เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ค่ะ...คุณขจรวรรณ ขอบคุณค่ะที่มาคุยให้ฟัง

    ...ไม่ทราบจะเรียกการทำสมาธิที่ว่านี้แบบไหนดี...อาจารย์ที่สอน ท่านสอนว่าทำยังไงก็ได้ ไม่ให้มีภาษาในสมอง...คือไม่เล่าเรื่อง หรือคุยให้ตัวเองฟัง อาจจะดูอึดอัดนะค่ะ แต่มันทำให้สงบได้ดีทีเดียว
    ...หลังจากนั้น ใช้วิธีกำหนดลมหายใจ กำหนดจุตไว้ที่หว่างคิ้ว (มันไปเองทุกทีค่ะ ไม่ได้ตั้งใจ เลยเข้ามาถามไงค่ะ) ...ไม่กำหนดท่านั่ง ไม่กำหนดท่านอน ให้อยู่ในอิริยาบทแบบสบาย และผ่อนคลายที่สุด ทำได้ตลอดเวลา ว่างเมื่อไหร่เป็นทำ บางครั้งเพลิดเพลิน เป็นชั่วโมงค่ะ สบายจังค่ะ...อ่านแล้วรู้สึกยังไงค่ะ(เพี้ยนดีมั๊ยค่ะ ถึงบอกว่าอ่อนหัดไงค่ะ)
    ...ถึงบอกว่าทุกท่าน ในห้องวิทย์ฯเนี่ย เป็นผู้เชี่ยวชาญไงค่ะ เลยอยากขอ share ความรู้บ้าง...เผื่อจะเก่งบ้าง
     
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    จุดนั้นสำคัญมากครับ (หว่างคิ้ว) จะว่าไปเรื่องนี้ถือเป็นความลับมายาวนาน สมัยก่อนนักบวชเค้าจะถ่ายทอดเฉพาะตัวต่อตัวเท่านั้นครับ เดี๋ยวนี้แพร่หลายและกล่าวถึงกันมาก หลายสำนักจะพูดถึงจุดนี้ครับ เพ่งสมาธิเบาๆก็พอครับ เพื่อเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณของเราเอง...ผมก็ใช้วิธีนี้เป็นหลักครับ อย่างที่พี่นักเขียนบอกไว้ถูกต้องเลยครับ เป็นจุดอ้างอิงเท่านั้น เพื่อขยายการเรียนรู้ต่อไปครับ

    [​IMG]

    ลองมองเข้าในช่องข้างบนดูครับ (ปริศนาจาก"อังค์") ไม่ได้สะกดจิตนะ
    เหมือนไม้กางเขนด้วยสิ เอามาทาบบนใบหน้าก็คือหว่างคิ้วพอดีเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  3. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    สวัสดีครับ มีเรื่องคุยกันยาวเลย ขอคุยเรื่องโจทย์ก่อนนะครับ โจทย์นี้เป็นโจทย์แรกซะด้วยซิ ความยากง่ายก็ไม่รู้นะครับว่ายากง่ายตรงไหน เพราะไม่รู้ว่าจะวัดยังไง

    ขอถามว่าอนาคตการทำงานของผมจะเป็นยังไงครับ? สภาพตอนนี้แม่ผมก็อยากให้หางานอื่นที่ได้เงินและสวัสดิการดีกว่านี้ ญาติๆ ก็อยากให้กลับไปช่วยงานที่บ้าน(เป็นงานที่พ่อผมทำร่วมกับญาติๆ หน่ะครับ) เวลาเจอหน้าทีก็ถามทีว่าเมื่อไหร่จะกลับมา ก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี ในใจก็กลัวว่าถ้าปฏิเสธไปเลยก็กลัวจะผิดใจกัน

    โจทย์อันนี้ ก็ขอเอาเป็นว่า "ด้วยภาวะจิตปัจจุบันของผมอนาคตการทำงานของผมจะเป็นอย่างไร" ก็แล้วกัน อยากถามต่ออีกว่าเลือกเส้นทางไหนดี อันนี้ถ้าใครกรุณาจะดูให้ด้วยก็ได้นะครับ n_n

    เดี๋ยวผมก็จะกลับตั้งจิตฝันถึงโจทย์นี้ด้วยเหมือนกัน แล้วลองเอามาเทียบกันดู
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    "ด้วยภาวะจิตปัจจุบันของผมอนาคตการทำงานของผมจะเป็นอย่างไร"
    (||)​

    งานนี้จะเป็นการทดลองแรกของพวกเรา น่าสนุกครับคุณซิปฯ
    ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่จริงจังสักหน่อย เพื่อตัดสินใจครั้งสำคัญเรื่องหนึ่ง
    ที่อาจทำให้เราต้องเผชิญกับเรื่องราวหรือจุดหักเหได้ทีเดียว (จะลองฝันถึงคำถามคุณซิปฯครับ)

    เคยออกจากงานจากที่เคยได้เงินเดือน 35,000 บ.ออกมาเองซะงั้นเหมือนกัน ทั้งๆที่ทุกอย่าง OK
    ช่วงนั้นไปดูจานบินเขากะลาวันเสาร์บ่อยๆ เกรงใจบริษัทเค้า..เพราะเราดื้อเงียบ อิอิ
    เพื่อนก็ชวนว่าออกมาทำกันเองดีกว่า หาประสบการณ์ใหม่ๆและสร้างสรรค์ได้ด้วยตัวเรา
    ออกมาก็สนุกนะ มีอิสระภาพดี แต่ลากเอาหนี้รถยนต์ และบ้านที่ต้องผ่อนส่งมาด้วยนี่จิ
    เหนื่อยลาก..ทีเดียวครับ แต่ก็ผ่านมาจนได้ ตอนนั้นก็ท่องเที่ยวไปไหนต่อไหนจุใจครับ
    ในที่สุดก็พบว่า ความฝันของเรายังต้องทำต่อไปตามแนวทางที่เราคิด..
    มาย้อนคิดดู การออกจากงานจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่..ทำได้แต่คิดให้รอบคอบสักหน่อยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2008
  5. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ไม่ต้องซีเรียสมากหรอกครับ การกลับไปช่วยญาติผมคิดว่ายังไงก็ต้องกลับไปอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจังหวะไหนช่วงเวลาไหนเท่านั้นเอง ส่วนมากเปลี่ยนงานใหม่ ก็เป็นเรื่องปกติ เมื่อเราต้องมีอะไรรับผิดชอบมากขึ้น ก็ต้องหาอะไรที่ได้เงินมากขึ้นอยู่แล้ว

    ถ้ามีใครไม่สะดวกใจจะให้เปลี่ยนคำถามก็ได้นะ
     
  6. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    มาต้อนรับน้องใหม่ไฟแรงค่ะ ตอนนี้พยายามตีความฝัน ความฝันเข้มข้นขึ้นทุกวัน วันนี้ต้องหาซื้อสมุดอีกเล่ม เพราะเล่มแรกเต็มเสียแล้ว แรก ๆจดไป ยังแปลไม่ค่อยได้ พอนาน ๆ กลับมาอ่านอีกครั้งก็ค่อยเข้าใจหน่อย บางครั้งพอมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น อยู่ ๆ จิตมันนึกถึงความฝันตอนหนึ่งขี้นมาทันที จิตมันบอกอัตโนมัติเลย เนื้อหาในฝันกับเหตุการณ์จริงไม่เหมือนกันเลย แต่มันอยู่ที่ความรู้สึกจริง ๆ
     
  7. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    รูปนี้มีพลังงานที่ดีครับ น่าจะเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการเหนี่ยวนำความรู้ และพลังงานจากต่างมิติเข้ามาครับ
     
  8. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    พอดีมีเพื่อนที่ฝึกสมาธิตามแนวสติปัฏฐาน 4 โทรมาเล่าให้ฟังว่า ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ปกติเวลานั่งสมาธิแล้วจะเข้าภาวะสมาธิได้ภายในเวลาไม่กี่นาที แต่มาระยะหลังเริ่มรู้สึกว่าจะเข้าสมาธิได้ยากขึ้น มีความรู้สึกเหมือนกับมีพลังภายนอกมากระทบทำให้จิตไม่นิ่งเป็นสมาธิ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเข้มของสนามแม่เหล็กโลกเปลี่ยนไปรึปล่าวจึงทำให้จิตไม่สงบ ใครฝึกสมาธิแบบหลับตาช่วยเล่าให้ฟังบ้างค่ะว่ามีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นบ้างรึปล่าว?:eek:
     
  9. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    พี่นักเขียนเรียนสมาธิมาก่อนด้วยวิธีกำหนดลมหายใจ หรือ อาณาปาณสติ และหลังจากนั้นได้หันไปศึกษาลัทธิเต๋า ทดลองการทำสมาธิแบบธิเบต แบบคริสต์ หลังจากที่ฝึกมานานหลายปี พบว่า ขั้นตอนการฝึกสมาธิตามแบบศาสนาหรือลัทธิต่างๆที่เกี่ยวกับภาวะทางกายภาพ อันได้ การบริกรรม การกำหนดจุดวางจิต ตลอดจนการวางท่า การนั่งขัดสมาธิ และ การวางลิ้น การแต่งกาย ฯลฯ ล้วนมีเหตุผลที่เกี่่่่ยวพันกับประสาทสัมผัสทั้งห้าทั้งสิ้น โดยเป็นส่ิงที่กำหนดขึ้นเพื่อเป็นเครื่องอยู่ หรือจุดจ่อจ่อเพียงอย่างเดียวของประสาทสัมผัสนั้น ได้แก่:

    1. ตา
    การกำหนดจุดวางจิต ณ จุดใดๆที่เป็นศูนย์กลางกาย เช่น กลางกระหม่อม หว่างคิ้ว กลางอก เหนือสะดือ ล้วนเป็นการกำหนดเพื่อควบคุมประสาทสัมผัสคือตา เพราะเมื่อเราหลับตา เรามองไม่เห็นสภาพแวดล้อมภายนอก ที่จะทำให้เราเกิดความสมดุลย์กับอิริยาบททางกายของเราได้ เช่น มองไม่เห็นพื้น ผนัง มองไม่เห็นแขนขาเนื้อตัวของตนเอง เราจะรู้สึกขาดความสมดุลย์ เหมือนคนที่ถูกผ้าผูกตาแล้วให้เดิน มักจะเดินไม่ตรง ไม่ balance และกลัวล้ม การกำหนดกึ่งกลางกายช่วยให้เกิดความรู้สึกสมดุลย์ และทำให้อิริยาบททางกายของเราอยู่ในภาวะที่หยุดนิ่งได้ดีขึ้น คือ ไม่เอนเอียงไปโดยขาดจุดยืน หรือจุดจดจ่อ

    หากไม่หลับตา ก็จะใช้การจดจ่อกับ ไฟ เช่นการเพ่งกสิน การจดจ่อกับจุดใดจุดหนึ่ง
    หรือหลับตาแต่ใช้การกำหนดลูกแก้ว หรือจินตภาพใดๆเพียงภาพเดียว เพื่อเป็นเครื่องอยู่ของประสาทตา

    2. หู
    การบริกรรม คือ กล่าวคำ หรือ วลีสั้นๆ สัมพันธ์กับลมหายใจ เช่น
    กล่าวว่า พุทธ เมื่อหายใจเข้า
    กล่าวว่า โท เมื่อหายใจออก

    กล่าวว่า หนึ่ง เมื่อหายใจเข้า
    กล่าวว่า สอง เมื่อหายใจออก

    เป้าหมายของการบริกรรมคือ การนำเสียงมาใช้เป็นเครื่องอยู่ของประสาทหู เพื่อควบคุมเสียงของความคิดภายใน ช่วยไม่ให้คิดเรื่องอื่น หรือ พูดเรื่องอื่นจนฟุ้งซ่าน

    โบสถ์คริสต์ ใช้เสียงดนตรีเป็นเครื่องอยู่แทนการบริกรรม โดยเปิดเพลง หรือ เพลงสวดมนต์เบาๆ
    ธิเบตใช้เสียงฆ้อง กระดิ่ง ระฆัง หรือ singing bowl เป็นเครื่องอยู่ของประสาทหู

    3. จมูก
    การกำหนดลมหายใจ ทำให้เราจดจ่อกับการหายใจเข้า-หายใจออก จนในที่สุดประสาทการรับกลิ่นของเราจะข้ามการรับรู้กลิ่นออกไป เหลือแต่การจดจ่อกับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น
    บางลัทธิ เช่น?โยคี ใช้การกลั้นลมหายใจแทนที่จะหายใจตามปกติ ไม่ว่าจะใช้การหายใจตามปกติ หรือ การกลั้นลมหายใจ ก็ล้วนเป็นการใช้ลมหายใจเป็นเครื่องอยู่ของประสาทการรับกลิ่น

    4.ลิ้น
    การฝึกสมาธิ จะกำหนดให้วางลิ้นด้วยการกระดกปลายลิ้นขึ้นนิดหนึ่ง ให้ปลายลิ้นแตะระหว่างแนวเหงือกกับฟันบน การกระทำดังกล่าวทำให้ด้านข้างของลิ้นงอเล็กน้อย ทำให้ต่อมน้ำลายถูกบีบและปิดลง ช่วยให้ไม่ต้องกลืนน้ำลายบ่อยๆ การวางลิ้นเป็นส่ิงที่ต้องฝึก แต่ก็จะใช้เวลาไม่นานที่จะทำได้ผล และพบว่า หากกระดกลิ้นได้พอเหมาะแล้ว ต่อมน้ำลายจะปิดลง ทำให้ไม่มีการต้องกลืนน้ำลายเลยแม้ว่าจะนั่งสมาธินานเป็นชั่วโมงก็ตาม ทำให้ละประสาทสัมผัสไปได้โดยปริยาย อันเนื่องมาจากการกลืนน้ำลาย และการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อคอที่จะเกิดจากการกลืนน้ำลาย

    เรื่องลิ้นหรือประสาทรับรส มีมากมายหลายวิธีการที่แตกต่างกันไปตามลัทธิความเชื่ เช่น แลบล้ิน ใช้ตะปูตำลิ้น ฯลฯ แต่ไม่ว่าเขาจะใช้อะไร ก็ล้วนเป็นการกระทำต่อประสาทรับรส เพื่อเป็นเครื่องอยู่โดยไม่ให้ใส่ใจต่อการรับรู้รสและการกลืน

    5.กาย
    การสวมเสื้อผ้าที่หลวมสบาย การนั่ง หรือ นอน ในท่าที่ผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ทุกส่วนของร่างกาย ทำให้เราไม่ต้องจดจ่อกับประสาทสัมผัสทางกาย บางสายนิยมให้ใช้ผ้าคั่นระหว่างมือ และทุกส่วนของร่างกาย ไม่ให้เนื้อถูกเนื้อ ทุกตำแหน่ง เพื่อทำให้ประสาทสัมผัสไม่ถูกกระตุ้น ไม่ว่าจะทำสมาธิใน อิริยาบท ยืน เดิน นั่ง หรือ นอน ก็ล้วนเป็นการกำหนดอิริยาบทนั้น เพื่อเป็นเครื่องอยู่ของประสาททางกาย


    เมื่อเรากำหนดเครื่องอยู่แล้ว ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมได้ไม่มากก็น้อย ทำให้เราไม่แทรกแทรงความคิดด้วยสาระอื่นๆ หรือจะมีการแทรกแซงบ้าง เช่น แลเห็นภาพ แสง สี ผุดขึ้นในมโนภาพ ได้ยินเสียงรบกวนจากภายนอก - ภายใน ได้กลิ่นจากภายนอก รู้สึกหิว กระหาย อยากลิ้มรส หนาว ร้อน หรือ คัน ปวดเมื่อยกาย หรือ ฯลฯ เราก็มีจุดจดจ่อ หรือเครื่องอยู่ที่ช่วยให้กลับไปจดจ่อได้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ตะเลิดเปิดเปิงหรือจดจ่อไปในทิศทางอื่นๆโดยหาที่กลับไม่ได้

    ช่วงแรกของการทำสมาธิ เราจะพบว่า ประสาทสัมผัสทั้งห้าที่ถูกควบคุมจะทำหน้าที่อย่างคมชัดมากขึ้นกว่าปกติ เช่น
    ตา แม้จะหลับตาอยู่ แต่ก็มีความไวที่จะ เห็น แสง หรือ การเคลื่อนไหวในสภาพแวดล้อมผ่านหนังตา
    หู หากมีใครไอ จาม หรือทำเสียงเบาๆ เราจะรู้สึกเสมือนว่าเสียงนั้นดังกว่าปกติ จนทำให้สะดุ้ง
    จมูก หากมีกลิ่นใดๆในสภาพแวดล้อม แม้จะอยู่ไกล จมูกก็ไวได้กลิ่น
    ลิ้น หากภาพที่ผุดขึ้นมาในจินตภาพเกี่่่ยวพันกับอาหาร ลิ้นของเราก็แทบจะรู้รสได้อย่างฉับพลัน และระยะแรกแทนที่จะไม่มีน้ำลาย หรือไม่ต้องกลืนน้ำลาย กลับตรงกันข้าม ต้องกลืนน้ำลายบ่อยกว่าปกติ
    กาย เราจะรู้สึกคัน หนาว ร้อน หรือปวดเมื่อย เมื่อนั่งสมาธิช่วงแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ฝึกใหม่ จะคัน หนาว ร้อน หรือปวดเมื่อยมากมายกว่าปกติ ต่อเมื่อฝึกไปนานๆ อาการเหล่านี้จะลดลงจนหายไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ

    เมื่อพ้นวาระที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าตื่นตัวและทำงานอย่างคมชัดกว่าปกติไปแล้ว เราจะพบว่าประสาทสัมผัสที่ถูกควบคุมและฝึกฝนให้จดจ่อกับเครื่องอยู่ ที่ล้วนแต่มีอยู่ภายใน จะละจากเครื่องอยู่เหล่านั้นไปโดยอัตโนมัติ เพราะธรรมชาติของประสาทสัมผัสทั้งห้าคือ การรับรู้จากภายนอก เมื่อมันถูกควบคุมให้ทำหน้าที่ที่สวนทางกับธรรมชาติ คือหันการจดจ่อเข้าสู่ภายใน มันจะหมดความสนใจและหยุดทำหน้าที่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของมัน ทำให้ประสาทสัมผัสภายในเริ่มทำหน้าที่แทน

    เมื่อถึงจุดนี้ เราจะพบว่า ไม่ว่าเราจะกำหนดจุดวางจิตไว้ ณ ตำแหน่งใดๆของร่างกาย เช่น หว่างคิ้ว กลางอก กลางกระหม่อม ฯลฯ มันจะกลายเป็นเพียงภาวะจิต ที่คงความสมดุลย์ให้ดำเนินต่อไปในระดับจินตภาพ จุดต่างๆที่สัมพันธ์กับภาวะทางกายภาพหรือร่างกาย จะเหมือนกับว่าหายไปหมด เหลือแต่เพียงสิ่งเดียวคือลมหายใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราทุกคนตระหนักว่า สำคัญต่อชีวิตเป็นที่สุด แต่ในที่สุดลมหายใจก็จะหายไปด้วย หากเราสามารถประคองจิตอันเป็นสมาธิต่อไปได้ เพราะในที่สุดแล้วจิตวิญญาณจะตระหนักว่า มันมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินต่อไปได้ และรู้เห็นได้โดยปราศจากประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือประสาทสัมผัสภายนอก และลมหายใจเพียงเบาบางที่สุด ก็ยังคงทำให้มันดำเนินชีวิตเป็นร่างกายเนื้อหนังต่อไปได้

    กล่าวได้ว่า การเข้าสู่ภาวะของการเป็นสมาธิอันลุ่มลึก คือการก้าวล่วงไปสู่ภาวะของการมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินต่อไป ด้วยการเป็นจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของตัวตน โดยอาศัยปัจจัยจากภายนอกน้อยที่สุด อันได้แก่ลมหายใจ เพื่อเชื่อมโยงภาวะอันเป็นกายภาพกับจินตภาพไว้เท่านั้น

    เราจะตระหนักได้ว่า เราเป็นตัวตนอยู่ได้นั้น ไม่ใช่ด้วยปัจจัยภายนอก แต่ด้วยปัจจัยภายใน

    พี่นักเขียนใช้การฝึกสมาธิด้วยการแนะนำนักเรียนชาวอเมริกันให้กำหนดจุดวางจิต และส่วนต่างๆของร่างกายตามนี้ และบอกเป้าหมายกับนักเรียนว่า ในที่สุดแล้ว เราจะพยายามละจากประสาทสัมผัสทั้งห้าทั้งหมด เพื่อเข้าถึงภาวะของการเป็นสมาธิที่เปรียบได้กับ ฌาน 4

    เมื่อบอกเป้าหมายพวกเขาแล้ว ทำให้หลายๆคนเข้าถึงภาวะดังกล่าวได้อย่างง่ายดายค่ะ นักเรียนที่มาเรียนหลักสูตรเพียงหกสัปดาห์จะเข้าสมาธิได้ง่ายและเกิดความชำนาญได้อย่างรวดเร็ว ลองดูนะคะ และหากใครมีวิธีการอื่นๆ ก็ขอให้นำมาแลกเปลี่ยนถ่ายทอดกันอีก พวกเราชาวห้องวิทย์เรียนรู้กันมาหลายสาย มีอะไรดีๆนำมาส่งเสริมกันได้เสมอค่ะ(rose)
     
  10. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    การสวมจิตวิญญาณที่พี่นักเขียนกล่าวถึง เป็นคุณสมบัติของประสาทสัมผัสภายในหลายๆคุณสมบัติรวมกัน จนแทบจะแยกไม่ออกว่า มันประกอบด้วยประสาทสัมผัสภายในใดบ้าง แต่สำหรับพี่นักเขียนแล้ว การร่วมรู้สึกเป็นคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุด เพราะไม่ว่าใครจะขอให้ฝันว่าอะไร ปรากฏการณ์ในความฝันที่เกิดขึ้นเสมอๆคือ เราเป็นเขา แล้วเราก็เผชิญกับสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ของบุคลิกภาพนั้นโดยตรง มันทำให้เข้าใจเขาได้อย่างลึกซึ้ง และบางขณะก็จะก้าวกลับออกมาจากบุคลิกภาพนั้น กลายเป็นผู้สังเกตการณ์ปัญหาของเขาจากมุมมองอีกมุมมองหนึ่ง มันทำให้สามารถมองเห็นได้ดีขึ้นว่าปัญหาที่แท้จริงนั้นคืออะไร

    เมื่อก่อนนี้พี่นักเขียนเคยรับรักษาโรคด้วยสมาธิ ซึ่งก็เป็นส่ิงที่เป็นไปโดยอัตโนมัติโดยไม่ได้ร่ำเรียนอะไรมาเป็นพิเศษนอกจากการฝึกสมาธิ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเสมอๆคือ ไม่ว่าผู้ป่วยจะป่วยเป็นอะไรตรงไหน เราก็รู้สึกได้อย่างนั้น เช่น หากเขาปวดหลัง เรานั่งสมาธิแล้วกำหนดจิตว่าจะรักษาเขา โดยที่เขาไม่ต้องบอกเราว่าอาการของเขาคืออะไรอยู่ตรงไหน พอจิตรวมลงเป็นสมาธิ เราก็จะรับเอาการนั้นๆมาเป็นของเรา และรับมือกับมันในทิศทางของตนเองจนกว่าอาการจะทุเลาจึงถอน ถ้าเราสามารถรับมือกับมันได้จนอาการที่ดูเสมือนว่าเป็นของเรา-ทุเลาลง ผู้ป่วยก็จะรู้สึกว่าอาการของเขาทุเลาลงไปด้วย

    พี่นักเขียนไม่ได้มองเห็นอาการเหล่าเป็นสิ่งที่คนจำนวนมากเรียกกันว่า-โรค แต่มองเห็นว่าเป็นภาวะจิตที่ก่อให้เกิดอาการทางกาย รายหนึ่งมีอาการปวดหลังจนเดินแทบไม่ได้ พี่นักเขียนนั่งสมาธิกับเขาแล้วแลเห็นเป็นแท่งทรงกระบอกยาวประมาณ 3 นิ้ว ฝังอยู่ในแผ่นหลังของเขาทั้งหมด 5 อันด้วยกัน พี่นักเขียนเห็นว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะอยู่ในนั้น ก็ใช้จินตนาการดึงเอาแท่งทรงกระบอกเหล่านั้นออกทิ้งทีละอันจนหมดเกลี้ยง ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมง

    ผู้ป่วยรู้สึกสบายขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและบอกว่ารู้สึกโล่งอย่างประหลาด ถามว่าพี่นักเขียนทำอะไรให้เขา พี่นักเขียนก็บอกไปตามตรงว่า แลเห็นแท่งทรงกระบอก 5 อันและรู้สึกว่ามันไม่ควรจะอยู่ในนั้นจึงเอามันออก ผู้ป่วยประหลาดใจมาก เขาเล่าว่า คืนก่อนหน้าที่เขาจะตื่นขึ้นมาเจ็บหลัง เขาฝันว่าตนเองเป็นทหาร และถูกฆ่าศึกยิงจากด้านหลังหลายนัด ไม่ทราบว่ากี่นัด แต่เขาจำความรู้สึกสุดท้ายได้ว่า ตนเองล้มลงและเสียชีวิต ทำให้ตกใจตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหลังอย่างรุนแรง

    เขาบอกว่า เขามักจะปวดหลังโดยไม่มีสาเหตุบ่อยๆ จนกระทั่งมาฝันเห็นตนเองตายด้วยการถูกยิงจากด้านหลัง และทำให้ตระหนักว่า ความรู้สึกที่ฝังอยู่ในส่วนลึกของตนเอง ทำให้อาการเจ็บนั้นกำเริบบ่อยๆ หลังจากนั้นเขาไม่ได้ปวดหลังอีกเลย และบอกกับพี่นักเขียนว่า น่าจะเก็บกระสุนไว้ให้เขาดูเป็นที่ระลึกหน่อย

    พี่นักเขียนเข้าใจว่า ศาสตร์ทั้งหลายที่เกี่ยวพันกับจิตวิญญาณ ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าพลังอะไร เช่น รักษาโรคด้วยพลังฝ่ามือ Reiki, La-Ho-shi, ฯลฯ ในที่สุดแล้วก็ใช้ปัจจัยเดียวกัน อันได้แก่ประสาทสัมผัสภายใน ซึ่งเต็มไปด้วยพลังของความรัก เพราะมันเป็นคุณสมบัติที่ทำให้เราเข้าถึงภาวะที่แท้จริงของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หมอจะรักษาคนไข้ได้ถูกจุด ก็ต้องเห็นอกเห็นใจและเข้าใจคนไข้ได้อย่างถ่องแท้ ครูจะสอนนักเรียนได้อย่างได้ผล ก็ต้องเข้าใจลุูกศิษย์หรือรู้ใจลูกศิษย์ได้อย่างถ่องแท้ว่าเขาจะเรียนรู้ได้ด้วยวิธีการใด พ่อแม่จะสนองตอบความต้องการของลูกได้ก็ต่อเมื่อรักและเข้าใจลูก เพื่อนฝูงจะคบกันยืดก็ต้องรู้ใจและเข้าใจกัน คนไข้จะหายป่วยได้ก็ต้องรักหมอ (แต่บางคนรักหมอมากไปก็ต้องอยู่กับหมอนานหน่อย หรือตลอดชีวิต) นักเรียนจะเรียนได้ดีก็ต้องรักครู ลูกจะพอใจในสิ่งต่างๆที่พ่อแม่ให้และตระหนักในความรักของท่านได้ก็ต้องเกิดจากความรักที่ลูกมีให้พ่อแม่ ทั้งหมดนี้ก็คือ การร่วมรู้สึก หรือการใช้ประสาทสัมผัสภายในที่จะเข้าถึงอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นได้อย่างแท้จริง(rose)

    ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ
    บทที่ 4 หน้า 38
    ประสาทสัมผัสภายใน
     
  11. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    ขอบพระคุณพี่นักเขียนมากเลยค่ะ คำสอนของพี่ ปิดช่องโหว่ของความสงสัย ได้หมดแล้วค่ะ จะนำไปทดลองปฏิบัติดูค่ะ...ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ...รักนะค่ะ
     
  12. kindred

    kindred เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,753
    ค่าพลัง:
    +5,897
    คุณ mead ค่ะ...ตอนนี้ มันยิบๆตลอดเลยอะค่ะ...ตรงหว่างคิ้วนะค่ะ เวลา เข้ามาในเวป ก็เป็น...ตอนอ่านหนังสือ อาจารย์ อนาลัยก็เป็น...ไม่ได้ทำสมาธิซักหน่อยนี่ค่ะ หรือเวลาเผลอๆ นั่งหลับตา คิดอะไรเรื่อยเปื่อย ก็เป็นค่ะ...ไม่ได้กำหนดอะไรเลย คือ อะไรค่ะ
    รูปที่ให้ดู เหมือนรูป ขอบของดวงตา ในแนวตั้งเลยค่ะ (คิดว่านะค่ะ)
     
  13. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    เคยฝันว่ามีคนมาตามให้ไปอ่านหนังสือในห้องสมุด เข้าไปแล้วยืนงง แล้วก็เดินกลับออกมาโดยไม่ได้หยิบหนังสือติดมา แถมใส่รองเท้าผิดข้างด้วย เห็นแล้วรู้ด้วยว่าใส่ผิดข้าง แต่ฝันนี้ประมาณ 2 - 3 เดือนแล้ว คราวนี้ฝันใหม่ มีคนที่มองไม่เห็นตัวมาพาไปห้องสมุดใหม่ แถมให้ไปค้นหาหนังสือเล่มนั้นให้เจอ บอกรหัสตู้ในห้องสมุด แถมจัดที่นั่งให้เสร็จสรรพด้วย เขาให้อ่านให้เข้าใจ คืนนี้ต้องหยิบจิตวิญญาณประสานกายมาอ่านตามที่คุณนักเขียนแนะนำซะแล้ว
     
  14. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    พี่นักเขียน อธิบายได้อย่างลึกซึ้งเลยครับ แสดงให้ถึงความเข้าใจได้อย่างดีเยี่ยมเลยครับ (||)
    จากประสบการณ์ที่เคยฝึกพลังของผมคือ เมื่อเราอยู่ในภาวะที่สมดุล เมื่อสัมผัสเข้ากับสนามพลังของคนอื่น หรือวัตถุสิ่งอื่นๆ ประสาทสัมผัสภายในจะทำงาน สะท้อนออกมาทางนิ้วมือแต่ละนิ้ว หรือตามร่างกายจุดต่างๆ ซึ่งนิ้วมือแต่ละนิ้ว จะมีความสัมพันธ์กับอวัยวะภายในร่างกาย ตามแนวประสาทสัมผัสด้านซ้าย และขวาของร่างกาย ซึ่งในแต่ละนิ้วที่สัมพันธ์กับอวัยวะภายในร่างกายนั้น นอกจากจะสัมพันธ์กับอาการไม่สมดุลของร่างกายแล้ว ยังสัมพันธ์กับภาวะทางอารมณ์ของจิตใจอีกด้วยครับ
    เช่น หากเราสัมผัสกับสนามพลังงานของผู้อื่น แล้วเกิดอาการร้อนที่ตับ หรือนิ้วกลางด้านขวา ซึ่งพลังงานจะวิ่งไปกระจุกที่สมองด้านซ้ายด้วยครับ จะหมายถึง ถ้าภาวะทางร่างกายหมายถึงมีอาการผิดปกติทางตับ หากในด้านจิตใจผู้นั้นใช้ความคิดทางตรรกกะมากไป จนเกิดความเครียด ซึ่งอาการผิดปกติทางใจ จะสัมพันธ์กับความรู้สึกทางกายครับ เป็นต้นครับ
    ซึ่งในการรักษา หากเรารู้สึกว่าอาการที่เกิดขึ้นภายในเราดีขึ้นแล้ว นั่นแสดงว่าสนามพลังงานของผู้ที่รับการรักษาก็จะดีขึ้นเช่นเดียวกันครับ
    แต่พี่นักเขียนมีจินตภาพที่ล้ำลึกมากครับ อันเกิดจากอำนาจของสมาธิ ที่จะรับทราบได้ถึงข้อมูลที่อยู่ลึกลงไปในพลังงานนั้นครับ

    มีข้อสงสัยนิดนึงที่ต้องการถามพี่นักเขียนครับ จากการสังเกตภาวะก่อนที่เราจะหลับครับ หากเราหลับไปในภาวะที่ต่อจากอารมณ์ฌาญ จะไม่เกิดการฝัน แต่หากเราหลับไปในภาวะที่เรามีคำถามไว้ในใจ เวลานอนนั้นก็จะเกิดข้อมูล และคำตอบในรูปแบบสัญลักษณ์ต่างๆใช่หรือไม่ครับ
     
  15. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ nova_analai [​IMG]
    เมื่อเรากำหนดเครื่องอยู่แล้ว ประสาทสัมผัสทั้งห้าก็จะอยู่ภายใต้การควบคุมได้ไม่มากก็น้อย ทำให้เราไม่แทรกแทรงความคิดด้วยสาระอื่นๆ หรือจะมีการแทรกแซงบ้าง เช่น แลเห็นภาพ แสง สี ผุดขึ้นในมโนภาพ ได้ยินเสียงรบกวนจากภายนอก - ภายใน ได้กลิ่นจากภายนอก รู้สึกหิว กระหาย อยากลิ้มรส หนาว ร้อน หรือ คัน ปวดเมื่อยกาย หรือ ฯลฯ เราก็มีจุดจดจ่อ หรือเครื่องอยู่ที่ช่วยให้กลับไปจดจ่อได้อีกครั้งหนึ่งโดยไม่ตะเลิดเปิดเปิงหรือจดจ่อไปในทิศทางอื่นๆโดยหาที่กลับไม่ได้

    เมื่อพ้นวาระที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าตื่นตัวและทำงานอย่างคมชัดกว่าปกติไปแล้ว เราจะพบว่าประสาทสัมผัสที่ถูกควบคุมและฝึกฝนให้จดจ่อกับเครื่องอยู่ ที่ล้วนแต่มีอยู่ภายใน จะละจากเครื่องอยู่เหล่านั้นไปโดยอัตโนมัติ เพราะธรรมชาติของประสาทสัมผัสทั้งห้าคือ การรับรู้จากภายนอก เมื่อมันถูกควบคุมให้ทำหน้าที่ที่สวนทางกับธรรมชาติ คือหันการจดจ่อเข้าสู่ภายใน มันจะหมดความสนใจและหยุดทำหน้าที่ เพราะไม่ใช่หน้าที่ของมัน ทำให้ประสาทสัมผัสภายในเริ่มทำหน้าที่แทน

    เมื่อถึงจุดนี้ เราจะพบว่า ไม่ว่าเราจะกำหนดจุดวางจิตไว้ ณ ตำแหน่งใดๆของร่างกาย เช่น หว่างคิ้ว กลางอก กลางกระหม่อม ฯลฯ มันจะกลายเป็นเพียงภาวะจิต ที่คงความสมดุลย์ให้ดำเนินต่อไปในระดับจินตภาพ จุดต่างๆที่สัมพันธ์กับภาวะทางกายภาพหรือร่างกาย จะเหมือนกับว่าหายไปหมด เหลือแต่เพียงสิ่งเดียวคือลมหายใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราทุกคนตระหนักว่า สำคัญต่อชีวิตเป็นที่สุด แต่ในที่สุดลมหายใจก็จะหายไปด้วย หากเราสามารถประคองจิตอันเป็นสมาธิต่อไปได้ เพราะในที่สุดแล้วจิตวิญญาณจะตระหนักว่า มันมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินต่อไปได้ และรู้เห็นได้โดยปราศจากประสาทสัมผัสทั้งห้า หรือประสาทสัมผัสภายนอก และลมหายใจเพียงเบาบางที่สุด ก็ยังคงทำให้มันดำเนินชีวิตเป็นร่างกายเนื้อหนังต่อไปได้

    กล่าวได้ว่า การเข้าสู่ภาวะของการเป็นสมาธิอันลุ่มลึก คือการก้าวล่วงไปสู่ภาวะของการมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินต่อไป ด้วยการเป็นจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นแก่นแท้ของตัวตน โดยอาศัยปัจจัยจากภายนอกน้อยที่สุด อันได้แก่ลมหายใจ เพื่อเชื่อมโยงภาวะอันเป็นกายภาพกับจินตภาพไว้เท่านั้น

    เราจะตระหนักได้ว่า เราเป็นตัวตนอยู่ได้นั้น ไม่ใช่ด้วยปัจจัยภายนอก แต่ด้วยปัจจัยภายใน(rose)


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ปล่อยไปค่ะคุณ kindred ไม่ต้องไปสนใจ ค่อย ๆ ละจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 เข้าสู่ประสาทสัมผัสภายในเหมือนที่พี่นักเขียนกล่าวไว้ เพื่อเข้าสู่ภาวะทางจินตภาพ ซึ่งจะไม่มีความรู้สึกใด ๆ ทางกายภาพ เช่น ความรู้สึกเจ็บปวด,ร้อน, หนาว ฯลฯ ค่ะ..
     
  16. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441

    มาต้อนรับคุณเซลล์อย่างเป็นทางการซะเลยครับ "ยินดีต้อนรับสู่ห้องวิทย์ "
    เชิญพูดคุยแลกเปลื่ยนประสบการณ์กันที่นี่ได้เต็มที่เลยนะครับ

    (||)(||)(||)

    เห็นด้วยครับการรักษาด้วยจินตภาพของพี่นักเขียนฯ เยี่ยมจริงๆนะครับ
    สามารถมองเห็นและหยิบเอาปลอกกระสุนปืนออกมาได้ เหมือนกับว่าอาการบาดเจ็บมีสาเหตุมาจากอดีตชาติ ทราบว่าบางคนโดนมีดของมีคมหรืออาวุธปืนแบบนี้ ตามร่างกายอาจมีตำหนิเป็นปานหรือแผลเป็นติดตัวมาตั้งแต่เกิด อาการเหล่านี้เป็นรหัสที่บันทึกไว้อยู่ในหน่วยความทรงจำข้ามภพชาติ ซึ่งสามารถแสดงผลของความเจ็บปวดออกมาได้ในภพชาตินี้ เรื่องนี้น่าสนใจและเป็นทางออกในการรักษาได้ดีจริงๆครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2008
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เห็นด้วยกับพี่นักเขียนค่ะ เดิมทีขจรวรรณก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปเรียนพลังจักรวาล ที่ไปเรียนก็เพราะสนใจศึกษาเกี่ยวกับการฝึกจิต เพราะจากที่ฝึกสมาธิในแนวพุทธแล้วก็พบว่าจิตของเรานั้นมีพลังแต่ไม่สามารถควบคุมให้นิ่งอยู่กับที่ได้ เหมือนเด็ก ๆ ที่กำลังซน อยากจะทำโน่นทำนี่ ไม่ค่อยอยู่ในโอวาสสักเท่าไหร่ พอไปเรียนเค้าก็สอนแต่เรื่องการรักษาโรค แต่พอเรียนไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเข้าใจว่าเป็นศาสตร์เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มอ่านหนังสือแนวนิวเอจ, จิตวิญญาณได้เข้าใจมากขึ้น คงเป็นเพราะเราอ่านด้วยจิตวิญญาณนั่นเองนะคะ

    เมื่อเราเริ่มศึกษาจากอาจารย์หลายท่าน ก็เริ่มจะตระหนักรู้ถึงความสำคัญของสติสัมปะชัญญะและประสาทสัมผัสภายในมากขึ้น เพราะการที่เราจะเชื่อในคำสอนของอาจารย์แต่ละท่าน เราก็ต้องกลั่นกรองข้อมูลความรู้ด้วยเช่นกันว่าสิ่งไหนควรเชื่อ และสิ่งไหนไม่ควรเชื่อ หรือสิ่งไหนควรทำใจให้เป็นกลาง จะได้ไม่สับสนค่ะ..

    สรุปแล้วก็เป็นการเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนความเชื่อให้เป็นความรู้ เหมือนที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้จริง ๆ นั่นเองค่ะ รึว่าเรากำลังจะเดินทางกลับบ้านกันอยู่รึปล่าวน้า.. ทุก ๆ คน ;)
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ขอต้อนรับคุณเซลล์เข้าสู่ห้องวิทย์ฯ ด้วยคนค่ะ..:cool:
    คุณเซลล์น่าจะเป็นบุคคลที่มีความรู้ในศาสตร์ด้านพลังงานอยู่มากทีเดียวนะคะ
    ช่วงนี้ห้องวิทย์ฯ เริ่มมีสมาชิกใหม่เข้ามากันหลายคนเลย ดีจัยจัง..
    ขอให้ความรู้ของพวกเราขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด.. อิอิ..
    (||)(||)(||)
     
  19. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เห็นโจทย์ของคุณซิปฯ คล้ายตัวอย่างของพี่นักเขียนที่นำมาตั้งจิตขอฝันหน้านี้เลยครับ
    http://palungjit.org/showpost.php?p=1252194&postcount=4534

    ถ้าการทดลองนี้เราอาจกำหนดจิตก่อนนอนแบบที่พี่นักเขียนแนะนำไว้ได้เลยครับ...
    เมื่อคืนตั้งโจทย์ไม่ชัดเจนเลยไม่เจอคุณซิปฯ เดี๋ยวคืนนี้เอาใหม่ เพื่อนๆก็ลองดูนะครับ

    1.ขอรู้เห็นปัญหาที่แท้จริงและความเป็นไปของบริษัท อันเกิดจากภาวะจิต ของคุณซิปเปอร์ ในขณะนี้ ?
    2.ขอรู้เห็นอนาคตบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ที่จะถูกเหนี่ยวนำมาสู่ความเป็นจริงในชาติภพนี้
    อันเกิดจากภาวะจิตหรือการจดจ่อของคุณซิปเปอร์ ณ ปัจจุบัน ?

    ***
    การตั้งจิตขอรู้เห็นอนาคต-อันเกิดจากภาวะจิตของผู้ใด เปรียบเสมือนสวมจิตวิญญาณของเขา รู้เห็นแบบพิมพ์เขียวที่จะก่อเกิดประสบการณ์ของเขาต่อไป พี่นักเขียนขอให้พวกเราลองศึกษาการตั้งจิตและการรับข้อมูลเหล่านี้ดู

    ธรรมชาติความเป็นจริงของภาวะจิต การก่อเกิดเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ตลอดจนอนาคต เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้เสมอๆว่า เป็นสิ่งที่หลากหลาย-เป็นอนันต์-คาดการณ์ไม่ได้ พี่นักเขียนจึงมักปฏิเสธที่จะดูอนาคตอันยาวไกลให้ใครๆในความฝัน เพราะตระหนักดีว่า ความเชื่อของเขาอาจทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ ทำให้เส้นทางแห่งความเป็นไปได้นั้นๆปราศจากความหมายหรือความเป็นจริงไปโดยปริยาย

    เมื่อคุณ zip นำโจทย์มาให้ พวกเราจะได้มีกรอบที่จะนำไปใช้ได้บ้างว่า เราจะตั้งจิตด้วยการขอรู้เห็นอะไร เพื่อให้จิตวิญญาณของเราเปลี่ยนวิถีการจดจ่อไปสวมจิตวิญญาณของคุณ zip และรู้เห็นข้อมูลส่วนนั้นๆได้ ผ่านดวงตาของคุณ zip หรือผ่านความรู้สึกของคุณ zip

    การทดลองของคุณ zip เป็นสิ่งที่ท้าทาย น่าทดลอง และน่าจะให้ความรู้กับพวกเราได้ไม่น้อยเลย(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2008
  20. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่อบอุ่นของคุณ mead และคุณ kajornwan นะครับ
    สิ่งที่ผมทราบ ยังน้อยมากๆครับ แต่หากเพื่อนๆมาช่วยแชร์กัน จะช่วยให้เราเข้าใจในเรื่องต่างๆกันในแนวกว้าง และลึกขึ้นครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...