เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    คุณจีนทาร่อน บ้านอยู่ใกล้ผมเลย ผมอยู่ ซอย 17 ก.
    แต่ตอนนี้มาอยู่ ตจว.ซะแล้วครับ
    โลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ภาคปลาย
    ยืมคุณขจรวรรณมาอ่าน เพิ่งส่งคืนไปลองติดต่อกันนะครับ

    ส่วน PM ก็คือ private massage ไว้ส่งข้อความส่วนตัวถึงคนอื่นๆครับ โดยคลิกไปที่ชื่อของผู้ที่จะติดต่อ จะมีเมนูส่งข้อความครับ ลองทำดูนะครับ
     
  2. Positive Life

    Positive Life สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ไม่ทราบว่าหนังสือชุดของ อ.อนาลัย
    ยังมีวางจำหน่ายอยู่อีกมั้ยค่ะ ไปหาตามร้านหนังสือไม่มีเลยค่ะ
    จะสั่งซื้อได้จากที่ไหนได้บ้างค่ะ อยากซื้อทั้ง 10 เล่มเลยค่ะ
    ขอบคุณค่ะ :)
     
  3. ronnie07

    ronnie07 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +193
    มีคนคิดถึงวิหคด้วย100วัน1000ปี่ก็มีพี่จินต์นี้และที่บอกว่าคิดถึง
    ผมไม่ได้หายไปไหนหรอกก็บินไปบินมาอยู่แถวนี้และถึงไม่เข้ามาห้องนี้
    แต่เราก็เจอกันผูดคุยกันตลอดในอีกห้องข้างใน
    พี่จินต์ก็คงรู้สึกได้
    อิอิ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ :cool:(good)
     
  4. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    พี่จินต์ขอคอนเฟิร์มส่งโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติภาคปลายไปให้ค่ะ คงได้รับตอนปลายอาทิตย์นี้ค่ะ ถ้าจบแล้ว ลองต่อด้วยอมตะจิตวิญาณดู สำหรับอมตะจิตวิญาณนั้น พี่จินต์ กำลังดำเนินการส่งกลับพี่ขจรวรรณเช่นเดียวกัน แต่พี่จินต์จะโทรคุยกับพี่ขจรวรรณให้นะคะ
    ขอให้สนุกกับการอ่านและการเรียนค่ะ
     
  5. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    [​IMG]
    (ping-love(ping-love(ping-love

    สวัสดีครับ
    ยินดีต้อนรับคุณ Positive Life สู่ห้องวิทย์ครับ
    ถ้าจะซื้อยก set แนะนำให้ลองติดต่อไปที่นี่ดูครับ


    โทรสั่งซื้อหนังสือ และ CD เพลงชุดมนตราอนาลัยได้ที่
    081-806-1333
    02-758-0997
    หนังสือมีขายเป็นชุดพร้อมกล่อง ชุดละ 2,600.- ค่าส่งต่างหาก
    CD จำหน่ายแผ่นละ 190.-
    มีจำนวนจำกัดค่ะ<!-- / message --><!-- attachments -->


    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]


    </FIELDSET>หนังสือเล่ม 2 จากชุดของท่านอาจารย์อนาลัย ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ
    เป็น eBook เรียบร้อยแล้วอีกหนึ่งเล่ม
    เชิญอ่านได้ที่: http://novaanalai.com/Book_2/BK2Cover.html

    หนังสือเล่ม 1 จากชุดของท่านอาจารย์อนาลัย โนวา อนาลัย ขยายความธรรมชาติของชาติภพ
    เชิญอ่าน eBook ได้ที่: http://novaanalai.com/Book_1/BK1Cover.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2008
  6. JINTAWADEE

    JINTAWADEE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,559
    ค่าพลัง:
    +4,728
    อิอิ พวกเราเป็นนักเรียนความฝันของอ.อนาลัย เป็นนักเรียนในโลกของจิตวิญญาณที่การเรียนรู้ไม่มีวันที่จะจบสิ้น พวกเราคงรู้สึกได้ว่าพวกเราพบกันเสมอในโลกของจิตวิญญาณในความฝัน พี่จินต์ไม่แปลกใจเลยที่หลายคนจะพบว่าเรามักจะฝันว่าไปเข้าห้องเรียนหรือสอบ เพราะพวกเรามีการนัดพบ ชุนนุมกันอยู่เสมอในโลกของจิตวิญญาณในความฝัน ยินดีต้อนรับกลับมาสู่บ้านของเรา
     
  7. จีนทาร่อน

    จีนทาร่อน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +2
    เข้ามา อ่านข้อความ แล้วคับดีใจมาก และขอขอบคุณ พี่จินต์ มากๆ นะคับ ที่ส่งหนังสือมาให้ อ่านคับ กำลังตังหน้าตั้งตารอคับ
    จุดประสงค์ การอ่านหนังสือชุดของท่าน อนาลัย ของผม ไม่ใช้อ่านเพื่อแสวงหาความเก่งกาจ หรือความรู้ที่เหนือคนอื่นใด แต่ผมอ่านเพราะว่าผมมีความสุขที่ไม่อาจจะบอกอกมาเป็นคำพูดได้ ต้องสัมผัสด้วยใจคับ ทุกประโยค ทุกคำ ในหนังสือที่ไหลผ่านทางสายตา และถูกรับรู้ด้วยสมอง และที่มากกว่านั้นสามารถสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณ ทำให้เรารู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นมาใหม่นะคับ เปรืยบเหมือนกับคนเรากระหายน้ำแล้ว ได้ดื่มน้ำเย็นๆ ประมาณนั้นนะคับ
     
  8. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    ความเชื่อ กับ กรรม

    พี่นักเขียนขอนำคำถามและคำตอบจาก e-mail มา post เพราะเห็นว่าเป็นคำถามที่ผู้อ่านจำนวนมากเขียนมาถามบ่อยๆ เช้านี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำถามและคำตอบ แล้วก็พบ e-mail ที่ถามคำถามที่ผุดขึ้นมานั้นจริง

    คำถาม: คำว่าความเชื่อ เป็นการจำกัดความรู้ เพราะมันทำให้เรามีกรอบเกินไปใช่ไหมค่ะ แล้วถ้าละความเชื่อนั้นไปเลย เช่น ศาสนา กรรมดีกรรมชั่ว มันจะไม่ทำให้เรา หลุดเกินไป จนควบคุมตัวเองไม่ได้ หรือเปล่าค่ะ รบกวนพี่นักเขียนช่วยแนะนำวิธี จัดการกับความเชื่อ ว่ามันควรจะอยู่แค่ไหน อย่างไร ได้ไหมค่ะ

    คำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า ความเชื่อจำกัดความรู้นั้นหมายถึงว่า ความเชื่อในทางที่ผิด-จำกัดการรู้เห็น จำกัดความเข้าใจในสิ่งที่มีความเป็นไปได้อื่นๆ ตลอดจนจำกัดโอกาสที่จะทำให้เราเรียนรู้ความเป็นจริง

    ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีความเชื่อในแง่ลบว่า มนุษย์มีธรรมชาติอันชั่วร้าย-ไว้ใจไม่ได้ เอารัด-เอาเปรียบ เราก็จะเป็นบุคคลที่ขี้ระแวง ขี้กลัว และไม่อยากจะคบใคร ทำให้เราจำกัดความเป็นไปได้ที่จะพบบุคคลที่จริงใจ ซื่อสัตย์ โอบอ้อมอารี เพราะความเชื่อของเราย่อมดึงดูดแต่บุคคลและสถานการณ์ต่างๆในชีวิตที่สนับสนุนความเชื่อในแง่ลบนั้นๆมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในชีวิตของเรา

    ความเชื่อสร้างกรอบของความเป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริงของเราแต่ละคน เพราะความเชื่อเป็นปัจจัยที่กำหนดว่าสิ่งใดเป็นไปได้ และสิ่งใดเป็นไปไม่ได้สำหรับเราแต่ละคน แต่ในที่นี้ก็ไม่ได้หมายความว่า ความเชื่อเป็นสิ่งที่เลวร้ายเสมอไป ท่านอาจารย์อนาลัยเพียงปรารถนาให้เราตระหนักได้ว่า ตามธรรมชาติแห่งความเป็นจริงแล้ว เราทั้งหลายสร้างโลกแห่งความเป็นจริงด้วยความเชื่อของตนเอง หากเราตระหนักได้ในความเป็นจริงข้อนี้ เราจะตระหนักได้อีกว่า เราควรจะเลือกเชื่ออะไร และเลือกที่จะไม่เชื่ออะไร ที่ให้ผลกำไรให้กับชีวิตของตนเอง

    จิตวิญญาณของเราทั้งหลายมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังในโลกทางกายภาพ และเราก็สร้างโลก สร้างประสบการณ์ชีวิต ตลอดจนสุขภาพร่างกายของเรา ด้วยความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเป็นกลไกตามธรรมชาติ

    กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า การสร้างโลกด้วยความเชื่อ-เป็นกลไกที่เป็นไปตลอดวันเวลา ไม่ว่าเราจะมีร่างกายเนื้อหนังหรือไม่ก็ตาม ความเชื่อของจิตวิญญาณที่ยังเป็นร่างกายเนื้อหนังอย่างเรา-ท่านทั้งหลาย มักเป็นความเชื่อในแง่ลบที่ไม่ให้ผลกำไรต่อตนเอง และทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเชื่อและจินตนาการตามไปในแง่ลบ จะผุดขึ้นในประสบการณ์ชีวิตตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก เมื่อมันปรากฏขึ้น หากเราไม่ได้ตระหนักถึงที่มาของมัน เราก็ไม่ได้รู้ว่ามันมาจากไหน หากมันเป็นสิ่งที่เป็นคุณแก่เรา เราก็เรียกมันว่า-บุญ หากมันให้โทษแก่เรา เราก็เรียกมันว่า-กรรม และเราก็สรุปว่า บุญและกรรมเป็นผลลัพธ์จากการกระทำในชาติภพก่อนที่เราจำไม่ได้แล้วว่าทำอะไรลงไป ซึ่งทำให้เราตกอยู่ในสภาพที่-ไม่มีทางแก้ นอกจากเร่งทำบุญ แต่เราก็ดูเสมือนจะหลีกเลี่ยงกรรมไม่ได้ และอาจจะกลั้นใจคอยว่า สักวันเราอาจต้องรับกรรมที่เราจำไม่ได้ว่าเคยทำอะไรไว้ ในชาติภพใด

    ความหมายของการเปลี่ยนความเชื่อที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึง ไม่ได้หมายความถึงการเลิกเชื่อในสิ่งที่ให้ผลกำไรต่อชีวิต หรือเลิกเชื่อในส่ิงที่เป็นคุณ หากแต่ท่านสอนให้เราเลิกเชื่อในสิ่งที่ให้โทษต่อตนเอง เพราะเพียงแค่เราเปลี่ยนความเชื่อในแง่ลบเหล่านั้นได้ เราก็จะสามารถเปลี่ยนชีวิตและประสบการณ์ที่ให้โทษต่อตนเองได้อย่างง่ายดาย

    มีผู้อ่านหลายท่านเขียนมาถามพี่นักเขียนเกี่ยวกับการเลิกเชื่อในกฏแห่งกรรม และตั้งคำถามว่า ท่านอาจารย์อนาลัย และ/หรือพี่นักเขียน เชื่อในกฏแห่งกรรมหรือไม่ หรือมีคำจำกัดความ-กฏแห่งกรรม-ว่าอย่างไร

    พี่นักเขียนขอตอบคุณน้องและขอนำบางส่วนของจดหมายนี้ไป post เพื่อตอบผู้อ่านท่านอื่นๆผ่านกระทู้ห้องวิทย์ฯด้วยค่ะ

    กรรม ในความหมายของท่านอาจารย์อนาลัย หมายถึง ความไม่รู้ที่เกิดจากความเชื่อในทางที่ผิด ที่ติดอยู่ในสติสัมปชัญญะ - ของการเป็นบุคคลตัวตน หลายบุคคลตัวตน หลายชาติภพ หลายมิติ หลายเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ ซึ่งมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน


    ยกตัวอย่างความเชื่อในแง่ลบที่ว่า มนุษย์มีธรรมชาติอันชั่วร้าย-ไว้ใจไม่ได้ กล่าวในนัยของท่านอาจารย์อนาลัยได้ว่า กรรม หรือความไม่รู้ที่เกิดจากความเชื่อในทางที่ผิด ที่บุคคลตัวตนหนึ่งๆจดจ่อในทิศทางนั้นๆหลายชาติภพ หลายมิติ ทำให้เขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์ชีวิตในแง่ลบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากพูดในแง่ของกรรม เราก็คงต้องกล่าวว่า เขามีกรรมอะไรเช่นนั้นหนา จึงเกิดมาพบแต่คนที่ใจร้าย โหดเหี้ยม หรือคดโกง ฯลฯ ความรู้สึกของบุคคลดังกล่าวย่อมรู้สึกหนักหนา-สาหัส เพราะการเผชิญกับสถานการณ์ชีวิตในแง่ลบของเขา ไม่ได้กำลังเป็นไปในชาติภพเดียว มิติเดียว ตัวตนเดียว หากแต่กำลังเป็นไปในทุกชาติภพ ทุกมิติ ทุกตัวตน ซึ่งล้วนจดจ่อในกับความเชื่อในแง่ลบที่ยังไม่ได้แก้ไขในชาติภพใด

    พลังอำนาจในการแก้ไขทั้งหมดอยู่ที่ปัจจุบัน กล่าวคือ หากเราเปลี่ยนการจดจ่อ เปลี่ยนความเชื่อในปัจจุบันได้ว่า มนุษย์มีธรรมชาติที่เอื้อเฟื้อ สนับสนุนและเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพราะมนุษย์คือจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนัง จากต้นกำเนิดซึ่งมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน บุคคลตัวตนในหลายชาติภพ หลายมิติ หลายเส้นทางแห่งความเป็นไปได้จะเปลี่ยนความเชื่อไปด้วย การเปลี่ยนความเชื่อ ณ ปัจจุบันส่งผลกระทบต่อตัวตนอื่นๆ ชาติภพอื่นๆ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบกลับมาที่ตัวตนนี้ ชาติภพนี้ มิตินี้ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้เสมอ เสมือนก้อนหินที่ตกลงกระทบผิวน้ำแล้วสร้างคลื่นมากมายหลายระลอก กระทบสืบเนื่องกันไป เมื่อชนขอบบ่อ ก็เกิดคลื่นกระทบกลับไปยังศูนย์กลางที่ก้อนหินตกลงกระทบผืนน้ำอีก

    ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย ท่านกล่าวไว้ว่า เราทั้งหลายไม่ได้เป็นจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเพื่อชดใช้โทษบาป แต่เรามาถือกำเนิดเพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าของชีวิต ด้วยการเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนความเชื่อในแง่ลบเป็นความเชื่อในแง่บวก ด้วยการเปลี่ยนความเชื่อในทางที่ผิดเป็นความเชื่อในทางที่ถูกต้องให้คุณแก่ตนเองและผู้อื่น และเพื่อการเปลี่ยนความเชื่อทั้งหลายเป็นความรู้ในที่สุด

    กล่าวได้ว่า การเปลี่ยนความเชื่อมีสองทิศทางคือ ทิศทางแรก-เป็นการเปลี่ยนความเชื่อในแง่ลบเป็นแง่บวก ทิศทางที่สอง- เป็นการเปลี่ยนความเชื่อแง่ลบหรือแง่บวก-เป็นความรู้

    ท่านอาจาย์อนาลัยไม่เคยกล่าวขอให้ใครละความเชื่อทางศาสนา หรือให้ละความเชื่อในเรื่องกรรม ท่านไม่ได้กล่าวว่ากรรมไม่มีจริง หรือผู้ที่ทำชั่วจะไม่ต้องรับกรรม ในทางตรงกันข้าม ท่านกล่าวว่า กรรมส่งผลเป็นปัจจุบันทันด่วน เพราะทุกชีวิต ทุกชาติภพ ทุกตัวตน มีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    ในทางตรงกันข้าม บุญก็ส่งผลเป็นปัจจุบันทันด่วนเช่นกัน ไม่ต้องคอยรับผลข้ามชาติภพ ท่านอาจารย์อนาลัยอธิบายให้เราเข้าใจภาวะอันเป็นไปตามธรรมชาติของจิตวิญญาณว่า อยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา

    แม้ท่านอาจารย์อนาลัยจะกล่าวถึงความเชื่อที่ครอบงำคนจำนวนมาก อันเกิดจากความเชื่อทางศาสนา แต่ท่านก็ไม่ได้ตำหนิว่า ความเชื่อทางศาสนาเป็นความเชื่อในแง่ลบเสียทั้งหมด หากแต่ท่านกล่าวว่า ความเชื่อทางศาสนาที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งกับศาสนาอื่น และสร้างความแตกแยกระหว่างบุคคลทั้งหลายที่นับถือต่างศาสนา เป็นเพียงความเชื่อ-ไม่ใช่ความเป็นจริง เพราะความเป็นจริงที่ปรากฏในศาสนาใดๆ หากเป็นความเป็นจริงเกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณแล้ว ย่อมก่อให้้เกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสมอ และย่อมปรากฏในทุกศาสนา

    หากเราสามารถศึกษาศาสนาต่างๆในโลก จากมุมมองที่ปราศจากความเชื่อที่ว่า ศาสนาของฉันคือศาสนาที่ถูกต้องเพียงศาสนาเดียวในโลก และปราศจากความเชื่อที่ว่า บุคคลที่นับถือศาสนาอื่นๆ-เป็นบุคคลที่ไม่มีบุญเท่าบุคคลที่นับถือศาสนาเดียวกับฉัน เราจะพบว่าความเป็นจริงที่สอดคล้องกันเกี่ยวกับธรรมชาติของจิตวิญญาณ มีปรากฏในทุกศาสนา และเป็นกรอบความเชื่อที่ให้คุณกับมนุษย์โลก และจรรโลงให้เป็นโลกเป็นโลกที่ยังคงมีความรัก ความปรานี ความโอบอ้อมอารี และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจวบจนทุกวันนี้

    เราเห็นได้ไม่มากก็น้อยว่า บุคคลทั้งหลายที่เรียกได้ว่า มีความสนใจใฝ่รู้เกี่ยวกับศาสนา ในที่สุดจะสนใจใฝ่รู้เกี่ยวกับธรรมชาติความเป็นจริงของจิตวิญญาณ เพราะทุกศาสนาเหนี่ยวนำมนุษย์ให้เข้าใกล้จิตวิญญาณของตนเอง หรือเข้าใกล้ธรรมชาติอันเป็นแก่นแท้ของตนเองไม่น้อยไปกว่ากัน

    ความเชื่อในแง่ลบ หรือความเชื่อในทางที่ผิด แม้จะมาในเงาของศาสนา แต่หากเราพิจารณาให้ลึกซึ่้งแล้ว เราจะพบว่าท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า เกิดจากมนุษย์-ผู้บริหารศาสนา ไม่ได้เกิดจากคำสอนของศาสนานั้นๆ

    พี่นักเขียนเพิ่งจะมีโอกาสได้อ่านประวัติศาสตร์พบว่า โลกตะวันตกในสมัยโบราณถือว่า การสมรสของบุคคลต่างสีผิว เป็นการประพฤติผิดต่อศาสนา (คาทอลิก) ซึ่งยังผลให้บุคคลดังกล่าวถูกสังคมปฏิเสธ ถูกลงโทษ และ ผู้บริหารศาสนาก็กล่าวว่า ข้อจำกัดดังกล่าวมีปรากฏใน Bible และคนสมัยโบราณมีความเชื่อว่า หากพบว่าใครเป็นแม่มด หรือมีความสามารถทางพลังจิต จะต้องถูกเผาทั้งเป็น แต่ก็ไม่เคยมีใครสำรวจต้นฉบับที่แท้จริง นอกจากถือ Bible ฉบับที่เผยแพร่โดยผู้บริหารศาสนาในยุคนั้นเป็นหลัก

    ปัจจุบันนี้ ความเชื่อของคนทั้งหลายเปลี่ยนไป รวมทั้งความเชื่อของผู้บริหารศาสนาก็เปลี่ยนไปด้วย เราจึงไม่พบข้อความดังกล่าวปรากฏใน Bible อีกต่อไป ในทางตรงกันข้ามวิทยาศาสตร์กลับพบว่า ทารกที่ถือกำเนิดจากบิดามารดาต่างเผ่าพันธุ์ ต่างสีผิว มักมีสุขภาพแข็งแรง มี IQ สูง และมักมีความสามารถพิเศษมากกว่าทารกที่ถือกำเนิดจากบิดามารดาเผ่าพันธุ์เดียวกัน ซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อในสมัยโบราณโดยสิ้นเชิง

    ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า เราทั้งหลายมักจะไม่เคยตรวจสอบสิ่งที่เรารับเอาโดยปริยายจาก(ผู้บริหารหรือตัวแทนของ)ศาสนาว่า สิ่งใดคือความเชื่ออันจำกัดของกลุ่มชน และสิ่งใดคือความเป็นจริงที่ปรากฏในคัมภีร์ศาสนา คนจำนวนมากลัวการเปลี่ยนความเชื่อที่ผิดแผกไปจากที่เรียนรู้จากศาสนา หรือเรียนรู้ผ่านผู้บริหารหรือตัวแทนของศาสนา แต่การขาดการสำรวจความเชื่อ เป็นเหตุให้เราทั้งหลายจดจ่อและกระทำในสิ่งที่ให้โทษต่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว และอาจเข้าใจผิดว่าตนกำลังประพฤติปฏิบัติถูกต้องชอบธรรมด้วยซ้ำไป ดังตัวอย่างความเชื่อเรื่องสีผิว และการเผาคนทั้งเป็นที่เคยปรากฏใน Bible ความเชื่อในทางที่ผิดมีปรากฏมากมายในทุกศาสนา หากเราจะเริ่มสำรวจและใช้ความเป็นกลางในการพิจารณา

    หากมนุษย์ยังคงมีความเชื่อต่อไปเรื่อยๆโดยไม่เคยหยุดสำรวจความเชื่อที่มีต่อศาสนา การประพฤติปฏิบัติในแง่ลบเหล่านั้นก็จะยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งกล่าวได้ว่าทำให้มนุษย์และจิตวิญญาณขาดวิวัฒนาการ คือขาดการเปลี่ยนความเชื่อในแง่ลบเป็นความเชื่อในแง่บวก ขาดการเปลี่ยนความเชื่อทั้งหลายเป็นความรู้
    [​IMG]
    ความเชื่อทางศาสนา ความเชื่อทางสังคม วัฒนธรรม และความเชื่ออื่นๆอีกมากมายในโลกมนุษย์ แปรเปลี่ยนไปพร้อมกับวิวัฒนาการของจิตวิญญาณ ซึ่งสะท้อนให้เราเห็นในวิวัฒนาการทางกายภาพ ณ วันนี้แม้เราอาจจะยังมองไม่เห็นว่า ความเชื่อบางความเชื่อ-เป็นเพียงความเชื่อ-ไม่ใช่ความเป็นจริง และเป็นความเชื่อในแง่ลบที่ให้โทษ แต่ในที่สุดจิตวิญญาณที่มาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังก็จะวิวัฒนาการต่อไป โลกมนุษย์ก็จะวิวัฒนาการต่อไปด้วยการเปลีี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ในที่สุด

    พี่นักเขียนหวังว่าคำตอบเหล่านี้คงจะพอทำให้คุณน้องเข้าใจในสาระจากหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัยได้ดีขึ้น และหมดความกังวลว่า การเปลี่ยนความเชื่อ หรือการเชื่อในสาระจากหนังสือ จะขัดกับความเชื่อทางศาสนา หรือก่อให้เกิดผลในแง่ลบ เพราะท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า ผู้อ่านไม่ควรเชื่อในคำพูดของผู้ใด หรือเชื่อในสิ่งใดๆโดยปราศจากการพิสูจน์ ซึ่งรวมทั้งคำกล่าวของท่านด้วย


    ท่านอาจารย์อนาลัยได้ให้ตัวอย่างของความเชื่อหลัก และกลุ่มความเชื่ออื่นๆที่เกิดจากความเชื่อหลัก ในทางที่ผิดและให้โทษต่อตนเองและผู้อื่นไว้ในหนังสือ อิสระแห่งความปรารถนา ขออดใจรออีกไม่เกินสัปดาห์ พี่นักเขียนจะ upload eBook เล่มนี้ให้ได้อ่านกันค่ะ(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 เมษายน 2008
  9. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    พี่นักเขียนครับ ถ้าเป็นเรื่องที่มีคนถามมามาก พี่นักเขียนเขียนเรื่องนี้แจ้งไว้ที่เวปของพี่นักเขียนเลยดีไหมครับ แบบประมาณพวก FAQ เพราะไม่งั้นคนใหม่ๆ ที่พึ่งมาอ่าน ก็จะมาถามอีก
     
  10. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ขอเอาเรื่องราวต่างมิติมาให้อ่านกันเล่นๆ



    ความคิดเห็นที่ 280

    ไม่มีคนอัพเรื่อง มาอัพให้ค่ะ
    -----------------------------------------------------------------------------
    เรื่องนี้เกิดเมื่อประมาณปี 48 ได้มั้งค่ะ (จำปีไม่ได้อ่ะ - -")

    พ่อของเราเสียชีวิตวันที่ 27 ต.ค. 48 ระหว่างงานศพเราก็ช่วยทำงาน ช่วยดูแลบ้าง เท่าที่จะทำได้ แต่มีอยู่ครั้งนึงที่เราสะอึ้ก(อาการแบบว่า สัมผัสที่ 6 มันกำเริ่บ) ขึ้นมาอีกแล้ว

    ระหว่างที่เรากำลังเตรียมแก้วน้ำ จะไปเสริฟแขกเรื่อที่มางาน เรานึกขึ้นมาได้ว่า ตรงที่เรายืนอยู่ตรงนี้ สิ่งที่เรากำลังจะทำนี้ และท่าทางที่เราจะทำต่อไปต่างๆนั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้ว !!! มันเกิดขึ้นในความฝันของเรา เมื่อ 2-3 เดือนก่อน เราอึ้งไปเลย ยืนอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง ทบทวนความฝันของตัวเอง ไม่ผิดแน่ แต่ในความฝันเราไม่รู้ว่าจะเป็นงานศพของพ่อตัวเอง เรามองไปที่รูปที่ตั้งอยู่ก็ไกล มองเห็นแค่รางๆ ทำให้เราไม่รู้ในตอนนั้นว่า สิ่งที่เราฝัน จะเป็นรางบอกเห็น อึ้ง และ เสียใจ ค่ะ ไม่รู้เสียใจทำไมเหมือนกัน

    และทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปค่ะ จนวันที่เราจะไปเก็บกระดูกของพ่อเรา( ระหว่างที่เรายืนล้างหน้าที่หน้ากระจก เราได้กลิ่นบุหรี่ค่ะ กลิ่นบุหรี่จริงๆ เราสูดกลิ่นเข้าจมูกถึง 2 ครั้ง ว่าใช่แน่ บุหรี่ชัวร์ แต่อาเราไม่สูบบุหรี่ พี่ชายเราก็ไม่ได้จุด เดินหาและเดินมองไปทั่วๆแล้ว หาควันไม่เจอด้วย จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากพ่อเรา เพราะทุกๆเช้าจะชอบสูบบุหรี่ ก็ปล่อยให้ผ่านพ้นไปเหมือนเดิมค่ะ (เริ่มเอะใจและ)

    หลังจากทำพิธีเรียบร้อยแล้ว เราเดินทางไปบ้านแม่อีกจังหวัดหนึ่งเพื่อจะเดินทางต่อไปที่ สัตหีบค่ะ จะทำการลอยอังคารในวันนั้นเลย (เพราะเราต้องไปฝึกงานในวันที่ 3 พ.ย. แล้ว) เมื่อทุกอย่างพร้อม รถพร้อม ก็ออกเดินทางด้วยรถตู้ค่ะ มากันเต็มรถ ระหว่างที่เรานั่งๆไปเรื่อยๆ เราได้กลิ่นยาค่ะ (นั่งมาตั้งนานไม่ได้กลิ่น - -") กลิ่นแรงมากกกกก มากจริงๆๆๆๆ เหมือนเอาเม็ดยา มายัดใส่จมูกเลย เราก็มองหากลิ่นค่ะ พอดีแม่เรามาด้วย เราก็เลยหยิบถุงยาของแม่มาดม แต่กลิ่นก็ยังอ่อนกว่าที่เราได้กลิ่นซะอีก เราก็ว่า ชัวร์(อีกรอบ) พ่อมาด้วยแน่ๆเลย บอกตรงๆว่าไม่กลัวแล้ว อุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก

    การลอยอังคารก็เป็นไปด้วยดีค่ะ มีเรื่องแปลกนิดนึงตรงที่ เรากะพี่ๆอีก2 คนหาฟันของพ่อค่ะ ก่อนลอย หาเท่าไรก็หาไม่เจอ จนเรานึกในใจ(บอกตรงๆตอนนั้นไม่คิดว่าจะได้) ว่าขอให้เจอฟันของพ่อสักซี่เถอะ อยากเก็บไว้ แค่แปปเดียวจริงๆค่ะ ก็เห็นฟันซี่(ใหญ่ที่สุดที่พ่อมีตอนมีชีวิตอยู่) วางนิ่งๆอยู่ โดยที่พี่ของเราอีก 2 คนมองไม่เห็น เราก็หยิบขึ้นมาแล้วก็ให้แม่ดู แม่บอกว่า "นี่ลูกรัก หาเจอคนเดียวเลย ซี่ใหญ่ด้วย" แล้วฉันก็เลย นึกอีกให้พี่เจอ ก็เจอค่ะ แต่ซี่เล็กๆๆๆ แล้วก็ไม่มั่นใจด้วยว่าจะใช่หรือป่าวจากนั้นก็ลอยค่ะ ลอยอังคารกันเสร็จเรียบร้อยก็กลับบ้าน

    วันรุ่งขึ้น ฉันเดินทางเข้ากรุงเทพ เพื่อเตรียมตัวไปฝึกงานค่ะ ก่อนเดินทาง ฉันไปยืนไหว้พ่อ แล้วบอกกับพ่อว่า จะกลับแล้วนะ ต้องไปฝึกงานต่อ

    เมื่อเดินทางถึงห้องพัก ฉันมีนัดกับเพื่อนจะต้องไปทำธุระก็จะออกจากห้อง ก่อนจะออกก็ได้กลิ่นค่ะ กลิ่นเหม็นสาปเกือบๆจะเหม็นเน่า ฉันจำได้ว่าเป็นกลิ่นที่ได้กลิ่นตอนเดินไปดูเค้าเปลี่ยนโรงให้พ่อ กลิ่นเดียวกันเลย ชะงักเลยค่ะ มองไปรอบๆอย่างระแวง แต่ก็ไม่พบอะไร

    **ตอนจุดทูปไหว้พ่อบอกพ่อไว้แล้วค่ะ ให้มาในฝัน อย่ามาให้เห็น กลัว อยากได้อะไรให้มาบอกในฝัน**

    สรุปส่งท้าย ตลอด 1 ปีที่พ่อจากไปฉันฝันถึงพ่อบ่อยมากค่ะ พ่อกลับไปอยู่ที่บ้านเก่า ที่บ้านเสียชีวิตค่ะ ใช้ชีวิตเหมือนเดิม แม้กระทั่งอา หรือพี่ หรือบางคน ก็ฝันเหมือนกันค่ะ ว่าพ่ออยู่ที่บ้าน พ่อรับรู้เรื่องทุกอย่างของพวกเราที่ยังมีชีวิตอยู่ และคนที่อยู่ระแวกบ้าน ก็ยังเห็นเงาเดินไปมาในบ้านค่ะ เหมือนมีคนอยู่ตลอด แต่ช่วงนี้ไม่ค่อยฝันถึงแล้ว ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง

    เรื่องแปลกเล็กๆน้อยๆ คือ ทุกๆวันที่ 24 และ 27 ฉันจะฝันถึงพ่อค่ะ (ช่วงแรกๆนะค่ะ) ฝันถึงที่บ้าน เพราะวันที่ 24 ต.ค. ฉันพบพ่อและพูดคุยกับพ่อเป็นครั้งสุดท้าย และวันที่ 27 ต.ค. เป็นวันที่พ่อเสียชีวิตค่ะ

    -----------------------------------------------------------------------------

    หากพ่อยังรับรู้ อยากให้รู้ว่าลูกคนนี้ไม่เคยลืม และเสียใจกับหลายๆอย่างที่ไม่เคยทำให้ รักพ่อค่ะ เราฟั่นฝ่ามาด้วยกันในหลายๆเรื่อง ลำบากมาด้วยกัน ยามอด ยามมี เราร่วมกัน พ่อสบายแล้วนะค่ะ อย่าห่วง อย่าผูกมัดตัวเอง ลูกของพ่อคนนี้ ตอนนี้ดูแลตัวเองได้แล้ว แล้วสักวันหนึ่ง เราอาจจะได้พบกันอีกค่ะ ลูกเชื่อแบบนั้น รักค่ะ

    จากคุณ : tuzki - [ 17 เม.ย. 51 16:32:16 ]


    ความคิดเห็นที่ 281

    อัพๆๆๆ อีกเรื่อง
    เรื่องนี้เกิดเมื่อประมาณ 2 ปีได้แล้วมั้งค่ะ แต่เหมือนเพิ่งเกิดเมื่อเร็วๆนี้เลย

    พี่สาวเราท้องอ่อนๆ ค่ะ ยังไม่ได้ซาวด์เลยว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย

    เรานอนอยู่ในห้องค่ะ ตอนแรกตื่นแล้ว แต่ล้มตัวลงนอนต่อ (ตอนนั้นประมาณ 8 โมงได้และ ขี้เซาจังเลย) แค่หลับตาเท่านั้นแหละค่ะ เราก็ลืมตาขึ้น (ในฝันค่ะ) ทุกๆอย่างเดิมก่อนเราล้มตัวลงนอน แค่แสงที่ส่องเข้ามาในห้องมันมัวๆนิดนึง เราลุกขึ้นมาด้วยความงงเลยค่ะ หันซ้ายหันขวา ห้องตูนี่หว่า แต่...ในห้องมีตู้แบบสมัยก่อนอ่ะค่ะ ตั้งอยู่ที่ปลายเตียง ตรงประตูห้อง (ตรงปลายเตียงเราเป็นประตูห้อง) มีกระจกแตกซะด้วย กระจกก็เก่า ขุ่นๆ เรามันพวกชอบส่องกระจก็ส่องซะ
    ระหว่างที่ส่องกระจก แล้วหางตาก็เหลือบไปเห็นค่ะ เด็กผู้หญิง สูงสัก 100 นิดๆ ใส่คอกระเช้า สีชมพู นุ่งโจงกระเบน เกล้าผมจุก เดินลงมาจากข้างบน เดินจริงๆค่ะ เดินจะลงไปข้างลง เราก็งง นั่งมองน้องเค้าแบบงง มาจากไหน คนในบ้านไม่ใช่แน่นอน ชัวร์เลย เพราะน้องเค้าขาว น่ารักมาก น่ารักจริงๆ น้องเค้าเดินเกือบถึงประตูแล้วค่ะ แล้วก็ใกล้เรามากขึ้นเรื่อยๆ น้องเค้าดันหันมาเห็นเรามองอยู่ ตกใจค่ะ น้องเค้าตกใจจริงๆ ตกใจมากด้วย สะดุ้งโหยงเลย แล้วก็รีบวิ่งขึ้นข้างบนไปเลยค่ะ เราก็ตะโกนเรียกค่ะ "น้อง เด๋วก่อน น้อง น้อง" วิ่งขึ้นข้างบนไปแล้วค่ะ ไม่ได้ทะลุกำแพงไรนะค่ะ ทางคนเดินปกตินี่แหละ เรางงเลย แล้วเราก็ล้มตัวลงนอนค่ะ แล้วก็ตื่นขึ้นมา ที่เดิม เหมือนเดิม แต่ตู้เก่าแบบสมัยก่อนหายไปแล้วค่ะ กระจกที่อยู่ตรงประตูก็หายไปแล้ว ใจสั่นเลยค่ะ ความกลัวเล็กๆน้อยเริ่มก่อตัว รีบลงมาข้างล่างเลยค่ะ อาบน้ำแล้วแล้วไปอยู่ข้างล่างดีกว่า (โดนอีกแล้วตู)

    แล้วก็ไปเล่าให้พี่สาวฟัง แล้วก็บอกพี่ว่า "ลูกมรึงเป้นผู้หญิงแน่เลย กรุเห็นเด็กคนเนี้ย วิ่งขึ้นไปบนห้องมรึง" (พอดีสนิทกันกับพี่ อย่าถือสากะคำพูดนะ)

    แล้วก็จริงๆค่ะ วันที่พี่สามารถซาวด์ท้องได้ ได้ลูกสาวจริงๆด้วย ตอนนี้เกือบ 2 ขวบแล้วค่ะ (เกิดกรกฏา) แล้วไม่รู้ทำไม ถึงรักหลานคนนี้มาก เจออะไรก็อยากซื้อให้ ทั้งๆที่เราเกลียดเด็ก บอกตรงๆว่าเกลียดเด็กมากทุกคนเลย แม้กระทั่งหลานตัวเองอีก 2 คนก่อนหน้าคนนี้ ไม่ชอบเด็กไม่รู้ทำไม

    พ่อรู้ด้วยค่ะว่าพี่จะมีหลานอีกคน(พ่อเสียแล้วนะค่ะ) ในฝัน...พ่อจะให้ชื่อบีค่ะ (เพราะหลานคนโตชื่อ บิว) เล่าให้พี่สาวฟัง แต่พี่สาวบอกว่าไม่ชอบ แล้วให้ชื่อ ต้นข้าว ตอนนี้กำลังหัดพูด และก็ซนมากด้วย ฉลาดมากด้วยจริงๆ

    จากคุณ : tuzki - [ 17 เม.ย. 51 17:00:41 ]
     
  11. Positive Life

    Positive Life สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    ขอบคุณมากเลยค่ะ(smile)
     
  12. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,085
    มาต้อนรับคุณจีนทาร่อน และคุณ kung ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 3.gif
      3.gif
      ขนาดไฟล์:
      24.7 KB
      เปิดดู:
      282
    • 7.gif
      7.gif
      ขนาดไฟล์:
      8.2 KB
      เปิดดู:
      276
    • 32840an1xmylofb.gif
      32840an1xmylofb.gif
      ขนาดไฟล์:
      47.3 KB
      เปิดดู:
      167
    • 226.gif
      226.gif
      ขนาดไฟล์:
      7.1 KB
      เปิดดู:
      293
    • 235.gif
      235.gif
      ขนาดไฟล์:
      5.9 KB
      เปิดดู:
      283
    • 124.jpg
      124.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.5 KB
      เปิดดู:
      80
  13. Positive Life

    Positive Life สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2008
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +0
    หนังสือของ อ.อนาลัย หมดค่ะคุณ mead
    หายากจังเลยค่ะ...เพื่อนๆคนไหนรู้สถานที่สั่งซื้อ
    ช่วยโพสบอกด้วยนะค่ะ..ขอบคุณมากค่ะ
     
  14. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    กลับมารายงานตัวแล้วค่ะ และยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ทุก ๆ ท่าน..
    เห็นคุณ Mead, คุณเม้าท์ ตั้งหน้าตั้งตารับน้องใหม่กันอย่างสนุกสนาน
    อ่านจบแล้ว.. เดี๋ยวค่อยคุยกันวันหลังค่ะ..
    หยุดหลายวันต้องทำงานหัวโตเลย.. อิอิ..
    (||) (||) (||)
     
  15. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    FAQ

    พี่นักเขียนทำ FAQ ไว้แล้วค่ะคุณ zip คงจะได้ upload พร้อมกับ eBook เล่มต่อไป คือ อิสระแห่งความปรารถนา
    ระหว่างนี้เลยนำมา post ที่กระทู้บ้างเป็นครั้งคราวไปก่อน ผู้อ่านจะได้ไม่ต้องคอยนาน ขอบคุณ คุณ zip ที่เอ่ยถึง FAQ เพราะช่วยทำให้พี่นักเขียนมั่นใจขึ้นว่า ที่ทำไว้จะเกิดประโยชน์
     
  16. nova_analai

    nova_analai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    809
    ค่าพลัง:
    +7,489
    _________________________________________________


    พี่นักเขียนขอบคุณ คุณจีนทาร่อน คุณzip และทุกท่านที่นำความฝันมา post เพราะเรื่องราวความฝันที่เราทั้งหลายสามารถจดจำรายละเอียดต่างๆได้ รวมทั้งความฝันที่เราฝันซ้ำๆยาวนานเป็นเวลาแรมปี ล้วนเป็นความฝันที่ไม่เพียงแต่จะมีความหมาย แต่ยังเป็นปัจจัยที่เราทั้งหลายน่าจะได้นำไปใช้ในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในหนังสือของท่านอาจารย์อนาลัย-ด้วยตนเอง

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวย้ำเสมอๆว่า
    อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    จิตวิญญาณจดจ่อกับภาวะใด
    จิตวิญญาณมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปเป็นภาวะนั้นๆ


    ธรรมชาติความเป็นจริงที่ท่านกล่าวถึง เป็นสิ่งที่เรา-ท่านเข้าใจได้ยาก จากมุมมองและทัศนคติยามตื่น ซึ่งสติสัมปชัญญะของเราดำเนินไปภายใต้กฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา เราคิดไม่ออก จินตนาการไม่ถึง และเข้าใจแทบจะไม่ได้ว่า อดีต-ปัจจุบัน-อนาคต มีอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน -เป็นไปได้อย่างไร?

    เมื่อเรากล่าวถึงอดีต เราเชื่อว่า มันครอบคลุมถึงเหตุการณ์ในอดีตของชาติภพนี้ และ อดีตชาติ
    เมื่อเรากล่าวถึงปัจจุบัน เราเชื่อว่า มันครอบคลุมถึงปัจจุบันของชาติภพนี้-บุคคลตัวตนนี้ที่เรารู้จัก เพียงชาติภพเดียว-ตัวตนเดียว
    เมื่อเรากล่าวถึงอนาคต เราเชื่อว่า มันครอบคลุมถึงอนาคตของชาติภพนี้ และ อนาคตชาติ


    ในโลกของความฝัน สติสัมปชัญญะของเราดำเนินไปนอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา
    อดีต ในโลกของความฝัน ครอบคลุมถึง อดีตในชาติภพนี้ อดีตในชาติภพอื่นๆ และอดีตนอกเหนือชาติภพ
    ปัจจุบัน ในโลกของความฝัน ครอบคลุมถึง ปัจจุบันในชาติภพนี้ ปัจจุบันในชาติภพอื่นๆ และปัจจุบันนอกเหนือชาติภพ
    อนาคต ในโลกของความฝัน ครอบคลุมถึง อนาคตในชาติภพนี้ อนาคตในชาติภพอื่นๆ และอนาคตนอกเหนือชาติภพ


    อย่างมากที่สุดที่เราอาจจะจินตนาการได้มากไปกว่านี้ก็คือ นอกเหนือไปจากชาติภพแล้ว เราอาจจะมีชีวิตหลังความตาย และ ช่วงเวลาก่อนที่จะมาถือกำเนิด ซึ่งเราเชื่อว่า มันเป็นมิติลึกลับที่มีความเป็นจริงน้อยไปกว่ามิติที่เรารู้จัก และอาจจะเป็นมิติที่เลวร้ายเสมือนการ-ติดกับ หากจิตวิญญาณใดๆยังไม่ได้ไปสู่ชาติภพต่อไปในมิติที่เรารู้จักหลังความตาย หรือไปสู่มิติอื่นที่เราจินตนาการว่า สูงกว่ามิติที่เรารู้จัก และเลวร้ายที่สุด-อาจไปสู่มิติอื่นที่เราจินตนาการว่า ต่ำกว่ามิติที่เรารู้จัก

    คำว่า ชีวิตนอกเหนือชาติภพ แทบจะเป็นชีวิตที่เราจินตนาการไปไม่ถึง หากเราปราศจากความรู้และความเชื่อว่า จิตวิญญาณดำเนินชีวิตไปในชีวิตอื่นๆนอกเหนือชาติภพที่เราคาดคะเนและเชื่อว่ามีจริง แม้เราจะไม่รู้จักมิตินอกเหนือชาติภพหรือจินตนาการไม่ถึง แต่มันก็ปรากฏให้เราเห็นเสมอๆในความฝัน ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึงไว้ในหนังสือชื่อ ชีวิตนอกเหนือชาติภพ ว่าเป็นชีวิตที่จิตวิญญาณดำเนินไปเพื่อการแสวงหาความรู้และสนับสนุนการถือกำเนิด-ในทุกชาติภพ และได้กล่าวถึงชีวิตหลังความตายไว้ในหนังสือ อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคต้นและ อมตะแห่งจิตวิญญาณ-ภาคปลาย ไว้ว่า เป็นช่วงเวลาที่จิตวิญญาณทบทวนความรู้ แก้ไข และเลือกที่จะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ชีวิตด้วยการถือกำเนิดเพื่อเผชิญความท้าทายในทิศทางใดต่อไป

    แม้ว่าชีวิตก่อนมาถือกำเนิด หรือ ชีวิตหลังความตาย จะแสดงให้เราเห็นถึง ความเป็นอดีตและอนาคต ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก แต่ทั้งหมดก็กำลังดำเนินไปในปัจจุบัน และเรารู้เห็นชีวิตเหล่านั้นได้ในความฝันเสมอๆ

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้อธิบายไว้ว่า จิตวิญญาณถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตน ในอดีตชาติ-ปัจจุบันชาติ-อนาคตชาติ พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน อดีตชาติ-ปัจจุบันชาติ-อนาคตชาติ คือวิถีชีวิต-บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้อันหลากหลาย-เป็นอนันต์ ที่กำลังดำเนินไปพร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน พร้อมด้วยบุคคลตัวตนอันหลากหลาย-เป็นอนันต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณรวมของเรา แต่ละบุคคลตัวตนเหล่านั้นติดต่อถ่ายทอดข้อมูลความรู้ และสื่อสารกันในความฝัน เพื่อการเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์เป็นระบบเครือข่าย

    หากปราศจากการติดต่อสื่อสารของบุคคลตัวตนย่อยๆทั้งหลาย จิตวิญญาณรวมจะไม่อาจเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ได้ในภาพรวม จิตวิญญาณพัฒนาเป็นระบบเครือข่าย ด้วยการถือกำเนิดเป็นบุคคลตัวตน ทุกมิติ ทุกชาติภพ ทุกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ อย่างเป็นเอกลักษณ์ พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน

    เราทั้งหลายจึงรู้เห็น บุคคลตัวตนอื่นๆของเรา ในชาติภพอื่นๆ หรือในเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆเสมอในความฝัน เราเห็นตนเองอาศัยอยู่ในบ้าน ซึ่งในปัจจุบันนี้ ชาติภพนี้ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้ บ้านหลังนั้นอาจถูกรื้อถอนไปแล้ว เราอาจย้ายจากไปนานแล้ว แต่บุคคลตัวตนหนึ่งของเรา ยังคงดำเนินชีวิตต่อไปในบ้านหลังนั้น ซึ่งบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่น ชาติภพอื่น ไม่ได้ถูกรื้อถอน และเราก็ไม่เคยจากบ้านนั้นไปไหน

    ความเป็นไปได้อื่นๆ ที่ไม่ได้เป็นไปในชาติภพนี้ตามเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก ปรากฏให้เรารู้เห็นเสมอๆในความฝัน ซึ่งเป็นโลกที่เราทั้งหลายเชื่อว่า ไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริง - มันเป็นแค่ความฝันที่เป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น

    แต่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวว่า โลกของความฝัน คือโลกแห่งความเป็นจริงอันกว้างไกลและลึกล้ำเสียยิ่งกว่าโลกยามตื่นที่เรารู้จักเสียอีก เพราะเป็นโลกที่จิตวิญญาณดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดโดยปราศจากเครื่องพรางของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา เราจึงสามารถรู้เห็นและดำเนินชีวิตในโลกของความฝันได้โดยปราศจากอดีตและอนาคต มีแต่ปัจจุบัน ปราศจากระยะทาง มีแต่ ณ ที่นี่-เดี๋ยวนี้

    เรามักจะเชื่อว่า เรื่องราวที่ปรากฏในความฝัน เป็นเรื่องราวที่เกิดจากความกังวลหรือการจดจ่อของตนเอง ซึ่งเหนี่ยวนำให้เราฝันถึงเรื่องเหล่านั้น แต่บ่อยครั้งเราก็พบว่า เราฝันถึงสิ่งที่ไม่เคยอยู่ในความคิดคำนึงยามตื่นเลย

    ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวถึงความฝันไว้ในหนังสือทุกเล่ม ไม่ใช่เพียงแต่เล่ม ความฝันกับวิถีแห่งจิตวิญญาณ ความฝันเป็นเป็นช่องทางที่ทำให้เรารู้เห็นวิถีการจดจ่อของจิตวิญญาณด้วยสติสัมปชัญญะ รู้เห็นโลกอื่นๆ มิติอื่นๆ ชาติภพอื่นๆ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้้เส้นอื่นๆ ที่จิตวิญญาณของเราจดจ่ออยู่-พร้อมกันกับที่มันจดจ่อโลกนีิ้ มิตินี้ ชาติภพนี้ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้ ที่เรารู้จักยามตื่น

    แต่เมื่อเรากำลังตื่นอยู่ตามปกติ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเราทำให้จิตวิญญาณจำเป็นต้องจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะแต่เพียง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ชาติภพนี้ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้เท่านั้น เพราะร่างกายทางกายภาพของเราจะอยู่รอดทางกายภาพได้ด้วยการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมอย่างเป็นปัจจุบันเท่านั้น สติสัมปชัญญะของเราจึงปิดกั้นการรู้เห็น ที่อื่น ชาติภพอื่น มิติอื่นๆ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ และทำให้เราสามารถตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    แต่เมื่อเราหลับ ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเราหยุดทำงาน จิตวิญญาณจึงเป็นอิสระที่จะเปลี่ยนวิถีการจดจ่อด้วยสติสัมปชัญญะไปสู่ ที่อื่นๆ เวลาอื่นๆ ชาติภพอื่นๆ มิติอื่นๆ ได้พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน ตามธรรมชาติของมัน

    หากเราสามารถจำความฝันได้ตลอดทั้งคืน เราจะพบว่า เราฝันมากมายหลายเรื่อง อย่างต่ำสุด 3-5 เรื่อง และหากเรามีสติสัมปชัญญะที่คมชัด เราก็อาจจดจำได้ 7 เรื่องขึ้นไป ความฝันที่เกิดขึ้นทีหลัง มักจะมีความยาวกว่าความฝันแรกๆ ความฝันจะเกิดขึ้นระหว่างที่สติสัมปชัญญะก้าวไปสู่ภาวะที่เรียกว่า REM Sleep หรือ Rapid eye movement sleep ซึ่งในผู้ใหญ่ REM เกิดขึ้นประมาณ 90-120 นาทีในแต่ละคืน และ REM เกิดขึ้นช่วงละ 20-30 นาที

    ความฝัน ไม่ใช่ลางบอกเหตุเสมอไป ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ความฝันเป็นโลกแห่งความเป็นจริงบนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่่นๆ มิติอื่นๆ ชาติภพอื่นๆ ที่ทำให้เราสามารถเลือกและตัดสินใจได้ว่า เราจะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ของเราในโลกยามตื่นชาติภพนี้ มิตินี้ เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนี้ด้วยทางเลือกใด

    ประสบการณ์ในความฝันอาจแสดงให้เราเห็นทางเลือกมากมาย หากเราเลือกมัน มันก็จะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตยามตื่น และเราก็เรียกมันว่า เป็นลางบอกเหตุหรือเป็นการรู้การณ์ล่วงหน้า แต่เราก็สามารถเลือกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความฝันได้เสมอ หากจิตวิญญาณของเราปรารถนาที่จะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์ด้วยการเผชิญกับความท้าทายที่แตกต่างไปจากที่รู้เห็นในความฝัน กล่าวคิือ เราฝันเห็นเหตุการณ์หนึ่งๆในความฝัน ซึ่งเหนี่ยวนำให้เราเลือกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความฝัน เหตุการณ์นั้นๆก็ย่อมไม่มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงยามตื่น

    ไม่ว่าเราจะเรียกสิ่งที่เราพบเห็นในความฝันว่า เป็นลางบอกเหตุ เป็นการรู้การณ์ล่วงหน้า หรือเป็นความท้าทายในทิศทางที่เราตระหนักว่า เราจะไม่เลือกหรือเหนี่ยวนำให้มาสู่โลกแห่งความเป็นจริงยามตื่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏในความฝัน ก็กำลังเป็นไป ในมิติหนึ่ง ชาติภพหนึ่ง เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นหนึ่งๆ อยู่ ณ ปัจจุบันนี้ กล่าวได้ว่า ทุกเหตุการณ์และบุคคลตัวตนในความฝัน กำลังมีชีวิตอยู่-เป็นอยู่-ดำเนินไป บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นอื่นๆ ซึ่งเราสามารถเหนี่ยวนำมาสู่เส้นทางแห่งความเป็นจริงของเราได้เสมอ-ด้วยการจดจ่อ ไม่ว่ามันจะเป็นเหตุการณ์ที่เราเรียกว่า ฝันร้ายหรือฝันดี ก็ตาม

    แต่เหตุการณ์และบุคคลตัวตนทั้งหลายที่ปรากฏในความฝัน ไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นไปจริง อย่างตรงไปตรงมาเสมอไป หลายสิ่งหลายอย่างปรากฏเป็นสัญญลักษณ์ทดแทนความเป็นจริงอีกทีหนึ่ง เราจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความฝันได้ว่า มันเป็นเพียงสัญญลักษณ์หรือเป็นความเป็นจริง ด้วยการสำรวจตรวจสอบความรู้สึกของเราที่เกิดขึ้นในขณะที่เผชิญกับเหตุการณ์ในความฝันนั้นๆ

    คุณ จีนทาร่อน ต้องถามตนเองว่า ตนเองรู้สึกอย่างไรในขณะที่เผชิญกับเหตุการณ์ในความฝันที่ตนเองตัดศีรษะใครผู้นั้น หากจดจำความรู้สึกของตนเองได้ จะตระหนักได้ว่า การตัดศีรษะใครในความฝันเป็นสัญญลักษณ์ทดแทนสิ่งใด ไม่มีผู้ใดตีความหมายความฝันได้แม่นยำเท่าผู้ที่ฝันเอง เพราะเราแต่ละคนจะมีชุดสัญญลักษณ์เฉพาะตน บางคนมีความรู้สึกต่อแมลงมุมว่า เป็นสัญญลักษณ์ของการสร้างสรรค์เพราะแมลงมุมชักใยได้อย่างน่าอัศจรรย์ บางคนมีความรู้สึกต่อแมลงมุมว่า เป็นสัญญลักษณ์ของอันตรายเพราะแมลงมุมมีพิษ กัดต่อย อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เป็นต้น ดังนั้นความฝันของบุคคลสองคน แม้จะฝันถึงแมลงมุมเหมือนกัน แต่ก็มีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง

    ความหมายที่แท้จริงของสัญญลักษณ์ในความฝัน อยู่ที่ ความรู้สึก

    นอกจากนี้ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า ชีวิตและความตายปราศจากรอยต่อ
    เราทั้งหลายรู้เห็นชีวิตหลากชาติภพ รู้เห็นการดำเนินชีวิต ความตาย ชีวิตหลังความตาย

    การรู้เห็นความตายหรือสภาพแวดล้อมในงานศพของคนรัก คนใกล้ตัว ในความฝัน อาจเป็นเหตุการณ์ที่เราเรียกว่า ลางบอกเหตุ หรือรู้การณ์ล่วงหน้า แต่ในนัยของท่านอาจารย์อนาลัย กล่าวได้ว่า ความฝันแสดงให้เห็นถึงมิติหนึ่ง ชาติภพหนึ่ง เส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นหนึ่ง ที่คนรัก คนใกล้ตัวผู้นั้น ไม่ได้ดำเนินชีวิตต่อไปร่วมกันกับคุณ tuzki และในที่สุดเส้นทางแห่งความเป็นไปได้เส้นนั้น ก็มาสู่ความเป็นจริง บนเส้นทางแห่งกาลเวลาที่เรารู้จัก

    เราไม่เพียงแต่รู้เห็นเส้นทางแห่งความเป็นไปได้มากมายหลายเส้นทางในความฝัน ที่วิถีชีวิตของเราแตกต่างไปจากวิถีชีวิตปัจจุบันเป็นอันมาก แต่มันก็เป็นไปในทิศทางที่เราเคยคิด เคยจินตนาการ ไม่มากก็น้อย และนอกจากเราจะรู้เห็นความตายของคนรัก คนใกล้ตัวแล้ว เรายังรู้เห็นความตายของตนเอง รู้เห็นชีวิตหลังความตาย และชีวิตก่อนมาถือกำเนิด ในความฝัน หากเราบันทึกและจดความฝันยาวนานหลายปี เราจะพบว่า คำกล่าวของท่านอาจารย์อนาลัยที่ว่า

    ชีวิตและความตายปราศจากรอยต่อ

    เป็นธรรมชาติความเป็นจริงที่เราเผชิญ รู้เห็น และประสพได้เสมอๆในความฝัน


    ไม่ว่าเรา-ท่านทั้งหลาย จะเคยรู้เห็นความตาย หรือการตายของคนรักคนใกล้ตัวมามากมายเพียงใด สิ่งหนึ่งที่พี่นักเขียนขอให้เราพิจารณา เพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงของข้อมูลความรู้จากท่านอาจารย์อนาลัยคือ ผู้ตายไม่เคยรู้เห็นความตายของตนเอง เพราะชีวิตและความตายปราศจากรอยต่อ เราจึงสัมผัสคนรักคนใกล้ตัวที่จากไปได้เสมอๆ เสมือนว่า เขายังคงดำเนินชีวิตต่อไป เพราะจิตวิญญาณของเราตระหนักดีในธรรมชาติความเป็นจริงที่ว่า จิตวิญญาณเป็นอมตะ ไม่มีวันตาย และจะดำเนินต่อไป


    ความตายไม่ใช่จุดจบและการสูญสิ้น จิตวิญญาณของเรา-ท่านทั้งหลาย ไม่เคยเผชิญกับจุดจบ กาลเวลาเดียวที่เรามี เรารู้ เราเห็น สัมผัสได้และใช้พลังอำนาจของจิตวิญญาณได้อย่างเป็นธรรมชาติเสมอ คือ ปัจจุบัน ท่านอาจารย์อนาลัยจึงกล่าวย้ำเสมอๆถึง อำนาจแห่งปัจจุบัน เพราะเป็นกาลเวลาเดียว ที่เราสามารถเลือกที่จะพลิกผันชีวิต พัฒนาตนเอง และจิตวิญญาณได้

    ข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในหนังสือชุดนี้ อาจดูเสมือนว่า เป็นข้อมูลที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัจจุบัน เพราะมันเกี่ยวพันกับความตาย ชีวิตหลังความตาย ชีวิตนอกเหนือชาติภพ ความฝันที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียกว่าความจริง ตลอดจนประวัติศาสตร์ก่อนการมาถือกำเนิดในชาติภพนี้ ซึ่งไม่น่าจะใกล้ตัวเราพอที่จะนำมาใช้การได้ แต่แท้จริงแล้ว ข้อมูลความรู้ที่ปรากฏในหนังสือทั้งหมด คือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง สัมพันธ์ เป็นต้นกำเนิด เป็นเหตุ เป็นผลลัพธ์ และเป็นปัจจัยก่อเกิด ชีิวิตในปัจจุบันของเรา ณ วินาทีนี้ - ทั้งหมด(rose)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 เมษายน 2008
  17. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    ตอนนี้ยังไม่ได้รับค่ะสงสัยจะได้รับอาทิตย์หน้า พอดีช่วงนี้ก็กำลังอ่านอมตะแห่งจิตวิญญาณอยู่เหมือนกันค่ะหยิบไปที่บ้านเล่มนึงนึกว่าจะได้อ่านจนจบปรากฏว่าไปเจอหลานชายตัวแสบ 2 คน เลยไม่มีเวลาอ่านเลยค่ะ เอาเป็นว่าถ้าพี่จินต์ส่งมาให้ขออ่านให้จบก่อนนะคะแล้วจะให้น้องจีนยื้ม เพราะตอนนี้อ่านของคุณประสงค์อยู่ ต้องเปิดอ่านแบบแง้ม ๆ น่ะค่ะกลัวว่าหนังสือเค้าจะยับเยินต้องทะนุถนอมหน่อยค่ะเกรงใจมาก ๆ เลย

    ตอนนี้หนังสือชุดของท่านอาจารย์อนาลัยที่มีอยู่ในมือก็กำลังกระจัดกระจายไปอยู่ในมือของเพื่อน ๆ กันอยู่หลายเล่มค่ะ แบ่ง ๆ กันอ่าน ก็รู้สึกอยากได้เก็บไว้อีกชุดนึงเหมือนกันค่ะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีวางขายอีกก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าขอตั้งจิตให้หนังสือของท่านอาจารย์ได้วางขายเร็ว ๆ ร่วมกันดีกว่านะคะ จะได้มีไว้เป็นของตัวเองไว ๆ ตามกฏเกณฑ์ที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้ อิอิ..

    เธอปรารถนาสิ่งใดได้สิ่งนั้น ไม่มีกฏเกณฑ์อื่น

    (good) (good) (good)
     
  18. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    กำลังงง ๆ อยู่กับความฝันที่ผ่านมาหลายวันก่อนว่าจะเป็นไปได้ยังงัย ก็พอดีพี่นักเขียนเข้ามา post เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในเส้นทางอื่น ก็ขอขอบคุณพี่นักเขียนมาก ๆ เลยค่ะที่ช่วยขยายความ

    ฝันว่าเห็นผู้ชายคนนึงผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ ทำหน้าตาเหมือนทำอะไรก็ไม่ประสบความสำเร็จเหมือนคนที่กำลังมืดแปดด้าน แถมยังเอาศรีษะโขกกับต้นไม้ไม่รู้ว่าจะทำยังงัยกับชีวิตดี ก็มีผู้ชายอีกคนนึงแต่งตัวดูภูมิฐาน จิตใจสงบมั่นคง เดินเข้าไปหาแล้วกระซิบบอกว่าส่งออกสิ ส่งออกสิ ชายคนที่หนึ่งก็ทำหน้าเอ๋อ ๆ งง ๆ ไม่เข้าใจและคิดว่าจะเป็นไปได้เหรอ ชายคนที่สองก็ตะโกนย้ำว่าส่งออกสิ ส่งออกสิ..

    แล้วก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาแต่ความรู้สึกของเรากลับเป็นเหมือนกับชายคนที่หนึ่งที่ทำหน้างง ๆ เอ๋อ ๆ แล้วก็เข้าใจว่าตัวตนอันเป็นไปได้ในอนาคตมาบอกให้ทำเช่นนั้น แล้วก็คิดต่อไปว่าจะเป็นไปได้ยังงัยในเมื่อเงินทุนก็ไม่มี ความรู้ด้านการส่งออกก็ศึกษามานิด ๆ หน่อย ๆ ประสบการณ์รึก็ไม่เคยทำงานด้านนี้ ภาษาอังกฤษรึก็แบบ snake snake fish fish ( อิอิ เลียนแบบไทย ๆ ค่ะ ) เลยมึนไปเลยค่ะ ( เล่าให้ฟังแบบอาย ๆ แฮ่ แฮ่ ) ห้ามหัวเราะกันนะจ๊ะ..
    (tm-love) (tm-love) (tm-love)
     
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    เพราะความที่ตอนเด็ก ๆ ชอบอ่านการ์ตูนโดเรม่อน พอดีเจอพอร์ตเรื่องตอนจบของผู้แต่ง มี 2 แบบด้วยแหล่ะ เห็นใกล้เคียงกับการเรียนของเราเลยเอามาฝากค่ะน่ารักดีค่ะ..

    แบบที่ 1

    โนบิตะกลับมาจากโรงเรียน และวิ่งขึ้นชั้น 2 ไปที่ห้องของเขา

    โดเรมอนกำลังนอนอยู่ในห้อง ...ซึ่งก็เป็นเหมือนปกติทุก ๆ วัน

    "เฮ้!! โดเรมอนตื่นเถอะแล้วไปเล่นด้วยกัน" โนบิตะชวน
    แต่โดเรมอนก็ยังไม่ตื่น

    โนบิตะคิดว่า โดเรมอนคงจะเหนื่อย ปล่อยให้นอนต่อไปดีกว่า

    ดังนั้นเขาจึงวิ่งออกไปเล่นข้างนอนกับชิซูกะและเพื่อนคนอื่นๆ

    2-3 ชั่วโมงต่อมา เมื่อโนบิตะกลับถึงบ้าน

    เขาพบว่าโดเรมอนยังนอนอยู่นิ่งที่เดิม

    โนบิตะเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่แปลกไป
    "ปกติโดเรมอนไม่นอนนานอย่างนี้นี่นา "

    เขาพยายามจะปลุกโดเรมอน แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ

    โนบิตะเริ่มรู้สึกกลัวและพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะปลุกโดเรมอน

    แต่ไม่ว่าโนบิตะจะพยายามแค่ไหน ก็ทำให้โดเรมอนตื่นขึ้นมาไม่ได้

    ถึงตอนนี้โนบิตะรู้ชัดเจนแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ
    โดเรมอนไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน..

    โนบิตะเริ่มร้องไห้

    แต่แม้จะร้องไห้หรือตะโกนเรียกอย่างไร..

    เจ้าหุ่นยนต์แมวตัวอ้วนก็ไม่เคลื่อนไหว

    แล้วโนบิตะก็เกิดความคิดขึ้นมา!!

    เขากระโดดลงไปในลิ้นชักโต๊ะ.. ใช่แล้ว! ไทม์แมชชีนนั่นเอง
    โนบิตะใช้ ไทม์แมชชีนไปในอนาคต ไปหา โดเรมี น้องสาวของโดเรมอน

    โนบิตะไปขอความช่วยเหลือจากโดเรมี และพาเธอกลับมากับเขา
    กลับมาในปี 1998

    หลังจากนั่ง ไทม์แมชชีน กลับมายัง ปี 1998

    โดเรมีก็เริ่มตรวจระบบต่างๆ เพื่อดูว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับพี่ชายของเธอ

    หลังจากนั้นไม่นาน โดเรมีก็บอกว่า..
    "แบตเตอรี่ของโดเรมอนหมด"

    โนบิตะได้ยินดังนั้นก็โล่งใจ และบอกกับโดเรมีว่า

    "แบตเตอรี่หรือ?? โดเรมอนไม่ได้เสียหายอย่างอื่นใช่ไหม
    งั้นจะรีรออะไรอยู่ล่ะ รีบเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ให้เขา

    และทำให้โดเรมอนตื่นกลับมาเหมือนเดิมทีสิ"

    แต่ ..โดเรมีส่ายหน้าและพูดขึ้นว่า
    "โนบิตะซัง ฉันควรทำอย่างนั้นเหรอ??"

    "อะ... อะไรนะ โดเรมี เธอหมายความว่ายังไง"
    โดเรมีตอบว่า..

    "ก็ แบตเตอรี่หลักของ โดเรมอนอยู่ตรงนี้ ใกล้กับกระเป๋าหน้าของเขา และไฟมันหมดแล้ว

    ซึ่งแต่เดิมโดเรมอนจะมีแบตเตอรี่สำรองอยู่ที่หู

    แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ กันล่ะว่า หูของโดเรมอนถูกหนูแทะกินไปเมื่อหลายปีมาแล้ว

    ดังนั้นตอนนี้โดเรมอนก็เลยไม่มีแบตเตอรี่สำรอง"

    "แล้วมันหมายความว่ายังไงล่ะ" โนบิตะสงสัย

    "ก็หมายความว่า ถ้าฉันเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้โดเรมอน
    ความทรงจำทุกอย่างของโดเรมอนก็จะหายไปจากส่วนของหน่วยความจำนะสิ"

    "อะไรนะ "

    "แล้วเธฮยังจะให้ฉันเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้อย่างนั้นหรือ"

    โนบิตะหลับตาแล้วร้องไห้....
    แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หยุดร้อง และบอกโดเรมีจัง

    ว่า..

    "โดเรมี ขอบคุณนะที่อุตส่าห์มา ฉันจะดูแลโดเรมอนเอง เธอกลับไปอนาคตเถอะ"

    โดเรมีจังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อช่วยโนบิตะดี
    เธอเข้าไปกอดโนบิตะเพื่อปลอบใจ และก็กลับไปอนาคต

    หลังจากโดเรมีกลับไป โนบิตะอุ้มโดเรมอนไปนอนในตู้ของโดเรมอนตามเดิม

    วัน-เวลาผ่านไป...........
    ปี ค.ศ.2010 โนบิตะโตขึ้น

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็เปลี่ยนไป เขาทุ่มเทเรียนอย่างหนัก ไม่มีการร้องไห้อีกต่อไป

    และเขาก็มีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีโดเรมอน
    เขาบอกชิซูกะและทุก ๆ คนว่า โดเรมอนได้กลับไปสู่อนาคตของเขาแล้ว
    และจะไม่สามารถได้พบกับโดเรมอนได้อีกต่อไป

    ชิซูกะรู้สึกประทับใจในท่าทางที่เปลี่ยนไปอย่างเหลือเชื่อ

    ของโนบิตะ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง

    พวกเขาตกหลุมรักซึ่งกันและกัน และในที่สุดก็ได้แต่งงานกัน...

    โนบิตะเติบโตเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาได้สร้างห้องของเขาให้กลายเป็นห้องทดลอง

    และทุ่มเทศึกษาอย่างหนักในงานของเขาตลอดทั้งวัน
    เขาได้บอกชิซูกะว่าไม่ให้เข้ามาในห้องทดลองของเขา

    เพราะมีสิ่งที่เป็นอันตรายอยู่มากมาย

    แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับเรียกชิซูกะให้เข้าไปในห้องของเขา
    ห้องทดลองซึ่งเขาเคยบอกว่าเต็มไปด้วยอันตราย

    นั่นเป็นครั้งแรกที่ชิซูกะได้เข้าไปในห้องของสามีเธอ

    และเมื่อชิซูกะเข้าไป เธอถึงกับตกใจจนพูดไม่ออก....
    เพราะสิ่งที่เธอเห็น- -เพื่อนเก่าของเธอ.. ผู้ที่เธอเคยเล่นด้วยในวันเด็ก
    "โดเรมอน"

    โดเรมอนไม่ได้เคลื่อนไหว ดูเหมือนว่าเขากำลังหลับ

    "ดูนะชิซูกะ ฉันจะเสียบปลั๊กเดี๋ยวนี้แหละ.."

    โนบิตะเปิดสวิตช์หลักของโดเรมอน
    โดเรมอน ลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว.....

    นั่นเป็นช่วงเวลาสำหรับคำถามที่ทุกคนอยากรู้ว่า "ผู้ประดิษฐ์โดเรมอน... คือใคร"

    มีคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า คนนั้นคือ โนบิตะ นั่นเอง....

    ที่โนบิตะเรียนอย่างหนัก และทุ่มเท ก็เพื่อที่จะได้พบ ได้คุยกับเพื่อนเก่าของเขาอีกครั้งหนึ่ง

    จนถึงขณะนี้.. โนบิตะก็กลายเป็นผู้ที่สร้างโดเรมอนขึ้นมา
    เขาได้ค้นพบโครงสร้าง สถาปัตยกรรม และโปรแกรมทั้งหมดที่เป็นแบบฉบับของโดเรมอน

    โนบิตะและชิซูกะ ร้องไห้เบา ๆ ด้วยความยินดี....
    ขณะที่โดเรมอนลืมตาขึ้นมา... มองไปรอบ ๆ และในที่สุดก็พูดขึ้นว่า

    "โนบิตะ นายทำการบ้านเสร็จรึยัง?"

    เมฆสีขาวบริสุทธิ์ยังคงลอยล่องอยู่บนท้องฟ้าเหมือนดังวันก่อน

    วันเวลาที่พวกเขาได้ร่วมใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน................................

    ..................................................

    แบบที่ 2

    วันหนึ่ง ฉากในโรงพยาบาล โนบิตะตื่นขึ้นมา และเจอพ่อกับแม่ และเพื่อนๆ ครบทุกคนยืนอยู่รอบเตียง แล้วโนบิตะก็ถามถึงโดเรมอน ทุกคนกลับปฎิเสธว่า ไม่รู้จักและบอกโนบิตะว่า โนบิตะหลับมานานเป็นปีแล้วเนื่องจากไม่สบาย และโนบิตะก็นึกย้อนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับโดเรมอน ทั้งการผจญภัยต่างๆ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงความฝันเท่านั้นโดเรมอน เซวาสึ โดเรมี ล้วนเป็น ความฝันของเขาทั้งสิ้น โนบิตะเป็นเด็กที่ไม่แข็งแรง และไม่มีเพื่อนรักที่จะอยู่ด้วย เขาต้องนอนโรงพยาบาลตลอดเวลา และเขาก็หลับไป

    ฉากต่อมา เริ่มที่ พ่อแม่และเพื่อนๆ ของโนบิตะร้องไห้กันอยู่ในงานศพของ โนบิตะ..เขาจากไปก่อนวัยอันควร..และเรื่องราวทุกอย่างก็จบลง ที่โนบิตะฝันถึงโดเรมอน และอนาคตนั้นเป็นเพราะเขารู้ดีว่า เขาจะต้องตายในอีกไม่นาน เขาจึงอยากที่จะมีอนาคตมีเพื่อนรัก มีการผจญภัยสนุกสนาน แต่ฝันของเขาก็ไม่มีวันเป็นจริง... ตลอดไป......

    (smile) (smile) (smile)
     
  20. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    จากหน้า 274 บทที่ 11 ชาติภพกับเพศ อมตะแห่งจิตวิญญาณ ( ภาคปลาย )

    การสร้างสรรค์ทางกายภาพอันเกี่ยวกับเพศเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป หลังจากชาติภพสุดท้าย ในชาติภพสุดท้ายบุคคลิกภาพหรือบุคคลตัวตนจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแตกแขนงทางกายภาพอีกต่อไป

    หลังชาติภพสุดท้าย - คุณลักษณะของเพศใดเพศหนึ่งจะเด่นชัดไปกว่ากันเหมือนการมีชีวิตอยู่ - เป็นอยู่ - ดำเนินไปในชาติภพปัจจุบันนี้ไม่ได้ ตัวตนรวมซึ่งประกอบด้วยคุณลักษณะของเพศชายและเพศหญิงจะหลอมรวมกันจนกระทั่งเอกลักษณ์ที่แท้จริงปรากฏขึ้น การแบ่งแยกเกิดขึ้นในมิติของเธอด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งเกี่ยวพันกับทิศทางจำเพาะที่มนุษย์เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงและใช้ความสามารถ ฉันจะกล่าวถึงสาระเหล่านี้ต่อไปในบทหลัง

    ............................................

    ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ได้สัมผัสกับผู้ปกครองสองครอบครัว ครอบครัวนึงกลุ้มใจที่ลูกสาวมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนเป็นชาย ส่วนอีกครอบครัวนึงมีลูกชายแต่พฤติกรรมเบี่ยงเบนเป็นผู้หญิงไม่รู้ว่าจะทำยังงัยดี ในแง่มุมของจิตวิญญาณแล้วพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นจากเหตุผลอะไร แล้วมีวิธีใดบ้างที่จะสามารถทำให้พวกเค้ากลับมาสู่สภาวะความเป็นจริงทางกายภาพ และตามที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ข้างต้นนั้นหมายความว่าในบุคคลคนหนึ่งจะมีบุคคลิกทั้งสองเพศรวมอยู่ในคน ๆ เดียวกันอย่างนั้นใช่รึปล่าวคะพี่นักเขียน? :(
     

แชร์หน้านี้

Loading...