คิดว่าผีแบบไหนที่น่ากลัวที่สุดสำหรับบุคคลทั่วไป.... ให้เดานะ ผีแบบที่ว่า เรามองเห็นแล้วรู้สึกตกใจ และที่สำคัญยังมาสามารถมาจับตัวเราได้ด้วย แม้ว่าเรากำลังลืมตาอยู่ก็ตาม ปล.อยากเจอไหม ๕๕๕
ที่มาแลบลิ้นปลิ้นตา คอยาวควักไส้ในออกมาสาวๆๆค่ะ ทีอ.พบคงเป็นพวกมีบุญหรือรุกขเทวาค่ะจึงดูสวยๆผุดผ่องทั้งน้าน
ไอ้พวกแลบลิ้นปลิ้นตา บูกตาหลุด หน้าเบี้ยวแบบผีไทยทั้งหลาย ไม่น่ากลัวเท่าพวกภูตหรอก เพราะพวกนี้ แปลงร่างได้ ที่สำคัญสามารถเข้าหาประชิดเราได้ในระยะประมาณ ๑๐ ซม.ำวกนี้สังเกตุได้เท้าไม่ติดพื้น กับพวกอสูรกายที่แววตาไม่เป็นมิตร พวกนี้สังเกตุได้จะไม่สบตากับเราถ้ามอง และ ไม่ขนาดนั้น ๕๕๕ เจอปนๆกันไปนั่นแระ ถ้าที่เหมือนคนที่ดูน่ากลัวไม่เชิงนะ ดูน่าสงสารมากกว่า เพราะเค้าปลอมเป็นคนที่เรารู้จักเพื่อให้เราหันไปมอง พอมองไปกำลังเค้าหมด เค้าเลยเปลี่ยนเป็นรูปร่างสุดท้ายก่อนตาย คือ เคส ญ ที่ศรีษะหายไปครึ่งหนึ่ง คือ แทบด้านขวา หายไป เคสนี้เป็น พนักงานสาว คาดว่าจะโดนรถใหญ่เหยียบจนหน้าเหลือครึ่งเดียว(การแต่งกายจำได้หมดแระขี้เกียจเขียน) พอดีวันนั้นเค้ามาหากันเยอะ ไม่รู้เยอะแค่ไหน รู้แต่มีศรีษะที่เดียว ที่ไม่มีมือมาจับนะ เลยไม่นึกเรื่องกลัว นึกแต่เรื่องอุทิศบุญว่าแบบไหนเค้าจะรับได้ ลองผิดลองถูก หลายวิธีมาก จนได้วิธีที่เค้ารับกันได้หมด(เป็น ๑ ในวิธีที่เอามาแนะนำในเวบนี้แระ) เค้าเอาไปแห่ด้วยนะ ป่านว่าเราเป็นศิลปินร๊อก พอนึกภาพออกไหม แต่ก็มีที่แบบว่าอาจจะยังซึ้งใจ ยังไม่ไปง่ายๆ สองสามตน มากอดแบบก่อนจะลากัน ประมาณ ๕ นาทีได้ กรณีเคสนี้นะ เวลาประ 10 โมงเช้านะ ช่วงนั้นนอน คอนโด แต่ดันไม่มีศาลเจ้าที่ เค้าเลยมาที่ห้องเลย เพื่อความสดวก สงสัยแม่บ้านใช้คีย์การ์ด เปิดประตูให้แน่เลย ๕๕๕ แอบเค้ามาตอนพี่ รปภ. แกหลับด้วย ๕๕ ปล เคสนี้ อีกวันไปถาม ลพ ที่เคารพ ท่านบอก ก็อุทิศบุญไป แล้วก็ สอนโน้นนี่นั่นต่อ เหมือนเป็นเรื่องชิวมากๆ เหตุนี้คือจุดเริ่มต้น ของการมาเรื่อยๆ ได้อุทิศอีกหลายเคส จำได้หมดนะทุกเคส แต่ถ้าไม่มีเหตุ ปกติจะไม่พูดไม่เล่า เน้นฮาพอ
ตอนอยู่ ประถม6 น่าจะตี 2 ตี 3 ได้ เราตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเปิดประตู ก็คิดว่าพี่สาวไปเข้าห้องน้ำแน่ๆ เลยลืมตาขึ้นมอง พอมองไปปลายเท้าตัวเอง ก็เห็นผู้หญิงคนนึง มานั่งปลายเตียง อายุไม่น่าเกิน 23 ถักผมเปีย ใส่เสื้อยืด จังหวะนั้น 2-3 วิแรก สมองยังไม่โฟกัสว่าเป็นใคร พอตั้งสติได้ แทบช็อคเลย แต่ไม่ร้อง พยายามจะแกล้งหลับแทน แต่สายตาก็อดลืมตาดูอีกทีไม่ได้ว่าเขาไปหรือยัง ก็เห็นร่างกายเขาค่อนข้างโปร่งๆ เรืองแสง เขานั่งหันข้าง แล้วก็หันหน้ามาทางเราที่นอนอยู่ เราได้สบตากัน แล้วเขาก็ค่อยๆ จางหายไป ตั้งแต่หัว ปล. เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่เห็นจะจะ และในคืนนั้นเวลาไล่เลี่ยกัน พี่สาวเราไปเข้าห้องน้ำจริงๆ ขากลับเข้าห้องเขาก็ร้องลั่นเลย เพราะเขามองเห็นผู้หญิงยืนหน้าบ้านใส่ชุดไทยสไตล์พม่า ตอนมองผ่านหน้าต่างออกไป เป็นเรื่องจริงที่เคยเจอ และเราค่อนข้างจะจำรายละเอียดได้ชัดเจน ทำให้เชื่อมาตลอดเลยว่า บางสิ่งที่เรียกว่าผี ต้องมีอยู่จริง
ผีหลอกคืออะไร ยมบาลมีจริงหรือไม่ ต้นงิ้วในเมืองนรกมีจริงหรือไม่ เมืองนรกอยู่ที่ไหน ไพรวัลย์ Praiwan สรรเพชร Feb 16, 2021
เบสิคพื้นฐานการอุทิศบุญให้ได้ผล ทริค ๑.ให้ลืมตา ลิ้นกับปากห้ามขยับ และที่สำคัญห้ามขยับลูกนัยต์ตาไปด้านซ้ายหรือขวาเป็นอันขาด ส่วนนี้เป็นอุบาย ให้การดึง(คล้ายหลอกให้จิตลดระดับคลื่นความถี่มาจุดนี้)เพื่อให้จิตเข้าสู่สภาวะเป็นทิพย์ชั่วคราว(เพราะถ้าขยับไปด้านซ้ายระบบประสาทจะเชื่อมกับสมองแล้วดึงเรื่อง ในอดีตขึ้นมาทันที และถ้าขยับไปด้านขวาในทางตรงข้ามมันจะนึกเรื่องใหม่ทันที) ๒.ให้ท่องประโยคที่จะเขียนใน ''_ _ _"ในลำดับถัดไปในใจให้ได้ และ อ่านให้จบก่อน..... '' ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตน์ตรัย บารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจจักเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยเจ้าทั้งหลาย(เริ่มต้นด้วยการหายใจเข้าจนสุด) ลูกขอบารมีธรรมทั้งหลายของท่านเหล่านั้น ขอจงได้โปรดมารวมกันอยู่ ณ เบื้องหน้าลูกนี้ด้วยเทอด(เริ่มหายใจออกจนสุดประโยคนี้) " " และบุญใดที่ข้าพเจ้าได้ทำมาแล้วตั้งแต่ชาติต้นยันชาติปัจจุบัน ขอจงได้โปรดมารวมตัวกันกับบารมีธรรมทั้งหลายของท่านเหล่านั้น และลูกขอน้อมอุทิศส่วนกุศลทั้งหมดนี้ให้แก่(เริ่มหายใจเข้ารอบ ๒ ด้วยประโยคนี้ และที่สำคัญให้กำหนดผลักออกจากกลางลิ่นปี่[สมมุติร่างกายเหมือนท่อปะปาทรงกลม ต่ำแหน่งกลางลิ้นปี่นั้น คือ ต่ำแหน่งจุดศูนย์กลางของท่อปะปานี้ ประมาณอยู่ภายในร่างกายบริเวณลิ้นปี่ ให้มโนว่าเราผลักจิตเราออกจากจุดนี้ให้กว้างที่สุดเท่าที่จะกว้างได้แบบไม่ต้องไปกำหนดทิศทางใดๆ **มีอดีท่านมีชื่อในอดีตถ้าเอ่ยชื่อใครก็รู้จัก บอกว่าในส่วนนี้ให้เพิ่มตอนที่ผลักจิตออกไปนี้ให้นึกครอบคลุมโลกใบนี้เลย ท่านว่ามานะ** และถ้าเราทำถูกจะรู้สึกเหมือนมีลมวิ่งผ่านจุดศูนย์กลางนี้ และในทำนองเดียวกันก็จะรู้สึกว่ามีลมพุ่งขึ้นไปบนศรีษะ ในขณะที่บริเวณหน้าอกจะรู้สึกมีวงกลมวิ่งออกจากหน้าอก คล้ายก้นหอยไปขยายๆกว้างๆภายนอกร่างกาย] ) ............... ขอได้โปรดให้ท่านทั้งหลายจงรับและแปรสภาพเป็นอะไรก็ได้ตามแต่ที่ท่านต้องการเทิด" ๓.ให้ฝึกท่องประโยคเหล่านี้ ให้จบภายใน ๒ รอบลมหายใจเท่านั้น เพราะถ้าหายใจมากกว่านี้ จิตจะเริ่มดึงตัวเองออกจากความเป็นทิพย์ในลักษณะนี้ทันที บอกไว้ก่อนว่า จะเหนื่อย แน่น จุก เพลีย ตึงศรีษะ เป็นเรื่องธรรมดา เด่วก็หายเอง ถ้าทำฝึกทำบ่อยๆ และจะไม่กลับมาเป็นอีก ๔. ในส่วนของเครื่องหมาย ............. ให้ปรับนำไปใช้ตามความเหมาะสม เช่น ท่านเจ้าเสียง เจ้าของกลิ่น เงาดำที่ข้าพเจ้าเห็น ท่านที่เห็นในผันข้าพเจ้า เทวดาประจำตัวท่านโน้นนี่นั้น ให้บิดา มารดา หรือ ญาติ หรือ ท่านที่ล่วงลับไปแล้วท่านโน้นนี่นั้น เจ้าที่โน้นนั่นนี่ ฯลฯ และท่านกรรมนายเวรให้อดีตชาติของข้าพเจ้าทั้งหลาย. ข้อควรพิจารณา สังเกตุได้จะไม่แนะนำอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรใครเป็นอันขาด เอาไว้ถ้าสามารถทำอย่างได้เป็นปกติ และมั่นใจว่าบารมีตนมากพอ ซึ่งอย่างน้อย ต้องผ่านการอุทิศส่วนกุศลแบบข้างบนอย่างน้อย ๒ ปีก่อน ถ้าหากบุคคลใดไปทำก่อน ไม่ถือว่าเป็นความผิดข้าพเจ้า หากเกิดอะไรก็ตามที่ส่งผลต่อกายและจิตใจของท่าน เนื่องจากข้าพเจ้าได้กล่าวเตือนท่านไปแล้ว ถือว่าท่านรับทราบข้อตกลงนี้ ปล.เหตุเพราะกาย ๙๐ อดีต ๑๐ ท่านว่าช่วยได้ง่าย เหตุเพราะกาย ๕๐ อดีต ๕๐ ถึง ๖๐ ท่านว่าช่วยได้แต่เหนื่อยหน่อย ถ้ามากกว่า ก็ช่วยได้เหนื่อยหน่อย แล้วแต่กรณีๆไป แต่ส่วนมากต้อง ทำบุญสร้างบารมีหนักหน่อยก่อนถึงจะช่วยได้ เหตุเพราะกาย ๑๐ อดีต ๙๐ ท่านว่า แม้ท่านยมบาลก็ช่วยไม่ได้ สำคัญเรารู้ได้ไหม? ถ้าไม่แนะนำ อย่าไปอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนาย เวรคนอื่นๆเป็นอันขาด ถ้าเราไม่แน่พอ บทความข้างบน หากกล่าวในมุมทั่วไป คือ อุบายในการให้เกิดความสบายใจชั่วคราว วิธีการหนึ่งที่เลือกนำมาแสดง หากมองในมุมทางด้านพลังงงาน ก็คือการฝึกสร้างและดึงพลังงานนามธรรม ที่ดีเข้ามาสู่กายและนำไปใช้งานเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยกับพลังงานนามธรรม ที่ดีเหล่านี้ หากมองในวิทย์บางมุม คือ ในระดับอะตอม ทำการฝึกสร้างอนุภาคชนิดที่เป็นองค์ประกอบสะสาร(เป็นนามธรรม)เพื่อเพิ่มความหนาแน่นของอนุภาคนี้ให้มีมากขึ้น อนุภาคที่เป็นองค์ประกอบสะสาร มีเอกลักษณ์คือ เพิ่มได้ ลดได้ มีได้ไม่จำกัด สร้างอัตตลักษณตนเองได้ และอยู่ภายใต้ระบบแรงในโลกนี้ หมายเหตุ กาย วัตถุ ทุกสิ่ง ในระดับอะตอมประกอบด้วยอนุภาคสองตัวอนุภาคที่เป็นองค์ประกอบสะสาร(รูปธรรม)และองค์ประกอบสะสาร(นามธรรม)แทรกซึมอยู่ด้วยกัน ที่เล่าคือแบบหยาบๆไม่ได้ลงรายละเอียด หากมองในมุมเกี่ยวกับธาตุ คือ การย้อนไปจุดกำเนิดธาตุ ก่อนที่มันจะฟอร์มตัวเป็น ธาตุโน้นนี่นั้นจนเราเรียกได้ เช่น ธาตุดิน น้ำ ลมไฟฯลฯ หากมองในมุมสมถะ คืออุบายในการฝึกจิตให้เกิดความเป็นทิพย์และฝึกใช้งานทางจิต ในกำลังสมาธิระดับปฐมฌาน หากมองในเสี้ยวที่เข้าตัวเองว่าทางด้านปัญญา คือ อุบายให้ใจรู้จักการให้ แต่เป็นการให้ทางนามธรรม ที่จะส่งผลให้เวลาปกติสามารถลด ความตะหนี่ ถี่เหนี่ยวลงได้ เมื่อเริ่มเป็นผู้ให้ทางนามธรรม อุปนิสัยที่จะแสดงออกทางรูปธรรม จะดีตามมาได้เอง แล้วเราหละมองในมุมไหน? ปล.แค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง
รบกวนพี่นพช่วยกรุณาอธิบายขยายความนิดนึงเพื่อความชัดเจนยิ่งขึ้นว่า เพราะเหตุใดพี่นพจึงได้เตือนว่า “... ไม่แนะนำอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรใครเป็นอันขาด… ถ้าหากบุคคลใดไปทำก่อน ไม่ถือว่าเป็นความผิดข้าพเจ้า หากเกิดอะไรก็ตามที่ส่งผลต่อกายและจิตใจของท่าน เนื่องจากข้าพเจ้าได้กล่าวเตือนท่านไปแล้ว ถือว่าท่านรับทราบข้อตกลงนี้… อย่าไปอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรคนอื่นๆเป็นอันขาด ถ้าเราไม่แน่พอ...” นะครับ _/\_ ธรรมชาติของคนเรายิ่งห้าม เหมือนยิ่งยุครับ… ผมเกรงว่าเดี๋ยวมีคนลองของ ลองพิสูจน์ครับ (^ ^) พี่นพช่วยกรุณาขยายความเพื่อความชัดเจนเพิ่มขึ้นอีกนิดจะได้หรือไม่ครับว่า (1) ถ้าอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรคนอื่นแล้วอาจมีผลกระทบอะไร? อย่างใดเกิดขึ้นครับ? และ ... (2) ข้อสังเกตที่เราจะทราบได้อย่างไรว่าเรามีบารมีที่มากเพียงพอและแน่พอที่จะอุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรคนอื่นได้ครับ? ขอบคุณครับพี่นพ
ถ้าเราพูดในมุมให้ง่ายๆนะ พวกวิบากต่างๆ หรือขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม หรือกระแสจร(มาจากภายนอก) หรือ ความคิดปรุงต่างๆไม่ว่าจิตปรุงร่วมกับความคิด(ภายใน) หรือจิตปรุงร่วมกับขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม(ภายนอกและภายใน) พวกนี้คือ แรงชนิดหนึ่งมันคือ นามธรรม จัดเป็นกลุ่มแรงที่เป็นอนุภาคของสื่อนำแรง(ขอแทนด้วย ๑ บ้านเราเรียกว่า แรงภายในนี้ว่าธาตุ ดิน น้ำ ฯลฯ)ที่แทรก หรือสามารถแทรกในกาย ในวัตถุ(รูปธรรม หรืออนุภาคที่เป็นองค์ประกอบสะสาร(ขอแทนด้วย ๒)) ได้ทั้งสิ้น ถ้าร่างกายปกติ ไม่เจ็บไม่ป่วย จะมีแรง ๑ และ ๒ ปกติ คือ มีความสมดุลย์กัน ถ้าอวัยวะชิ้นไหน ไม่สมดุลย์ ไม่ว่ามี แรง ส่วนไหน มากไปหรือน้อยไป อวัยวะชิ้นนั้นจะพร่อง คือ เป็นโรคโน้นนี่นั้น (เวลาทานยาต่างๆ ก็ เพื่อไปปรับสมดุลย์ตรงนี้ หรือแม้แต่การใช้ กำลังจิต ใช้พลังงานกสิณ พลังงานภายนอกร้อนหรือเย็น วิชาเฉพาะต่างๆ ก็เพื่อไปปรับ ส่วนที่พร่องให้สมดุลย์เท่าที่จะทำได้ ตามสภาพปัจจุบันนั่นเอง ) อย่าลืมเรื่องเอกลักษณ์ของสื่อนำแรง ให้ลืมกฏพิสิกไปซะ เพราะมันอยู่เหนือกฏนี้ คำว่าเพิ่มเท่าไหร่ก็ได้แสดงว่ามันไม่อิงพื้นที่ เลยไม่มีขอบ ที่จะทำใหเราวัดรวมเป็นพื้นที่ได้ จึงไม่มีระยะทางจากจุดเริ่มไปยังจุดปลาย ของเส้นที่เป็นขอบ มันจึงไม่อิงเวลา ไม่เกิดเวลา ระหว่างสองจุดนี้ เป็นที่มาของคำว่า เหนือกาลเหนือเวลา นี่คือเอกลักษณ์ของมันนะจำไว้ เค้าถึงเรียกกระแสจร กะแสวิบาก เรียกขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม เพราะง่ายต่อความเข้าใจ และง่ายกว่า เลยเรียกวิบากกรรม(ทางพุทธใช้คำนี้กัน) และเนื่องจากแรง ๑ มันอยู่ภายใต้ กฏของแรงเดียวกัน คือ แรงดึงดูด แรงโน้มถ่วง แรงแสง และ... แรง ๑ นี้มันเลยวนเวียนอยู่ได้ พวกที่พ้น คือจิตอยู่เหนือกฏของแรงเหล่านี้ หรือ จิตต้องไปอยู่ ระบบสุริยะจักรวาลอื่น ที่อาจมีกฏของแรงไม่เหมือนกาแลคซี่แบบเรา ดังนั้นเมื่อเราแค่คิด (นามธรรม) มันจะเป็นการเชื่อมกันทันทีของแรง ๑ นี้ (ดูเอกลักษณ์มัน และกฏของแรงประกอบ) ในบุคคลที่พอมีกำลังจิต หรือบารมีมากพอ หรือรู้จักอุบายในการถ่ายแรงต่างๆ สามารถที่จะพลักแรง ๑ ส่วนเกินที่เผลอไปเชื่อมจากภายนอกนี้ได้ปกติ ..... แต่มันจะต้องมาจากการฝึกการสร้างสม ดังนั้นกรณีทั่วไป เมื่อเชื่อมแล้ว แรงจะเข้ามารวมกับจิต(นามธรรม) และเมื่อยังแค่คิดอยู่(แสดงว่ารวมแล้ว ทางนามธรรม) มันก็จะเกิดการสะสมของแรง ๑ เมื่อมากขึ้น มันก็จะกระทบถึงแรง ๒ (ทางรูป)ในแง่ของความสมดุลย์ปกติ เป็นสาเหตุที่ส่งผลต่อจิต ต่อความคิด หรือต่อใจ(แรง ๑) เมื่อไม่มีการเคลียร์ตรงนี้ ก็สะสมจนกายพร่อง เมื่อกายพร่อง(แรง๒) การเจ็บป่วยก็ตามมานั่นเอง พอนึกภาพออกไหม พวกดูดวง ทำนายทายทัก หรือไปยุ่งวิบากคนอื่นๆ ถึงเดี้ยงกัน เพราะเคลียร์ไม่ได้หรือคุณสมบัติทางจิตยังไม่เพียงพอนั่นแระ พวกที่จะทำอย่างเป็นทางการถึงต้องอาศัย พิธีเพื่อเอาแรงอื่นๆ(แรงครู) มาหนุนนั่นแล พอมองเห็นภาพไหม จากสิ่งที่เล่าให้ฟัง ถ้าจะยุงวิบากคนอื่นๆได้ ก็ให้ มาดูว่าเรามีวิธีเคลียร์ กะแสเหล่านั้นในเวลาปกติได้ไหม แต่อย่าลืมเรื่องเปอร์เซ็นต์ที่เคยบอก สำคัญเราจะรู้หรือมีเครื่องรู้ตรงนี้ไหม หรือมีหลักสังเกตดูตรงนี้ไหม เช่น เราไปช่วย แต่โดนด่า โดนเมิน โดนมองแปลกไป หรือ เค้ายินดี หรือเค้าไม่รู้ หรือเค้าแค่ทดสอบ ลองของ ฯลฯ นั่นคือส่วนของเปอร์เซ็นต์ ที่เราพอจะคาดการณ์ได้ ฝากพิจารณา โลกนี้จึงเกิดคำว่า "อุเบกขารับรู้ ในใจอยู่ในใจอย่างนั้น" คนกำลังจมน้ำ ทำไมบางคนเราช่วยได้ ทั้งที่เราว่ายน้าไม่เป็นหรือเราว่ายน้ำเป็น" ทำไม่บางคนกำลังจมน้ำ แม้มีคนว่ายน้ำเป็น มีอุปกรณ์ครบ ก็ยังช่วยไม่ได้" ลองพิจารณาดู
กอยนะ กำลังพอๆ กับผีในเมืองที่ตายมานาน แต่ยังไม่มีวาระไปต่อ กำลังได้มาจากการอยู่นาน พวกนี้จับตัวเราได้นะ เพียงแต่กลุ่มในเมือง จะมีสังคมเฉพาะ ไม่วุ่นวายกับคน พวกนี้ผิวสีเขียว ออกคล้ำหน่อย ดูเหมือนคนทั่วไป เพียงแต่นิยายเรื่องเล่าต่างๆ ไปเอากลุ่มนี้ที่อาศัยในป่า ในยุคที่หวงที่(บุรุกมีป้องกันหรือฆ่าทิ้ง และ หวงทรัพย์ ถือตน) เอามาแปลงเล่าเป็นนิทาน แค่เล่าให้ฟังเล่นๆ
พูดถึงเสียงสวดมนต์นะ สมัยเด็กๆเคยได้ยินตามภูเขา แต่ฟังภาษาไม่ออก ตอนโตเคยบันทึกเสียงไว้ครั้งหนึ่ง ตอนที่นั่งสมาธิน่าจะหกเจ็ดปีก่อน ยังมีไฟล์เสียงนั้นอยู่ เป็นเสียงสวดมนต์ที่สำเนียงจังหวะ เหมือนท่านที่ มีชื่อที่อุทัยฯในอดีตเคยนำสวดมากๆ(มาได้ยินท่านนำสวดทีหลังนะ) แต่ให้ฟังไม่กี่คน เพราะบางคนกลัว บางคนได้ยิน บางคนก็ไม่ได้ยิน เสียงพวกนี้ถ้าจิตสงบหน่อย มันสามารถได้ยินได้เป็นปกตินะ แต่ที่แปลกคือ ปัจจุบันเสียงนั้นเหลือคล้ายสวดแค่คนเดียว ขึ้นด้วย นะโมฯ นั่นแระ วนไปวนมา
เรื่องของผี นานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่งรักกันมาก ต่อมาภรรยาเกิดล้มป่วยหนักจะไม่รอดแล้ว จึงได้ ขอร้องสามีว่า ถ้านางตายจากไปแล้วขออย่าได้ไปมีหญิงอื่นอีก ถ้าไม่เชื่อนางก็จะเป็นผีมารบกวนไม่ หยุด หลังจากภรรยาตายไปแล้ว ชายผู้นั้นก็ได้ปฏิบัติตามคาขอร้องด้วยดี จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 3 เดือน ก็ได้พบรักกับหญิงคนใหม่จนถึงกับทาการหมั้นหมายกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น พอตกกลางคืนผี ภรรยาเดิม ก็มาตัดพ้อต่อว่าต่างๆ นานา แม้ชายผู้นั้นจะชี้แจงอย่างไร ผีภรรยาเดิมก็ไม่ยอม เขาไปทา อะไรๆ มาแม้จะลับอย่างไรผีภรรยาก็รู้หมด เป็นเช่นนี้ทุกคืน เขาจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร่างกายซูบ ผอม ญาติมิตรก็ได้แต่ปลอบโยน แต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้จนสุดที่จะทน ชายผู้นั้นจึงได้ไป หารือกับอาจารย์เซ็น ซึ่งอยู่วัดใกล้ๆ บนเขา ท่านอาจารย์นั่งฟังอย่างเห็นใจ ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าผี ภรรยาที่มาหาเขาทุกคืนนั้นคืออะไร แต่จะอธิบายให้เขาฟังคงยาก "โอ ผีเมียเจ้านี่ช่างรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเลยรึ ตอนนี้ถ้ามันมาอีกเจ้าลองให้มันทายปัญหาดู และ สัญญาไว้เลยว่า ถ้าหากผีตอบปัญหาได้เจ้าจะยอมถอนหมั้นและอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต"หลวงพ่อ แนะ "จะให้ผมถามอะไรล่ะครับ ?" ชายผู้นั้นสงสัย "เจ้าจงหาเมล็ดถั่วไว้กามือใหญ่ แล้วให้ผีทายว่ามีกี่เมล็ด หากผีทายไม่ได้เจ้าจะได้รู้เสียที ว่าผีที่เจ้ารู้เห็นนั้นคืออะไร" ตกคืนนั้นผีก็มาอีก ชายผู้นั้นก็กล่าวยกย่องว่าผีฉลาด รู้อะไรไปเสียหมดทุกอย่าง "แน่ละซี วันนี้เธอไปหาอาจารย์บนเขาฉันยังรู้เลย" ผีรับคา ชายผู้นั้นจึงรีบถามคาถามที่หลวงพ่อแนะนามา "เธอรู้ดีอย่างนั้น ลองบอกมาซิว่า ถั่วในกามือนี้มีกี่เมล็ด ?" ในที่สุด ชายผู้นั้นก็ทราบว่า "ผี" ที่มาหลอกทุกคืนนั้นคืออะไร ผีตอบไม่ได้เพราะตัวเขาเอง ไม่ได้นับถั่วไว้ก่อนนั่นเอง คัดลอกจาก http://www.dharma-gateway.com/
วิญญาณที่วัดสะแก [ตอนที่1] นิทานและเรื่องเล่า : กฎแห่งกรรม วิญญาณที่วัดสะแก [ตอนอวสาน] นิทานและเรื่องเล่า : กฎแห่งกรรม Mahachore Channel Jul 3, 2021
ส่งผีออกนอกโลก ด้วยกำลังแห่งฌาน โทษฐานกวนพระ | ปู่ดอน station ปู่ดอน station Oct 30, 2021 มีพระอรหันต์องค์หนึ่ง หลังจากได้บรรลุธรรมแล้ว ท่านได้ไปพักอยู่ ณ ที่ป่าแห่งหนึ่ง อันเคยเป็นหมู่บ้านมาก่อนเมื่อหลายรัอยปี ที่ตรงนั้น ท่านได้พบเจอกับผีจอมกวนตนหนึ่ง ซึ่งไม่ยอมรับพลังแห่งเมตตาและพลังแห่งบุญใดๆเลย ท่านจึงแก้เผ็ดผีตนนั้นด้วยการซัดมันให้ลอยออกไปนอกโลกซะ!