เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวไว้ว่า ประสบการณ์ชีวิต สภาพแวดล้อม ตลอดจนสุขภาพร่างกายของเราทั้งหลาย ล้วนเป็นภาพสะท้อนภาวะจิตของเรา ดังนั้นการที่นักฟุตบอล ผู้มีรูปร่างหน้าตาคล้าย คุณรักไร้พ่าย จะมีประสบการณ์ชีวิตคล้ายคลึงคุณรักไร้พ่ายไปด้วย จึงเป็นเหตุเป็นผลที่เป็นไปตามธรรมชาติความเป็นจริงที่ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวถึงโดยแท้ คือ บุคคลผู้นั้นมีภาวะจิตคล้ายคลึงคุณรักไร้พ่าย รูปร่างหน้าตา และประสบการณ์ชีวิตจึงคล้ายคลึงกัน เพราะภาวะจิต หรือภาวะของจิตวิญญาณเป็นต้นกำเนิดของวัตถุธาตุ ประสบการณ์ ร่างกายตัวตนและสุขภาพ

แม้ภาวะของจิตวิญญาณที่คล้ายคลึงกันจะก่อเกิด รูปร่างหน้าตา และประสบการณ์ชีวิตที่คล้ายคลึงกัน แต่วันเดือน ปี เกิด เหมือนกัน - ก็ไม่ได้เป็นตัวกำหนดภาวะของจิตวิญญาณ เพราะจิตวิญญาณอยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ของช่องว่าง-ระยะทางและกาลเวลา แต่การมีวันเดือน ปี เกิด เหมือนกันย่อมเป็น "ความบังเอิญที่ไม่บังเอิญ" หรือกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความหมายเป็นพิเศษสำหรับคุณรักไร้พ่าย เพราะวันเดือน ปี เกิด เหมือนกันทำให้คุณรักไร้พ่ายศึกษาชีวิตของนักฟุตบอลคนนี้ และทำให้เกิดความใฝ่รู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณ

จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ เป็นจิตวิญญาณรวมที่เลือกมาถือกำเนิดเป็นร่างกายเนื้อหนังต่างรูปกาย ต่างร่าง ต่างบุคคลตัวตน แต่ก็มีการรับและการให้กันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม เพื่อเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีิวิตในทิศทางจำเพาะคนละมุมมอง คนละจุดยืน ต่างก็มาถือกำเนิดเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้คนละจุดยืน คนละมุมมอง

จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ในปัจจุบันชาติ เป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ใน มิติเดียวกัน บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ร่วมกัน รู้เห็นกันทางตรง หรือทางอ้อม เช่น ยามตื่น หรือยามฝัน มีการถ่ายทอดข้อมูลความรู้และประสบการณ์ทั้งยามตื่นและยามฝัน หากคุณรักไร้พ่ายได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างจากนักฟุดบอลผู้นี้ เขาย่อมเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของคุณรักไร้พ่าย

ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวว่า
จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ของเธออาจเป็นบุคคลใกล้ตัวที่เธอรักหรือเกลียดที่สุด ต่างคนต่างก็เผชิญกับชีวิตที่ท้าทายในรูปแบบที่แตกต่างกันหรือมีถิ่นฐานอยู่คนละซีกโลกกับเธอ ต่างเชื้อชาติ ต่างเพศ ต่างวัย ต่างวัฒนธรรม ต่างศาสนาหรือต่างคุณภาพชีวิต ซึ่งเป็นการยากที่เธอจะติดต่อสื่อสารหรือรู้จักเป็นการส่วนตัวได้ แต่ก็มีการรับและการให้เกิดขึ้นระหว่างกันทั้งทางตรงและทางอ้อมเสมอ (p. 74)

จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์เป็นความสัมพันธ์ทางจิตวิญญาณสองทาง หากเธอเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์กันกับครูของเธอและกับเพื่อนร่วมงาน ก็ไม่ได้หมายความว่าครูและเพื่อนร่วมงานจะเป็นจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์กันด้วย เช่นเดียวกันกับการที่เธอมีความสัมพันธ์เป็นลูกของพ่อแม่และเป็นสามีหรือภรรยาของคู่ชีวิต แต่คู่ของเธอก็ไม่ได้เป็นลูกของพ่อแม่ของเธอ

เมื่อเธอเข้าใจขอบเขตที่ไร้ขอบเขตของจิตวิญญาณ เธอจะรู้ว่า มนุษย์ทั้งหลายมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากกว่าที่เธอเข้าใจ และความสัมพันธ์เหล่านี้ก็ปราศจากขอบเขตทางกายภาพ มนุษย์โลกมีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเป็นระบบเครือข่าย และมีความสัมพันธ์ซึ่งส่งผลกระทบต่อสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกทั้งหมด (p. 86)(rose)(rose)(rose)

โนวา อนาลัย ขยายความ ธรรมชาติของชาติภพ บทที่ 6 จิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ ในปัจจุบันชาติ
http://www.novaanalai.com/Book_1/BK1_chap6_p74.html

 

พี่นักเขียนยังตั้งตาคอยฟัง Eternal Flame ของน้องนกอยู่นะคะ(kiss)

 

แถว Kansas ไม่มีหินทรายหรอกค่ะคุณ Mead ที่เห็นนี้เป็น Lime Stone หรือหินปูน แข็งกว่าหินทรายมากค่ะ ใช้ในงานกันดินเวลาเขาตัดถนนตามไหล่เขา สนามหลังบ้านพี่นักเขียนเป็นเนินเขาขึ้นไป เลยต้องมีกำแพงหินเพื่อกันดินเป็นขั้นอย่างที่เห็นนี้

เพื่อนบ้านที่อยู่บนเนินเขานี้ มีสวนติดกับสวนหลังบ้านของพี่นักเขียน เป็นคุณตาคุณยายอายุ 90 กับ 89 ตามลำดับ ซึ่งยังแข็งแรงและขยันทำสวนกันทุกปี คุณตายังขับรถตัดหญ้าด้วยตนเอง คุณยายยังขุดดินปลูกผักผลไม้ด้วยตนเอง แกปลูกผัก และมีผลไม้มากมายหลายสิบต้น มีทั้ง Apple, Peach, Apricot, Pear และผักนานาชนิด แกมักชวนพี่นักเขียนกับสามีเข้าไปเก็บผักผลไม้ในสวนของแก พี่นักเขียนเคยบอกกับคุณตาคุณยายคู่นี้ว่า สวนของแกเหมือน Garden of Eden แกหัวเราะแล้วบอกว่า "Yes. This is OUR Garden of Eden, except THEY simply don't know we ARE Adam and Eve!" ว่าแล้วก็ชี้ให้พี่นักเขียนดูเจ้ากระต่ายคู่หนึ่งที่กำลังแทะผักและผลไม้ของแกกระจุยกระจาย แถมหันมามองอีกราวกับจะถามว่า "What are you looking at?"(rose)

 

ขอบคุณมากค่ะ กระจ่างสักที สงสัยมานานค่ะ ^^

 

ที่ไทยนี่ไม่ค่อยมีคนใช้ paypal หรือบัตรเครดิตซื้อของออนไลน์กันเท่าไหร่หรอกครับ ส่วนมากจะใช้วิธีโอนเงินเข้าบัญชี แล้วก็แฟกซ์สลิปหรือถ่ายรูปสลิปแล้วส่งไปทางอีเมล์ เพื่อไปยืนยันการโอนเงินกับคนขายซะมากกว่า

แต่คนที่ใช้ paypal ก็มีอยู่บ้างเหมือนกันนะที่นี่

แต่ครั้นถ้าจะให้คนทางนี้โอนเงินไปหาพี่นักเขียนแทนบริจาคผ่าน paypal คาดว่าคงเสียค่าโอนเยอะแน่เลยเพราะเป็นการโอนข้ามประเทศ

ส่วนของการบริจาคพี่นักเขียนเขียนไว้ตรงไหนเหรอครับ ลองเข้าไปดูที่เวปแล้วหาไม่เจอลองทำให้เจอง่ายๆ ดูแล้วลองดูไปอีกซักพัก

 

just think

ช่วงนี้พี่นักเขียนมีเวลามาแบ่งปันกับพวกเรามากขึ้น
สงสัยจะเป็นไปตามความฝันของคุณจินตวดีแน่เลย

เรื่องหนังสือของพี่นักเขียน
เคยคิดเล่นๆ เหมือนกันนะครับว่า ถ้าหากพี่นักเขียนเอาเนื้อหาหลักของแต่ละเล่ม
มาเขียนรวมกันเป็นหนึ่งเล่ม ซึ่งอาจจะเล่มใหญ่เกือบ 500 หน้า
จะเป็นอย่างไร น่าจะเป็นอะไรที่กระชับ และซื้อง่าย ขายคล่อง
หรือคนอื่นว่าอย่างไรครับ

 

my dream

ที่จริงแล้ว การมีผลงานพิมพ์หนังสือสักเล่มหนึ่งเป็นของตัวเองคือความฝัน (ขณะตื่น) ที่มีมาตลอด
แต่ก็ยังหาแรงบันดาลใจ หรือเหตุการณ์สำคัญอะไร
ที่จะนำมาเขียนเป็นหนังสือให้น่าสนใจได้
พูดง่ายๆ ก็คือยังไม่รู้สึกว่าตัวเองมี "กึ๋น" อะไรพอที่จะเขียนหนังสือได้
เคยนึกชื่อเรื่องหนังสือเล่นๆ ในใจอยู่เรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้สะดุดใจกับชื่อไหน
เมื่อเช้าตอนอยู่ในห้องน้ำ กลับมีชื่อหนังสือปรากฎขึ้นมาในหัว
"เขตปลอดศาสนา" โอ้ น่ากลัวว่าถ้าหนังสือเล่มนี้พิมพ์ออกไป
คงได้เป็นหนังสือต้องห้ามแน่ๆ เลย

 

​

ขอบคุณครับงานศิลปะนี่ทำให้เราเพลิดเพลินได้ไม่รู้จักเบื่อนะครับ ลูกหมีดินปั้นสองตัวนั่นน่าเอ็นดูมากครับ มีอารมณ์-ความรู้สึกของพี่นักเขียนอยู่ในนั้นด้วย จะรอชื่นชมผลงานปั้นของพี่นักเขียนนะครับ อาจจะเห็นลูกหมีใส่เสื้อ ใส่หมวก
นอนหลับฝันอยู่บนเตียง มีกระต่ายน่ารักสองตัวเดินเล่นอยู่ในสวนเอเดน (อิอิ) อยากเห็นครับ

จริงๆแล้วงานศิลปะหลายชิ้นมีความเรียบง่ายแต่งดงามไปด้วยความรู้สึก..ส่วนงานที่ซับซ้อนก็ให้รายละเอียดที่น่าทึ่งไปอีกแนว คิดว่างานศิลปะที่ดีจึงไม่จำกัดที่รูปแบบ แต่เน้นไปที่การสะท้อนชิวิต ความเข้าใจอันลุ่มลึก และอารมณ์ของศิลปินออกมาอย่างชัดเจนมากกว่า ยิ่งแตกต่างและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็จะโดดเด่นยิ่งขึ้น ถ้าหากลงตัว รองรับกับแนวคิดของคนในยุคนั้น หรือส่งผลถึงอนาคตก็ยิ่งไปไกลครับ..

On-line University แห่งนี้ก็เป็นผลงานศิลปะที่น่าทึ่งอีกมุมนึงครับ..มีคุณครูน่ารักและมีนักเรียนมากหน้าหลายตาหิ้วกระเป๋ามุ่งหน้ามาเรียนกันแต่เช้าจนมืด (มีเรียนภาคค่ำด้วย) เราอยู่ในโลก cyber ก็จริง แต่โลกแห่งความเป็นจริงก็มีอีกมากมายไม่รู้จบ..อยู่ที่เราจะสนุกกับการเรียนมากน้อยแค่ไหน?..แต่ทุกวันนี้ก็สนุกเสมอครับ อิอิ.. อีกหน่อยคงมี Project ทำ animation 3d ด้วยกันนะคุณซิปฯ ฝึกเอาไว้คงได้ใช่แน่ๆ คุณรักไร่พ่าย คุณ VeggieGuy ก็คงชอบ creative หรือการสร้างสรรค์ทำเพลงประกอบได้ พร้อมกับเสียงบรรยายเสียงเพลงของน้องนก
ออกมาเป็นผลงานสักชุดนะครับ..ฝันๆๆๆ...

(||)(||)(||)​

​

 

ตอนนี้ไม่ได้หัดทำ 3D เลย มีเรื่องที่อยากทำเยอะแยะเต็มไปหมด ตอนนี้ก็เป็นแค่มาทำนิดหน่อยก็ไปทำอย่างอื่นต่อแล้ว

 

เรื่องมนุษย์ต่างดาวนี่เค้าคงจะเป็นจิตวิญญาณ ( เสมือน ) ร่วมร่างแต่ต่างมิติของเรานะคะคุณ Zip วันก่อนก็ตกอยู่ในวงสนทนาเรื่องที่ว่าดวงอาทิตย์กับดวงดาวอันไหนอยู่ใกล้โลกมากกว่ากัน พออ่านหนังสือเล่มอมตะแห่งจิตวิญญาณ ( ภาคต้น ) แล้วก็ต้องขอยืมคำอุทานของชาวคริสต์มาใช้เลยค่ะว่า พระเจ้าช่วย อิอิ.. ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่าในสภาวะของโลกแห่งความจริงหลากมิติแล้ว ไม่มีสิ่งไหนใกล้หรือไกลกว่ากันหรอก เพราะภาวะจิตนั้นปราศจากช่องว่าง - ระยะทางและกาลเวลา มึนมั้ยคะ?

ส่วนเรื่องเข้าทรงนี่ก็ทำให้นึกถึงความฝันเมื่อเดือนที่แล้วแต่ยังตีความหมายยังไม่ได้สมบูรณ์เลยค่ะ เพราะก็ยังงงอยู่เหมือนกันเลยเอามาแบ่งกันงงบ้างค่ะ.. อิอิ..

ฝันว่าอาจารย์ที่สอนพลังยูเรอัสมาบอกเราประโยคสั้น ๆ ว่า จริง ๆ แล้ว ความรักโดยปราศจากเงื่อนไขก็คือร่างทรง แค่นี้ค่ะแล้วก็จำมาจนถึงวันนี้ด้วยนะคะ พอไปถามอาจารย์อาจารย์ก็บอกว่าเราจะต้องตีความหมายเอง เพราะอาจจะเป็นความฝันที่เกี่ยวข้องกับตัวเองก็ได้ ส่วนความฝันของอาจารย์เองบางครั้งต้องใช้เวลานานมากกว่าจะเข้าใจได้

ทีนี้ขจรวรรณก็เลยมาตีความหมายเองว่า ความรักอันปราศจากเงื่อนไขเปรียบเสมือนความรักของพลังงานต้นกำเนิดของจิตวิญญาณ ถ้าเราเข้าถึงความรักแบบนี้ได้ก็เสมือนว่าตัวเราก็เป็นร่างที่มีคุณสมบัติเหมือนต้นกำเนิดนั้น.. แปลแบบงง ๆ ค่ะ.. [Embarrass

 

ท่านอาจารย์อนาลัยได้กล่าวว่า พลังอำนาจที่แท้จริงที่ทำให้สิ่งต่างๆที่ดูเสมือนจะเป็นสิ่งที่รู้เห็นไม่ได้ หยั่งไม่ถึง แต่หมอดู หรือผู้ทำนายดวงชะตาดูเสมือนจะมีอำนาจรู้เห็นนั้น แท้จริงแล้วคืออำนาจแห่งความเชื่อของตนเอง กล่าวได้ว่า หมอดูแม่น เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่เขารู้เห็น-เป็นความจริง ความเชื่อของเราคือปัจจัยหลักที่เหนี่ยวนำประสบการณ์อันเป็นไปได้เหล่านั้น มาสู่เส้นทางที่เราเรียกว่า ความเป็นจริง


ช่วงนี้ที่เมืองไทยมีข่าวดังเรื่องอิทธิพลของโหรท่านหนึ่งพอดี (ถ้าติดตามข่าวจะทราบ) ที่แม่นก็คือเรื่องชี้นำว่าถ้าปฎิวัติจะสำเร็จ (ครั้งที่แล้วทำนายถูกและทำนายต่อไปว่าจะมีอีกครั้งนึง)..และที่ไม่แม่นก็มี (เรื่องนายกคนล่าสุด)..อ่านตรงนี้จากพี่นักเขียนแล้วจะทราบว่าเกิดจากความเชื่อ 100%เต็ม ในข่าวจะบอกว่ายังไม่มีมูลหรือเงื่อนไขที่จะปฎิวัติอีกครั้ง เอาเป็นว่าเราที่อยู่ตรงนี้ก็พอจะทราบแล้วว่าเพราะเหตุใดจึงเกิดเหตุนั้นขึ้นมาจริงๆ เรื่องนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เห็นชัดเลยว่าความเชื่อสามารถเหนี่ยวนำไปในทิศทางต่างๆได้จริง มีทั้งด้านบวก-ด้านลบ อยู่ที่เราเลือกที่จะเชื่อด้วยความรู้สึกจากอดีต หรือว่าความคิดในปัจจุบัน-อนาคตของเราเอง ? บนเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ครับ:-

ยังไงก็ขอให้ รักกันอย่างไร้เงื่อนไข ตามที่คุณขจรวรรณโพสไว้ดีที่สุดครับ

 

นกยังไม่ลืมที่จะร้องEternal Flameให้พี่นักเขียนฟังนะคะ
ตอนนี้เรียนรู้ทักษะการร้องเพลงเบื้องต้นไปบ้างเล็กน้อย เผื่อจะได้ประยุกต์ใช้กับการร้องเพลงให้ดีขึ้น
จะพยายามร้องเพลงไทยให้เข้าถึงอารมณ์อย่างเต็มที่ ถ้าถึงจุดที่ว่าโอเคแล้วจะเริ่มมาร้องเพลงสากลค่ะ
อย่างว่าถ้าร้องเพลงสากลให้ได้อารมณ์ ต้องเข้าใจความหมาย อารมณ์เพลง ถึงจะถ่ายทอดออกมาได้ดี

คิดถึงพี่นักเขียนนะคะ คิดถึงพี่ ๆ เพื่อน ๆ หลาย ๆ คนที่ห่างหายไปจากห้องวิทย์ด้วย ไม่รู้ไปเติมเต็มประสบการณ์อะไรกันบ้าง

 

​

ถ้าให้นกแจมเสียงเพลง ขอทุ่มสุดตัวเลยนะพี่mead อิอิ

 

ท่านอาจารย์อนาลัยกล่าวไว้ว่าในสภาวะของโลกแห่งความจริงหลากมิติแล้ว ไม่มีสิ่งไหนใกล้หรือไกลกว่ากันหรอก เพราะภาวะจิตนั้นปราศจากช่องว่าง - ระยะทางและกาลเวลา มึนมั้ยคะ?

อันนี้ก็มึนๆ ปนเข้าใจนิดๆ นะ เพราะว่าจิตเห็น(รับรู้)พร้อมกันหมดทั้งดวงอาทิตย์และดวงดาวหรือเปล่าเลยบอกว่าไม่มีสิ่งไหนไกลหรือไกลกว่ากัน


ส่วนอันนี้ จริง ๆ แล้ว ความรักโดยปราศจากเงื่อนไขก็คือร่างทรง ถ้าตีความหมายในมุมมอง zip เอง ก็ได้ประมาณอย่างคุณขจรวรรณเหมือนกัน คือถ้าเรารักโดยปราศจากเงื่อนไขได้ จิตเราก็เหมือนเป็นอย่างพลังงานต้นกำเนิดของจิตวิญญาณ ร่างกายก็เหมือนร่างทรงให้จิตนั้นอยู่ แปลอย่างงงๆ เหมือนกัน อิอิ

 

ช่วงนี้หายไปนาน เหมือนกำลังไปทำบททดสอบอยู่ อะไรไม่เคยเจอ ก็ได้เจอได้เห็นเยอะไปหมด บางอย่างเหลือเชื่อไปเลย ความฝันได้จดบันทึกเป็นประจำ จนช่วงหลังเจออะไรแปลก ๆ เยอะ เลยว่าจะหยุดบันทึก ปรากฏว่า พออยากหยุดบันทึกเท่านั้น ตื่นปุ๊บพยายามไม่ระลึกถึงความฝันเมื่อคืน (ธรรมดาต้องระลึกความฝันทุกเช้าเพื่อบันทึกไว้) พอไม่อยากบันทึก แต่กลับจำได้ขึ้นมาเองโดยไม่ต้องไปเสียเวลาระลึก (แถมระลึกได้เกือบทั้งหมด) สรุปพอระลึกได้ทุกครั้งก็เลยต้องบันทึกทุกครั้งไป แปลกเพราะยิ่งสนใจบันทึกจะจำไม่ค่อยได้ ต้องใช้สติมากในการระลึกถึงจะจำได้ พอไม่สนใจ คราวนี้จำได้ตลอดเลย เมื่อคืนตบท้ายความฝัน มีการตามกลับมาห้องเรียนอีก เขาบอกให้ทำรายงานส่ง ทุกคนพิมพ์คอมพิวเตอร์อย่างดี แต่ของจินตวดีมีแค่สมุดจดบันทึกความฝันคู่กายที่จดด้วยลายมือหวัด ๆ เขามีโจทย์ข้อสุดท้ายให้ตอบ เราเลยอยากพิมพ์คอมมั่ง แต่ไม่รู้คำถามเพราะหนีเรียนเข้ามาสาย เลยต้องขอยืมเขาดู มีเพื่อนเอามาให้ดู แต่ครูดึงกลับไป เขาให้หาเอาเอง เออแปลกดี แต่คราวนี้มาตอกย้ำซ้ำเตือนเราถึงคำพูดที่พบอยู่ในฝันประจำ รู้แล้วให้ปล่อยวาง อย่ายึดติด เหมือนการบันทึกความฝัน ยิ่งอยากจำมันก็ทำให้จำยาก กลัวเรายึดติดมันจะดูเป็นอวดอุตริซะ มันเลยต้องมาสอนให้ปล่อยวางไปด้วยในตัว เดี๋ยวตัวเราจะสำคัญตนผิดไป ดูสิตัวตนภายนอกเรายังต้องให้ตัวตนภายในมาคอยสอนซะด้วย ฮ่า ๆๆ

 

ขอบคุณ คุณ zip ที่ให้คำแนะนำค่ะ พี่นักเขียนจะลองทำใหม่ให้เห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม หากคุณ zip หาไม่พบ คงมีคนจำนวนมากที่หาไม่พบเหมือนกัน(rose)

 

ในสภาวะของโลกแห่งความเป็นจริงหลากมิติ ไม่มีสิ่งใดอยู่ใกล้หรือไกลกว่ากัน เพราะจิตวิญญาณสามารถเข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานที่ ทุกกาลเวลาได้พร้อมกันหมดเป็นปัจจุบัน คือ เพี่ยงแค่คิดก็ถึงแล้ว

จิตวิญญาณไม่ได้เพียงแค่ เห็น หรือ รับรู้ ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้า ด้วยสมองทางกายภาพ ซึ่งตาอาจเห็นก่อน กว่าที่สมองจะเข้าใจหรือรับรู้สิ่งที่เห็น แต่จิตวิญญาณ รู้เห็น ตระหนัก หรือ เรียกได้ว่าสวมจิตวิญญาณของทุกสิ่งทุกอย่างที่มันรู้เห็น-สัมผัส-ร่วมรู้สึก และเข้าใจอย่างหมดเปลือก โดยไม่ต้องใช้เวลาเรียนรู้ ใช้เวลาคิด ใช้เวลาทำความเข้าใจ

เมื่อจิตวิญญาณเรียนรู้สิ่งใด มันเรียนรู้จากจิตวิญญาณหน่วยหนึ่งไปสู่จิตวิญญาณอีกหน่วยหนึ่งโดยตรง คือเรียนรู้ข้อมูลความรู้และความทรงจำข้ามชาติภพของจิตวิญญาณหน่วยอื่นผ่านอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดอย่างฉับพลัน ด้วยจุดยืน มุมมองและทัศนคติที่เขาเป็นเรา-เราเป็นเขา

ในที่นี้ต้องเข้าใจด้วยว่า จิตวิญญาณไม่ได้มีหน่วยที่แท้จริง เช่นเดียวกับการที่เราไม่สามารถมองเห็นหน่วยนับของอากาศได้ เมื่ออากาศร้อนรวมตัวกับอากาศเย็น ก็เกิดการถ่ายทอดอุณหภูมิให้แก่กันและกัน เช่นเดียวกับที่จิตวิญญาณถ่ายทอดข้อมูลความรู้ให้แก่กันและกัน โดยปราศจากหน่วยนับ ปราศจากขอบเขตและขีดจำกัด

อาจารย์ลัทธิเต๋าท่านหนึ่ง เคยบอกกับพี่นักเขียนว่า ผู้ที่เป็นร่างทรง คือผู้ที่เลือกที่จะเปิดภาวะจิตของเขาให้เป็นเสมือนศาลาสาธารณะ ใครจะเข้าออกก็ได้โดยปราศจากประตูหน้าต่างที่ลงกลอน แต่เราสามารถเลือกที่จะเป็นบ้านเรือนที่ลงกลอนปิดสนิทได้ทั้งยามตื่น ยามหลับ ยามฝัน ด้วยการกำหนดภาวะจิตของตนเอง

ความฝันของคุณน้องขจรวรรณที่ว่า ความรักโดยปราศจากงื่อนไขก็คือร่างทรง ทำให้พี่นักเขียนเข้าใจจากนัยของอาจารย์ลัทธิเต๋าท่านนี้ว่า ความรักโดยปราศจากงื่อนไข คือการเปิดรับหรือการให้ผู้อื่นพักพิงเสมือนศาลาสาธารณะที่ปราศจากข้อจำกัด ข้อแม้หรือกาลเวลา ใครจะเข้าออก หรือใช้พื้นที่ส่วนใด เมื่อใดก็ได้เสมอ ปราศจากข้อจำกัดของช่องว่าง (มีพื้นที่ว่างเสมอ) ระยะทาง (ใครจะใช้ที่ไหนก็ได้ หรือใครจะมาจากระยะใกล้ไกลก็มาใช้ศาลาได้) กาลเวลา (ใครจะใช้เมื่อไรก็ได้)

แต่ในความเห็นส่วนบุคคลแล้ว พี่นักเขียนเชื่อว่า ความรักอันปราศจากเงื่อนไขที่แท้จริง เป็นความคิดและการกระทำที่เกิดขึ้นจากการเลือก การตัดสินใจ ด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัดเท่านั้น ส่วนการเป็นร่างทรง ไม่จำเป็นว่าจะเป็นการคิดและการกระทำที่เกิดจากการเลือก การตัดสินใจ ด้วยสติสัมปชัญญะอันคมชัดเสมอไป เพราะบุคคลจำนวนไม่น้อยที่เป็นร่างทรง เป็นร่างทรงโดยไม่ได้สมัครใจ แต่กล่าวว่าไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และคิดว่าตนเองถูกเลือก ถูกบังคับ และไม่มีทางหลีกเลี่ยง ซึ่งพี่นักเขียนเข้าใจและเชื่อว่า หากเรามีสติสัมปชัญญะที่คมชัด เราสามารถที่จะสมัครใจเลือกได้ ควบคุมตนเองได้ หลีกเลี่ยงได้เสมอ

คำถามที่ว่าสิ่งใดอยู่ใกล้-ไกลกว่ากันทำให้พี่นักเขียนนึกถึงขำขันที่เขียนล้อเลียนผู้หญิงผม blonde ตาฟ้า ซึ่งเป็นผู้หญิงประเภทที่คนอเมริกันมักล้อเลียนว่า สวยแต่ทึ่ม ซึ่งที่จริงแล้วการล้อเลียนนี้มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งที่ตรงกันข้าม เพราะสาวผมทองตาฟ้าเป็นผู้หญิงประเภทที่เสมือนได้พรของพระเจ้า คือ เกิดมาสวยเหมือนนางฟ้า คนที่ไม่มีผมสีทอง และตาไม่ได้มีสีฟ้า มักหักมุมด้วยการวินิจฉัยในแง่ลบว่า สาวผมทองตาฟัาได้แต่สวย แต่ไม่ฉลาด เข้าทำนองที่ว่า องุ่นเปรี้ยวมะนาวหวาน จึงมีนิทานหรือขำขันมากมายเกี่ยวกับ blonde & blue eyes แต่สาวผมทองตาฟ้าทั้งหลายมักจะฟังเรื่องเล่าเหล่านี้อย่างไม่แยแส เพราะอย่างไรเสีย พวกเขาก็รู้ดีว่า องุ่นหวานมะนาวเปรี้ยว ขำขันมากมายจึงกลายเป็นเรื่องที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อใคร และก็มีออกมาได้เรื่อยๆ

มีเรื่องเล่าว่า สาวผมทองตาฟ้าสองคนคุยกันในยามค่ำคืนริมหาด Malibu, California คนหนึ่งมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแลเห็นพระจันทร์ แล้วถามว่า "Which is closer to us, the moon or Florida?" สาวผมทองตาฟ้าคนที่สอง ตอบสวนทันควัน "Hello? Can you see Florida from here?"

คำว่า Hello? แม้จะเป็นคำใช้ทักทายสวัสดี แต่หากหางเสียงสูงเป็นคำถาม ใช้เป็นคำกล่าวที่คนอเมริกันใช้เสมอๆเวลาก้าวเข้าไปในที่สถานที่ที่ไม่แน่ใจว่ามีใครอยู่หรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านร้าง แทนคำถามเต็มๆว่า "สวัสดี มีใครอยู่หรือเปล่า" เป็นต้น การตอบคำถามด้วยการขึ้นต้นว่า Hello? เป็นการล้อเลียนทางอ้อมว่า "สมองของเธอว่าง(ปราศจากมันสมอง)เหมือนบ้านร้างหรือเปล่า?"

ขำขันเรื่องนี้แม้จะเป็นเรื่องเล่าที่ดูเสมือนไร้สาระ แต่พี่นักเขียนคิดว่า ในภาวะของจิตวิญญาณแล้ว สาวผมทองตาฟ้าคนที่สองที่ดูเสมือนว่าแสดงความทึ่ม โดยที่ไม่รู้ตัวว่าทึ่มไปกว่าคนแรก กลับเป็นคำตอบที่น่าคิดว่า คำว่า ใหญ่หรือเล็ก(ใช้ช่องว่าง พื้นที่ว่าง-มากหรือน้อยกว่ากัน) ใกล้หรือไกล (ใช้ระยะทาง-มากหรือน้อยกว่ากัน) เก่าหรือใหม่ ยาวนานหรือสั้น (ใช้เวลา-มากหรือน้อยกว่ากัน) ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์กำหนดขึ้นจากการวัดด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าทั้งสิ้น

สิ่งที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เราก็ตัดสินว่า มันอยู่ใกล้ เพราะเรามองเห็นได้ หากเรามองเห็นมันไม่ได้ เราก็ตัดสินว่ามันอยู่ไกล แต่การตัดสินดังกล่าวนี้ ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นจริงเสมอไป เช่นในกรณีของสาวผม blonde สองคนนี้ เขามองเห็นพระจันทร์แต่มองไม่เห็น Florida สาวคนที่สองก็ตัดสินทันทีว่าพระจันทร์อยู่ใกล้กว่า Florida เป็นต้น

ในนัยของจิตวิญญาณ พระจันทร์ กับ Florida อยู่ใกล้ California ไม่ต่างกัน เพราะเพียงแค่คิดก็ถึงได้แล้ว-อย่างฉับพลัน เสมอเหมือนกัน (Hello? พี่นักเขียนไม่ใช่ผม blonde ตาฟ้าคนที่สามในนิทานเรื่องนี้นะคะ)(rose)

 

ย่อหนังสือ

พี่นักเขียนได้รับความคิดเห็นจากผู้อ่านในอีกทิศทางหนึ่งที่ตรงกันข้ามกับคุณ VeggieGuy ว่า หนังสือชุด 10 เล่มนี้มีแต่เนื้อๆ ไม่มีน้ำ ทำให้รู้สึกว่าอ่านยากหรือหนัก หากเติมน้ำบ้างอาจช่วยให้รู้สึิกเบาและเข้าใจได้ง่ายขึ้น แต่เกรงว่าจะกลายเป็นหนังสือชุด 50 เล่มไปโดยปริยาย

การขยายหนังสือชุดนี้ออกไปเป็น 50 เล่มก็ดี หรือย่นย่อเหลือเพียง 1 เล่มก็ดี ย่อมจะก่อให้เกิดความบิดเบือนของข้อมูลต้นฉบับไปไม่มากก็น้อย เมื่อพี่นักเขียนเขียนหนังสือชุดนี้จบลง ความรู้สึกที่ได้รับจากท่านอาจารย์อนาลัย-ในความฝัน คิือ ความรู้สึกที่ว่า ท่านได้ถ่ายทอดความรู้เบื้องต้นมาให้พวกเราศึกษากัน และเราจะต้องใช้เวลาศึกษาหนังสือชุดนี้มากกว่าที่เราคิด ท่านไม่ได้คาดหวังให้เราอ่านเพียงหนึ่งรอบ หรือแม้แต่สองรอบ สามรอบ แต่ท่านปรารถนาให้เราหยิบหนังสือชุดนี้ขึ้นมาอ่าน ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อหาคำตอบที่เรายังหาไม่พบ-ให้พบ และท่านได้กล่าวไว้ว่า คำตอบทั้งหลายที่เรายังหาไม่พบ ล้วนมีอยู่ในหนังสือชุดนี้

พี่นักเขียนตระหนักดีว่า เราคุ้นเคยกับการทำให้ง่าย การทำให้น้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการรับสิ่งที่เราเห็นว่า มากหรือยาก หนังสือชุดนี้มีที่มาที่พี่นักเขียนแทบจะอธิบายไม่ได้ จัดลำดับไม่ได้ เพราะเขียน 10 เล่มพร้อมกันหมด และแตกแขนงออกไปอย่างที่เห็น หากนำมาย่นย่อเหลือเพียงหนึ่งเล่ม หมายความว่าพี่นักเขียนจะต้องนำสิ่งที่ได้รับมาประมวลใหม่ ตัดทอน ย่นย่อ หรือนำเพียงบางส่วนมาถ่ายทอด พี่นักเขียนมีความคิดอยู่เสมอว่า พี่นักเขียนมีหน้าที่ถ่ายทอดข้อมูลความรู้ที่ได้รับมา"ทั้งหมด"จากท่านอาจารย์อนาลัย การตัดทอน ย่นย่อ หรือนำเพียงบางส่วนไปถ่ายทอด ย่อมจะก่อให้เกิดข้อบกพร่องของข้อมูล และทำให้รู้สึกว่าไม่ fair กับผู้อ่านเป็นอันมาก

หากหนังสือชุดนี้กลายเป็นสิ่งที่เบา เข้าใจง่าย และน้อย เราคงจะหยิบมันขึ้นมาอ่านเพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่มีความคิดที่จะหยิบขึ้นมาอ่านซ้ำอีก ทั้งนี้พี่นักเขียนไม่ได้หมายความว่า ไม่ยินดีรับฟังข้อคิดเห็นของผู้อ่านนะคะ รับฟังทุกทิศทางและคิดเสมอว่า หากทำสิ่งใดที่จะให้ผู้อ่านเข้าใจสาระเหล่านี้ได้ชัดเจนขึ้น พี่นักเขียนก็ยินดีเสมอ และในขณะเดียวกันก็จะพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ทำให้ข้อมูลต้นฉบับบิดเบือน หรือตกหล่นขาดหายไปด้วย

จิตวิญญาณมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนความเชื่อเป็นความรู้ มีเป้าหมายที่จะเติมเต็มช่องว่างแห่งประสบการณ์และคุณค่าชีวิต พี่นักเขียนเชื่อว่า จิตวิญญาณไม่แยแสกับความมาก หรือ ยาก เพราะไม่มีสิ่งใดยากเกินไป มากเกินไป ไกลเกินไป หรือลึกลับเกินไป ในทางตรงกันข้าม จิตวิญญาณใฝ่รู้ในส่ิงที่มันยังไม่รู้ ไปไม่ถึง เข้าใจไม่ได้ เมื่อใดที่เราปฏิเสธความยาก ความมาก ของข้อมูลความรู้ เราจะพบว่า จิตวิญญาณของเราจะทำให้เรารู้สึกว่า เรายังค้นหาบางสิ่งบางอย่างไม่พบ และ ในที่สุดก็จะทำให้เราขวนขวายหาความรู้ต่อไปอีกด้วยความกระหาย

เราอาจจะยังเข้าใจไม่ได้ว่า หนังสือ 10 เล่มนี้จะบรรจุคำตอบทั้งหลายที่เรายังหาไม่พบ และเล็ดรอดสายตาของเราไปได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อ่านหนังสือชุดนี้แล้วหลายรอบ แต่สักวันหนึ่งพี่นักเขียนเชื่อว่า ไม่มากก็น้อยเราจะพบว่า เราจะเผชิญกับเหตุการณ์ในชีวิตที่ทำให้เราต้องพลิกกับไปดูหนังสือชุดนี้ และพบว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต พร้อมด้วยคำถามและคำตอบ เป็นสิ่งที่หาพบได้ในหนังสือชุดนี้ หากเราย่นย่อมัน ตัดทอนมัน คำตอบสำหรับอนาคตจะขาดหายไป และต่อๆไปหากมีเพียงฉบับย่อที่ปรากฏสู่สายตาผู้อ่าน พวกเขาจะหาคำตอบไม่พบ(rose)

 

Beyond Theology

เมื่อคืนนี้พี่นักเขียนได้ดูรายกาย TV title ว่า Beyond Theology ซึ่งกล่าวถึงสาระเกี่ยวกับความเชื่อเกี่ยวกับจิตวิญญาณ คุณค่าของความเชื่อ ตลอดจนมุมมองของความเชื่อเกี่ยวกับจิตวิญญาณ ที่ปรากฏมากมายในโลกยุคปัจจุบัน นอกเหนือไปจากความเชื่อที่เคยปรากฏในศาสนาต่างๆ

รายการนี้ได้นำข้อคิดเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา มาเปรีียบเทียบกับความเชื่อเกี่ยวกับจิตวิญญาณ หรือธรรมชาติความเป็นจริงเกี่ยวกับตัวตนของเรา ตลอดจนแก่นแท้ของเราที่ทุกศาสนาเรียกว่า จิตวิญญาณ หรือ consciousness

รายการนี้มีความยาวทั้งหมด 10 ชั่วโมง ซึ่งนำเสนอประวัติศาสตร์ความเป็นมาเกี่ยวกับพัฒนาการของความเชื่อภายใต้ศาสนา คำจำกัดความของสิ่งที่มนุษย์เรียกว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทฤษฏีวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ และที่ปรากฏในคัมภีร์ Bible (Evolution vs Creation) ตลอดจนความท้าทายของมนุษยชาติ และการพลิกผันภาพพจน์ของ GOD

นอกจากรายการ TV แล้ว มีหนังสือน่าอ่านหลายเล่มค่ะ
- Beyond Theology by Alan W. Watts
- Beyond the God Delusion: How Radical Theology Harmonizes Science and Religion by Richard Grigg
- Beyond the Firmament: Understanding Science and the Theology of Creation by Gordon J. Glover
เล่มที่น่าสนใจที่สุดสำหรับพี่นักเขียนคือ
Buddhism: The Religion of No-Religion by Alan Watts

คุณ VeggieGuy ชอบหนังสือ Conversation with God
ลองไปชม VDO : Alan Watts: A Conversation with MySelf (Part 1, 2, 3, 4,...)น่าสนใจไม่แพ้กัน
http://www.youtube.com/watch?v=8aufuwMiKmE
มีหนังสือและ VDO ของ Alan Watts อีกมากมายที่น่าจะมีข้อมูลสำหรับหนังสือเล่มใหม่ของคุณ VeggieGuy ไม่มากก็น้อยค่ะ(rose)

 

Thanks a lot

จริงๆ สินะครับ ผมลืมประเด็นเรื่องการทำ "หน้าที่" ของพี่นักเขียนไป ซึ่งจะต่างจากนักเขียนคนอื่น
ที่สามารถจัดการกับเนื้อหาของตัวเองได้ ซึ่งอาจมีปัจจัยทางด้านการตลาดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ผมอาจมองด้านนั้นมากไปหน่อย แต่ที่ "คิดเล่นๆ" เรื่องการย่อเนื้อหาลงก็ไม่ใช่เพราะเห็นว่า
เนื้อหาทั้งสิบเล่มนั้นมีน้ำนะครับ แต่อาจเป็นไปในลักษณะ "อัดให้เข้มเข้าไปใหญ่"
ในใจเพียงอยากเชียร์ให้หนังสือนี้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เพราะเห็น "The Secret" ขายดีเป็นที่รู้จัก
กระทั่งคนรู้จักที่ไม่น่าเชื่อว่าจะสนใจด้านนี้ยังรู้จักและกล่าวถึงครับ

ขอบคุณครับที่แนะนำหนังสือของ Alan Watts