*** ยุคศิวิไลซ์ ****

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย หนุมาน ผู้นำสาร, 7 มกราคม 2020.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** เตือนเศรษฐีบุญเก่า ****

    ให้ใช้ทรัพย์
    ให้เกิดประโยชน์สุขส่วนรวม
    เพื่ออนาคตที่ดีของตนเองและครอบครัว

    ไม่สนับสนุนความโหดร้ายทำลายล้าง
    ทำลายกันเอง...

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  2. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ลัทธิ ไม่เอาศาสนา ****

    ลัทธิ...
    ใช้ความเชื่อมานำการกระทำ
    ขาดการพิจารณาเหตุผล
    เป็นอันตรายทั้งต่อตนเองและสังคม
    นำไปสู่ความทุกข์ในที่สุด

    ศาสนา....
    ใช้ความจริง
    ใช้สัจจะมานำการกระทำ
    ทำให้รู้จักพิจารณาตนเอง
    สิ่งใดควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
    ส่งผลให้ตัดสินใจในทางที่พ้นทุกข์
    นำไปสู่ความสงบสุขในที่สุด

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** คนบ้านไหน ทำลายความสงบสุข ****

    คนบ้านนั้น
    ก็ต้องเผชิญผลพวงวิบัติ
    ความรุนแรงตามไปด้วย
    ดินฟ้าอากาศเป็นสักขีพยาน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ย้อนอดีต ****

    พระเยซู
    บอกให้ทุกคนรักษาสัจจะ
    รักษาคำพูดตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ย้อนอดีต ****

    พุทธเคยมาเมกกะ
    สร้างพระพุทธรูปไว้ใจกลาง
    ไว้สักการะบูชาสัจจะคำสอน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    สาส์นสำคัญจากแม่พระธรณี

    01446010500-jpg.jpg

    สาส์นจากแม่พระธรณี ถึงผู้รับใช้


    เอาล่ะ เราจะเล่าถึงการบวงสรวง ณ วันนี้ให้เจ้าฟัง เรามิได้พาเจ้ามาด้วยความสนุก เราจะเล่าให้เจ้าฟังว่าทำไมถึงต้องมาบวงสรวงที่นี้

    เจ้ารู้ไหม? กว่าเจ้าจะมาอยู่สุขสบาย ณ ธรณีแผ่นนี้ ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเจ้าต้องนำผู้คนหลายๆ ร้อยชีวิตมาเสียชีวิต ณ แผ่นดินตรงนี้และศตวรรษของเจ้านี้ แผ่นดินที่เจ้าอยู่ ถูกผู้โลภ ถูกผู้ที่แสวงหาอำนาจต้องการจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้ทรัพย์ศฤงคารนั้น มาเป็นของตนเองโดยมิต้องผ่านการที่จะได้มาซึ่งการที่จะต้องเสียแม้แต่สิ่งใดสิ่ง หนึ่ง ฉกฉวยช่วงโอกาสจากมนุษย์ผู้ที่ด้อยกว่า ทำให้เกิดทรัพย์ส่วนตัว

    ฉะนั้น วันนี้เราพาเจ้ามาเพื่อให้พวกเจ้าตั้งจิตปณิธาน พวกเจ้าต้องใช้กำลังของพลังจิตที่จะช่วยกู้ชาติบ้านเมืองของพวกเจ้าด้วยการ ใจไม่โลภ พอใจในสิ่งที่เจ้ามีในทรัพย์สินที่เป็นของเจ้าเท่านั้น เจ้าต้องตั้งจิตจะช่วยกันเผยแพร่สิ่งที่จะหยุดยั้งความวิบัติ ความฉิบหายได้ด้วยการไม่โลภในอำนาจ ไม่โลภในทรัพย์ศฤงคารผู้อื่น เพียงแต่เจ้าตั้งมั่น ปฏิบัติตามสิ่งที่เจ้าได้ยึดถือไว้

    แม่บอกเจ้านะ ดวงจิตแห่งบุรพกษัตริย์ที่เจ้าอยู่ ณ ที่นี้ ยังอยู่เป็นดวงจิตที่ผู้นี้เคยตั้งสัตย์ไว้ มนุษย์ชอบศึกษาค้นคว้า เจ้าลองไปค้นคว้าสิ คำสุดท้ายก่อนจะสิ้นนี้ เจ้าองค์นี้ตรัสไว้ว่า :-

    “กู จะไม่ขอไปเกิดทุกชาติ ทุกชาติไป ถ้าแผ่นดินที่ลูกหลานกูอยู่ยังร้อนเป็นไฟ กูจะอยู่เพื่อที่จะให้ลูกหลานได้อยู่แผ่นดินที่มิร้อน มิยอมเป็นทาสใคร และจะมิขายชาติ ลูกหลานตนใดขายชาติ ขายแผ่นดิน ขอให้มันฉิบหายในบัดดล”

    นี่คือคำที่บุรพกษัตริย์ผู้นี้ได้พูดไว้ โดยที่ตั้งจิตว่าจะไม่ขอไปเกิด ถ้าแผ่นดินที่ตนเองหลั่งเลือดไว้มิเป็นสุข แม่ถึงได้พาพวกเจ้ามาตั้งจิต ปลุกวิญญาณอันนี้ให้คุ้มครองผู้ที่กำลังจะยอมเสียสละชีวิตที่จะไม่ยอมให้ใคร เข้ามาครอบครองและใช้อำนาจในการที่จะเอาทุกสิ่งทุกอย่างของผู้อื่นไปเป็นของ ตนเอง

    จำนะลูกนะ พวกเจ้าเช่นกันอย่าโลภ ความโลภคือความหายนะแห่งความฉิบหายแห่งชีวิตที่เป็นสุข ความสุขนั้นมิได้อยู่ที่ทรัพย์ศฤงคารที่เยอะแยะ ความสุขที่แท้จริง คือการแสวงหาธรรมะที่ถูกทาง ข้าวหนึ่งจาน เจ้าก็สามารถประทังชีวิตได้หนึ่งวันใช่ไหมลูก? แล้วทำไมเจ้าจึงต้องแสวงหาข้าวหลายร้อยจาน หนึ่งวันเจ้าก็อิ่มได้ด้วยหนึ่งคำ ถ้าเจ้าพอเพียงในข้าวจานนั้น เจ้าก็มีความสุขนะลูกนะ ดีกว่าเจ้าต้องไปแสวงหาข้าวร้อยพันจาน แล้วทำให้ผู้อื่นต้องเลือดหลั่งรินน้ำตาอาบแก้ม ข้าวหลายร้อยจานนั้น มิส่งความสุขให้พวกเจ้าหรอกนะลูกนะ มันคือความทุกข์ที่เจ้าต้องไปชดใช้ ณ บัดดล

    จำเราพูดนะ เมื่อความฉิบหายมาถึงตนจากที่เจ้าโลภ มันทรมานยิ่งกว่าหมาที่ถูกน้ำร้อนเดือดๆ ราด จนขนพองอย่างที่เจ้าเห็น ความร้อนจากความโลภ ความร้อนจากความกระหาย มันจะทำให้การตายครั้งสุดท้ายของมนุษย์ทรมานที่มนุษย์มักเรียกว่าการเข้า ตรีทูต เพราะอะไรรู้ไหมลูก? ความตายเมื่อมันมาถึง เราจะให้เจ้าเห็นภาพ เจ้าค่อยๆ หลับตาและมองตาม

    การตายก็เหมือนการที่เจ้าค่อยๆ ดึงสิ่งหนึ่งที่ออกจากปากอย่างช้าๆ สิ่งนั้นมันเต็มปากเต็มคอใช่ไหม มันทรมานกว่าจะดึงออกมาจากปาก เจ้าว่าเจ็บไหม? เมื่อมันเต็มปากแล้วเจ้าต้องค่อยๆ ดึง ดึงอย่างช้าๆ เพื่อให้มันหลุดออกมาจากปากตนเหมือนความตายนะที่มันค่อยๆ ยื่นเข้ามาให้เจ้า แต่เจ้าพยายามที่จะดึงกรรมเหล่านั้นออกให้พ้นการทรมาน แต่มันยากนะลูกนะ เพราะเจ้ากินกรรมเข้าไปจนเกินกว่าที่เจ้าจะดึงมันออกแบบง่ายดาย นี่ล่ะลูก... “กรรม” มิมีใครเคี่ยวเข็ญให้พวกเจ้าสร้าง เจ้าสร้างด้วยมือเจ้าเอง กรรมเกิดจากความโลภ เจ้าโลภอยากจะได้อำนาจก็คือกรรมอย่างหนึ่งที่มนุษย์ทุกคนอยากได้

    วันนี้แม่พูดกับ“แม่แผ่นเหล็ก” (คุณกาญจน์ลดา มฤคพิทักษ์) เงินที่มนุษย์บอกว่าคือพระเจ้า เจ้าเข้าใจผิด พระเจ้าคือผู้ที่ให้ความสุข แต่เงินที่มนุษย์เรียกว่าพระเจ้านั้น มันให้ความทุกข์มากกว่าความสุขใช่หรือไม่ เจ้าต้องเข่นฆ่ากันด้วยคำว่าพระเจ้า

    สิ่งที่มนุษย์เรียกว่าพระเจ้านั้นเป็นเพียงการสมมุติขึ้นมาด้วยกระดาษหนึ่ง แผ่นบางๆ พร้อมรูปลักษณ์ที่เจ้าบอกว่า “ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย”มนุษย์ แต่พระเจ้าแผ่นนี้ทำให้เจ้าต้องเข่นฆ่ากัน ทำให้เจ้าต้องทำทุกอย่าง เพื่อได้พระเจ้าแผ่นเดียวมาเป็นของเจ้าใช่ไหมเจ้าลูกฮั้ว (คุณสมชาติ ยงพิศาลภพ)

    แล้วถ้าเป็นพระเจ้าอย่างที่เจ้าบอกกัน มีรึเจ้าจะได้แต่ความทุกข์ พระเจ้าคือผู้ที่ให้ความสุข นี่ก็คือสิ่งหนึ่งที่มนุษย์สมมุติรูปลักษณ์ขึ้นเองใช่ไหมลูก มนุษย์สมมุติขึ้นมาว่านั่นคือพระเจ้า

    แต่ถ้าเจ้าสมมุติบ้างล่ะลูกว่าธรรมะก็คือพระเจ้า ถ้าเจ้ารู้จักใช้ธรรมะอย่างถ่องแท้ ก็สามารถใช้หนี้ตามกฎหมายได้ กฎหมายแห่งกรรมที่มนุษย์มีอยู่ทุกผู้คน ใช้ธรรมะในการซื้อสิ่งต่างๆ ด้วยใจที่บริสุทธิ์ จำเราพูดนะลูกนะ ธรรมะทุกศาสนาสอนให้มนุษย์หลุดพ้นได้ ถ้าเจ้าแสวงหาธรรมะอย่างจริงจัง มิมีศาสนาใดให้เจ้าเข่นฆ่ากันเอง เพียงแต่ผู้สืบศาสนานั่นแหละที่พยายามจะสื่อให้เกิดการเข่นฆ่ากันด้วยวาจา ในพุทธกาล มีศาสดาองค์ใดบ้างล่ะ ที่มาสอนผู้ที่เดินตามว่า “จงเข่นฆ่ากันนะแล้วพวกเจ้าจะได้ขึ้นสวรรค์” เจ้าเคยได้ยินไหมลูก?

    แต่ ณ บัดนี้ ทุกศาสนาถือสิ่งที่เรียกว่าเงินตราคือพระเจ้าใช่ไหมลูก สร้างวัตถุต่างๆ เพศบรรพชิตก็มียศถาบรรดาศักดิ์ แม่มิเคยเห็นในบรรพกาล พระพุทธเจ้าไม่เคยมียศถาบรรดาศักดิ์ มีอยู่อย่างเดียวคือการอ่อนน้อมถ่อมตน จากนั้นคือการยกย่องบุรพอาจารย์ให้เป็นผู้นำเท่านั้นเองนะลูกนะ

    แม่มาทำพิธีมี “พริก” มาหนึ่งถุง ความหมายของพริกคือความร้อนแรงของการรักชาตินะลูกนะ

    “เกลือ” คือความเค็ม เจ้าจงรักษาความดี รักษาธรรมที่มีอยู่ในใจเจ้า อย่างเกลือที่รักษาความเค็มของมันไว้ ตั้งแต่ต้นขึ้นคำว่า “เกลือ” จนถึงทุกวันนี้ เกลือก็ยังรักษาความเค็มไว้เช่นนั้น

    “ดิน” ที่เราให้นำมาด้วย ดินก็คือดิน ดินมีแต่ความต่ำต้อย ดินคือสิ่งที่ให้ประโยชน์แบบเร้นลับ มิได้ให้ประโยชน์ที่ทำให้มนุษย์จับต้องและมองเห็นในฉับพลันนะลูกนะ แต่ดินให้ความอบอุ่นกับเท้ามนุษย์ที่เหยียบย่างลงไป เมื่อเจ้าหนาว เจ้าเหยียบดินเจ้าจะได้ไออุ่นที่ร้อน เมื่อเจ้าร้อน เจ้าเหยียบดินเจ้าจะได้ความเย็นจากดิน ดินมีให้เจ้าทุกอย่าง แต่เจ้าจะใช้ดินอย่างไรล่ะลูกที่จะเกิดเป็นธรรมะในใจ จำนะลูกนะ ความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นคือดินที่เจ้าควรจะอ่อนน้อมถ่อมตนในทุกอย่าง

    “ข้าวเปลือก” ที่แม่เอามานี่คือ “แม่โพสพ” ที่มีแต่ให้กับพวกเจ้า ก่อนจะเป็นข้าวให้เจ้าก็คือข้าวเปลือกที่มนุษย์มิเห็นความสำคัญ แต่เห็นจากประโยชน์เพียงข้าวที่อยู่ในข้าวเปลือกใช่ไหมลูก เหมือนบุคคลที่ต่ำต้อยที่เจ้ามองว่าเขาเหล่านั้นไม่มีประโยชน์ มิควรช่วยเหลือ แต่จำไว้นะลูกนะ รูปลักษณ์มนุษย์เป็นเพียงภายนอก แต่ภายในข้าวเปลือกนั้นมีข้าวขาวที่มีประโยชน์สำหรับเจ้า

    เช่นเดียวกันนะลูกนะ อย่ามองมนุษย์เพียงเครื่องแต่งกาย จงมองเข้าไปข้างในอาภรณ์ที่เจ้าประดับ เสื้อผ้าที่เจ้าใส่เป็นเพียงการปิดสรีระที่มนุษย์ถูกเรียกว่า ชาย หรือ หญิง เท่านั้น แต่ธรรมะสิลูก เจ้าควรจะต้องไขว่คว้า หาชุดงามๆ ไว้ใส่ ธรรมะอยู่ในใจเจ้าจะเป็นสุขมากกว่าใส่อาภรณ์สวยงาม แต่จงใส่อาภรณ์ไว้เพื่อปิดสรีระเท่านั้นนะลูกนะ จำเราไว้เถิด ธรรมะจะทำให้เจ้าเป็นสุขทั้งกายและใจตลอดไป เทพจะแซ่ซ้องสรรเสริญ มนุษย์จะคบหาสมาคม แม้กระทั่งก็จะเข้าใกล้เจ้า เจ้าลองดูสิลูก มนุษย์ผู้มีใจอ่อนโยน แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉานที่เหล่ามนุษย์เรียกว่าไม่มีสมอง แต่มันสามารถที่จะบอกเจ้าได้ว่าผู้ใดใจดีหรือผู้ใดใจร้ายใช่ไหมลูก?

    ก็เปรียบเช่นเดียวกันนะลูกนะ ธรรมะจะให้แต่ความสุขเจ้าตลอดไปถ้าเจ้าเดินทางในสายธรรมที่เป็นพอประมาณสำหรับตนเองนะลูกนะ

    วันนี้เราขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ที่นี้จงให้พรกับพวกเจ้าที่มา ผู้ใดคิดสิ่งใดในความพอประมาณที่เจ้าจะยังชีพ ขอให้เจ้าจงได้มีสิ่งนั้น ความพอประมาณจงเกิดกับพวกเจ้าทุกคนด้วย

    สาธุ สาธุ สาธุ

    หมายเหตุ : ถอด ความจากการสนทนาระหว่างแม่พระธรณีกับผู้รับใช้ และผู้มาร่วมพิธีบวงสรวง ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ ต.ดอนเจดีย์ อ.พนมทวน จ.กาญจนบุรี เมื่อเวลา 20.14 น. วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม 2549

    ที่มา http://armtired.multiply.com/journal/item/19
     
  7. ละอองไฟ

    ละอองไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    2,469
    ค่าพลัง:
    +1,398
    สัจจะที่ไร้ซึ่งศีล
    คือสัจจะที่ไร้ซึ่งความดีคับ
     
  8. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** เดินสายกลาง ****

    ทำความดีด้วยสัจจะ
    ทำวันละข้อ ทำทุกวัน
    เป็นหนทางหลุดพ้นทุกข์

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** กรรมทุกคนมาจ่อรอบรรจบ ****

    อยู่ที่การตัดสินใจ
    อยู่ที่สัจจะของตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ตัวชี้วัด ยุคศิวิไลซ์ ****

    อยู่ที่สัจจะทำความดี
    ของมนุษย์บนแผ่นดินชาตินี้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. ละอองไฟ

    ละอองไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    2,469
    ค่าพลัง:
    +1,398
    คนที่พูดหรือบอกให้ทำความดีมีอยู่มากมาย
    แต่จะมีสักกี่คนที่อธิบายได้ว่าความดีคืออะไร
     
  12. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    18030.jpg
    สัจจะ


    "สัจจะ" แปลว่า ความสัตย์ ความซื่อ ถ้าขยายความตามศัพท์ แยกได้ 3 ลักษณะ คือ มีความจริง ความตรง และความแท้ จริง คือ ไม่เล่น ตรง คือ ความประพฤติ ทางกาย วาจา ตรงไม่บิดพลิ้ว ไม่บ่ายเบี่ยง แท้ คือ ไม่เหลวไหล ตรงข้ามกับคำว่า อสัจ ซึ่งแปลว่า ไม่จริง บิดพลิ้ว

    แต่ถ้าในทางปฏิบัติ สัจจะ คือ ความรับผิดชอบ หมายความว่า ถ้าจะทำอะไรแล้ว ต้องตั้งใจทำจริง ทำอย่างสุดความสามารถ ให้เป็นผลสำเร็จ การที่ใครจะสามารถสร้างตัวขึ้นมาได้นั้น ต้องมีสัจจะเป็นพื้นฐาน เพราะคนที่มีสัจจะ เป็นพื้นฐาน จะมีความรับผิดชอบต่องานที่ทำทุกอย่าง ไม่ปล่อยผ่านกับสิ่งที่ได้รับมา จะทำทุกสิ่ง ที่มาถึงมืออย่างสุดกำลัง และเต็มความสามารถ

    ลักษณะของสัจจะ มีด้วยกัน 5 ประการ คือ

    ประการที่ 1 สัจจะต่อความดี

    ก็คือ การประพฤติตนเป็นคนที่เที่ยงแท้ มั่นคงต่อความดี ไม่หันเหไปในทางชั่ว ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร ในทางปฏิบัติ การจะมีสัจจะต่อความดีได้นั้น ต้องคิดให้เห็นถึงคุณความดีได้อย่างแจ่มแจ้ง และเห็นโทษของความชั่วได้ชัดเจน พยายามรักษาความดีในตนไว้ ถ้าเป็นฆราวาสก็ต้องละ กรรมกิเลส 4, อคติ 4, อบายมุข 6 และต้องปรับความเห็นของตนให้ถูก ให้เป็นสัมมาทิฏฐิให้ได้ หากเป็นพระ ก็ต้องรักษาสิกขาวินัย สืบทอดพระพุทธศาสนา หากเป็นฆราวาส ก็ต้องทำมาหากินตั้งตนให้ได้ สร้างหลักฐานให้กับวงศ์ตระกูล ใครจะอยู่ในหน้าที่อะไร ก็ต้องพยายามหาดีของตนให้ได้ หากหาดีนอกทางเสียแล้ว ก็จะเสียความจริงต่อความดี

    ประการที่ 2 สัจจะต่อหน้าที่

    คือ การที่ใครก็ตามที่เกิดมา ย่อมมีหน้าที่ติดตัวมาด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้น จึงควรมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน ใครเป็นสามี ก็รับผิดชอบต่อหน้าที่สามี เลี้ยงครอบครัวให้ดี ไม่ปันใจให้หญิงอื่น จริงใจกับภรรยา ใครเป็นภรรยา ก็จริงใจต่อหน้าที่ของภรรยา ดูแลการงานในบ้านให้เรียบร้อย ไม่เที่ยวเตร่ ไม่เล่นการพนัน เผาผลาญทรัพย์ เป็นลูกก็ต้องมีความรับผิดชอบว่า เราเป็นลูกมีหน้าที่รักษาวงศ์ตระกูลให้ดี ถ้าพ่อแม่แก่เฒ่า ก็ต้องเลี้ยงดูท่าน ทหารก็จริงใจลงไปในหน้าที่ทหาร เป็นตำรวจก็รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตำรวจ ไม่ว่าใครจะเป็นอะไร ก็ทุ่มไปกับหน้าที่ของตัวให้เต็มที่ หากทำเช่นนี้ได้จึงเรียกว่า มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่

    ประการที่ 3 สัจจะต่อการงาน

    สัจจะต่อการงาน ก็คือการตั้งสัจจะลงไปในงาน หมายถึงการทำงานนั้นต้องทำจริง เมื่อมีหน้าที่แล้ว ก็ย่อมมีงานตามมา คนที่ไม่จริงต่อการงาน มีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือ

    1. พวก "ทุจฺจริต" คือ พวกที่ทำงานเสีย
    2. พวก "สิถิล" คือ พวกที่ทำงานเหลาะแหละ
    3. พวก "อากุล" คือ พวกที่ทำงานคั่งค้าง
    ประการที่ 4 สัจจะต่อวาจา

    สัจจะต่อวาจา คือ จริงต่อวาจา นั่นก็คือคำพูดของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นการพูดด้วยปาก หรือการเขียน ตลอดจนการแสดงอาการ ที่เป็นการปฏิญาณต่อผู้อื่นก็ตาม สัจจะต่อวาจามีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท คือ
    1. พูดอย่างไรทำอย่างนั้น คือ เมื่อพูดออกไปแล้วก็ต้องพยายามทำให้ได้จริงตามที่พูด
    2. ทำอย่างไรพูดอย่างนั้น คือ การพูดคำจริง เมื่อเราทำอะไรลงไปก็พูดไปตามนั้น การกระทำต้องตรงกับคำพูดของตัวเองเสมอ

    ประการที่ 5 สัจจะต่อบุคคล

    สัจจะต่อบุคคล คือ ต้องจริงต่อบุคคล ในที่นี้คือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตัวเรา จริงต่อบุคคลนั้น หมายถึง การเป็นผู้ที่ประพฤติต่อคนอื่นอย่างสม่ำเสมอ ไม่กลับกลอก และความจริงต่อบุคคลจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยความจริงใจต่อกัน ถ้าเราอยากให้คนอื่นเขาจริงใจต่อเรา เราก็ต้องให้ความจริงกับเขาด้วย

    ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/สัจจะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2020
  13. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    สัจจะไม่มีในหมู่โจร

    0%B9%82%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2-696x481.jpg

    สัจจะ ศีล และ ความดี หมายถึงสิ่งเดียวกันครับ

    คนมีสัจจะ ก็คือ คนมีศีล มีความดี

    คนไร้สัจจะ ก็คือ คนไร้ศีล ไร้ซึ่งความดี

    ดังคำพังเพยที่ว่า สัจจะไม่มีในหมู่โจร นั่นแหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2020
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** การเปลี่ยนแปลง ****

    เมื่อสัจจะปรากฏ
    เหตุการณ์จะเปลี่ยนไปในทางที่ดี

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** การเรียนรู้ด้วยตนเอง ****

    คนที่ว่าเลวทราม
    อาจกลับกลายเป็นคนที่ดีที่สุด

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ชั่วเพราะไปเชื่อสิ่งผิด ****

    ความเชื่อผิดๆ
    สร้างความเลวร้าย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ใครคือผู้นำมวลมนุษย์ ****

    ใคร ?

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** โลกหยุดชะงัก ****

    เพราะงานไม่มีคนทำ
    เพราะคนไม่มีงานทำ
    เพราะคนสร้างอาหารมีน้อย
    เพราะคนไม่มีอาหารกิน
    เพราะเงินไม่มีคุณค่า
    เพราะคุณค่าอยู่ที่อาหาร
    เพราะอาหารหมด
    เพราะท้องมันร้อง
    เพราะคิดถึงบ้าน
    เพราะความทุกข์ยาก
    เกิดทั่วโลก

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,698
    ค่าพลัง:
    +51,933
    *** ปัญหาของจุดกำเนิดแดนศิวิไลซ์ ****

    คือ คนขาดสัจจะ
    การปฏิบัติขาดความจริงจัง
    พูดแล้วไม่ทำ
    วันนี้พูดอย่าง
    พรุ่งนี้พูดอีกอย่าง
    พอตัดสินใจอีกอย่าง
    พอทำจริงก็อีกอย่าง

    ....ธรรมะศาสตร์...
    คือ ศาสตร์ว่าด้วยการกระทำ
    ด้วยสัจจะธรรม
    ทำความจริงให้ปรากฏ

    เรียนรู้สัจจะธรรม
    เผยแพร่สัจจะ
    เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง
    สัจจะการกระทำ

    ...ถามตัวเอง....
    เราทำอะไรกันอยู่ ?
    เราเกิดมาเพื่ออะไร ?

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  20. ละอองไฟ

    ละอองไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    2,469
    ค่าพลัง:
    +1,398
    สัจจะไม่ใช่ศีล สัจจะที่มองเห็นและได้ยินเสียง
    คือการลั่นสัจจะวาจาว่าจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือหลายสิ่งก็ได้
    การลั่นสัจจะวาจาออกมา
    จะลั่นสัจจะวาจาช่วยเหลือก็ได้
    จะลั่นสัจจะวาจาทำลายก็ได้
    จะลั่นสัจจะวาจาอาฆาตพยาบาทก็ได้
    การลั่นสัจจะวาจาจองเวรก็ได้
    มีพระเทวทัตเป็นตัวอย่าง
    พระเทวทัตลั่นสัจจะวาจาจองเวรพระพุทธเจ้าทุกชาติ
    ด้วยเหตุนี้สัจจะกับศีลจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
    ใครที่เห็นสัจจะกับศีลเป็นสิ่งเดียวกันคือมิจฉาเห็นผิด
    การตั้งสัจจะจะตั้งไปในทางดีก็ได้
    จะตั้งไปในทางไม่ดีก็ได้
    ดังนั้นการตั้งสัจจะวาจาที่ไร้ซึ่งศีล
    ก็คือการตั้งสัจจะวาจาที่ไร้ซึ่งความดีนั่นเองคับ
     
  21. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    เย็นไว้โยม...บางครั้งแม้พระโพธิสัตว์เอง ก็ต้องยอมผิดศีลบ้าง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสัจจะวาจา และความดีงามครับ

    560000005098101.jpg

    สาเหตุที่องค์สมณโคดมพระพุทธเจ้า ทรงมีอายุเพียง 80 ปี


    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา ทรงเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ที่เคยคล่องในอิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่งหรือกัลป์หนึ่งก็ได้ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับมานิพพาน เมื่อระหว่างอายุของพระองค์ได้ 80 ปี

    ตอนนี้ พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็มีความสงสัย แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ได้อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของอตีตังสญาณ แต่ทว่า สำหรับพระอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโกนี้ต้องสงสัย เพราะว่าไม่ได้ญานวิเศษ จึงต้องค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    ในที่สุดก็พบว่า สมเด็จพระนราสภ คือ...องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่กล่าวไว้ แต่ทว่าการที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา ต้องมีอายุ 80 ปี เหตุผลก็เป็นมาอย่างนี้ ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรี ทรงกล่าวว่า....

    อตีเต กาเล ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย...ในอดีตกาล ตถาคตเสวยพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถอยหลังจากชาตินี้กลับไปหลายพันชาติ เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถ ทรงบำเพ็ญบารมีใกล้จะถึงปรมัตถบารมี พระวรกายของพระองค์นี้ มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ..เท้าทั้งสอง ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูปกงจักรอยู่ด้วยเป็นสีแดง

    ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เกิดเป็นลูกคนจนทำมาหากินอยู่ในป่า ต่อมาท่านบิดาก็ตายเหลือแต่มารดาผู้เดียว ท่านก็ปฏิบัติตนเป็นคนประกอบไปด้วยความกตัญญูรู้คุณ หาเช้ากินค่ำหรือหาค่ำกินเช้า นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดาเป็นที่รัก คือว่าท่านเป็นคนป่า ก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้า กลับมาจนบ่าย จนเย็น อาบน้ำอาบท่า กินน้ำบริโภคอาหาร เสร็จแล้วก็นำฟืนเอาไปขาย ได้เงินมาเท่าไร ก็มามอบให้แก่มารดา มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดอาหารมาเลี้ยงดูกัน เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดา เวลานั้นก็เต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก

    ในคราวนั้น พระราชามีความลำบากด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส” นี่มีสภาพเหมือนยักษ์ แต่เป็นยักษ์ที่อยู่ในโพรง และอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหลเพราะอยู่ในโพรง และใต้ดินมันมีบ่ออยู่ แต่ทว่าทางขึ้น ก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน

    เจ้ารากษสตัวนี้ ปรากฏว่าถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเปรียบเทียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์ เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตฤกษ์ประจำปี เจ้ารากษสตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี ในแดนไกล

    ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลายว่า.. เจ้ารากษสขึ้นมาอาละวาด เจ้ารากษสตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล ถ้าถึงฤดูนั้น ถึงเดือนนั้น วันนั้น มันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร เพื่อเป็นเสบียงกรัง ทำอย่างนี้ เป็นเวลา 2 – 3 ปี จนเป็นที่แน่ใจของประชาชนทั้งหลายว่า วันนี้แหละเจ้ารากษสจะขึ้นมาจับคนไปกิน จึงไปกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ

    พระราชาก็ให้ป่าวประกาศหาคนดีมีฝีมือให้ไปสู้กับเจ้ารากษส ไปดักอยู่ปากปล่องของรากษสที่จะขึ้นมา ถ้ารากษสขึ้นมา ก็จะฆ่ารากษส ให้ตาย แต่ว่าบรรดาผู้ฟังทั้งหลาย รากษสมีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมาก แทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชาจะไปฆ่ารากษส ก็กลายเป็นอาหารของรากษส อย่างดี คือ รากษส ไม่ต้องไปหากินไกล จับคนทั้งหลายที่จะไปฆ่าเขานำกลับไปกินเป็นอาหาร

    ต่อมาพระราชาเห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้รากษสได้ การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน หรือใกล้พระราชฐาน ก็ไม่มีใครรับอาสาไปปราบรากษส พระราชาได้ประชุมอำมาตย์ ข้าราชบริพารว่า...เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราก็ไม่อาจจะคงอยู่ เพราะเราไม่สามารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้

    แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ ใช้ ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลาย บรรดาอำมาตย์ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฆ่ารากษสได้ พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดีก็ยังไม่แน่นัก จึงปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรดี จะให้พระราชาครองราชย์ต่อไป

    ในที่ประชุมก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศ ที่มีความสามารถเข้าใจตรงกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และมีความเดือดร้อนอย่างนี้ ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้หาได้ยาก

    ถ้ากระไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบว่า...คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็น เพราะอยู่ในแดนไกล ในขอบเขตต่าง ๆ มีมากมาย ควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลายที่มีความสามารถ แต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะรับอาสาฆ่ารากษส ในที่สุดเขาก็กราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น มอบทองคำเท่าลูกฟักสำหรับผู้รับอาสา

    ต่อมาพระราชาก็ส่งคนไปประกาศว่า ถ้าบุคคลใดสามารถจะฆ่ารากษสให้ตายได้ ในช่วงแห่งการรับอาสาจะมอบทองคำเท่าลูกฟัก หนักเท่าตัวบุคคลผู้รับอาสาให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้ ก็เผื่อว่าไปพลาดพลั้งถูกรากษสฆ่าตาย ทางบ้านก็จะได้ใช้ทองคำนี้จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขสบายแทนผู้ตาย

    ถ้าบุคคลใดฆ่า รากษส ตาย แล้วตัวเองก็ไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิ์อยู่แล้ว แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนคร พระราชาจะให้เป็นมหาอุปราช คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา วันนั้น ก็ปรากฏว่าหน่อพระบรมโพธิสัตว์จะเข้าป่าไปหาฟืน แต่ยังไม่ทันจะเข้าเดินออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงประกาศจจจากอำมาตย์ข้าราชบริพารว่า

    ถ้าบุคคลผู้ใดรับอาสาฆ่ารากษสได้ พระราชาจะประทานทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวคนผู้อาสาเป็นเดิมพัน แต่ถ้าฆ่า รากษสไม่ได้ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว และถ้าฆ่าได้ก็จะแถมรางวัลพิเศษ คือให้เป็นมหาอุปราช

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์จึงคิดว่า เราเป็นลูกคนเดียวของแม่คนเดียวหาเช้ากินค่ำ ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็พอกินบ้างไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก ถ้าหากว่าเราจะยอมเสี่ยงชีวิตของเราตายแต่เพียงผู้เดียว ให้แม่ได้มีโอกาสรับทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินอยู่แบบสบาย ๆ แม้กระทั่งตาย ทองคำก็ยังไม่หมด

    เมื่อหน่อพระบรมโพธิสัตว์กำหนดอย่างนี้แล้ว จึงได้ขันรับอาสาแล้วก็รับทองคำมามอบให้แก่แม่ ตอนนี้แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย ในที่สุดก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่ ตัวเองก็ไปเฝ้าพระราชาพร้อมกับอำมาตย์ เข้าไปเฝ้าแล้ว พระราชาถามถึงผลของความต้องการ เธอสามารถแน่ใจที่จะฆ่ารากษสได้หรือ

    พระโพธิสัตว์ก็บอกว่ามั่นใจ ต่อไปพระราชาถามว่า เจ้าต้องการทหารเท่าไร ต้องการอาวุธอะไรบ้าง จะไปฆ่ารากษส หน่อพระบรมโพธิสัตว์ก็ตอบว่า ไม่ต้องการอะไรอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่าด้วยมือเปล่า พระราชาก็หนักใจ แต่ว่าเขาขันรับอาสาตามนั้นก็ต้องปล่อยไป เขาก็นำไปส่งที่ปล่องของรากษส

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อนนำอาหารไปบริโภค ไปคอยอยู่ที่ปากปล่องที่รากษสจะขึ้น ต่อมา เมื่อถึงวันนั้น คือวันกำหนดที่รากษสจะขึ้นมา มีเวลาเป็นประจำก็ขึ้นมาพอดี พอรากษสขึ้นมาไม่ทันจะพ้นปล่อง หัวขึ้นมาพ้นปล่อง หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ยกเท้าขึ้นหวังจะกระทืบ คือจะกระทืบให้รากษสคอหักตาย

    รากษ แหงนหน้าขึ้นมา เห็นอุ้งเท้าของหน่อพระจอมไตรบรมโพธิสัตว์มี "กงจักร" ในระหว่างท่ามกลางฝ่าเท้า ก็คิดว่าคราวนี้เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้ เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ เพราะกลางระหว่างเท้ามีกงจักรสีแดง จึงได้พูดว่า....

    ช้าก่อน..ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี่เป็นหน่อพระบรมโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร หากท่านฆ่าเราเราก็ตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ท่านจะมีอายุสั้น ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าจะต้องมีอายุสองหมื่นปีบ้าง ถึงสี่หมื่นบ้างก็มี

    อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานตนให้มีอายุถึงกัปหนึ่งก็ได้ หากว่าท่านฆ่าเราตาย ในเวลานี้เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี ถ้าหากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปี เท่านั้น การประกาศพระศาสนาของท่าน จะไม่มีผลตามความประสงค์

    หน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กล่าวว่า.. เจ้าเป็นสัตว์ที่มีความดุร้ายมาก ไล่พิฆาตเข่นฆ่าคนเป็นอาหาร ถึงแม้นว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ 80 ปี เราพร้อมยอมตามนั้น ในที่สุด หน่อพระบรมโพธิสัตว์ก็กระทืบศีรษะยักษ์ รากษส ยักษ์ก็คอหักตาย

    นี่แหละบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ตามที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าสามารถจะอธิษฐานอายุของตนให้อยู่ได้ถึงกัปหนึ่งก็ย่อมเป็นได้ เพราะคล่องในอิทธิบาท 4

    แต่ว่าที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดา จะต้องนิพพาน ภายในอายุ 80 ปี ตามพระบาลีท่านกล่าวว่า เหตุของการฆ่ารากษสตนนั้น จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องนิพพานในอายุยังสั้น


    Jt Odyssey, 3 เมษายน 2012

    ที่มา https://palungjit.org/threads/ทำไมพระพุทธเจ้าองค์ปัจุบันจึงมีอายุเพียง-80-ปี-ประวัติพระพุทธเจ้า-29-พระองค์.333660/
    พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงอธิบายให้ทราบแล้ว ว่าความดีคืออะไรครับ




    ขาดทุนคือกำไร พระราชดำรัสในหลวง ร.9
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ตุลาคม 2020

แชร์หน้านี้

Loading...