌานของพวกพราหมณ์นั้นยังยึดอารมณ์อรูปอยู่ครับ

    <O:pผมถามว่า อรูปฌานนั้นจัดอยู่ในสังโยชน์ข้อ๗ใช่มั้ย<O:p</O:p
    อย่างผู้ที่ติดอยู่ในอรูปฌาน ยังมีกิเลสเบาบางกล่าวเราท่านมิใช่หรือ<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ๆนั้น<O:p</O:p
    พระองค์ท่านยังรำลึกถึงท่านอาจารย์ทั้งสองของท่านก่อนใครๆ เพราะอะไรครับ?<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    อันนี้คือสภาวะของการเห็นมรรคแบบที่ 4 ที่พระอานนท์กล่าว<O:p</O:p
    <O:p
    ท่านอาจานนิฯครับ เลิกคิดเองเออเองเถอะครับ ไม่เกี่ยวกันเลย<O:p</O:p
    กับสภาวะเห็นมรรคองค์ที่๔ที่ท่านพระอาจารย์อานนท์กล่าวไว้<O:p</O:p
    <O:p
    ท่านพระอาจารย์หลวงปู่เทสก์<O:p</O:p
    ท่านบอกไว้แล้วแต่ตอนต้นว่าต่างกันยังไง<O:p</O:p
    ถ้าอ่านไม่เข้าใจเอง ก็อย่าพยายามเอาคำครูบาอาจารย์<O:p</O:p
    มารับรองความถูกต้อง ให้กับความเห็นของตัวเองเลยครับ<O:p</O:p

    ;aa24<O:p
     
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรียน ท่านธรรมภูติ

    เป้าหมายเหมือนกัน แต่ต่างที่ความคิดความเห็น และวิธีการปฏิบัติ
    สิ่งที่เราอยากพูด ก็พูดแล้ว สิ่งที่ท่านชี้แจง เราก็รับทราบแล้ว

    เรารู้แต่ว่า คนที่ยังไม่ถึงที่สุด ย่อมไม่รู้ความจริง
    และคนที่ยังไม่รู้ความจริง ก็ย่อมรู้ผิด อยู่เนืองๆ
    เมื่อวันใด ปฏิบัติธรรมจน รู้ถูกขึ้นมาได้
    ก็ย่อมเข้าใจเอง ว่าผิดเป็นอย่างไร ถูกเป็นอย่างไร

    เราเอง ก็ไม่ได้ยึดมั่น ว่าเราถูก เพราะ เราก็ยังไม่รู้ ถึงที่สุดของความจริง
    ถ้าท่านจะยึดมั่นว่าท่านถูกแล้ว ก็ขออนุโมทนา ขอให้รู้แจ้งถึงที่สุดของความจริง
    และหมดความยึดมั่นถือมั่นในความคิดในเร็ววัน

    ขอบคุณ ที่ได้สนทนาแลกเปลี่ยนทัสนะทางธรรม ค่ะ
     
  16. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424

    ขอบคุณ ถือว่าเป็นการเตือนสติซึ่งกันและกันครับ



    ก็อย่างที่คุณเป็นอยู่นี่แหละ เขาเรียกว่า จิตว่างแบบไม่มีปัญญา ยังหลง ยังไม่รู้ทางมาทางไปของอัตตาตัวตนจริง ๆ นะสิ ถ้าจิตว่างแบบมีปัญญา เพียงผมพูดแค่นี้เขาอนุโมทนาแล้วครับ

    จงอย่าปฏิเสธในสิ่งที่ท่านยังไม่เห็นว่าไม่มี..



    งงอย่างนี้ทุกรายแหละครับถ้ายังเข้าไม่ถึง

    แต่ถ้าเข้าถึงแล้ว มีแต่อนุโมทนาซึ่งกันและกัน เป็นอย่างนี้มาตลอดครับ



    ถ้าคุณฝักใฝ่ในธรรมจริง ๆ ก็จงเก็บเอาปริศนาธรรมนี้ไปลองทำตามที่ผมแนะนำเถอะครับ อย่าไปสงสัยอะไรมาก สงสัยตอนจิตยังเกิดแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้เลย หยุดคิด ๆ ไปก่อน ไม่ต้องกล้วจะไม่ได้คิด ไม่ต้องกลัวไม่มีปัญญานะ กระทู้ที่ผมตั้งขึ้นก็มี ลองเข้าไปดูนะครับ

    ขอให้เจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ
     
  17. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ท่านศรีฯครับ ก็ดีครับที่ท่านใช้เวลาไม่นาน แล้วท่านหลุดจากเวทนาตัวในหรือยังครับ
    ที่ท่านว่าแนบแน่น แนบแน่นขนาดวางกายในกายลงได้หรือยังครับ

    ท่านจะเชื่อหรือไม่ว่า ที่ท่านว่าไม่นาน ยังถือว่านานอยู่นะครับ
    ผู้ที่ปฏิบัติจนชำนาญเป็นวสีนั้น เพียงแค่ นึกน้อมจิต ก็เป็นอัปปนาสมาธิแล้ว
    ไม่เชื่อลองถามท่านอาจานขันธ์ ท่านวิสุทโธหรือท่านเกสท์ดูก็ได้ครับ

    เพื่อป้องกันการติดเวทนาตัวในนั้น ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำให้
    ฝึกฝนจนเป็นปฏิภาคนิมิต เพื่อฝึกฝนให้คล่องแคล่วชำนาญครับ

    ;aa24
     
  18. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    คุณ tboon มีคำอื่น หรือ เหตุผลอื่นไหม ที่บอกว่า คนนั้นคนนี้ ยังไม่ถึงธรรมบ้าง หรือ แยกรูปนามไม่เป็นบ้าง

    ผมบอกตามตรงครับ เรื่องทั้งหมด มันเกิดจาก การรับไม่ได้ในความเป็นปุถุชน ของคุณ เพราะคุณคิดว่า คุณเป็นอริยบุคคลแล้ว

    เมื่อมีคนไปชี้ว่า คุณยังผิดพลาดตรงนั้นตรงนี้ คุณรับไม่ได้ เรื่องมันเท่านั้นแหละครับที่ทำให้ คุณไม่พอใจผม
     
  19. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--//<![CDATA[ var m3_u = (location.protocol=='https:'?'https://www.palungjit.org/ads/www/delivery/ajs.php':'http://www.palungjit.org/ads/www/delivery/ajs.php'); var m3_r = Math.floor(Math.random()*99999999999); if (!document.MAX_used) document.MAX_used = ','; document.write ("<scr"+"ipt type='text/javascript' src='"+m3_u); document.write ("?zoneid=86"); document.write ('&cb=' + m3_r); if (document.MAX_used != ',') document.write ("&exclude=" + document.MAX_used); document.write ("&loc=" + escape(window.location)); if (document.referrer) document.write ("&referer=" + escape(document.referrer)); if (document.context) document.write ("&context=" + escape(document.context)); if (document.mmm_fo) document.write ("&mmm_fo=1"); document.write ("'><\/scr"+"ipt>");//]]>--></SCRIPT><SCRIPT src="http://www.palungjit.org/ads/www/delivery/ajs.php?zoneid=86&cb=99680480991&loc=http%3A//palungjit.org/threads/เธ”เธนเธ%88เธดเธ•-เธญเธธเธ%9Bเธ%81เธดเน€เธฅเธช-177714.html" type=text/javascript></SCRIPT>[​IMG]
    <NOSCRIPT> [​IMG]</NOSCRIPT>
    [​IMG]


    จิตผ่องใสเศร้าหมองได้ หลุดพ้นได้

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองเพราะอุปกิเลส ที่จรมา"

    "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผ่องใส ก็แต่ว่าจิตนั้นแล หลุดพ้นได้จากอุปกิเลส ที่จรมา."


    เอกนิบาต อุงคุตตรนิกาย ๒๐/๑๑










    อุปกิเลส 16

    ๑. อภิชฌมวิสมโลภะ คือความละโมภ อยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างไม่รู้จักพอ เห็นแก่ได้จนลืมตัว

    ๒. พยาบาท คือความคิดร้าย มุ่งจะทำร้ายเขา ใครพูดไม่ถูกใจก็คิดตำหนิเขา คิดจะทำร้ายฆ่าเขาก็มี บางครั้งทำร้ายผู้อื่นไม่ได้ ก็หันมาตำหนิตัวเอง ทำร้ายตัวเอง จนฆ่าตัวตายก็มีซึ่งเป็นเพราะอำนาจพยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

    ๓. โกธะ คือความโกรธ มีอะไรมากระทบก็โกรธ เป็นลักษณะโกรธง่าย แต่เมื่อหายแล้วก็เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คือไม่ผูกใจเจ็บ ไม่พยาบาท เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

    ๔. อุปนาหะ คือการผูกโกรธ ใครพูดอะไร ทำอะไรให้เกิดความโกรธแล้วจะผูกใจเจ็บ เก็บไว้ ไม่ปล่อย ไม่ลืม เป็นทุกข์อยู่อย่างนั้น กระทบอารมณ์เมื่อไร ก็เอาเรื่องเก่ามาคิดรวมกันคิดทวนเรื่องในอดีตว่าเขาเคยทำไม่ดีกับเราขนาดไหน เป็นอาการอย่างหนึ่งของโทสะ

    ๕. มักขะ คือการลบหลู่คุณท่าน ปิดบังความดีของผู้อื่น ลบหลู่ความดีของผู้อื่น เช่น เขาให้ของแก่เรา แทนที่จะขอบคุณกลับนึกตำหนิเขาว่า เอาของไม่ดีมาให้ หรือเมื่อมีใครพูดถึงความดีของเขา เราทนไม่ได้ เราไม่ชอบ จึงยกเรื่องที่ไม่ดีของเขามาพูด เพื่อปฏิเสธว่าเขาไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้น เป็นต้น
    ๖. ปลาสะ คือการตีเสมอ ยกตัวเทียมท่าน ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน แต่ชอบยกตัวเองดีกว่าเขา มักแสดงให้เขาเห็นว่าเราคิดเก่งกว่า รู้ดีกว่า ถ้าให้เราทำ เราจะทำให้ดีกว่าเขาได้

    ๗. อิสสา คือความริษยา เห็นเขาได้ดี ทนไม่ได้ เมื่อเห็นเขาได้ดีมากกว่าเรา เขาได้รับความรักความเอาใจใส่มากกว่าเรา เรารู้สึกน้อยใจ อยากจะได้เหมือนอย่างเขา ความจริงเราอาจจะมีมากกว่าเขาอยู่แล้ว หรือเรากับเขาต่างก็ได้รับเท่ากัน แต่เราก็ยังเกิดความรู้สึกน้อยใจ ทนไม่ได้ก็มี

    ๘. มัจฉริยะ คือความตระหนี่ ขี้เหนียว เสียดายของ ยึดในสิ่งของที่เราครอบครองอยู่อย่างเหนียวแน่น อยากแต่จะเก็บเอาไว้ ไม่อยากให้ใคร

    ๙.มายา คือเจ้าเล่ห์หลอกลวง ไม่จริงใจ พยายามแสดงบทบาทตัวเองเกินความจริง หรือจริงๆ แล้วเรามีน้อยแต่พยายามแสดงออกให้คนอื่นเข้าใจว่ามั่งมี เช่น ด้วยการแต่งตัว กินอยู่อย่างหรูหรา หรือบางกรณี ใจเราคิดตำหนิติเตียนเขา แต่กลับแสดงออกด้วยการพูดชื่นชมอย่างมาก หรือบางทีเราไม่ได้มีความรู้มาก แต่ของคุยแสดงว่ารู้มาก เป็นต้น

    ๑๐. สาเถยยะ คือการโอ้อวด หลอกลวงเขา ชอบอวดว่าดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา พยายามแสดงให้เขาเห็น เพื่อให้เขาเกิดอิจฉาเรา เมื่อได้โอ้อวดแล้วมีความสุข

    ๑๑. ถัมภะ คือความดื้อ ความกระด้าง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง ใครแนะนำอะไรให้ก็ไม่ยอมรับฟัง

    ๑๒. สารัมภะ คือการแข่งดี มุ่งแต่จะเองชนะเขาอยู่ตลอด จะพูดจะทำอะไรต้องเหนือกว่าเขาตลอด เช่นเมื่อพูดเถียงกันก็อ้างเหตุผลต่าง ๆ นานา เพื่อเอาชนะให้ได้ ถึงแม้ความจริงแล้วตัวเองผิด ก็ไม่ยอมแพ้

    ๑๓. มานะ คือความถือตัว ทะนงตน

    ๑๔. อติมานะ คือการดูหมิ่นท่าน ความถือตัวว่าเราดียิ่งกว่าเขา ทำให้ดูถูกดูหมิ่นคนอื่น

    ๑๕. มทะ คือความัวเมา หลงว่ายังเป็นหนุ่มเป็นสาว ยังไม่แก่ ยังไม่ตาย หลงในอำนาจ หลงในตำแหน่ง คิดว่าเราจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปแล้วทำอะไรเกินเหตุ

    ๑๖. ปมาทะ คือความประมาท เลินเล่อ ไม่คิดให้รอบคอบ อาการที่ขาดสติ ขาดปัญญา

    <SCRIPT language=JavaScript src="http://us.js2.yimg.com/us.js.yimg.com/lib/smb/js/hosting/cp/js_source/whv2_001.js"></SCRIPT><SCRIPT language=javascript>geovisit();</SCRIPT>[​IMG] [​IMG] <NOSCRIPT>[​IMG]</NOSCRIPT>​


    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009
  20. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647

    [​IMG]

    ...ผู้กล่าวตู่พระตถาคต...

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="94%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=postbody vAlign=top>"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลสองประเภทเหล่านี้ย่อมกล่าวตู่(หาความ)ตถาคต คือ บุคคลคิดประทุษร้าย มีโทสะภายใน ๑ ผู้มีศรัทธา กล่าวตู่ ด้วยถือเอาความหมายผิด ๑



    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลสองประเภทเหล่านี้แล ย่อมกล่าวตู่พระตถาคต



    ทุกนิบาต อังคุตรนิกาย ๒๐/๗๘</TD></TR><TR><TD> </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2009

แชร์หน้านี้

Loading...