เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ปกติคนไทยหากระโดดยากค่ะ มีแต่พวกจีน เกาหลี รัซเซีย อินเดียมากกว่า โดยเฉพาะอินเดียนี่นิยมมาก คือถ้ามาพัทยาต้องเล่นพวกพาราซูท และก็โดดหอพัทยาปาร์คนี่ล่ะ สำหรับโดดหอนี่ จินต์ขอตัวค่ะ ขอเป็นคนเชียร์ละกัน เชิญเพื่อน ๆ ตามสบายเลยค่ะ

    คุณซิปคะ สู้ตายค่ะ โดดเสร็จกลัวจะมีรอบสองสิคะไม่ว่า หุ หุ
     
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    นั่นสิ..สงสัยว่าจะขาอ่อนกันหมดแบบคุณซิปฯว่า อิอิ
    ถ้าเปลื่ยนใจเราไปพัทยาเซอร์กิตก็ดีครับคุณเดรด..ส่วนหอคอยเก็บไว้โดดในระบบ matrix 555 ...
     
  3. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    หลังๆ มานี่ไม่ค่อยได้เล่นอะไรน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ครับ (ยังกะว่าแต่ก่อนเล่นบ่อยงั้นแหล่ะ) ไม่รู้จะเตรียมใจได้หรือเปล่า

    ว่าแต่มีใครรู้บ้างครับว่า Mint tea ที่ไทยมีขายที่ไหน ไปดื่มที่เวียดนามมา ชงมาร้อนๆ แต่ก็รู้สึกว่าเย็นๆ เหมือนกัน อยากจะลองดื่มในสภาพที่ไม่ร้อนมาก วันนั้นต้องรีบดื่มด้วยเพราะต้องรีบไปขึ้นรถทัวร์ต่อ

    ดื่มแถวๆ ทะเลสาปคืนดาบที่ฮานอย ตรงกันข้ามกับทางเข้าทะเลสาปที่มีรูปปั้นอยู่ (ตอบเผื่อว่ามีคนถามว่าไปดื่มตรงไหนของเวียดนาม)
     
  4. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    mint tea เพื่อนบอกว่าลองไปดูที่ top supermarket ครับ จะมีขายเป็นกล่อง กล่องนึงประมาณซัก 10 ซอง นอกจากรสมินต์ ยังมีรสส้ม และก็รสอื่นๆอีกครับ
     
  5. Campanile

    Campanile สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    You can make your own fresh mint tea [You have fresh mint leaves (Sa-ra-Nae) all year round in Thailand]: see the recipe



    <LI itxtvisited="1">mint leaves <LI itxtvisited="1">boiling water <LI itxtvisited="1">small cooking pot <LI itxtvisited="1">honey (optional)


    <LI itxtvisited="1">Step1.
    Have some fresh mint leaves (about a small handful) ready to be brewed to make tea, if the leaves were grown form your garden or plant collection make sure to throughly wash them.

    Step22
    In small boiling pot, pour in 1-2 cups of water then heat up the water, then add in the tea leave and have water come up to a boil.

    Step3.3
    Leave the tea brewing for 3-5 minutes until the water turns into a yellowish color, meaning that the tea is done brewing.

    Step4.4
    Let the tea cool down for a couple of minutes before serving. For some sweetness, honey is a good option.
     
  6. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    คำถามของคุณเซลล์ เป็นคำถามที่ดีมาก เพราะเป็นคำถามที่ทำให้เราต้องพยายามทำความเข้าใจภาวะอันเป็นระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณต่อไปอีกระดับหนึ่งว่า การเป็นระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณนั้นส่งผลกระทบอย่างไรต่อบุคลิกภาพตัวตนอื่นๆ และการพัฒนาจิตวิญญาณอันเป็นระบบเครือข่ายนั้นเป็นไปอย่างไร

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า ท่านคาดหวังว่า เมื่อผู้อ่านได้ศึกษาข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในหนังสือแล้ว แม้ว่าผู้อ่านจะรู้สึกว่า ได้รับคำตอบมากมายที่ไม่เคยได้รับมาก่อนจากแหล่งอื่นใด แต่ในขณะเดียวกันผู้อ่านก็จะตั้งคำถามต่อไปอีกมากมาย และท่านได้กล่าวไว้ว่า คำตอบทั้งหมดมีปรากฏอยู่ในหนังสือแล้วทั้งหมด

    พี่นักเขียนตระหนักดีว่า แม้คำตอบจะปรากฏอยู่ในหนังสือทั้งสิบเล่ม แต่การค้นหาคำตอบก็ไม่ใช่ของง่าย ต่อเมื่อเราอ่านหนังสือชุดนี้ครบชุด-หลายรอบแล้วเท่านั้น เราจึงจะสามารถค้นหาคำตอบได้พบ พี่นักเขียนมีโอกาสอ่านหนังสือชุดนี้หลายสิบรอบ เพราะนอกจากจะได้ลงมือศึกษาข้อมูลเหล่านี้แล้ว ได้ทำหน้าที่ตรวจตัวอักษรและการเว้นวรรค ซึ่งแม้ว่าข้อมูลทั้งหมดจะถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือแล้วก็ตาม ก็ยังมีข้อผิดพลาดอีกมากอันเกิดจากการปรับการเว้นวรรคด้วย computer ต่างระบบ ซึ่งเมื่อมีการแก้ที่ปลายทาง ทำให้การเว้นวรรคและตัวอักษรซึ่งเคยถูกต้อง-กลายเป็นผิดพลาดไปอีกบ้าง หรือเกิดการตัดต่อผิดที่ ที่ทำให้เกิดการสลับคำผิดไปจากต้นฉบับ

    เมื่อหนังสือชุดนี้มาเป็น eBook พี่นักเขียนก็พบว่า ยังมีส่วนที่ต้องแก้ไขอีกบ้าง แต่ก็สามารถทำให้ถูกต้องตามต้นฉบับได้ง่ายขึ้น และการควบคุมการเว้นวรรคที่ถูกต้อง ทำให้หนังสืออ่านง่ายขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก ในที่นี้พี่นักเขียนต้องขอขอบคุณ คุณ zip และผู้อ่านท่านอื่นๆเป็นอันมาก ที่ได้อ่าน eBook และเมื่อพบคำผิด ได้กรุณารวบรวมและส่ง e-mail มาแจ้งให้พี่นักเขียนแก้ไข ซึ่งพี่นักเขียนหวังว่า ต่อไป eBook เหล่านี้จะหมดจดและปราศจากคำผิด การเว้นวรรคผิด และช่วยทำให้ผู้อ่านเข้าใจสาระได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้เสมอๆว่า จิตวิญญาณประสานกันเป็นระบบเครือข่าย ดังนั้นเมื่อจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง เป็นบุคลิกภาพตัวตนหนึ่งๆ ได้เปลี่ยนความเชื่อบางส่วนเป็นความรู้ ย่อมก่อให้เกิดการแปลงสภาวะที่ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณรวมทั้งหมด

    จิตวิญญาณทั้งหลาย ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันหรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็น :
    1. จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติ ในอดีต-อนาคตชาติ
    2. จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ ในปัจจุบันชาติ
    3. จิตวิญญาณ(เสมือน)ร่วมร่างแต่ต่างมิติ ในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตชาติ
    ของกันและกันทั้งสิ้น


    เราจึงไม่ได้เป็นบุคคลตัวตนโดดเดี่ยวที่มีขอบเขตจำกัด-เป็นเรา เราแต่ละคนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณรวม หากจะเปรียบการมาถือกำเนิดของจิตวิญญาณรวมที่แยกย่อยออกเป็นบุคคลตัวตนแต่ละคนกับหยดน้ำ เราแต่ละคนก็เป็นเสมือนหยดน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทรแห่งจิตวิญญาณ แม้เราจะคิดว่าเราเป็นบุคคลตัวตนอันเป็นเอกเทศ แต่เราก็ไม่เคยแยกตัวออกจากมหาสมุทรแห่งจิตวิญญาณเลย

    หยดน้ำแต่ละหยด แม้จะดูเสมือนเป็นเพียงส่วนเล็กจิบจ้อย แต่ไม่ว่าน้ำหยดนั้นจะแปลงคุณภาพไปอย่างไร มันก็ส่งผลกระทบต่อหยดน้ำอื่นๆในแหล่งน้ำเดียวกัน และในที่สุดมันก็ส่งผลกระทบต่อแหล่งน้ำทั้งแหล่ง หรือส่วนหนึ่งของมหาสมุทรได้เช่นเดียวกัน

    หากเปรียบการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้เสมือนการที่น้ำหยดหนึ่งได้รับ oxygen ที่ทำให้น้ำนั้นๆแปลงคุณภาพเป็นน้ำที่บริสุทธิ์มากขึ้นกว่าเดิม มันย่อมส่งผลกระทบต่อหยดน้ำข้างเคียง และทำให้แหล่งน้ำที่อาจจะมีคุณภาพไม่บริสุทธิ์ กลับคืนเป็นแหล่งน้ำที่บริสุทธิ์หรือมีคุณภาพดีกว่าเดิมได้

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากหยดน้ำเพียงหยดแรกที่ได้รับ oxygen เป็นบุคลิกภาพที่เป็นพ่อ แม่ ครู หรือผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่และอำนาจบังคับบัญชาเหนือบุคลิกภาพอื่นๆ ที่เป็นลูก ลูกน้อง ลูกจ้าง บุคลิกภาพดังกล่าวย่อมสามารถส่งผลกระทบ เปลี่ยนแปลงและช่วยพัฒนาบุคลิกภาพอื่นๆได้อย่างมากมาย

    ตำแหน่งหน้าที่พร้อมด้วยทัศนคดิและมุมมองเฉพาะตนของเราทั้งหลาย จึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาจิตวิญญาณรวมทั้งหมด ไม่มีบุคคลใดปราศจากความสำคัญ เพราะเราต่างก็เป็นหยดน้ำที่สามารถรับ oxygen เพื่อแปลงสภาวะเป็นน้ำดีหรือน้ำบริสุทธิ์ได้ไม่น้อยไปกว่ากัน จะต่างกันก็ตรงที่เราจะยอมให้ความเชื่อในแง่ลบครอบงำ จนเราเลือกที่จะเป็นหยดน้ำที่ด้อยคุณภาพความบริสุทธิ์ลงไป จนกลายเป็นน้ำเน่าเสียไปอีกนานเท่าใด

    เราแต่ละคนเลือกได้ ที่จะทำหน้าที่เป็นหยดน้ำหยดหนึ่งหรือแม้แต่หยดแรกในแหล่งน้ำหนึ่งๆ ที่จะนำ oxygen มาสู่หยดน้ำอันเป็นบุคลิกภาพตัวตนของเรา ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ และส่งผลกระทบต่อหยดน้ำอื้่นๆรอบตัวเรา หรือบุคลิกภาพตัวตนอื่นๆที่เป็นจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นคนรักคนใกล้ตัว และเหนี่่ยวนำให้หยดน้ำอื่นๆกลายเป็นหยดน้ำที่รับเอา oxygen เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็จะสามารถสร้างแหล่งน้ำสะอาด ที่จะให้ผลประโยชน์ได้ในวงกว้างต่อไป

    มีผู้อ่านที่เขียนมาถามพี่นักเขียนบ่อยๆว่า พี่นักเขียนยังฝันถึงท่านอาจารย์อนาลัยอยู่อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ ในระยะแรกๆที่หนังสือชุดนี้สำเร็จลง พี่นักเขี่ยนได้ตอบไปว่า ยังคงฝันและสื่อสารกับท่านในทิศทางเดิมอย่างสม่ำเสมอ แต่พี่นักเขียนก็ตระหนักว่า ท่านได้ให้ข้อมูลความรู้ที่ชัดเจนไว้ว่า จิตวิญญาณทั้งหลายแปลงสภาวะต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด แม้ท่านอาจารย์อนาลัยจะเป็นจิตวิญญาณ(เสมือน)ร่วมร่างแต่ต่างมิติ ในอดีต-ปัจจุบัน-อนาคตชาติของพี่นักเขียน ท่านก็ไม่ได้เป็นจิตวิญญาณที่อยู่ในภาวะที่ถาวรและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ท่านกล่าวไว้ว่า ความเปลี่ยนแปลงของพี่นักเขียน ย่อมส่งกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงของท่าน หรือกล่าวได้ว่า พัฒนาการของจิตวิญญาณของพี่นักเขียน รวมทั้งผู้อ่านทุกคน ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของจิตวิญญาณของท่าน

    หากกล่าวตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก กล่าวได้ว่าพี่นักเขียนเป็นบุคคลตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ในอดีตของท่าน แต่ท่านก็กล่าวว่า พี่นักเขียนไม่ได้อยู่บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นที่พัฒนาจิตวิญญาณไปเป็นท่านอาจารย์อนาลัยโดยตรง ตัวตนบนอีกเส้นทางหนึ่งของพี่นักเขียนได้พัฒนาไปเป็นท่าน แต่ตัวตนของพี่นักเขียนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้ ก็ส่งผลกระทบต่อตัวตนบนเส้นทางนั้นด้วย ซึ่งยังผลให้มันส่งผลกระทบต่อการพัฒนาจิตวิญญาณของตัวตนบนเส้นทางนั้น และส่งผลกระทบต่อท่านด้วย

    การสื่อสารกับท่านอาจารย์อนาลัย แปลงสภาวะไปจากเดิม พี่นักเขียนบอกได้ว่า ท่านไม่ได้คงสภาวะอยู่ดังที่เป็นมาก่อน การสื่อสาร-การรับและถ่ายทอดที่เคยเป็นเสมือนการรับและถ่ายทอดจากบุคคล หรือจากบุคลิกภาพที่เคยปรากฏเป็นบุคคลตัวตน จากนั้นแปลงสภาวะเป็น บุคลิกภาพที่ปราศจากบุคคลตัวตน ในที่สุดก็แปลงสภาวะเป็นบุคลิกภาพที่เป็นพลังแห่งความรักแต่เพียงอย่างเดียว ทุกวันนี้พี่นักเขียนไม่อาจสัมผัสความเป็นบุคคลตัวตนของท่านได้ไม่ว่าจะมีรูปกายหรือปราศจากรูปกาย แต่สัมผัสได้ถึงความรัก ความเมตตาปรานีและปัญญาอันหาที่เปรียบไม่ได้ ที่หลั่งไหลพรั่งพรูมาสู่สติสัมปชัญญะของพี่นักเขียนเสมอๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพี่นักเขียนมีความปรารถนาที่จะถ่ายทอดบางสิ่งบางอย่างให้กับผู้อ่าน พี่นักเขียนยังคงทำหน้าที่ล่ามและเลขาของท่านอาจารย์อนาลัยต่อไป ตราบใดที่พี่นักเขียนยังคงเป็นจิตวิญญาณที่เป็นร่างกายเนื้อหนังที่ยังคงต้องเรียนรู้ เพื่อเปลี่ยนความเชื่ออีกมากมายให้เป็นความรู้ต่อไป

    การประสานกันเป็นระบบเครือข่ายของจิตวิญญาณ จึงไม่ได้เป็นระบบที่ส่งผลกระทบทางเดียว หรือส่งผลกระทบทิศทางเดียว ดังเช่นที่เรามักคิดว่า พัฒนากการทั้งหลายเป็นไปทิศทางเดียว คือ จากด้านล่างขึ้นไปด้านบน หรือจากภายนอกไปสู่ภายใน จากชั่วไปดี หรือ จากต่ำไปสูง แต่เป็นการพัฒนาทั้งระบบ ทุกทิศทาง พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า
    การเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ และการขยายตัวการจดจ่อของสติสัมปชัญญะไปสู่ระดับอื่นๆได้กว้างขึ้นของเธอ ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของจิตวิญญาณของฉัน และจิตวิญญาณอื่นๆเช่นฉันโดยตรง เพราะความก้าวหน้าของเธอ คือความก้าวหน้าของฉัน
    อมตะแห่งจิตวิญญาณ ภาคต้น บทที่ 1 บทนำสู่อมตะแห่งจิตวิญญาณ หน้า 3

    พี่นักเขียนหวังว่า พวกเราจะอ่านหนังสือชุดนี้และกลับมาอ่านอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ใช่อ่านเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่คาดหวังที่จะต้องอ่านซ้ำเช่นหนังสืออื่นๆ ดังเช่นที่คุณน้อง Jintawadee กล่าวว่า อ่านไปหลายรอบแล้วแต่เพิ่งจะพบคำตอบที่ไม่น่าจะเล็ดรอดสายตาไปได้ หากผู้อ่านรับเอาข้อมูลความรู้จากหนังสือไว้ได้ในระดับจิตสำนึก เราจะตระหนักได้ว่า ข้อมูลความรู้เหล่านี้ สถิตย์อยู่ในจิตวิญญาณของเรา เมื่อนั้นเราจะพบว่า ท่านอาจารย์อนาลัยไม่ได้สถิตย์อยู่ไกลโพ้น หากแต่ท่านอยู่ใกล้ชิดเราเสมอ-เฉกเช่นลมหายใจของเรา และความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของตัวตนของเรา จะเปลี่ยนแปลงทุกคนรอบตัวเรา เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม และในที่สุด มันจะเปลี่ยนแปลงโลกของเรา

    เมื่อความเชื่อเปลี่ยนเป็นความรู้ โลกแห่งความเป็นจริงของเราย่อมเปลี่ยนไปด้วยเสมอ

    เธอทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง

    สักวันหนึ่ง เราทั้งหลายจะก้าวล่วงไปสู่ภาวะที่ เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความรู้อันเป็นของกลาง (rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2008
  7. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณสำหรับคำตอบของพี่นักเขียนนะครับ ชัดเจนมากๆ ทำให้ผมเข้าใจขึ้นเยอะเลยครับ

    ขอสอบถามพี่นักเขียนเพิ่มเติมหน่อยนะครับว่า

    บุคลิกภาพตัวตนของเราในปัจจุบันชาติที่ยังคงความเป็นร่างกายเนื้อหนังอยู่ หากมีการเปลี่ยนสภาวะจากร่างกายเนื้อหนัง(การตายจากร่างกายเนื้อหนังในปัจจุบัน) กลายเป็นพลังงาน จากนั้นกลับมาเป็นร่างกายเนื้อหนังอีกเพื่อเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง บุคลิกภาพของตัวตนในปัจจุบันจะเปลี่ยนนิสัยใจคอไปอย่างสิ้นเชิงได้หรือไม่ครับ
    เช่น ถ้าเทียบตามกาลเวลาของโลก ร่างกายเนื้อหนังเมื่ออดีต มีนิสัยใจคอใจอ่อน ขี้สงสารเป็นบุคลิกภาพหลัก ต่อมาเมื่อเปลี่ยนสภาวะมาเป็นร่างกายเนื้อหนังในร่างต่อมา จะมีนิสัยใจคอเอาแต่ใจตนเอง ไม่ยอมใคร เป็นบุคลิกภาพหลัก

    ถ้าหากเป็นอย่างที่ยกตัวอย่างข้างต้นได้ แสดงว่า การทำงานเป็นระบบของจิตวิญญาณ เพื่อการเปลี่ยนความเชื่อ เป็นความรู้ ไม่ว่าจิตวิญญาณจะแบ่งจิต เป็นร่างกายเนื้อหนังซักกี่ร่างก็ตาม ทั้งจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมมิติ และจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ การที่จิตแต่ละดวงซึ่งเป็นหน่วยย่อยของจิตวิญญาณรวม จะมีบุคลิกภาพของตัวตนในปัจจุบันอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับระบบของจิตวิญญาณรวมเป็นผู้จัดสรรใช่หรือไม่ครับ

    หน้าที่ของจิตแต่ละดวง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณรวม คือ การค้นหาสิ่งที่ควรกระทำเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของระบบรวมใช่หรือไม่ครับ
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พูดกันถึงเรื่องการดื่มและเครื่องดื่มของโปรด พี่นักเขียนมีประสบการณ์มาแชร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้อ่านที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกในวัยเรียนที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย

    เมื่ออยู่ชั้นมัธยมต้น พี่นักเขียนตัดสินใจว่าจะเลือกเรียนสถาปัตย์ คุณพ่อของพี่นักเขียนรู้สึกลำบากใจ เพราะไม่มีลูกสาวคนใดเลือกเรียนมหาวิทยาลัยในคณะที่ได้ชื่อว่ามีธรรมเนียมในการดื่มค่อนข้างจัดเหมือนคณะ'ถาปัตย์ ในสมัยนั้น เมื่อบอกคุณพ่อว่าอยากจะสอบเข้าถาปัตย์ คุณพ่อก็เล่าเกร็ดประวัติศาสตร์ให้ฟัง....

    เรื่องมีอยู่ว่า สายลับชาวรัสเซียผู้หนึ่งถูกกำหนดให้ไปบังคับให้นักการเมืองระดับสูงของเยอรมันนี เซ็นต์หนังสือสำคัญ จากนั้นก็ให้ฆ่านักการเมือผู้นั้นเสีย ตามแผนการ สายลับรัสเซียผู้นั้นจะต้องนำยาพิษปริมาณหนึ่งช้อนชาไปใส่ในถ้วยกาแฟของนักการเมืองเยอรมันให้จงได้ เพราะยาพิษนั้นจะออกฤทธิ์ที่ทำให้นักการเมืองเยอรมันไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้ และจะยอมคล้อยตามสายลับรัสเซียและเซ็นหนังสือสำคัญดังกล่าว จากนั้นยาพิษนั้นจะฆ่าเขา แต่การจะทำเช่นนั้นแทบจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะโอกาสที่สายลับผู้นั้นจะแอบเอายาพิษใส่ในถ้วยกาแฟของฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ให้ผู้ใดรู้เห็นคงจะไม่มี

    ในที่สุดนักวิทยาศาสตร์ผู้ผลิตยาพิษให้กับหน่วยงานลับของรัสเซียก็เสนอแนะว่า พวกเขาจะต้องฝีกสายลับรัสเซีย ด้วยการเริ่มต้นให้เขาจิบยาพิษเพียงวันละไม่กี่มิลลิแกรม โดยที่มันจะไม่ทำอันตรายต่อระบบชีวภาพของเขา และทำให้สายลับรัสเซียคงความมีสติพร้อมอยู่ได้โดยไม่ถูกยาพิษครอบงำ จากนั้นก็เพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดหลายปีผ่านพ้นไป สายลับผู้นี้สามารถจิบยาพิษได้ในปริมาณหนึ่งช้อนชาในคราวเดียว โดยยังคงมีสติพร้อมและไม่เกิดอาการผิดปกติใดๆกับร่างกายของเขาเลย

    ตามเกร็ดประวัติศาสตร์ สายลับรัสเซียผู้นี้นำยาพิษไปมอบเป็นของขวัญแก่นักการเมืองเยอรมัน โดยกล่าวว่ามันเป็นยาอายุวัฒนะที่ใช้ผสมกับกาแฟและจะทำให้มีสุขภาพดี นักการเมืองเยอรมันได้จัดงานต้อนรับด้วยอาหารค่ำอันหรูหรา ตบท้ายด้วยกาแฟถ้วยสำคัญ ที่เขาเชื้อเชิญให้สายลับรัสเซียดื่มร่วมกับเขา สายลับรัสเซียเทยาพิษหนึ่งช้อนชาลงในถ้วยกาแฟของตนเองโดยปราศจากพิรุธ ทำให้นักการเมืองเยอรมันชะล่าใจและเทยาพิษใส่ในถ้วยกาแฟของตนเองหนึ่งช้อนชาเช่นกัน ทั้งหมดก็เป็นไปตามแผน นักการเมืองเยอรมันผู้นั้นยอมเซ็นต์หนังสือสำคัญ และเขาก็ถึงแก่ความตายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ส่วนสายลับรัสเซียนอกจากจะทำงานสำเร็จแล้ว ยังรอดพ้นการจับกุมไปได้อีกด้วย เพราะเขาก็ดื่มเหมือนกัน จึงไม่มีผู้ใดเอาผิดเขาได้

    เมื่อเล่าเรื่องจบคุณพ่อก็บอกว่าเครื่องดื่มมึนเมาไม่ต่างไปจากยาพิษ ถึงมันจะไม่ทำลายชีวิตได้อย่างฉับพลัน แต่มันก็ทำลายสติพร้อม ทำลายการเรียนในปัจจุบันและทำลายอนาคต หากเราเลี่ยงไม่ได้เราก็ต้องฝึกฝนที่จะควบคุมไม่ให้มันมีอิทธิพลเหนือเรา นับแต่วันนั้นพี่นักเขียนได้รับการ train จากคุณพ่อให้เริ่มจากการดื่ม beer ผสม 7Up จากนั้นเลื่อนขั้นไปเป็นดื่ม beer import ซึ่งมี alcohol เบาบางเมื่อเทียบกับ beer ไทย จากนั้นก็ดื่มเบียร์สิงห์ - baby champ (champagne สำหรับสุภาพสตรี ซึ่งมี alcohol content น้อยกว่า champagne ตามปกติ) จากนั้นก็ดื่ม champagne - wine - จนในที่สุดเมื่ออยู่ชั้นมัธยมปลายก็สามารถดื่ม brandy ได้หลายแก้วโดยไม่เมา คุณพ่อสอนว่าให้ถามตนเองเสมอๆว่า "สติอยู่ที่ไหน ? เรายังมีสติพร้อมอยู่ไหม? หากสติพร้อมไม่มี เราถึงจุดที่ถูก alcohol ครอบงำเราเหมือนยาพิษ ขอบเขตที่ลูกต้องเรียนรู้ คือ จุดที่สติพร้อมของลูกด้อยไปกว่าที่เราต้องการจะให้มันเป็น ลูกจะต้องเรียนรู้ที่จะหยุดดื่มก่อนที่จะถึงจุดนั้น"

    ทุกวันนี้พี่นักเขียนตระหนักได้ว่า คุณพ่อมีความเชื่อในตัวพี่นักเขียนว่าจะสอบเข้าได้ การหัดดื่มกลายเป็นเพียงกลไกที่ทำให้พี่นักเขียนรับเอาความเชื่อของคุณพ่อ เป็นความเชื่อของตนเองว่า ฉันจะสอบเข้าได้ ซึ่งเป็นพลังผลักดันให้พี่นักเขียนสอบเข้าได้จริงๆ แม้ว่าที่นั่งสมัยนั้นจะมีจำกัดเพียง 35 ที่เท่านั้น การหัดดื่มจึงเป็นการสร้างความพร้อมที่จะไปเผชิญกับชีวิตในรั้วมหาลัยล่วงหน้า การ train ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ถึงกับเป็นการฝึกเช่นสายลับรัสเซียที่คงต้องจิบยาพิษแทบจะทุกวันเพื่อให้ร่างกายของเขา build up immune ที่แกร่งพอที่จะทนทานต่อยาพิษได้ แต่เป็นการทำให้ทั้งร่างกายและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจิตใจ ได้รับการฝึกที่จะรับมือกับเครื่องดื่มที่มีอิทธิพลต่อสติสัมปชัญญะ

    วันแรกสุดของการซ่อม นักศึกษาปีหนึ่งต่างก็รับเอาเครื่องดื่มแปลกๆที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนจากรุ่นพี่ มันเป็นเครื่องดื่มกลิ่นคล้าย wine ที่มีสีชมพูอ่อนๆ พี่นักเขียนทราบจากรุ่นพี่บางคนว่ามันคือ กระแช่ มันหวานกว่า wine มาก เครื่องดื่ม alcohol ที่มีรสหวานจะทำให้เมาง่ายยิ่งขึ้นไปอีก เพราะน้ำตาลจะช่วยให้ alcohol เข้าสู่กระแสเลือดได้เร็วยิ่งขึ้น เพียงไม่กี่แก้ว-เพื่อนหลายคนของพี่นักเขียนที่ไม่เคยดื่มมาก่อนเลยในชีวิตเริ่มเมา เดินโซเซ บางคนไม่รู้จะทำอย่างไรกับตนเอง บางคนก็ได้แต่นั่งร้องไห้ บางคนก็หลับไหลไปไม่รู้ตัว คนที่ปกติแล้วเงียบก็เสียงดัง คนที่ปกติแล้วดังก็กลับเงียบหรือดังยิ่งขึ้นไปอีก บางคนก็ตกสระน้ำหน้าคณะ เป็นประสบการณ์ที่พี่นักเขียนไม่มีวันลืมเลือนและจำได้ดีว่า ท่ามกลางเสียงหัวเราะของรุ่นพี่ที่ก็เมาไม่น้อยไปกว่ารุ่นน้อง ทำให้พี่นักเขียนรู้สึกเหมือนก้าวเข้าไปในแดนสนธยา พี่นักเขียนเฝ้าดูพวกเขาเงียบๆ พลางนีกขอบพระคุณคุณพ่อนับร้อยนับพันครั้ง เพราะสติที่ยังอยู่กับตัวทำให้รู้สึกถึงการมีพลังอำนาจประหลาดที่ทำให้รู้ว่า ตนเองจะรอดพ้นจากเหตุการณ์คืนนั้นไปได้ด้วยความมั่นใจ

    หลังจากการซ่อมคืนแรก พี่นักเขียนลงเอยด้วยการขับรถไปส่งเพื่อนชายหญิงหลายคนรายทาง ที่เมาจนกลับบ้านเองไม่ได้ บางคนก็จำต้องนอนอยู่ที่คณะเพราะแม้แต่จะเดินไปขึ้นรถก็เดินไม่ไหว และเหตุการณ์ก็เป็นไปเช่นนั้นทุกวันศุกร์ เป็นเวลาหลายเดือนจนถึงวันรับน้อง การซ่อมพร้อมกับการดื่มหรือบังคับให้ดื่มก็จบลงไปพร้อมๆกัน เพื่อนหลายคนที่ไม่เคยดื่มมาก่อนเลย กลายเป็นนักดื่มตัวยง เขาเลือกที่จะกลายเป็นคนดื่มเอง-เมาเองโดยไม่มีใครบังคับ หลายคนเลือกที่จะกลายเป็นคนดื่มจัด-เมาจัดจนเป็นนิสัย

    นอกสังคมมหาวิทยาลัย พี่นักเขียนก็มีสังคมกับคุณพ่อคุณแม่และญาติผู้ใหญ่ที่มีโอกาสดื่มได้เสมอๆ โดยไม่มีความรู้สึกว่า หากไม่ไปดื่มลับหลังคุณพ่อแล้วจะหมดโอกาส ความรู้สึกที่ว่า คุณพ่อ train เราและให้โอกาสเราดื่ม ทำให้พี่นักเขียนรู้สึกว่า การดื่มไม่ใช่สังคมในรั้วมหาวิทยาลัยที่เป็นสัญญลักษณ์ของการมีอิสรภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อยังเป็นเด็กนักเรียนมัธยม มันทำให้มุมมองของพี่นักเขียนเกี่ยวกับการดื่มแตกต่างไปจากเพื่อนหลายๆคนที่บอกว่า พ่อแม่ของเขาไม่เคยอนุญาตให้ดื่ม ทำให้พวกเขาพอใจในการดื่มเพราะมันทำให้รู้สึกว่า มีอิสระที่จะได้ทำในสิ่งที่ถูกห้ามหรือบังคับไม่ให้ทำมาก่อน

    สามีของพี่นักเขียนซึ่งเรียนจบ'ถาปัตย์และผ่านประสบการณ์เดียวกันมาจากต่างมุมมอง ยอมรับว่าวิธีการของคุณพ่อของพี่นักเขียนเป็นวิธีการที่แม้จะผิดแผกไปจากหลายครอบครัว แต่ก็เป็นวิธีการที่ได้ผล เพราะเขาเองก็ยอมรับว่าหากเราจะต้องปฏิเสธการดื่มเพราะร่างกายรับไม่ได้ ก็ดูเสมือนว่ามันจะเป็นภาวะที่เสียเปรียบ เพราะหากเราเลี่ยงสถานการณ์ไม่ได้ เราก็ขาดพลังอำนาจหรือความสามารถที่จะควบคุมตนเองได้ แต่การปฏิเสธที่จะดื่มด้วยการเลือกตามความพอใจแม้ร่างกายจะรับได้ ดูเสมือนจะเป็นภาวะที่ได้เปรียบกว่าเสมอ เพราะหากตกเข้าที่นั่งหรือสถานการณ์ที่ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งพี่นักเขียนกับสามีเคยตกอยู่ในสถานการณ์นั้นมาแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างงยิ่งเมื่อครั้งเดินทางไปประเทศจีน เมื่อพนักงานนำเหล้าเหมาไถมาเสริฟจนครบคนแล้ว เจ้าภาพคนสำคัญจะยืนขึ้นพร้อมกับแก้วเหล้า-เหมาไถ ใบจิ๋วของเขา ทุกคนจะต้องรีบหยิบแก้วใบจิ๋วของตนขึ้น กล่าวตามท่านประธานว่า "กำ-เปย" แล้วดื่มแบบ bottom-up รวดเดียวหมดแก้วตามเจ้าภาพ เพราะเขาถือว่าเป็นการให้เกียรติเจ้าภาพ กว่าจะรับประทานอาหารหมด 25 รายการ เจ้าภาพท่านก็ลุกขึ้น กำ-เปย ไม่น้อยไปกว่ารายการอาหาร

    เมื่อมาถึงรุ่นลูก พี่นักเขียนกับสามีก็ถ่ายทอดประสบการณ์เดียวกันนี้ให้ลูก คือหัดให้ลูกรู้จักการดื่มและการควบคุมให้มีสติพร้อม และรู้จัก limit ของตนเอง ทุกวันนี้ลูกๆของพี่นักเขียนก็ทำหน้าที่ขับรถเอาเพื่อนๆไปส่งบ้านบ่อยๆ ลูกๆบอกกับพี่นักเขียนและคุณพ่อของเขาว่า เขารู้สึกขอบคุณที่ daddy กับแม่สอนให้เขาดื่มก่อนที่จะเข้ามหาลัย เพราะมันทำให้เขารู้ว่า การดื่มไม่ใช่การแสดงออกซึ่งอิสรภาพที่เขาไม่เคยมีมาก่อนเหมือนอย่างที่วัยรุ่นจำนวนมากเข้าใจกัน ลูกๆบอกว่า ไม่ว่าจะอยู่กับเพื่อนๆจำนวนมากน้อยเท่าใด การดื่มที่ลูกได้รู้จักมาแล้วก่อนหน้านั้น กลายเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญสำหรับการแสดงออกของเขา การดื่มไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการแสดงออกซึ่งอิสรภาพหรือการก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของเขา แต่กลายเป็นเพียงทักษะอย่างหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เขามีสติพร้อมอยู่ได้โดยไม่สูญเสียมันไปกับความไม่รู้ใน limit ของตนเอง

    วัยรุ่นจำนวนมากใช้การดื่ม เป็นการแสดงออกถึงอิสรภาพในสังคมของเขา เพราะมันเป็นพฤติกรรมที่พ่อแม่ไม่เคยอนุญาตให้เขาสัมผัสมาก่อน พี่นักเขียนไม่ได้สนับสนุนให้คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยรุ่นทั้งหลายหันมาส่งเสริมให้ลูกๆดื่ม แต่อยากส่งเสริมให้คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกวัยรุ่นทั้งหลาย สื่อสารกับลูกว่า เขาสามารถที่จะมีอิสรภาพได้เสมอทั้งต่อหน้าและลับหลังพ่อแม่ เพราะพ่อกับแม่รักและสนันสนุนให้เขามีอิสรภาพที่จะแสดงออกซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ การก้าวสู่วัยที่เป็นผู้ใหญ่ และการเป็นคนสำคัญของเขาเสมอ หากลูกอยากจะทดลองกับการดื่ม ที่เป็นส่วนหนึ่งของการสังคม ก็ขอให้พ่อแม่สื่อสารกับเขาว่า การทดลองนี้อาจมีผลที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสติสัมปชัญญะของเขา ดังนั้นขอให้การทดลองนี้เกิดขึ้นเมื่อเขาอยู่ในสายตาของพ่อแม่ ดีกว่าที่จะไปทดลองลับหลัง

    เพื่อนสนิทหลายคนบ่นให้พี่นักเขียนให้ฟังว่า เป็นห่วงว่าลูกจะแอบไปดื่มลับหลังเมื่อเข้าเรียนมหาลัย พี่นักเขียนได้แนะนำว่า ให้พ่อแม่เป็นผู้ offer ให้ลูกทดลองดื่มต่อหน้าเรา เพื่อที่เขาจะได้ไม่ไปทดลองลับหลังด้วยตนเองและอาจจะเมา ขาดสติและต้องไปตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ที่แก้ไขหรือเรียกคืนไม่ได้ หลายครอบครัวที่ทำตามคำแนะนำของพี่นักเขียนบอกว่า ลูกบอกขอบคุณเขา ลูกบางบ้านได้ลองแล้วก็บอกว่า "ผมรู้ตัวแล้วหละ ว่าผมจะไม่ชอบดื่ม" เมื่อเข้ารั้่วมหาลัยไปแล้ว เขาก็ไม่ดื่ม และไม่ตกเป็นเหยื่อของการแสดงออกซึ่งอิสรภาพของตนเอง ในทิศทางที่เป็นพิษเป็นภัยแก่ตนเอง

    ทุกวันนี้พี่นักเขียนก็เป็นคนที่ดื่มได้เสมอเมื่อสังคมกับเพื่อนฝูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมชาวตะวันตก เป็นสังคมที่การดื่มเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ชาวอังกฤษให้ลูกหลานของเขาดื่ม wine พร้อมกับอาหารเย็น ตั้งแต่อายุได้เพียง 12-13 ปีเท่านั้น ไม่ว่ารับประทานอาหารกับชาวอังกฤษท่านใด เขาจะไม่เคยถามเลยว่าเราดื่มไหม? แต่จะถามว่าเราดื่ม red wine หรือ white wine แม้แต่บาทหลวงชาวอังกฤษซึ่งเคยเชิญพี่นักเขียนร่วมรับประทานอาหารเย็นกับเขา ก็ดื่มตั้งแต่ก่อนอาหารไปจนหลังของหวาน ส่วนชาวอเมริกันนั้นตามกฏหมายแล้วให้ดื่มได้เมื่ออายุ 21 ปีไปแล้ว และสังคมนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ดื่มจัดมาก แต่พ่อแม่ชาวอเมริกันก็มีวัฒนธรรมที่ใกล้ชิดลูก พ่อแม่จะได้รับเชิญให้ไปเที่ยว pub เพื่อดื่มกับลูกๆของเขาที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย เขาเรียกโอกาสพิเศษนั้นว่า pub crawl ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะคะว่า เขาจะดื่มกันมากขนาดไหน

    ช่วงที่เขียนหนังสือชุด 10 เล่มนี้ เป็นช่วงที่พี่นักเขียนหมดความอยาก หมดความสนใจ และไม่อยากดื่มไปโดยปริยาย ทั้งที่ตามปกติแล้วดื่มได้เสมอถ้ามีคนชวนและดื่มไปตามฤดูกาลเสมอ อย่างมากที่สุดที่จะดื่มได้ในช่วงนั้นคือ wine เพียงแก้วเดียว และนานๆครั้งเท่านั้น

    แต่ไม่ว่าการดื่มของบุคคลจะมากหรือน้อยเพียงใด พี่นักเขียนเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่เป็นมาตรวัด คือ สติพร้อม ทั้งหมดนี้คงจะต้องกลับไปอาศัยเกร็ดประวัติศาสตร์ของสายลับรัสเซียเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า สติพร้อมของแต่ละคนมี limit อยู่ ณ จุดใด เพราะพี่นักเขียนเชื่อว่า มันไม่เท่ากันด้วยชีวภาพอันเป็นเอกลักษณ์ และทักษะที่เกิดจากการฝึกฝน(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • img_7.jpg
      img_7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      43.6 KB
      เปิดดู:
      29
    • coke_newpackage.jpg
      coke_newpackage.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21.7 KB
      เปิดดู:
      31
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนไม่ได้ฝันถึงการสร้างโรงเรียนสอนทำสมาธิที่ประเทศไทย เพราะเคยใช้บ้านที่กรุงเทพฯเป็นศูนย์ฝึกปฏิบัติ โดยเปิดสอนสัปดาห์ละ 1 วัน และเปิดให้สมาชิกมานั่งสมาธิร่วมกันอีกสัปดาห์ละ 2 วัน มีสมาชิกประมาณ course ละ 15-30 คน แต่ละ course ยาว 10 สัปดาห์ เปิดสอนและนั่งสมาธิร่วมกันอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลากว่า 2 ปี และวันสุดสัปดาห์ก็พาสมาชิกบางครอบครัวไปนั่งสมาธิกับพี่นักเขียนและสามีที่บ้านตากอากาศที่ชะอำด้วยเสมอๆ จนกระทั่งย้ายมา Kansas ก็มาทำต่อที่นี่ค่ะ

    ทุกวันนึ้ก็มีสถาบันที่สอนทำสมาธิมากมายทั่วประเทศไทย จนทำให้พี่นักเขียนคิดว่า เหตุที่ตนเองต้องย้ายมาก็คงจะเป็นเพราะความต้องการของที่นี่มีมากขึ้น แต่หาคนสอนสมาธิได้น้อย จึงเป็นพลังผลักดันให้พี่นักเขียนต้องย้ายถิ่นฐานมาสอนที่นี่

    พี่นักเขียนขอบคุณคุณน้องจินต์ด้วยค่ะ ที่อยากจะพบพี่นักเขียน ทำให้รู้สึกว่า สักวันหนึ่งจะต้องได้พบกันจริงๆ เอาภาพวาดมาอวดพวกเราบ้างสิคะ(rose)
     
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    เมื่อครั้งยังใช้ชีวิตอยู่เมืองไทย พี่นักเขียนได้ยินคำกล่าวเช่นเดียวกับที่คุณ zip ว่านี้บ่อยๆและสงสัยว่า มันเป็นความจริงตามนั้นหรือเปล่า?

    เมื่อพี่นักเขียนเดินทางไปประเทศอื่นๆในโลก คำถามนี้ผุดขึ้นมาเสมอ ไม่ว่าจะเป็นประเทศอังกฤษ ที่พี่นักเขียนคุ้นเคยและได้เดินทางไปพักแรมที่นั่นปีละหลายเดือนเป็นเวลากว่า 8 ปี ประเทศ Canada, New Zealand, Australia, และประเทศอื่นๆอีกมากมายหลายประเทศใน Europe ซึ่งล้วนแต่เป็นดินแดนของชนผิวขาว ที่เราเรียกพวกเขาว่า-ฝรั่ง พี่นักเขียนมองเห็นความเป็นระเบียบของบ้านเมืองและสังคม ที่น่าจะเป็นภาพสะท้อนของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของประชากรและเผ่าพันธุ์ของพวกเขา ซึ่งแตกต่างไปจากภาพสะท้อนของหลายๆประเทศในเอเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศที่กำลังพัฒนา

    หากจะกล่าวว่าภาพสะท้อนของสภาพแวดล้อม เป็นเพียงวัตถุธาตุที่แลดูเจริญหูเจริญตา แต่เป็นภาพสะท้อนที่ตรงกันข้ามกับจิตใจหรือสวนทางกับภาวะของจิตวิญญาณ มันก็ไม่น่าจะเป็นความเป็นจริงไปได้เลย เพราะหากสภาพจิตใจคนเราตกต่ำ เราคงจะสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางกายภาพที่เจริญหูเจริญตาออกมาไม่ได้ เช่นเดียวกับศิลปินที่มีจิตใจหดหู่ คงจะสร้างสรรค์ผลงานที่ดูสดใสร่าเริงออกมาไม่ได้

    พี่นักเขียนข้องใจในคำกล่าวนี้มายาวนานมากก่อนหน้าที่จะได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตอยู่ในโลกของฝรั่งจริงๆ สงสัยพวกเขา และคอยสังเกตดูพวกเขาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นจริงอย่างที่ได้ยินมาหรือเปล่า ยิ่งพี่นักเขียนรู้จักพวกเขามากขึ้นเท่าไร พี่นักเขียนก็ยิ่งตระหนักได้ว่า คำกล่าวที่เราได้ยินกันมาเสมอๆนี้ เป็นคำกล่าวที่นอกจากจะปราศจากความเป็นจริงแล้ว ยังดูเสมือนเป็นคำวินิจฉัยที่ไม่ยุติธรรมกับฝรั่งด้วยซ้ำไปค่ะ

    ทุกวันนี้พี่นักเขียนเชื่อในคำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพเป็นภาพสะท้อนที่ฉายออกมาจากโลกแห่งความเป็นจริงทางจินตภาพ ที่เป็นโลกของจิตวิญญาณ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ภาวะทางกายภาพหรือวัตถุธาตุท้ังหลาย เป็นภาพสะท้อนของภาวะจิต

    หากภาวะทางวัตถุเจริญเท่าใด ภาวะทางจิตวิญญาณก็เป็นไปในทิศทางที่สร้างสรรค์เท่านั้น
    บางทีเราคงต้องมาให้คำจำกัดความกันใหม่กับคำว่า สูงหรือต่ำ


    เรายึดติดกันมานมนานว่า จิตวิญญาณพัฒนาจากต่ำไปสูง
    เราไม่เคยพิจารณาว่า จิตวิญญาณพัฒนาจากการสร้างสรรค์ได้น้อย ไปสู่ การสร้างสรรค์ได้มาก - ดังปรารถนา
    เรากลับวินิจฉัยการสร้างสรรค์ของจิตวิญญาณที่สะท้อนเป็นวัตถุธาตุ สวนทางกับพัฒนาการของจิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง

    สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ประหลาดในนัยที่ว่า คนอเมริกันที่แท้จริงนั้น คืออินเดียนแดง แต่ฝรั่งอเมริกัน หรือชนผิวขาวที่คนทั้งโลกเรียกเขาว่าเป็น American นั้น กลับไปคนสารพัดชาติ ที่มีต้นกำเนิดเดิมมาจากประเทศใดประเทศหนึ่งใน Europe, Australia, New Zealand, Canada, หรือประเทศอื่นในอเมริกาใต้ ตลอดจนประเทศอื่นๆใน Africa, Russia และแม้แต่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศอื่นๆในโลกรวมทั้งไทย

    อเมริกาจึงเป็นประเทศเดียวในโลกที่ปราศจากเผ่าพันธุ์ที่แท้จริง ปราศจากเรา-เขา ในนัยของการแบ่งแยกด้วยเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ สีผิว วัฒนธรรมจำเพาะ และ ศาสนาอันจำกัด ทุกวันนี้แม้ว่าสหรัฐจะกำลังทำสงครามกับประเทศ Iraq ซึ่งเป็นชนเผ่าที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาหลัก และนับถือคริสต์เป็นศาสนารอง แต่ศาสนาอิสลามกลับเป็นศาสนาที่เติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในสหรัฐ (ศาสนาพุทธเติบโตเป็นอันดับสอง) แต่ majority ของคนอเมริกันก็ยังนับถือคริสต์

    โบสถ์คริสต์ที่มีชื่อว่า Unity Church เป็นจุดเริ่มต้นของการรวมทุกศาสนาในโลกเข้าด้วยกัน และที่น่าประทับใจคือ มันมีจุดเริ่มต้นที่ Midwest ซึ่งเป็น American Heartland เป็นหัวใจของประเทศที่เรียกกันว่าเป็น Bible Belt หรือเป็นส่วนของประเทศที่เคร่งศาสนาที่สุด

    เมื่อพี่นักเขียนได้รับการทาบทามให้มาสอนสมาธิที่ Unity Church เป็นแห่งแรก พี่นักเขียนรู้สึกประทับใจกับการเปิดกว้างของสมาชิกชาวคริสต์ที่ยินดีมาเรียนสมาธิแนวอาณาปานสติ พี่นักเขียนสอนให้เขาบริกรรม พุท-โธ ฝรั่งเขาก็ว่า พุท-โธ ตามโดยปริยาย จะยกมือถามบ้างว่าแปลว่าอะไรเท่านั้น พอได้คำตอบแล้ว เขาก็ว่าพุท-โธ ต่อโดยไม่ข้องใจ

    คนที่ไม่เคยนั่งขัดสมาธิก็พยายามจะนั่งขัดสมาธิให้เหมือนพี่นักเขียน นั่งไปได้สิบนาที ก็ลุกไม่ได้ เดินไม่ได้ ร้องโอดโอยกันอย่างน่าสงสาร แต่เขาก็พยายามอย่างที่สุดที่จะเรียนรู้และทำให้ได้เหมือนเราคนเอเซียที่เคยชินกับการนั่งพับเพียบมาแต่เล็กแต่น้อย เมื่อเรามาหัดนั่งขัดสมาธิมันก็ไม่ได้ง่าย แต่ก็คงไม่ยากเท่าฝรั่งที่ไม่เคยนั่งกับพับเพียบหรือขัดสมาธิกับพื้น และเคยชินกับการนั่งเหยียดขากับพื่้น หรือการนั่งเก้าอี้

    ทุกวันนี้แม้วิทยาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะรุดหน้าไปมาก แต่คนอเมริกันกลับหันไปให้ความสนใจกับภาวะจิตมากขึ้นเรื่อยๆ พี่นักเขียนอ่านหนังสือหรือดูรายการทีวี พบเห็นการวิจัย การค้นคว้าทดลอง ตลอดจนการนำพลังจิตมาใช้ในชีวิตจริงมากมาย ในทิศทางที่แทบไม่น่าเชื่อว่า โลกที่เจริญทางวัตถุธาตุจะสนใจและค้นคว้าเกี่ยวกับภาวะทางจินตภาพได้ถึงขนาดนั้น

    เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้อ่านชาวไทยที่เรียนหนังสืออยู่ที่ Lawrence นี่ โทรมาส่งข่าวว่า ช่อง Discovery Channel กำลังออกรายการเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่สามารถจับคลื่นสมองและวัดกระแสที่เกิดจากความฝัน น้องเขาโทรมาบอกพี่นักเขียนว่า การทดลองดังกล่าวทำให้เขาคิดถึงคำสอนของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า ความฝันเป็นเสมือนแบบพิมพ์เขียวที่เรานำมาสร้างสรรค์ประสบการณ์ชีวิตยามตื่น เครื่องวัดความฝันดังกล่าว สรุปผลระยะแรกได้ว่า ความฝันของคนเรามีความหมายมากกว่าที่เราคิด และเป็นต้นกำเนิดของประสบการณ์ทางกายภาพ

    พี่นักเขียนเชื่อว่า เราจะพบเห็นวิทยาการและเทคโนโลยีที่สามารถพิสูจน์ความเป็นจริงเกี่ยวกับสภาวะจิตของเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าเราจะเชื่อว่าคำกล่าวข้างต้นที่คุณ zip และพี่นักเขียนเคยได้ยินมาเสมอๆนั้น เป็นความจริงหรือไม่มากน้อยเพียงใด พี่นักเขียนเชื่อว่า วัตถุธาตุและประสบการณ์ทางกายภาพทั้งหลาย ล้วนเป็นภาพสะท้อนของจิตวิญญาณ หรืออารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ฉายออกมาสู่โลกภายนอกเสมอ(rose)
     
  11. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    หลานของคุณ Mead น่ารักมากๆเลยค่ะ อย่าเผลอนะคะ พี่นักเขียนอุ้มไป Kansas แล้ว รับรองว่าไม่คืนให้แน่เลย(rose)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ยินดีเลยครับ ถ้ายกให้พี่นักเขียนไปเลี้ยงสัก 3 ปีน่าจะดี
    เด็กๆคงได้อะไรกลับมามากมายกว่าที่คิดเยอะมากๆครับ
    ได้เปิดทางสู่ประสบการณ์และความคิดที่แปลกใหม่เพิ่มขึ้น
    ผสมผสานความเป็นสากลทั้งทางโลกและจิตวิญญาณ
    นับว่าคุ้มค่าที่เดียวครับ....ขอบคุณมากครับ

    ลืมไปครับว่าเป็นลูกคนอื่น..(อิอิ)
    คงต้องไปบอกพ่อแม่เค้าก่อนครับ

    (smile)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2008
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    ดีครับที่คุณซิปฯถามเรื่องนี้..ทำให้เราได้ข้อคิดที่โดนใจจากพี่นักเขียนอีกแล้ว..
    รู้สึกเหมือนกันครับว่าทางตะวันตกเค้าเจริญทางวัตถุเค้ามีพรสวรรค์หรือความชำนาญพิเศษจากความคิดสร้างสรรค์ที่สูงมาก แต่ศิลปะย่อมเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ที่ดีจากภายใน-สะท้อนออกมาเป็นสิ่งแวดล้อมภายนอก จึงไม่ได้หมายความว่าจิตใจเค้าจะตกต่ำเพราะวัตถุเจริญขึ้นเท่านั้น ถ้าจิตใจจะตกต่ำก็เป็นเพราะคนเราไปยึดวัตถุจนสูงกว่าจิตใจมากกว่านะครับคุณซิปฯ

    หากว่าโลกทางซีก ตะวันตก เค้าเกิดมาเพื่อการสร้างสรรค์ด้านวัตถุ-รูปธรรม โลกทางซึก ตะวันออก ก็เน้นไปเรื่องจิตวิญญาณ-นามธรรม น่าจะเป็นไปเพื่อการเรียนรู้ซึ่งกันและกันของมนุษย์บนโลกครับ..พอโลกเชื่อมต่อกันได้จึงเกิดการแลกเปลี่ยนถ่ายเทภูมิความรู้กันเพิ่มขึ้นของทั้งสองฝั่ง..แม้แต่ Hollywood ยังนำเรื่องราวของจิตวิญญาณทางตะวันออกไปทำเป็นภาพยนต์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆนะครับ ทางตะวันออกก็รับเอาเทคโนโลยี่ Hi-tech ต่างๆมาใช้กันอย่างแพร่หลาย..ก็เพื่อการเรียนรู้เพื่อการและพัฒนาจิตวิญญาณร่วมกันนะครับ..ถ้าสองซึกโลกค้นพบอะไรใหม่ๆที่เป็นก้าวกระโดดได้อีก คงเกิดจากการเชื่อมโยงผสมผสานศาสตร์ความรู้เข้าด้วยกันแบบนี้อีกเป็นแน่ ขอบคุณสำหรับข้อคิดดีๆอีกครั้งครับพี่นักเขียนฯ (i)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มิถุนายน 2008
  14. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    ถ้ามาเยี่ยมจินตวดี จะเลี้ยงชาทำจากต้นไมยราพผสมกับหญ้าใต้ใบ สูตรนี้เอามาจากหลวงพ่อจรัล ทำกินเป็นประจำ คือทำเก็บใส่กล่องไว้เยอะ ต้องมีติดบ้านตลอด ใช้แก้ไข้ ปรับธาตุดีมากเลย เพียงแต่รสชาติขมหน่อย แต่เขาว่าหวานเป็นลม ขมเป็นยานะ กินแล้วหลับสบาย (smile)
     
  15. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    บุคลิกภาพเป็นคุณภาพที่สถิตย์อยู่กับจิตวิญญาณต่อไป ไม่ว่าจิตวิญญาณจะมีร่างกายตัวตนหรือปราศจากร่างกายตัวตนก็ตาม บุคลิกภาพมีการพัฒนาที่เป็นไปพร้อมกับการเปลี่ยนความเชื่อหนึ่งๆเป็นความรู้

    บุคลิกภาพ หมายถึงคุณภาพที่ทำให้บุคคลตัวตนหนึ่งๆมีความเป็นเอกลักษณ์ บุคลิกภาพครอบคลุมถึงทัศนคติ ความสนใจ การตอบสนองของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในทิศทางอันเป็นเอกลักษณ์ บุคลิกภาพคือคุณสมบัติที่ทำให้เราแต่ละคนแตกต่างกัน และมีความเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร และเป็นคุณสมบัติที่แสดงออกซึ่งการเป็นบุคคลตัวตนจำเพาะ-ที่เป็นเรา-เป็นเขา บุคลิกภาพคือคุณภาพของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง บุคลิกภาพเป็นคุณภาพที่สถิตย์อยู่ในอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดหรือสถิตย์อยู่ในจิตวิญญาณ ซึ่งไม่ได้ผันแปรไปตามเหตุการณ์หรือสภาพแวดล้อม แต่พัฒนาไปได้ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้

    บุคลิกภาพเป็นคุณภาพของความสนใจ-ใฝ่รู้ ความปรารถนาอันลุ่มลึก บุคลิกภาพทั้งหลายมีเพียงความแตกต่างและความเป็นเอกลักษณ์ เราไม่อาจกล่าวได้ว่า บุคลิกภาพหนึ่งๆ ดีกว่าหรือด้อยกว่า อีกบุคลิกภาพหนึ่ง เพราะบุคลิกภาพทั้งหลายล้วนมีคุณภาพจำเพาะที่ทำให้จิตวิญญาณมีความเป็นเอกลักษณ์ และแยกออกเป็นบุคคลตัวตนได้ในทิศทางที่จะสามารถเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ได้อย่างหลากหลาย-เป็นอนันต์

    นิสัยใจคอไม่ใช่บุคลิกภาพ นิสัยใจคอเป็นเพียงความประพฤติที่เกิดจากความคุ้นเคยเท่านั้น นิสัยใจคอเป็นความคุ้นเคยในการตอบสนองต่ออารมณ์จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในทิศทางที่คุ้นเคย อันเกิดจากการอบรบหรือขาดการอบรม นิสัยใจคอเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้เสมอ ด้วยการทดแทนด้วยพฤติกรรมอื่นๆที่นำมาใช้จนเกิดความคุ้นเคยเช่นกัน นิสัยใจคอเป็นเพียงการตอบสนองต่อบุคคล เหตุการณ์และสภาพแวดล้อมในทิศทางหนึ่งๆที่เกิดจากการเรียนรู้ทางโลก ทักษะทางกายภาพ นิสัยใจคอไม่ได้เป็นคุณภาพที่ถาวรเช่นเดียวกับบุคลิกภาพ นิสัยใจคอเปลี่ยนแปลงไปตามวัย ตามสภาพแวดล้อม ตามการอบรม ตลอดจนตามกระแสและแนวโน้มที่บุคคลนั้นๆดำเนินชีวิต นิสัยใจคอขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม สังคม อารยธรรม ศาสนา ตลอดจนวินัยหรือกฏระเบียบที่มนุษย์กำหนดขึ้นเพื่อล้อมกรอบพฤติกรรมของบุคคล จนทำให้เกิดการตอบสนองที่เป็นนิสัย หรือกล่อมเกลาให้บุคคลมีแนวโน้มที่จะแสดงออก หรือตอบสนองไปในทิศทางหนึ่งๆด้วยความคุ้นเคย

    เราอาจกล่าวได้ว่า นิสัยใจคอบางทิศทางดีและเป็นคุณ บางทิศทางไม่ดีและให้โทษ เพราะนิสัยใจคอเป็นการแสดงออกที่ตอบสนองต่ออารมณ์จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดในทิศทางหนึ่งๆ นิสัยใจคอไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพของบุคคลเสมอไป บางคนมีนิสัยใจคอที่ไม่คล้องจอง หรือแม้แต่ขัดแย้งกับบุคลิกภาพที่แท้จริง เนื่องจากถูกขัดเกลาและอบรมให้แสดงออกในทิศทางหนึ่งๆ ที่ไม่คล้องจองกับคุณภาพที่แท้จริงของอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้องจองกับความสนใจใฝ่รู้ หรือความปรารถนาที่แท้จริงของเขา

    เรามักจะรู้นิสัยใจคอตนเองได้ดีกว่าที่จะตระหนักได้ถึงบุคลิภาพที่แท้จริง หรือคุณภาพที่แท้จริงของตนเอง แม้ผู้อื่นจะสามารถแยกแยะความเป็นบุคคลตัวตนของเราได้อย่างชัดเจนด้วยการรู้เห็นบุคลิกภาพของเรา แต่การรู้เห็นบุคลิกภาพก็มักเป็นไปในระดับจิตวิญญาณมากกว่าที่จะเป็นไปในระดับกายภาพ หรือกล่าวได้ว่า เป็นการรู้เห็นที่เกิดจากการจัดสรรของระบบอันชาญฉลาดของจิตวิญญาณรวม เราแต่ละคนจะค้นพบบุคลิกภาพที่แท้จริงของตนเองได้ด้วยการพิจารณาและศึกษาความปรารถนาที่แท้จริง แรงบันดาลใจที่ทำให้เราเกิดความสนใจใฝ่รู้ในทิศทางจำเพาะ

    คุณเซลล์เข้าใจถูกต้องที่ว่า จิตวิญญาณรวมเป็นผู้จัดสรร เพราะจิตวิญญาณรวมคือสรรพสิ่งทั้งปวง ซึ่งแตกตัวออกเป็นหน่วยย่อยของจิตวิญญาณ เป็นบุคลิกภาพตัวตนในแต่ละชาติภพ ในแต่ละเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ในแต่ละมิติ เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์อันหลากหลาย-เป็นอนันต์

    เมื่อคุณเซลล์กล่าวถึง การแปลงสภาวะของจิตวิญญาณจากการเป็นร่างกายเนื้อหนังในชาติภพปัจจุบัน จากนั้นก็ตายและแปลงสภาวะพลังงาน และแปลงสภาวะกลับมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังอีก เรามักจะอดไม่ได้ที่จะนำเอากฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง-กาลเวลาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสาระ ซึ่งทำให้เราไม่สามารถมองเห็นความเป็นไปทั้งหมด อันได้แก่การถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังในแต่ละชาติภพ พร้อมด้วยบุคลิกภาพจำเพาะ พร้อมกันหมดทุกชาติภพเป็นปัจจุบันตามธรรมชาติความเป็นจริงที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้เสมอๆว่า ธรรมชาติของจิตวิญญาณนั้นอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา

    แต่หากเราตัดเอากฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลาซึ่งเป็นเครื่องพรางออกไป เราจะตระหนักได้ว่า บุคลิกภาพที่สถิตย์อยู่กับจิตวิญญาณและไปถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตนต่างชาติภพ ต่างเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ต่างมิติ ล้วนมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    ดังนั้นด้วยบุคลิกภาพหนึ่งๆหรือคุณภาพหนึ่งๆ บุคคลตัวตนแต่ละร่างที่ไปถือกำเนิด ก็นำเอาบุคลิกภาพหรือคุณภาพจำเพาะดังกล่าวนั้นๆไปเผชิญกับประสบการณ์ชีวิต หรือสร้างสรรค์ประสบการณ์ชีวิตด้วยความเชื่อที่แตกต่างจุดยืนกันออกไปอย่างเป็นอนันต์ แม้จะมีบุคลิกภาพหรือคุณภาพชุดเดียวกัน แต่เมื่อเผชิญกับจุดยืนที่แตกต่างกันไปในแต่ละชาติภพ แต่ละเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ แต่ละมิติ บุคลิกภาพนั้นๆต่างก็เปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ในแขนงที่ต่างกัน เรียกได้ว่ามีการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้กันเป็นทีมหรือเป็นระบบ ซึ่งก่อให้เกิดการพัฒนาบุคลิกภาพหรือคุณภาพอย่างเป็นระบบ

    จิตวิญญาณไม่ได้มีการแบ่งแยกออกเป็นดวงๆ เป็นหน่วยย่อยที่นับได้ หรือมีสัณฐานที่มีขอบเขตแน่นอน จิตวิญญาณรวมที่แม้จะแตกตัวออกเป็นหน่วยย่อยเปรียบได้กับน้ำในมหาสมุทร ที่แม้จะแตกตัวหรือแยกย่อยออกเป็นหยดน้ำ หรือบุคคลตัวตนจำเพาะ แต่ในระบบรวมนั้น มันก็เกิดการรวมตัวกันเป็นมหาสมุทรเพื่อถ่ายทอดพลังและถ่ายทอดข้อมูลความรู้แก่ทุกหน่วยอยู่ตลอดวันเวลา หยดน้ำหนึ่งๆจึงปราศจากความคงที่เป็นหยดน้ำที่เป็นเอกเทศ หากแต่ถ่ายทอดแลกเปลี่ยนคุณภาพของการเป็นหยดน้ำนั้นๆกับหยดน้ำอื่นๆ หรือบุคลิกภาพของบุคคลตัวตนบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่น ชาติภพอื่น มิติอื่นอยู่ทุกลมหายใจ หน่วยย่อยของจิตวิญญาณหนึ่งๆเป็นเพียงอุปมาอุปมัยที่ทำให้เราเข้าใจได้ถึงการแตกตัวออกเป็นบุคคลตัวตนของจิตวิญญาณรวม แต่การแตกตัวหรือแบ่งแยกที่แท้จริงนั้น-ไม่มีจริง จิตวิญญาณเป็นหนึ่งเดียว แม้จะแตกตัวออกก็ถ่ายทอดกันอยู่เสมอโดยปราศจากขอบเขตที่แน่นอน

    การแตกตัวของจิตวิญญาณรวม มาสู่การเป็นหน่วยย่อย-เป็นบุคคลตัวตน จึงไม่ได้มีขอบเขตจำกัดที่เป็นเอกเทศ จิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังทั้งหลายไม่ได้มาถือกำเนิดด้วยหน้าที่ หากแต่มาถือกำเนิดด้วยความปลื้มปิติที่จะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ด้วยการเลือก ด้วยความปรารถนาที่จะเผชิญกับความท้าทายในทิศทางที่เป็นเอกลักษณ์ เพื่อการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์อย่างไม่มีวันสิ้นสุด วัตถุประสงค์ของระบบรวม คือการเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ เพื่อการค้นพบต้นกำเนิดที่แท้จริงของมัน หรือค้นพบความเป็นหนึ่งเดียวของมัน แต่การค้นพบความเป็นหนึ่งเดียวของหน่วยย่อยของจิตวิญญาณก็ไม่ใช่จุดจบ และไม่ได้เป็นไปเพื่อการกลับคืนสภาวะอันเป็นหนึ่งเดียวตามเดิม ในทางตรงกันข้าม-มันเป็นไปเพื่อการแตกแขนง หรือการแตกตัวต่อไปอีกอย่างกว้างไกล-ไม่มีวันสิ้นสุด(rose)
     
  16. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    จินตวดีคิดว่าทุกคนอยากเจอคุณนักเขียนค่ะ ว่าแล้วเมื่อไรงานสัมนาทางจิตวิญญาณที่คุณนักรบธรรมเคยเกริ่นไว้ จะเป็นรูปเป็นร่างซํกทีล่ะคะ สงสัยคงต้องวานคุณมี้ดมาเฉลยซะแล้ว
     
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เมื่อไหร่ดีน้า...อิอิ
    คุณนักรบธรรมบอกว่างานนี้เหลือแต่กลุ่มโนวา อนาลัยเท่านั้นครับ
    กลุ่มอื่นๆเค้าตัดออกไปก่อนเนื่องจากไม่พร้อมและมีบางอย่างที่เค้าบอกไม่ได้
    ถ้างานนี้จะให้เกิดขึ้นก็ขอเป็น metting แบบกันเองง่ายๆ
    เมื่อพี่นักเขียนมีจังหวะและพร้อมจะเดินทางกลับมาประเทศไทยครับ... :cool:
     
  18. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอบคุณครับคุณเซลล์กับ Campanile เกี่ยวกับ Mint tea
    ลืมไปเลยนะว่า mint ก็คือสะระแหน่บ้านเรา ใบสะระแหน่เนี่ยเห็นเป็นไม่ได้ต้องหยิบมาเคี้ยวทุกทีเลย

    จากประโยคนี้ของพี่นักเขียน
    พี่นักเขียนเคยฝันรู้สึกถึงตัวตนของพี่นักเขียนอีกคนที่อยู่บนเส้นทางที่พัฒนาไปเป็นอ.โนวา อนาลัย หรือเปล่าครับ? และตัวตนบุคคลนั้น ถ้านับตามเวลาของโลก ณ ตอนนี้ ก็กำลังมีชีวิต/ดำเนินชีวิตอยู่พร้อมๆ กับพี่นักเขียนด้วยใช่หรือไม่

    เรื่องมุมมของของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของครอบครัวพี่นักเขียนนับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว วัยรุ่นที่นิยมดื่มกันก็คงเป็นเพราะอย่างที่พี่นักเขียนว่าคือเป็นสัญลักษณ์ถึงอิสระภาพและการเป็นผู้ใหญ่ จึงดื่มกัน
    ที่คนไม่อยากให้ลูกตัวเองดื่มกันก็เพราะว่ากลัวติดแอลกอฮอล์แล้วจะทำให้เสียผู้เสียคน ตอนที่เรียนอยู่มีรุ่นพี่ในคณะคนนึงพึ่งมาติดเหล้าตอนอยู่มหาลัย หลังจากนั้นการเรียนก็ตกต่ำ วันๆ ไม่ค่อยทำอะไรดื่มเหล้าอย่างเดียว ก็เลยอาจจะทำเป็นเคสนึงที่ทำให้ไม่อยากดื่มเหล้าก็ได้
    แต่ที่บ้านก็ไม่ได้ปิดกั้นหรือห้ามอะไรนะครับ บางทีก็มีเอามาดื่มกันบ้างในอาหารเย็น แต่ดื่มแค่น้อยๆ ครึ่งแก้ว ประมาณนั้น แต่ก็ไม่ได้ดื่มกันบ่อยนัก ถ้าให้เลือกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขอเลือกไวน์ :p

    สำหรับต่างประเทศก็เข้าใจว่าเป็นเพราะอากาศด้วย อากาศหนาวทำให้ต้องดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ความอบอุ่นต่อร่างกาย เคยมีเพื่อนไปเที่ยวจีน เจออากาศหนาวๆ ดื่มเหล้าเข้าไปทำให้ร่างกายอุ่น เพื่อนคนนั้นก็เลยรู้เลยว่าทีเค้าดื่มกันเพราะอากาศมันหนาว

    ถ้าต้องไปตกสถานการณ์เดียวกับพี่นักเขียน กำเปย หลายๆ รอบสงสัยแย่แน่ๆ ครับ n_n''


    ส่วนเรื่องประเด็นความเจริญทางจิตใจ ผมก็เคยคิดว่าถ้าฝรั่งความเจริญทางจิตใจน้อยลง แต่ก็เป็นฝรั่งนั่นเองที่มีการรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม มีหน่วยงานอย่างเช่นกรีนพีซ, ประท้วงต่อต้านการเอาหนังสัตว์มาทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม (แต่ถึงบางครั้งการประท้วงมันดูพิศดารไปหน่อยก็ตามที), มีตั้งมูลนิธิมากมาย เคยได้ยินมาว่าประเทศทางเอเชีย มีมูลนิธิไม่เท่าทางฝรั่ง, คนที่มาเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือประเทศยากจนก็เป็นฝรั่งก็เยอะ
    แต่ฝรั่งเองอย่างเหตุการณ์ซึนามิที่ไทย ก็แปลกใจและประทับใจกับความช่วยเหลือที่คนไทยมีให้ผู้ประสบภัย ได้ยินมาว่ามีบางคนบอกว่าก็ยังโชคดีที่ประสบภัยที่ไทย จนทำให้ฝรั่งบางคนต้องมาทำความเข้าใจกับคำว่า น้ำใจ ที่ไม่มีศัพย์ภาษาอังกฤษบัญญัติไว้
    ก็เคยได้ยินมาว่าอย่างศาสนาคริสต์เองทางแถวยุโรปบางประเทศก็มีคนนับถือน้อยลง....

    บางทีผมว่า เราคงวัดไม่ได้หรอกว่าใครจะดีกว่า แต่คงต้องมองเป็นว่า "เด่นกว่า" ในด้านไหนแทน เหมือนที่แต่ละคนมีลักษณะเด่นในการแสดงออกไม่เหมือนกัน เราเอาด้านที่เราเด่นกว่าเค้ามาเทียบกับเค้า ก็ดูเหมือนเราดีกว่า เราเอาด้านที่ด้อยกว่าเค้ามาเทียบกับเค้า ก็ดูเหมือนเราด้อยกว่า

    แต่จริงๆ แล้ว ไม่มีใครดีใครด้อยกว่าเลย เพราะแต่ละวัฒนธรรมแต่ละความเชื่อก็มีลักษณะเด่นในแต่ละด้าน ซึ่งก็ต้องแสดงออกมาเพื่อ support ซึ่งกันและกัน เหมือนต้นหญ้ากับต้นไม้ใหญ่ ที่ต้องช่วยเหลือกันและกัน แต่ว่าเราติดกับคำว่า "ดีกว่า" "ด้อยกว่า" กัน จนเอาสองคำนี้มาประเมินคุณค่าของสิ่งต่างกันจนเคยชิน

    อ่านเรื่องโบสถ์คริสต์ที่ชื่อว่า Unity Church แล้วประทับใจกับแนวคิดและกิจกรรมของโบสถ์นี้มากครับ

    ผมว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้น จะเน้นไปทางด้านไหนก็ขึ้นกับนักวิทยาศาสตร์ว่าเค้าสนใจกันด้านไหน เมื่อความรู้ทางกายภาพรู้กันมาเยอะแล้ว ก็หันศึกษาในด้านที่ยังรู้น้อยกัน ก็คือทางด้านจิต นักวิทยาศาสตร์ก็คนเหมือนกัน เมื่อคนรู้สึกเต็มอิ่มในทางด้านวัตถุแล้ว ก็หันมาสนใจในเรื่องความรู้สึก/จิตใจ นักวิทยาศาสตร์ก็คงเช่นเดียวกันครับ

    อ้อ ส่วนเรื่องความเจริญทางวัตถุทำให้จิตใจต่ำลง บางทีผมว่าต้องมาดูประเด็นนี้กันให้ละเอียดนะครับ ผมว่ามันคงมีรายละเอียดมากมาย ความรู้ทางด้านวัตถุก็ไม่ทำให้เกิดผลเสียเสมอไป ถ้าเราไม่มีมีด ก็คงลำบากเวลาจะกินผลไม้อย่างเช่น ทุเรียนหรือมะพร้าว แต่มีดก็สามารถนำไปทำร้ายคนได้ แต่ความผิดนั้นอยู่ที่มีดหรือเปล่า? เราสมควรจะต้องห้ามผลิตมีดเลยมั๊ย

    ความรู้ทางวิทยาศาสตร์จะแบ่งออกเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์กับวิทยาศาสตร์ประยุกต์ วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์คือการค้นพบความจริงต่างๆ เช่น อะตอม, แรงโน้มถ่วง, แสงเลเซอร์, สมการนิวเคลีย; วิทยาศาสตร์ประยุกต์คือการนำเอาสิ่งที่เราค้นพบมาประดิษฐิ์สิ่งต่างๆ เช่น นำเอาแสงเลเซอร์มาเป็น pointer ในการ presentation หรือเอาเลเซอร์มาทำเป็นตัวชี้เป้าในทหาร , เอาความรู้เรื่องนิวเคลียมาทำเป็นโรงไฟฟ้าหรือเอานิวเคลียมาทำเป็นระเบิด

    ถ้าลองมองกลับกันในอีกด้านนึง สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ประยุกต์คิดมานั่นแหล่ะ เป็นตัวสะท้อนจิตใจของมนุษย์เราออกมามากกว่า เพราะสิ่งที่ประดิษฐ์ออกมาก็ย่อมหมายถึงการนำเสนอความคิดของเค้า
    ปากกาด้ามนึง จะเอาไปเขียนบทความจรรโลงใจ หรือจะเอาไปเขียนบทความที่โจมตีบุคคลอื่น ก็อยู่ที่คนเขียน ไม่ได้อยู่ที่ตัวปากกา

    คนทำเทคโนโลยีจะทำเทคโนโลยีที่สนองกิเลสตัณหา หรือช่วยเหลือบุคคลอื่น ก็อยู่ที่คนประดิษฐ์ ไม่ได้อยู่ที่หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่เค้าเอามาใช้ จุดนี้ต้องการจะบอกว่าวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ไม่ได้เป็นประโยชน์หรือโทษกับใคร แต่จะเป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์ต่างหาก

    และความรู้ที่เรารู้น้อยไปนี่แหล่ะที่จะทำให้เกิดผลเสีย โรงงานปล่อยสารพิษออกมาโดยไม่ได้คิดเลยว่าจะทำให้เกิดปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมโลก เพราะอะไร เพราะความไม่รู้หรือเปล่า? (ส่วนนึงใช่ส่วนนึงไม่ใช่)
    กว่าเราจะรู้ก็ต่อเมื่อมันก่อให้เกิดผลเสีย
    คนทำลายปะการังเพราะไม่เห็นค่า กว่าจะเห็นค่ามัน ก็ต่อเมื่อเห็นผลเสียที่เกิดขึ้นกับตัวเองแล้ว
    เมื่อโลกร้อนเราจึงมากังวลกับปริมาณคาร์บอน แต่ก่อนหน้านั้นก็ยังไม่มีใครกังวลและไม่มีใครคิดด้วยว่ามันจะก่อให้เกิดผลอย่างไรในอนาคตข้างหน้า

    รู้สึกเริ่มไปไกลล่ะ -_-'

    ขอย้อนกลับมายังเรื่องสมาธินิดนึง พี่นักเขียนเคยดูหนังเรื่อง The Dhamma Brothers หรือเปล่าครับ เป็นหนังที่ถ่ายทำเกี่ยวกับการนำนักโทษในคุก Donaldson ที่ Alabama อเมริกา มาทำวิปัสสนาสมาธิเป็นเวลา 10 วัน มีบางช่วงที่ต้องงดทำกิจกรรมนี้ไป เพราะหัวหน้าเรือนจำ(ถ้าเข้าไม่ผิด) เกรงว่านักโทษจะหันไปนับถือพุทธ เพราะว่าทางอเมริกาศาสนาหลักคือคริสต์ แต่ภายหลังเมื่อเปลี่ยนหัวหน้าเรือนจำ ก็อนุญาตให้ทำกิจกรรมนี้ต่อได้
    หนังเรื่องนี้อยากดูเหมือนกัน แต่เห็นว่ารายได้หนังที่อเมริกาไม่ค่อยดีนัก เลยคิดว่าคงยากที่จะมีมาฉายที่ไทย


    เชื่ออย่างนี้เช่นกันครับ หลังจากที่อ่านหนังสือโนวา อนาลัยแล้ว วัตถุธาตุทั้งหลายไม่ได้หมายถึงแค่สิ่งประดิษฐิ์อย่างเดียว แต่รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหลายด้วย
     
  19. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    จำได้ว่าครั้งหนึ่งหลวงพ่อจรัลเคยบอกไว้ว่า ในอนาคต พุทธศาสนาจะเจริญมากทางฝั่งตะวันตก
     
  20. ณ.

    ณ. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    3,387
    ค่าพลัง:
    +9,080
    คิดถึงพี่นักเขียนและเพื่อนร่วมห้องทุกคนค่ะ
    เลยแวะมาทักทาย เพื่อนนักเรียนทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ สวัสดีนะคะ
    ดีใจที่ห้องนี้ยังคึกคักอยู่เสมอ...
    ...แล้วจะแวะมาขอร่วมสานต่อจินตนาการด้วยอีกคน
    ...เอาชีวิตเล็กๆ น่ารักมาฝากด้วยค่ะ

    IMG_0009_resize.jpg

    IMG_0010_resize.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...